โครงการ “แบ่งปันน้ำใจ ต้านภัยแล้ง” จัดขึ้นเมื่อวันที่ 29-31 มีนาคม 2561 ณ วัดป่าโคกกลาง และอุทยานแห่งชาติภูผายล ตำบลจันทร์เพ็ญ อำเภอเต่างอย จังหวัดสกลนคร เป็นอีกหนึ่งกระบวนการเรียนรู้ในวิถีการบ่มเพาะจิตอาสาของ “เครือข่ายนิสิตจิตอาสาทำดีเพื่อสังคม” (ทำดีเพื่อพ่อ ทำดีเพื่อแผ่นดิน)
ค่ายเล็กๆ 3 วัน 2 คืน มีประเด็นการเรียนรู้ที่น่าสนใจอย่าหลายประเด็น อย่างน้อยที่สุดก็เรื่องจำนวนคนที่มีเพียง 2ุ6-27 คน ถือว่า “คนกำลังดีกับงานที่กำลังทำ” เพราะงานหลักๆ คือการเดินท่อน้ำประปาจากภูเขาลงสู่หมู่บ้าน เพื่อให้ชาวบ้านได้ใช้น้ำอย่างทั่วถึง ซึ่งระยะทางการวางท่อน้ำอยู่ในราวๆ 400 เมตร
ต่อยอด : แนวป้องกันไฟป่า สู่การกักเก็บน้ำจากภูเขาสู่หมู่บ้าน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามเดินทางไปจัดกิจกรรมค่ายกันที่นี่
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 29-21 พฤษภาคม 2560 กลุ่มนิสิตชาวดิน (พรรคชาวดิน) เคยได้ไปออกค่ายที่นี่มาแล้วในชื่อโครงการ “คืนธรรมชาติสู่ผืนป่า คืนปัญญาสู่สังคม” ประกอบด้วยกิจกรรมหลักๆ คือการทำแนวป้องกันไฟป่าระยะทาง 2 กิโลเมตร การเสนาเรื่องประเด็น “ป่าไม้บนวิถีชีวิตคนอีสาน”
นอกจากนั้น การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนและส่วนราชการที่อยู่ในพื้นที่ รวมถึงกิจกรรมหนุนเสริมบรรยากาศของการเรียนรู้ร่วมกัน เช่น สันทนาการ กิจกรรมรอบกองไฟ การตักบาตร บัดดี้บัดเดอร์ จดหมายน้อย (จดหมายข่าย) ออกกำลังกายในรุ่งเช้า
จากการสอบถามนิสิตเมื่อครั้งก่อนโน้น ทำให้ทราบว่า ประเด็นเรื่องการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในหมู่บ้าน เป็น “โจทย์” ที่น่าสนใจที่จะมีการขยับต่อยอดอีกครั้ง จวบจนวันเวลาเคลื่อนคล้อยไปครบขวบปี กิจกรรมที่ว่านั้นก็ก่อเกิดขึ้นอีกครั้งในชื่อโครงการ ““แบ่งปันน้ำใจ ต้านภัยแล้ง” เพียงแต่เปลี่ยนองค์กรจากพรรคชาวดินมาเป็นเครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคมฯ
อันที่จริงมันก็ไม่แปลกในแง่ของการเปลี่ยนผ่านกิจกรรมจากองค์กรหนึ่งสู่อีกองค์กร เพราะประธานเครือข่ายฯ คนปัจจุบัน (ณัฐพล ศรีโสภณ) ก็คืออดีตประธานพรรคชาวดิน เมื่อปีการศึกษา 2559 ที่เคยนำนิสิตไปจัดกิจกรรมทำแนวป้องกันไฟป่านั่นเอง
โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่ได้มองเรื่องอื่นใดนอกเหนือพลังความคิดในแบบจิตอาสา หรือวาทกรรมที่ผมพร่ำพูดมาเสมอว่า “ใจนำพาศรัทธานำทาง” เพราะไม่มีใครเป็นเจ้าของพื้นที่นั้นๆ การหยิบจับประเด็นมาขับเคลื่อนต่อเนื่องสำคัญกว่าการนิ่งเฉย หรือการส่งต่อประเด็นสู่เครือข่ายให้ได้ช่วยเติมเต็มชุมชน ถือเป็นกระบวนทัศน์อันดีงาม ประหนึ่งการบอกย้ำว่า “จิตอาสาไร้พรมแดน” -
ต่อยอด : สานต่อกิจกรรมเดิม เพิ่มเติมความข้นเข้มการเรียนรู้
ค่ายครั้งนี้ยังคงสืบเค้ากิจกรรมเดิมไว้อย่างหนักแน่น ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้วิถีชุมชน การเดินป่า การเล่นรอบกองไฟ การเสวนา การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในประเด็นทางวิชาการ การสรุปบทเรียนรายวัน การทำบุญตักบาตร ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ยังครบรันเหมือนครั้งก่อน
ยกเว้นการเปลี่ยนจากการทำแนวป้องกันไฟป่ามาสู่การเดินท่อประปารองรับน้ำจากภูเขาเข้าสู่หมู่บ้าน เพื่อให้ชาวบ้านได้ใช้อุปโภคและบริโภคในหน้าแล้งที่กำลังสยายปีกมาห่มคลุมหมู่บ้าน –
กิจกรรมครั้งนี้มีปรากฏการณ์ที่น่าสนใจจากอดีต เช่น ชาวบ้านรวมพลังมากกว่าครั้งที่แล้ว มีทั้งการออกแรงทรัพย์จัดซื้อท่อประปาและแทงค์น้ำร่วมกับนิสิต ผ่านกลไก “งานบุญ” บนศาลาวัดที่พระอาจารย์สุพจน์ สุวโจ ได้เป็นผู้ “บอกบุญ”
อีกทั้งเมื่อถึงคราว “ลงหน้างาน” ชาวบ้านก็ออกมาร่วมเดินท่อประปากันเยอะมาก มีการจัดเตรียมอุปกรณ์ไว้แทบจะเสร็จสรรพ บ้างก็เป็น “พ่อช่าง-แม่ช่าง” สอนนิสิตในการเตรียมพื้นที่ การขุดลอกวางระบบท่อ การเชื่อมต่อท่อ ช่วยให้นิสิตได้เรียนรู้ภูมิปัญญาช่างของชาวบ้านไปแบบนุ่มเนียน รวมถึงการช่วยดูแลเรื่องข้าวปลาอาหารแก่นิสิตอย่างดียิ่ง
มิหนำซ้ำยังได้ร่วมจัดทำกุฏิดินร่วมกับพระสงฆ์และชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่ง แม้จะยังไม่แล้วเสร็จ แต่ก็ถือว่าได้ทำงาน หรือได้เรียนรู้มากกว่าที่ตั้งเป้าไว้
สิ่งเหล่า คือ ภาพสะท้อนของหลักการทำงานแบบมีส่วนร่วมระหว่างนิสิตกับชุมชน หรือมิติแห่ง “บวร” ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ยังต่อยอดด้วยการนำกิจกรรม “สัตว์ 4 ทิศ” เข้ามาหนุนการละลายพฤติกรรมและทบทวนความเป็นตัวเองสู่การหลอมรวมความเป็นทีมผ่านบุคลิกลักษณะส่วนบุคคลอย่างเด่นชัด ด้วยการแบ่งกลุ่มตามลักษณะของสัตว์ทั้ง 4 ชนิด ซึ่งกิจกรรมนี้ ช่วยให้นิสิตได้ทบทวนความเป็นตัวตนของตนเอง เป็นการแบ่งกลุ่มโดยเน้นกระบวนการเรียนรู้ มิใช่แบ่งกลุ่มที่เน้นสันทนาการเหมือนที่พบแพร่หลายทั่วไป
นี่คืออีกหนึ่งพัฒนาการของการจัดการเรียนที่ชี้ให้เห็นพัฒนาการในเชิงสร้างสรรค์ –
และที่ผมชอบมากในอีกแบบก็คือ การให้เสรีต่อนิสิตในการเดินเท้าเข้าหมู่บ้าน สู่การเรียนรู้ชุมชนร่วมกับเด็กและเยาวชน โดยเด็กเหล่านั้นทำหน้าที่ประหนึ่ง “มัคคุเทศก์ชุมชน” ไปในตัวอย่างน่ารักน่าชัง สื่อให้เห็นต้นทุนทางสังคมของเด็กและเยาวชนในมิติของจิตสำนึกรักษ์บ้านเกิดไปในตัว ช่วยให้นิสิตได้รู้เรื่องประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมากกว่าคราวที่แล้ว บางคนน้องๆ พาไปถึงชายคาบ้านเลยก็มี บางคนทะลุถึง “ตลาดชุมชน” โดยมีรถซาเล้งเป็นพาหนะในการเดินทางสู่การเรียนรู้
กระบวนการดังกล่าวนี้ ทำให้นิสิตได้รับรู้ว่าชุมชนบ้านโคกกลาง เป็นชุมชนสองศาสนา นั่นคือศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ ไม่รวมการนับถือผี-บรรพบุรุษ ซึ่งต่างก็อยู่ร่วมกันได้ในความต่าง แถมยังเป็นพื้นที่ละเอียดอ่อนในทางการเมือง ยิ่งชวนต่อการเรียนรู้เป็นที่สุด
เช่นเดียวกับการเดินต่อในเรื่องการระดมความคิดในประเด็นทางสังคม กล่าวคือแบ่งกลุ่มให้ระดมปัญหาต่างๆ ที่มีในสังคมไทยที่น่าหยิบจับมาแก้ไขและให้เสนอทางออกของการแก้ไข (ปัญหาสังคมไทยเมื่อไหร่จะได้รับการพัฒนาและแก้ไข) ซึ่งประเด็นที่มีความถี่ซ้ำก็ประมาณการตัดไม้ทำลายป่า ภาวะซึมเศร้า ยาเสพติด ขยะ
การระดมความคิดที่ว่านั้น แม้จะไม่ใช่ตรรกะเชิงลึกที่ว่าด้วยการนำไปสู่การขับเคลื่อนจริงจัง แต่ผมมองว่ากิจกรรมที่ว่านี้คือหนึ่งในกระบวนการละลายพฤติกรรมเตรียมความพร้อมสู่การเรียนรู้ร่วมกัน เพราะสร้างพื้นที่ให้แต่ละคนรู้จักกันมากขึ้น แลกเปลี่ยนทัศนะ ร่วมกันวิเคราะห์ สังเคราะห์-สนทนา ร่วมกันสร้างสื่อนำเสนออย่างสร้างสรรค์ในครรลองของประชาธิปไตย
ซึ่งจะว่าไปแล้ว ผมก็เชื่อว่าผมน่าจะวิเคราะห์ไม่ผิด –
ส่งท้าย
ดูเหมือนครั้งนี้จะให้ค่าความสำคัญเรื่องการทัศนศึกษาเพิ่มมากขึ้น เริ่มตั้งแต่การเข้าเยี่ยมชมน้ำตกและกราบขอพรจาก “พญาเต่างอย” จนนำไปสู่การศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชนว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ลาว และชื่อบ้านนามเมืองที่เกี่ยวโยงกับกับภูมิศาสตร์ของคำว่า “เต่างอย”
นั่นยังไม่รวมถึงการเดินป่าแล้วได้พินิจใคร่ครวญถึงพืชพรรณนานาชนิด รวมถึงวิถีแห่งสัตว์ แมลงและแมกไม้น้อยใหญ่ที่กำลังเคลื่อนตัวเติบใหญ่และดิ้นรนปรับสภาพในป่าเขาเมื่อยามลมฝนกำลังมาเยือน
ใช่ครับ-ประเด็นนี้ดูเหมือนจะมีความเข้มข้นขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด
เฉกเช่นกับภาวะของการเข้าพักค้างแรมในวัด ซึ่งนิสิตเกือบหลายคนยืนยันว่านั่นคือประสบการณ์ครั้งใหม่ของการใช้ชีวิต เพราะไม่เคยออกค่ายแล้วต้องนอนที่วัดเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งพอมาเจอฝนตกไฟดับยิ่ง-สัญญาณคลื่นโทรศัพท์ไม่มี ยิ่งตอกย้ำให้นิสิตหลายคนสุขสงบ เพราะได้เรียนรู้ที่จะตัดขาดจากการสื่อสารของมือถือและสังคมออนไลน์ผ่านมือถือ –
และที่ผมชอบมากอีกประเด็นก็คือ ภายในกองไฟในราตรีกาลของคนคาย ยังคงมีเพลงบ่มอุดมคติเพื่อชีวิตและนักฝัน มีการบอกเล่าเปิดเปลือยตัวเองสู่คนรอบข้าง มีการเผาเผือกเผามันแบ่งปันกันทาน ผสมผสานกับการสรุปงานรายวัน (AAR) อย่างละมุนละม่อม
หรือแม้แต่การถอดบทเรียนจากอารมณ์ความรู้สึกสู่การถอดรหัสการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมนอกหลักสูตร ประหนึ่งการหาคำตอบว่า “มีความหมายใดในกิจกรรม”
รวมถึงการพิสูจน์ว่า ค่ายอาจไม่จำเป็นต้องใช้เวลาอันยาวนานเสมอไป ขอเพียงค้นหาโจทย์ให้ชัดเจนว่าต้องการทำอะไร และโจทย์นั้นสัมพันธ์กับชุมชนแค่ไหน เป็นสิ่งที่เขาต้องการเพื่อแก้ปัญหา หรือพัฒนายกระดับขึ้นมาหรือไม่ และจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับนิสิตหรือไม่-
ผมว่า ถ้าทำได้ 3 วัน 2 คืนเหมือนค่ายนี้ ผมว่าก็เป็นค่ายที่ไม่ขี้เหร่หรอกกับการเรียนรู้วิถีจิตอาสาแบบมีส่วนร่วมอย่างง่ายๆ โดยไม่ต้องทำอะไรที่ซับซ้อนให้เมื่อยล้า ทั้งกาย -ใจ
ครับ- ผมชอบ นะ
เขียน : วันที่ 19 พฤษภาคม 2561 ระหว่างเดินทางเข้ากาฬสินธุ์
ภาพ : เครือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม
ไม่มีความเห็น