นิตยสาร Fortune ฉบับวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๑ ลงเรื่อง Big Data meets Biologyเขียนโดย Erika Fry & Sy Mukherjee ฉายภาพอนาคตของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี BigData ใน Healthcare ซึ่งผมอ่านระหว่างบรรทัดว่าจะยิ่งทำให้ธุรกิจรุกคืบเข้ามามีอิทธิพลต่อระบบสุขภาพมากยิ่งขึ้น เพราะธุรกิจเก่งด้านฉกฉวยประโยชน์จาก informationasymmetry
ผมมีทฤษฎีที่ตั้งขึ้นเองว่าเมื่อไรก็ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ไม่ว่าจะเริ่มด้วยวิกฤติ หรือเริ่มด้วยโอกาส ผลจากการ “กวนเกษียรสมุทร” จะลงเอยด้วยช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนถ่างกว้างออกไปอีก เพราะในช่วงเวลาที่กำลังชุลมุนกันอยู่นั้น ผู้แข็งแรงจะตั้งหลักได้ดีกว่าหรือได้ก่อน และช่วงชิงการสร้างระบบใหม่ที่เอื้อประโยชน์ต่อตนเองมากกว่า
ตัวอย่างที่เห็นในช่วง๒๐ ปีที่ผ่านมาคือวิกฤติเศรษฐกิจเอเชีย ปี ๒๕๔๐
บทความเปรียบเทียบ “ยุคตื่นBig Data” เท่ากับยุคตื่นทอง เรียกว่าเป็น new gold-rush ให้ตัวเลขว่าโอกาสของการประยุกต์ใช้ Big Data ในบริการสุขภาพสูงถึง ๑๕เท่าของ FaceBook และGoogle รวมกัน คือขนาดของธุรกิจของ FaceBook และ Google รวมกัน เท่ากับ ๒๐๐,๐๐๐ ล้านเหรียญ แต่ขนาดของบริการสุขภาพเท่ากับ ๓ล้านล้านเหรียญ
ในการประชุมสภา มช.วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๑ ผศ. ดร. ณัฐคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มาเสนอ Data Science Consortium ร่วมมือ 3 คณะ ๑ หน่วยงาน คือ คณะวิทยาศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี และศูนย์บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ ร่วมกันพัฒนาวิชาการ และบุคลากรด้าน dataanalytics
ผมจึงให้ข้อเสนอว่า นอกจากงานพัฒนาเทคโนโลยีและคน ด้าน data science แล้ว ประเทศต้องการการดำเนินการที่จะช่วยให้ความก้าวหน้านี้ก่อpublic good มากพอๆกับ private good ที่สำคัญคือไม่เกิดการเพิ่ม inequity ในสังคมที่เป็นผลกระทบจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนี้ และการพัฒนาเทคโนโลยี data analytics ควรมีเป้าที่การดูแลสุขภาพด้วย
ในเชิง Public good ประเด็นสำคัญคือ การพัฒนาที่ไม่ใช่แค่ด้าน digital skills แต่ไปถึง digitalliteracyคือผู้คนสามารถนำพลังดิจิตัลไปใช้ประกอบอาชีพสร้างรายได้ในรูปแบบใหม่ๆ ไม่ใช่เพียงเพื่อความสนุกและบันเทิง
วิจารณ์ พานิช
๒๘ เม.ย. ๖๑
ไม่มีความเห็น