สื่อมวลชนเผยแพร่ผลโพลคำขอของเด็กเนื่องในวันเด็ก พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่เพิ่งผ่านมาหยกๆ (ผมเขียนบันทึกนี้วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๑) (๑) ว่าร้อยละ ๓๕.๙ ขอการบ้านน้อยๆ / เรียนน้อยๆ สะดุดตาผม
ผมคิดว่าคำขอของเด็กข้อนี้ มีทั้งความหมายด้านบวก และด้านลบ ความหมายด้านบวก เป็นการส่งสัญญาณว่า เด็กไม่เห็นคุณค่าของการบ้านที่เขาต้องลงแรงทำ ครูควรปรับปรุงเป้าหมายและวิธีการให้การบ้านแก่ศิษย์
จากการอ่านหนังสือด้านการศึกษาหรือการเรียนรู้ ผมสรุปว่าการบ้านที่ครูให้ศิษย์ทำ ส่วนใหญ่ให้แบบไม่มีเป้าหมายจำเพาะ ว่าต้องการให้ศิษย์ได้ฝึกอะไร และฝึกแค่ไหนจึงจะเหมาะสม คำขอของเด็กน่าจะมีความหมายว่า ขอให้ให้การบ้านอย่างมีเป้าหมาย และให้ในปริมาณที่เหมาะสม หรือน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น เพราะเด็กต้องการเวลาสำหรับเล่นอย่างอิสระเพื่อการเรียนรู้ด้วย ไม่ใช่แค่เรียนจากการสอนของครูเพียงอย่างเดียว
แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการไม่มีการบ้านเลย หรือมีน้อยเกินไป
ขอการบ้านน้อยๆ พอฟังได้ แต่ขอเรียนน้อยๆ ผมฟังแล้วหดหู่ จะลดความหดหู่ได้ต้องตีความเชิงบวก ว่าเด็กๆ หมายความว่า เรียนน้อย ได้ผลมาก หรือเรียนรู้มาก หากตีความเช่นนี้ผมมีความเห็นว่า ใช่เลย การจัดการเรียนรู้ต้องทำอย่างมีประสิทธิภาพ คือทำน้อย ได้ผลมาก
หากตั้งเป้า เรียนน้อย ได้ผลมาก เราก็จะมีโจทย์วิจัยทางการศึกษามากมายไม่สิ้นสุด และจะมีนวัตกรรมทางการศึกษาออกเผยแพร่ได้มากมาย เพราะผมเชื่อว่าการจัดการเรียนรู้ที่ดี กับที่ไม่ดี ให้ผลลัพธ์การเรียนรู้แตกต่างกันไม่ต่ำกว่าเท่าตัว โดยใช้เวลาเท่ากัน
ซ้ำร้าย ผมเชื่อว่าการจัดการเรียนรู้ที่ไม่ดีเป็นการทำลายเด็ก คือทำให้เขาพัฒนาไม่เต็มศักยภาพ หรือพัฒนาไม่ครบด้าน ไม่ได้ผลลัพธ์การเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ ๒๑ ผลของ PISA Test ฟ้องอยู่โทนโท่ และไม่เพียงทำลายเด็ก ยังทำลายชาติด้วย เพราะจะจะทำให้พลเมืองอ่อนแอ เป้าหมายบรรลุประเทศไทย ๔.๐ จะบรรลุไม่ได้ หากเรายังมีพลเมืองที่อ่อนแออย่างในปัจจุบัน
ขออภัยครับ ที่บันทึกนี้มองสังคมไทยเชิงลบไปหน่อย
วิจารณ์ พานิช
๑๕ ม..ค. ๖๑
ไม่มีความเห็น