พยาบาล มีบทบาทที่สำคัญในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งเต้านมตั้งแต่เริ่มวินิจฉัยโรค จนสิ้นสุดการรักษาโดยการทำหน้าที่เป็นผู้ให้ความรู้เกี่ยวกับโรค การรักษา การจัดการกับอาการข้างเคียงในระหว่างการรักษา และการดูแลตนเองเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในช่วงของการรักษา โดยเน้นให้ผู้ป่วยและครอบครัวได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาด้วยตนเองได้อย่างเหมาะสม ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเผชิญกับสถานการณ์การผ่าตัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทบาทของพยาบาลในการให้การพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่รักษาด้วยการผ่าตัด แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ ระยะก่อนผ่าตัด ระยะระหว่างผ่าตัด ระยะหลังผ่าตัด และระยะเตรียมพร้อมการจำหน่าย ดังนี้
1. ระยะก่อนผ่าตัด (pre-operative phase) เป็นระยะแรกตั้งแต่รับผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล การพยาบาลผู้ป่วยในระยะนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมให้ผู้ป่วยมีความพร้อมสำหรับการผ่าตัด และลดความวิตกกังวลของผู้ป่วย ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ป่วยจะมานอนรักษาในโรงพยาบาลก่อนผ่าตัด 1 วัน บทบาทของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยมีดังนี้
1.1 การเตรียมด้านร่างกาย เพื่อเตรียมความพร้อมด้านร่างกายและค้นหาปัจจัยเสี่ยงต่อการผ่าตัด ดังนี้
1.1.1 การประเมินสภาพผู้ป่วย โดยรวบรวมข้อมูลของผู้ป่วยเกี่ยวกับ
- การตรวจร่างกาย โดยการประเมินความแข็งแรงของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกาย การทรงตัว การเคลื่อนไหวของไหล่ ความแข็งแรงของแขน และมือ การประเมินรูปร่างของเต้านมที่ผิดปกติและแผลที่เต้านม เป็นต้น
- การประเมินผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ BUN, Cr, Liver function test, CBC, UA
- การประเมินผลการตรวจพิเศษต่าง ๆ เช่น ภาพถ่ายรังสี ทรวงอก การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ อัลตราซาวด์ และผลการตรวจทางพยาธิวิทยา เป็นต้น
- การตรวจสอบใบอนุญาตผ่าตัดในเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน มีลายมือชื่อผู้ป่วยหรือผู้มีสิทธิตามที่กฎหมายรับรอง เพื่อแสดงว่าผู้ป่วยเข้าใจมีการรับรู้ในข้อมูลการรักษาด้วยการผ่าตัดและยอมรับแผนการรักษา
- ตรวจสอบความสะอาดของผิวหนังบริเวณที่จะทำผ่าตัด เล็บมือ เล็บเท้า การทาเล็บและการทาลิปสติกสี ควรล้างเล็บและเช็ดลิปติกก่อนเข้าห้องผ่าตัด เพื่อให้สามารถสังเกตภาวะขาดออกซิเจนบริเวณปลายมือปลายเท้าและที่ปากได้ง่ายชัดเจน
- การตรวจสอบการงดน้ำและอาหารก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 6 ชั่วโมง และตรวจสอบการได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำให้ถูกต้องครบถ้วนตามแผนการรักษา
- การเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ
- ประวัติการเจ็บป่วยอื่นๆทั้งในอดีตและปัจจุบัน เช่นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด โรคเบาหวาน
- ประวัติการผ่าตัดในอดีตและยาระงับความรู้สึกที่เคยได้รับ
- ประวัติการรับประทานยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน ยาสมุนไพร รวมทั้งประวัติการแพ้ยา แพ้อาหาร
- ประวัติการใช้สารเสพติดและการแพ้สารเคมี เช่น การดื่มสุรา การสูบบุหรี่ เป็นต้น
1.1.2 การเตรียมด้านจิตใจ นอกจากการเตรียมความพร้อมด้านร่างกายแล้วผู้ป่วยควรได้รับข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการผ่าตัด ผลดีของการผ่าตัด ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งสิ่งแวดล้อมในห้องผ่าตัด และการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในทุกระยะของการรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยได้คิดทบทวนและตัดสินใจยอมรับการรักษา ซึ่งความกลัวและวิตกกังวลในผู้ป่วยที่จะต้องได้รับการผ่าตัดสามารถบรรเทาลงได้โดยการให้ข้อมูลเตรียมความพร้อมที่ถูกต้องและเหมาะสม เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีการเตรียมความพร้อมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ การแสวงหาข้อมูล (information seeking) เป็นการเผชิญปัญหาวิธีหนึ่งที่บุคคลนำมาใช้ในสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวล ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถคาดหวังเหตุการณ์ได้ตรงตามความเป็นจริงและช่วยให้ผู้ป่วยสามารถปรับตัวได้ในที่สุด (อุบล จ๋วงพานิช, 2536)
โดยทั่วไป ผู้ป่วยจะได้รับการเตรียมความพร้อมด้านร่างกายอย่างครอบคลุม ภายใต้การดูแลของทีมสหสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง แต่การเตรียมความพร้อมด้านจิตใจเป็นบทบาทหลักของพยาบาลซึ่งมีเวลาอยู่กับผู้ป่วยมากที่สุด ผู้ศึกษาจึงมุ่งพัฒนาการเตรียมความพร้อม ซึ่งรายละเอียดของข้อมูลจะเสนอในหัวข้อการให้ข้อมูลเตรียมความพร้อมแก่ผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งเต้านม
ชื่นชมพี่มากค่ะ
ขอบคุณน้องอิ๊ดสำหรับการแบ่งปันเรื่องราวดีดีนะคะ