I am That 45


45. สิ่งใดที่เกิดดับ ย่อมไม่มีอยู่จริง


ถาม  ผมมาที่นี่เพื่อมาอยู่กับท่าน ไม่ใช่แค่ฟัง

การพูดนั้นบอกอะไรได้ไม่มาก แต่แค่อยู่เงียบๆ สามารถสื่อสารได้มากกว่า

ตอบ  ตอนแรกเธอพูดถึงถ้อยคำ จากนั้นเธอพูดถึงความเงียบ

บุคคลต้องสุกงอมสำหรับความเงียบ

 

ถาม  ผมจะมีชีวิตอยู่ในความเงียบได้หรือไม่?

ตอบ  การทำงานอย่างไม่เห็นแก่ตัว นำไปสู่ความเงียบ เพราะเมื่อเธอทำงานอย่างไม่เห็นแก่ตัว เธอไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือ

เธอเต็มใจที่จะทำงานโดยไม่หวังผล แม้จะอยู่ในความขาดแคลนพียงใด

เธอไม่สนใจว่าตนเองจะมีพรสวรรค์หรือเปล่า หรือมีความพร้อมแค่ไหน

เธอไม่สนใจว่าใครจะรู้หรือจะมาช่วยเธอหรือเปล่า

เธอแค่ทำสิ่งที่ต้องทำ ปล่อยให้ผลแห่งความสำเร็จหรือล้มเหลวเป็นเรื่องของความไม่รู้

เพราะทุกสิ่งมีเหตุปัจจัยมากมายนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะเมื่อเธออยู่ในโลกของอัตตาตัวตน

นั่นคือมนต์วิเศษของใจคนและหัวใจคน คือการที่สิ่งไม่เหมาะสมที่สุดเกิดขึ้น เมือความตั้งใจของคนผสมผสานเข้ากับความรัก

 

ถาม  ผิดตรงไหนที่จะขอความช่วยเหลือ ในเมื่องานนั้นมีคุณค่า?

ตอบ  ความจำเป็นต้องขอความช่วยเหลืออยู่ที่ไหน?

มันแค่แสดงถึงความอ่อนแอและความกังวล

ทำงานไป และจักรวาลจะทำงานร่วมกับเธอ

เพราะแนวคิดที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง ถูกส่งมาให้เธอจากสิ่งที่ไม่รู้

ผลของงานจะเป็นอย่างไร ปล่อยให้เป็นเรื่องของสิ่งที่ไม่รู้ แค่เคลื่อนไหวไปตามความจำเป็น

เธอเป็นแค่ห่วงโซ่หนึ่งของสายโซ่แห่งปฏิจจสมุปบาท

โดยพื้นฐานแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นในใจเท่านั้น

เมื่อเธอทุ่มเททำงานเพื่อบางสิ่งอย่างหมดใจและสม่ำเสมอ มันจะเกิดขึ้น เพราะมันเป็นหน้าที่ของใจในการทำให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้น

ในความเป็นจริง ไม่มีอะไรขาดและไม่มีอะไรจำเป็น งานทุกอย่างอยู่บนผิวหน้าเท่านั้น

แต่ในเบื้องลึก มันมีความสงบสุขอย่างสมบูรณ์

ปัญหาทุกอย่างของเธอเกิดขึ้นเพราะเธอตั้งคำจำกัดความให้ตนเองงและทำให้ตนเองมีขีดจำกัด

เมื่อเธอไม่คิดว่าตนเองเป็นนี่หรือนั่น ความขัดแย้งทั้งหมดจะสิ้นสุดลง

ความพยายามใดๆที่จะทำบางอย่างเกี่ยวกับปัญหาของเธอจะล้มเหลว เพราะสิ่งที่เกิดจากความต้องการ จะสามารถแก้ไขได้โดยการเป็นอิสระจากความต้องการเท่านั้น

เธอห่อหุ้มตัวเองด้วยเวลาและสถานที่ บีบรัดตัวเองเข้าไปในช่วงเวลาของชีวิต และปริมาตรของร่างกาย ทำให้เกิดความขัดแย้งมากมายของชีวิตและความตาย ความเพลิดเพลินและความเจ็บปวด ความหวังและความกลัว

เธอไม่สามารถกำจัดปัญหาได้ถ้าไม่ละทิ้งภาพลวงตา

 

ถาม  บุคคลมีขีดจำกัดอยู่แล้วโดยธรรมชาติ

ตอบ  ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า บุคคล

มันมีแต่ข้อจำกัดและความคับแคบ

ผลรวมของสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งกำหนดบุคคล

เธอคิดว่าเธอรู้จักตัวเอง เมื่อเธอรู้ว่า เธอคืออะไร

แต่เธอไม่สามารถรุ้ได้เลยว่าเธอคือใคร

บุคคลแค่เกิดขึ้นและดูเหมือนว่าจะมีอยู่ เหมือนที่ว่างภายในหม้อ ดูเหมือนจะมีรูปร่างและปริมาตรและกลิ่นของหม้อ

จงมองให้เห็นว่าเธอไม่ใช่สิ่งที่เธอเชื่อว่าตัวเองเป็น

จงสู้ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ต่อแนวคิดว่าเธอเป็นสิ่งที่ให้ชื่อได้ และบ่งบอกลักษณะได้

เธอไม่ใช่สิ่งนั้น จงปฏิเสธที่จะคิดเกี่ยวกับตัวเธอเองว่าเป็นนี่หรือนั่น

มันไม่มีวิธีอื่นที่จะออกจากทุกข์ เธอสร้างทุกข์ขึ้นมาเองผ่านทางการหลับหูหลับตายอมรับ โดยไม่ทำการสืบค้น

ความทุกข์ คือการเรียกร้องหาการสืบค้น ความเจ็บปวดทั้งหมดจำเป็นต้องได้รับการสืบสวน

อย่าขี้เกียจที่จะคิด

 

ถาม  การกระทำคือสาระสำคัญของความจริงแท้

การไม่ทำงาน ไม่ใช่สิ่งที่มีคุณค่า

การใช้ความคิดจะเกิดควบคู่ไปกับการกระทำเสมอ

ตอบ  การทำงานในทางโลกๆ เป็นสิ่งที่ยากลำบาก แต่การห้ามตัวเองจากงานทั้งหมดที่ไม่จำเป็นนั้นยากกว่า

 

ถาม  สำหรับคนที่เป็นแบบผม การไม่ทำงานเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

ตอบ  เธอรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอ?

เธอสามารถเป็นสิ่งที่เธอเป็นอย่างแท้จริงเมื่อเธออยู่ในสภาวะของความจริงแท้เท่านั้น สำหรับความเป็นเธอที่ปรากฏแก่คนอื่น นั่นไม่ใช่เธอ

เธอเป็นความสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ไม่เคยเป็นอย่างอื่น

ความคิดทั้งหมดที่บอกว่า เธอต้องพัฒนาตัวเอง เป็นเพียงคำพูดตามธรรมเนียม

พระอาทิตย์ไม่รู้จักความมืดฉันใด ตัวตนเดิมแท้ก็ไม่รู้จักตัวตนที่ไม่ใช่ความเดิมแท้ฉันนั้น

มันคือใจ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากการรู้จักคนอื่นๆ เลยกลายเป็นคนอื่นไปด้วย

แต่ใจก็ไม่ใช่สิ่งอื่นใดเลยนอกจากตัวตนเดิมแท้

มันคือตัวตนเดิมแท้ที่กลายเป็นสิ่งอื่น หรือสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนเดิมแท้ และยังคงมีอยู่ในลักษณะของตัวตนเดิมแท้

สิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้คือสมมติฐาน

เมฆบดบังดวงอาทิตย์โดยไม่ได้ส่งผลใดๆต่อดวงอาทิตย์ฉันใด สมมติฐานก็บดบังความจริงแท้โดยไม่ได้ทำลายความจริงแท้ฉันนั้น

แนวคิดที่ว่ามีการทำลายความจริงแท้นั้น ช่างไร้สาระ ผู้ทำลายเป็นจริงมากกว่าสิ่งที่ถูกทำลายเสมอ

ความจริงแท้คือผู้ทำลายสูงสุด

การแบ่งแยกทั้งหมด ความบาดหมางและความไม่เป็นหนึ่งเดียวทุกรูปแบบ ล้วนไม่จริง

ทุกสรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียว – นี้คือคำตอบสูงสุดของทุกความขัดแย้ง

 

ถาม  แม้ว่าเราได้รับคำสอนและความช่วยเหลือมากมาย แต่เพราะอะไรเราจึงไม่ก้าวหน้า?

ตอบ  ตราบใดที่เราจินตนาการว่าเราคือบุคคลที่แตกต่าง เราแปลกแยกจากคนอื่น เราจะไม่สามารถเข้าถึงความจริงแท้ซึ่งไร้อัตตาตัวตน

ขั้นแรก เราต้องรู้จักตัวเองในฐานะของผู้เฝ้ารู้เฝ้าดูเท่านั้น เป็นศูนย์กลางแห่งการเฝ้าสังเกตที่ไร้ขอบเขต ไร้กาลเวลา จากนั้น จึงรับรู้ถึงมหาสมุทรกว้างใหญ่ของความตระหนักอันบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นทั้งใจและสสาร และอยู่เหนือใจและสสาร

 

ถาม  ไม่ว่าในความจริงแท้ผมจะเป็นอะไร แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าตัวเองช่างกระจ้อยร่อย และเป็นบุคคลที่แบ่งแยกจากผู้อื่น

ตอบ  ความเป็นบุคคลของเธอเกิดจากมายาของเวลาและสถานที่ เธอจินตนาการว่าเธอมีอยู่ในห้วงเวลาหนึ่งและมีปริมาตรหนึ่ง บุคลิกภาพของเธอเกิดจากการเข้าไปยึดร่างกายว่าเป็นเธอ

หลังจากการเข้าไปยึดร่างกาย ความคิดและความรู้สึกของเธอจึงมีขึ้น มันคงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และเนื่องจากมีความทรงจำ จึงทำให้เธอจินตนาการว่าตนเองมีอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง

ในความจริงแท้ เวลาและสถานที่มีอยู่ภายในเธอ เธอไม่ได้มีอยู่ในมัน

มันเป็นโหมดของการรับรู้ แต่ยังมีอย่างอื่นอีก

เวลาและสถานที่เป็นเหมือนคำที่เขียนบนกระดาษ กระดาษนั้นจริง แต่คำที่เขียนเป็นแค่กรอบ

เธออายุเท่าไหร่?

 

ถาม  สี่สิบแปดครับ

ตอบ  อะไรทำให้เธอพูดว่าสี่สิบแปด?

อะไรทำให้เธอพูดว่า ฉันอยู่ที่นี่?

นิสัยทางคำพูดเกิดมาจากสมมติฐาน

ใจสร้างเวลาและสถานที่ และยึดสิ่งที่ตนสร้างขึ้นว่าเป็นจริง

ทุกสรรพสิ่งอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ แต่เราไม่เห็นมัน

โดยความจริงแท้ ทุกสรรพสิ่งอยู่ภายในฉันและเกิดขึ้นโดยฉัน

ไม่มีอะไรอื่นที่มีอยู่

แนวคิดว่า “อื่น” คือภัยพิบัติและมหันตภัย

 

ถาม  อะไรคือสาเหตุของอัตตาตัวตนที่นำไปสู่การแบ่งแยก สาเหตุของการสร้างขีดจำกัดทางเวลาและสถานที่ให้ตนเอง?

ตอบ  สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงไม่สามารถมีสาเหตุ

ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าบุคคลที่แปลกแยก

แม้จะดูจากมุมมองเชิงประจักษ์ เห็นชัดเจนว่าทุกสิ่งเป็นสาเหตุของทุกสิ่ง ทุกสิ่งเป็นอย่างที่มันเป็น เพราะทั้งจักรวาลเป็นอย่างที่มันเป็น

 

ถาม  แต่บุคลิกภาพต้องมีสาเหตุ

ตอบ  บุคลิกภาพเกิดมีขึ้นได้อย่างไรล่ะ?

โดยความทรงจำ

โดยการระบุว่าปัจจุบันนั้นคืออดีต และฉายภาพมันออกไปในอนาคต

จงคิดว่าตัวเธอนั้นเป็นสิ่งชั่วคราว ไม่มีอดีตและอนาคต แล้วบุคลิกภาพของเธอจะละลายไปเอง

 

ถาม  แล้วสภาวะ “ฉันเป็น” นั้นเหลืออยู่ไม่ใช่หรือ?

ตอบ  คำว่า “เหลืออยู่” ใช้กับเรื่องนี้ไม่ได้

“ฉันเป็น” นั้นสดใหม่เสมอ

เธอไม่จำเป็นต้องจดจำเพื่อจะ “เป็น”

อันที่จริงแล้ว ก่อนที่เธอจะสามารถรับรู้ประสบการณ์ในสิ่งใด ความรู้สึกมีอยู่เป็นอยู่ต้องมี

ในปัจจุบัน ตัวตนที่แท้ของเธอ คลุกเคล้าอยู่กับการรับรู้ประสบการณ์

ทั้งหมดที่เธอต้องการคือการปลดปล่อยตัวตนที่แท้ออกจากสายใยยุ่งเหยิงของประสบการณ์ทั้งหลาย

เมื่อใดที่เธอได้รู้จักตัวตนบริสุทธิ์ของเธอ โดยไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นนี่หรือนั่น เธอจะมองเห็นมันท่ามกลางความยุ่งเหยิงของประสบการณ์ และเธอจะไม่ถูกชื่อและรูปร่างชักนำไปในทางที่ผิดอีกต่อไป

การตีกรอบแห่งขีดจำกัดให้ตัวเองคือแก่นแท้ของบุคลิกภาพ

 

ถาม  ผมจะเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลได้อย่างไร?

ตอบ  เธอเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลอยู่แล้ว

เธอไม่จำเป็นและไม่สามารถกลายเป็นสิ่งที่เธอเป็นอยู่แล้ว

เพียงแค่หยุดจินตนาการว่าเธอคืออัตตาตัวตนที่แปลกแยก

สิ่งที่มาและไปนั้นไม่มีอยู่จริง

มันปรากฏขึ้นมาได้เพราะความจริงแท้นั้นมีอยู่

เธอรู้ว่ามีโลก แต่โลกรู้ไหมว่าเธอมีอยู่?

ความรู้ทั้งหมด ไหลออกมาจากเธอ เช่นเดียวกับทุกคน ทุกสรรพสิ่งและทุกความเบิกบาน

จงตระหนักว่าเธอคือแหล่งกำเนิดที่เป็นนิรันดร์ และยอมรับทุกอย่างในฐานะที่มันเป็นของเธอ

การยอมรับนั้นคือความรักที่แท้จริง

 

ถาม  ทั้งหมดที่ท่านพูดฟังดูสวยงามมาก

แต่เราจะนำมันมาใช้ในการดำเนินชีวิตได้อย่างไร?

ตอบ  เธอไม่เคยออกจากบ้านไปไหนเลย แต่เธอกำลังถามทางกลับบ้าน

กำจัดแนวคิดผิดๆนี้ออกไปเสีย แค่นั้นเอง

การสะสมแนวคิดที่ถูก ก็ไม่ได้พาเธอไปถึงไหนเช่นกัน

หยุดจินตนาการซะ แค่นั้นเอง

 

ถาม  มันไม่ได้เป็นเรื่องของการประสบผลสำเร็จ แต่เป็นเรื่องของความเข้าใจ

ตอบ  อย่าพยายามเข้าใจ

แค่ไม่เข้าใจผิดๆ ก็เพียงพอแล้ว

อย่าหวังพึ่งใจของเธอในการเข้าถึงความเป็นอิสระ

ใจนั่นแหละที่นำพาเธอเข้าไปสู่ความยึดติด

จงไปให้ถึงสภาวะที่อยู่เหนือใจโดยสิ้นเชิง

สิ่งที่ไร้การเริ่มต้น ไม่สามารถมีสาเหตุ

มันไม่ใช่ว่าเธอรู้อยู่แล้วว่าเธอคืออะไร แล้วเธอลืม

ทันทีที่เธอรู้ เธอจะไม่สามารถลืมได้

ความโง่เขลาไม่มีการเริ่มต้น แต่สามารถมีจุดสิ้นสุด

จงถามตัวเอง – ใครโง่เขลา แล้วความโง่เขลาจะละลายไปเหมือนความฝัน

โลกเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ดังนั้นเธอจึงค้นหาความกลมกลืนและความสงบสันติ

สิ่งเหล่านี้เธอจะไม่สามารถหาพบในโลก เพราะโลกคือทารกแห่งความสับวนวุ่นวาย

การจะพบความเป็นระเบียบ เธอต้องค้นหาเข้าไปภายใน

โลกมีอยู่ก็ต่อเมื่อเธอเกิดมีขึ้นภายในร่างกาย

ไม่มีร่างกาย – ไม่มีโบก

ขั้นแรก จงถามตัวเองว่า เธอคือร่างกายนี้หรือเปล่า

แล้วการเข้าใจโลกก็จะเกิดตามมา

 

ถาม  สิ่งที่ท่านพูดฟังดูน่างเชื่อถือ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกับปัจเจกบุคคล ผู้รู้ว่าตนมีอยู่ในโลก และเป็นของโลก

ตอบ  คนจำนวนนับล้านกินขนมปัง แต่มีเพียงจำนวนน้อยที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับข้าวสาลี

และเพียงผู้ที่รู้เท่านั้น ที่จะสามารถปรับปรุงขนมปังได้

ในทำนองเดียวกัน มีเฉพาะผู้ที่รู้จักตัวตนที่แท้ ผู้ที่ได้เห็นไปเหนือโลก จะสามารถปรับปรุงโลกได้

คุณค่าของการเห็นโลกต่อปัจเจกบุคคลเช่นนั้นมหาศาลมาก เพราะนั่นคือความหวังเดียวในการช่วยชีวิตโลก

สิ่งที่อยู่ในโลกจะไม่สามารถช่วยโลก ถ้าเธอต้องการช่วยโลกจริงๆ เธอต้องก้าวออกจากโลก

 

ถาม  แต่เราจะก้าวออกจากโลกได้หรือ?

ตอบ  อะไรที่เกิดมีขึ้นมาก่อน เธอหรือโลก?

ตราบใดที่เธอให้ความสำคัญอันดับแรกต่อโลก เธอถูกยึดอยู่โดยโลก เมื่อเธอตระหนัก โดยไร้ความเคลือบแคลงสงสัยใดๆ ว่าโลกอยู่ในเธอ ไม่ใช่เธออยู่ในโลก เธอได้ก้าวออกจากโลกแล้ว

แน่นอนว่าร่างกายของเธอยังคงมีอยู่ในโลกและเป็นของโลก แต่เธอจะไม่ถูกหลอกลวงโดยโลก

คัมภีร์โบราณทั้งหมดล้วนพูดว่า ก่อนมีโลก มีผู้สร้างโลก

ใครรู้จักผู้สร้างโลก?

ผู้เดียวเท่านั้นที่รู้จัก คือผู้ที่มีอยู่ก่อนผู้สร้างโลก ซึ่งก็คือตัวตนที่แท้ของเธอ ผู้เป็นต้นตอของโลกทั้งหมด และผู้สร้างโลกทั้งหมด

 

ถาม  ทั้งหมดที่ท่านพูดยึดโยงกันอยู่ด้วยสมมติฐานของท่านว่าโลกคือภาพฉายของท่าน

ท่านยอมรับว่าท่านหมายถึงโลกเชิงอัตนัยที่เป็นส่วนตัวของท่าน โลกที่ถูกมอบให้ท่านผ่านทางประสาทสัมผัสของท่านและใจของท่าน

ในแง่นั้น เราแต่ละคนมีชีวิตอยู่ในโลกที่เป็นภาพฉายของตน

โลกส่วนตัวเหล่านี้ แทบจะไม่สัมผัสกับคนอื่น และมันเกิดจากสภาวะ “ฉันเป็น” และหลอมรวมกับสภาวะ “ฉันเป็น” ซึ่งอยู่ที่ศูนย์กลางของมัน

แต่แน่นอนว่า เบื้องหลังโลกส่วนตัวเหล่านี้ ต้องมีโลกเชิงวัตถุวิสัยที่เป็นพื้นฐานเดียวกัน เมื่อเทียบกับโลกพื้นฐานนี้ โลกส่วนบุคคลเป็นแค่เงา

ท่านจะปฏิเสธการมีอยู่ของโลกพื้นฐานนี้หรือไม่?

ตอบ  ความจริงแท้ ไม่ใชเรื่องเชิงอัตนัยหรือเชิงวัตถุวิสัย ไม่ใช่ใจหรือสสาร ไม่ใช่เวลาหรือสถานที่

การแบ่งแยกเหล่านี้ จำเป็นต้องมีใครสักคนเป็นผู้รับรู้การมีอยู่ของมัน เป็นศูนย์กลางที่รู้ตัวและแปลกแยก

แต่ความจริงแท้คือความเป็นทุกสิ่งและความไม่มีอะไรเลย คือการรวมและการแยกออก คือความเต็มบริบูรณ์และความว่างเปล่า คือความกลมกลืนอย่างยิ่ง และคือความขัดแย้งอย่างเฉียบขาด

เธอไม่สามารถพูดเกี่ยวกับมัน เธอสามารถแค่สูญเสียอัตตาตัวตนในมัน

เมื่อเธอปฏิเสธความจริงแท้และยอมรับสิ่งอื่น เธอได้เข้าสู่เศษซากที่เหลือซึ่งไม่สามารถปฏิเสธได้

การพูดทั้งหมดเกี่ยวกับการบรรลุธรรม เป็นสัญญาณของความโง่เขลา

มันคือใจซึ่งจินตนาการว่ามันไม่รู้ และต่อมามันได้รู้แล้ว

ความจริงแท้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องราวบิดเบี้ยวเหล่านี้

แม้แนวคิดว่าพระเจ้าคือผู้สร้าง ก็เป็นเรื่องไม่จริง

การมีอยู่ของฉันขึ้นอยู่กับการมีอยู่ของสิ่งอื่น อย่างนั้นหรือ?

เพราะฉันมีอยู่ ทุกสิ่งจึงมีอยู่

 

ถาม  มันจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร?

เด็กทารกเกิดขึ้นมาในโลก ไม่ใช่โลกเกิดขึ้นในตัวทารก

โลกมีอายุเท่าแก่ และเด็กเกิดขึ้นมาใหม่

ตอบ  โลกเกิดขึ้นมาภายในโลกของเธอ

ทีนี้ เธอเกิดขึ้นมาในโลกของเธอ หรือโลกปรากฏขึ้นแก่เธอ?

การเกิด หมายความว่ามีการสร้างโลกขึ้นรอบๆ โดยมีตัวเธอเป็นศูนย์กลาง

แต่เธอสร้างตัวเธอเองขึ้นมาหรือ?

หรือว่าใครบางคนสร้างเธอ?

ทุกคนสร้างโลกสำหรับตัวเอง และอยู่ในมัน ถูกกักขังจองจำโดยความโง่เขลาของตน

ทั้งหมดที่เราต้องทำ คือการปฏิเสธว่าคุกของเราไม่ได้มีอยู่จริง

 

ถาม  สภาวะตื่นมีอยู่ในรูปแบบของเมล็ดพันธุ์ระหว่างที่เราหลับ ฉันใด โลกที่เด็กสร้างขึ้นตอนที่เกิดมีอยู่ก่อนการเกิดของเด็ก ฉันนั้น

แล้วเมล็ดพันธุ์นั้นมีอยู่กับใคร?

ตอบ  มีอยู่กับผู้ที่เฝ้ารู้เฝ้าดูการเกิดและการตาย แต่ตัวเขาเองไม่มีการเกิดและการตาย

เขาเท่านั้นคือเมล็ดพันธุ์ของการสร้างและเศษซากที่เหลืออยู่

อย่าถามใจให้ยืนยันถึงสิ่งที่มีอยู่เหนือใจ

ประสบการณ์ตรงคือสิ่งเดียวที่เป็นการยืนยันที่ถูกต้อง

 

ศรี นิสาร์กะทัตตะ มหาราช

“I AM THAT”

 

หมายเลขบันทึก: 644075เขียนเมื่อ 20 มกราคม 2018 18:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มกราคม 2018 18:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท