หะดีษซอเฮี๊ยห์เล่มที่ 2


ห้ามมิให้อยากตาย

 

เล่มที่ 2

ตอนที่ 4

ระเบียบของคอเต็บ (ผู้แสดงธรรม) และระเบียบของผู้ฟัง

จาก อับดิลลาฮ์ บิน สลาม ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. กล่าวปราศรัยบนมิมบัรในวันศุกร์ว่า ไม่เป็นที่น่าตำหนิแก่คนไดในพวกท่านที่เขาจะซื้อผ้า 2 ผืนเพื่อสวมไปในวันศุกร์ นอกเหนือจากชุดทำงานของเขา

รายงานโดย อบูดาวูด และอิบนุมายะห์

จากอัลฮะกัม บินหะซัน อัล-กุลฟีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้ไปปรากฏตัว ละหมาดวันศุกร์ร่วมกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ท่านได้ยืนขึ้นโดยเกาะอยู่กับไม้เท้าหรือคันธนูท่านได้กล่าวสรรเสริญและเยินยอเกียรติคุณของอัลลอฮ์  โดยใช้คำพูดเบาๆ ที่ดีและมีมงคลต่อจากนั้นท่านได้กล่าวว่า แท้จริงพวกท่านไม่มีความสามารถและไม่อาจทำทุกสิ่งที่พวกท่านถูกบัญชาใช้ แต่ท่านทั้งหลายจงทำอย่างสม่ำเสมอในสิ่งที่พวกท่านมีความสามารถและจงเผยคุณงามความดี

รายงานโดย อบูดาวูด อะห์มัด และอิบนุ อัสกัน ถือว่าเป็นหะดีษใช้ได้

เล่าจากอบีสะอีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า แท้จริงท่านนบีได้นั่งบนมิมบัรในวันหนึ่งและพวกเขาได้นั่งรายล้อมอยู่รอบๆท่าน

รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบีเมื่อขึ้นมิมบัรได้กล่าวสลาม

รายงานโดย อิบนุมายะห์ และชาฟีอี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อได้กล่าวคำอิกอมะห์ของละหมาดวันศุกร์แล้ว ได้มีชายคนหนึ่งจับมือท่านนบี และพูดกับท่านจนมีบางคนง่วงนอน

รายงานโดย ติรมิซี และถือว่าเป็นหะดีษที่ใช้ได้

และตามรายงานของรายงานหะดีษโดย อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี ว่า ท่านนบีเคยพูดคุยเรื่องธุร[1] หลังจากได้ลงจากมิมบัร[2]

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า สุลัยก์ อัล-ฆ่อต่อฟานี ได้มาในวันศุกร์ขณะที่ท่านนบีกำลังแสดงคุตบะห์ แล้วเขาได้นั่งลง ท่านนบีได้กล่าวขึ้นว่า โอ้ สุลัยก์ จงลุกขึ้นแล้วละหมาดสองรอก่ออัต และท่านจงกระทำสองเราะกะอัตนั้นอย่างเร็วๆ หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า เมื่อใครจากพวกท่านมาในวันศุกร์ และอิหม่ามกำลังแสดงคุตบะห์ (คำปราศรัยประจำวันศุกร์อยู่) ให้เขาจงละหมาดสองเราะกะอัต[3]และให้เขาจงละหมาดทั้งสองเราะกะอัตอย่างรวดเร็ว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ได้กล่าวว่า ผู้ไดได้อาบน้ำละหมาด และได้อาบน้ำละหมาดอย่างดี ต่อมาได้มาในวันศุกร์[4] ฟังอย่างตั้งใจ[5] เขาจะถูกยกโทษจากบาปที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับญุมอะห์ก่อนและเพิ่มอีก 3วัน และผู้ไดได้ตบก้อนกรวดเท่ากับเขาได้ทำสิ่งที่เป็นโมฆะ

รายงานโดย มุสลิม และติรมีซี

เล่าจาก อบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบีได้กล่าวว่า เมื่อท่านได้กล่าวแก่เพื่อนของท่านในวันศุกร์ว่า จงตั้งใจฟังในขณะที่อิหม่ามกำลังแสดงคุตบะห์ ความจริงท่านได้ทำในสิ่งที่เป็นโมฆะ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอับดิลลาห์ บินอัมรฺ ร.ฎ. จากท่านนบีได้กล่าวว่า จะมีบุคคลสามจำพวกมาวันศุกร์ ชายผู้หนึ่งได้มาวันศุกร์และทำสิ่งที่เป็นโมฆะ เขาจะไม่ได้รับผลบุญจากศุกร์เลย และชายคนหนึ่งที่เขามาวันศุกร์เขาขอต่ออัลลอฮ์ [6] ดังนั้นเขาก็เป็นคนที่ขออัลลอฮ์ ผู้เกรียงไกระ ถ้าหากพระองค์ประสงค์ก็ตอบสนองให้เขา ถ้าหากพระองค์ประสงค์ก็ไม่ให้เขา และชายอีกคนที่มาวันศุกร์ พร้อมกับตั้งใจฟังและสงบนิ่ง เขาไม่ได้ยกเท้าข้ามหัวมุสลิมคนใดและมิได้รังควานผู้ใด(ให้รำคาญ) มันจะเป็นเครื่องไถ่ถอนบาปจนถึงวันศุกร์หน้าและเพิ่มอีกสามวันที่เป็นอย่างนั้นเพราะเป็นไปตามคำตรัสของอัลลอฮ์ตะอาลาที่ว่า ผู้ใดทำหนึ่งความดีจะได้ผลตอบสนองถึง 10 เท่า

รายงานโดย อะบูดาวูด และอิบนุคุไซมะห์ ในเศาะฮีหะห์ของเขา

เล่าจากอับดิลลาห์ บินบุสร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีผู้ชายคนหนึ่งได้ยกเท้าก้าวข้ามคอผู้คนในวันศุกร์ ขณะที่ท่านนบีกำลังแสดงคุตบะห์ ท่านนบีได้กล่าวแก่ชายผู้นั้นว่า จงนั่งลงเพราะแท้จริงท่านกำลังทำความรำคาญ(ให้แก่ประชาชน)

รายงานโดย อบูดาวูด และนะซาอี และฮากิมและถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

ตามรายงานของติรมีซีว่า ผู้ใดยกเท้าข้ามคอผู้อื่นในวันศุกร์ เท่ากับเขาได้เอาสะพานไปสู่ขุมนรกญะฮันนัม

จากอิบนิอุมัร ร.ฎ. จากท่านนบีได้กล่าวว่า เมื่อใครง่วงนอนในมัสญิด ให้เขาเปลี่ยนจากที่เดิมของเขาไปที่อื่น[7]

รายงานโดย อบูดาวูด อะห์มัดและติรมีซี

ตัวบทของติรมีซีว่า เมื่อคนใดคนหนึ่งง่วงนอนในมัสญิด ให้เขาเปลี่ยนที่(นั่งเดิม)

จากอับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.เมื่อได้ขึ้นนั่งบนมิมบัร พวกเราได้หันหน้าไปหาท่าน รายงานโดย ติรมีซีและอิบนุมายะห์

บทสุดท้าย

เวลาที่ดุอาอฺถูกรับ

จากอบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.ได้กล่าวถึงวันศุกร์แล้วกล่าวว่า ในวันศุกร์นั้นมีช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งไม่มีบ่าวของอัลลอฮ์ คนใดที่เป็นมุสลิมในขณะที่เขายืนละหมาด ขอสิ่งใดๆ ต่ออัลลอฮ์ ตรงกับช่วงเวลานี้ นอกจากอัลลอฮ์ จะให้ตามคำขอของเขา และท่านได้ใช้มือทำท่าประกอบว่าช่วงเวลาที่จะรับดุอาอฺมีน้อย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

จากอบีมูซา ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. กล่าวว่า ช่วงเวลานั้นคือช่วงเวลาที่อิหม่ามนั่ง(ระหว่างสองคุตบะห์)จนเสร็จละหมาด

รายงานโดย มุสลิม อบูดาวูด และติรมีซี

และตัวบทของติรมีซีว่าแท้จริงในวันศุกร์นั้น มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ไม่มีบ่าวคนใดของอัลลอฮ์ ขอสิ่งหนึ่งสิ่งใดของช่วงนี้ นอกจากอัลลอฮ์ จะให้เขาได้รับตามคำขอนั้น พวกเขา(เหล่าอัครสาวก) ได้กล่าวว่า โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. มันอยู่ในช่วงเวลาไหน ท่านตอบว่า ในขณะที่อิกอมะห์ละหมาดจนเสร็จละหมาด

จากญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบีได้กล่าวว่า วันศุกร์มี 12 ชั่วโมงจากจำนวน12ชั่วโมง นี้มีอยู่หนึ่งชั่วโมง จะไม่พบว่ามีมุสลิมคนใดขอสิ่งหนึ่งสิ่งใดต่ออัลลอฮ์  นอกจากอัลลอฮ์ จะประทานสิ่งนั้นให้แก่เขา พวกท่านจงขวนขวายชั่วโมงนั้นเถิดในเวลาช่วงสุดท้ายหลังจากละหมาดอัสริ

รายงานโดย อบูดาวูด นะซาอี และฮากิม ถือว่าเป็น เศาะฮีหะห์

จากอบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบีได้กล่าวว่า วันที่ดีที่สุดที่ดวงตะวันได้ส่องแสงขึ้นมาคือวันศุกร์ อาดัมได้ถูกสร้างขึ้นในวันนี้ อาดัมได้ถูกนำตัวเข้าสวรรค์ในวันนี้ ได้นำตัวลงมาจากสวรรค์ในก็ในวันนี้ และในวันนี้มีอยู่ชั่วโมงหนึ่งที่ไม่มีบ่าวมุสลิมคนใดที่ละหมาดและขอสิ่งหนึ่งสิ่งใดต่ออัลลอฮ์ ตรงกับชั่วโมงนี้ นอกจากอัลลอฮ์ จะให้สิ่งที่เขาขอนั้นแก่เขา

ท่านอบูฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้พบกับอับดิ้ลลาห์ บินสลามและข้าพเจ้าได้เล่าหะดีษนี้ให้เขาฟัง เขากล่าวว่า ข้าพเจ้ารู้ชั่วโมงนั้นดี ข้าพเจ้ากล่าวว่า จงบอกให้ข้าพเจ้าทราบเถิดว่ามันอยู่ในช่วงใด ท่านอย่าได้หวงแหนข้าพเจ้าเลย เขากล่าวว่า ชั่วโมงนั้นคือช่วงเวลาตั้งแต่หลังละหมาดอัสริจนถึงตะวันตกดิน ข้าพเจ้าได้กล่าวว่ามัน(ชั่วโมง) จะอยู่หลังละหมาดอัสริได้อย่างไร เพราะท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.ได้กล่าวว่า ไม่มีบ่าวที่เป็นมุสลิมในขณะที่เขาละหมาดตรงกับชั่วโมงนั้น ส่วนชั่วโมงที่ท่านกล่าวถึงนั้นเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีละหมาด ท่านอับดุลเลาะห์ บินสลามกล่าวว่า ก็ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. มิได้กล่าวหรือว่า ผู้ใดนั่งคอยละหมาด เขาก็กำลังอยู่ในละหมาด ข้าพเจ้าตอบว่าใช่ เขาบอกว่าก็นั่นแหละ

รายงานโดยติรมีซี อบูดาวูดและนะซาอี         

และพวกเขาทั้งสองได้กล่าวว่า คือชั่วโมงสุดท้ายก่อนตะวันตกดิน

ให้กล่าว เศาะละวาต [8] แก่ท่านนบีมากๆ ในวันศุกร์และคืนวันศุกร์

จากเอาส์ บินเอาส์ จากท่านนบีได้กล่าวว่าวันที่ประเสริฐที่สุดในบรรดาวันต่างๆ ของพวกท่านคือวันศุกร์ เพราะเป็นวันที่บังเกิดนบีอาดัม เป็นวันที่อาดัมถูกเก็บชีวิต เป็นวันที่เป่าเป็นวันที่มีเสียงกึกก้องกัมปนาท [9]ท่านทั้งหลายจงเศาะละวาตแก่ข้าพเจ้ามากๆในวันศุกร์ เพราะการเศาะละวาตของพวกท่านถูกนำเสนอมายังข้าพเจ้า พวกเขา(เหล่าอัครสาวก) ได้ถามว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. การเศาะละวาตของพวกเราจะถูกนำเสนอไปยังท่านได้อย่างไรในเมื่อท่านกลายเป็นธุลีแล้ว ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความจริงอัลลอฮ์ ตาอาลา ได้ห้ามพื้นแผ่นดินจากบรรดาเรือนร่างของนบีต่างๆ[10]

รายงานโดย อบูดาวูดและนะซาอี

   จากอับดิลลาห์ บินอบีเอาฟา ร.ฎ. จากท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายแก่ข้าพเจ้ามากๆ ในวันศุกร์ เพราะความจริงข้าพเจ้าจะถูกบอกและได้ยิน

รายงานโดย ชาฟีอี และอิบนุมายะห์

ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนที่อยู่ใกล้ชิดกับข้าพเจ้ามากที่สุดในสวรรค์คือคนที่เศาะละวาตแก่ข้าพเจ้ามากที่สุดในหมู่พวกท่าน ดังนั้นท่านทั้งหลายจงเศาะละวาตแก่ข้าพเจ้ามากๆในคืนที่มีรัศมีมากที่สุด และในวันที่แจ่มใสมากที่สุด [11]

รายงานโดย ชาฟีอี และอัลบัยฮะกี(พระเจ้าทรงรอบรู้)

บทที่11

                                                ละหมาดในยามหวาดกลัวและในขณะเดินทาง

มีสองตอน

ตอนที่หนึ่ง

                                                            ละหมาดในยามหวาดกลัว

   อัลลอฮ์ ตาอาลาได้กล่าวว่า เมื่อท่าน (โอ้มุฮัมมัด) อยู่ท่ามกลางพวกเขา(บรรดาสาวก) แล้วให้ท่านทำละหมาดนำพวกเขา[12] จงให้มีพวกหนึ่งจากพวกเขาทำละหมาดพร้อมกับท่าน[13] และให้พวกเขาจงจับอาวุธไว้ด้วย[14] ต่อมาเมื่อพวกเขาได้สุญูด(ละหมาด) เสร็จ ก็ให้พวกเขาถอยไปอยู่ข้างหลังพวกท่าน และให้อีกพวกหนึ่งที่ยังมิได้ละหมาดมาละหมาดพร้อมกับท่าน

เมื่อศัตรูไม่ได้อยู่ทางทิศกิบลัต

จากอิบนิอุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ละหมาดแบบละหมาดในยามหวาดกลัวเป็นบางวัน[15] โดยมีพวกหนึ่งยืนละหมาดพร้อมกับท่านและมีอีกพวกหนึ่งอยู่เผชิญหน้าศัตรู ท่านได้ละหมาดพร้อมกับพวกที่ได้ละหมาดพร้อมกันกับท่านหนึ่งเราะกะอัต ต่อจากนั้นพวกเขาก็ไป (ทำหน้าที่รักษาการ) และอีกพวกหนึ่งก็เข้ามา ท่านก็ได้ละหมาดพร้อมกันกับพวกนี้อีกหนึ่งเราะกะอัต หลังจากนั้นทั้งสองพวกต่างก็ละหมาดอีกหนึ่งเราะกะอัต หนึ่งเราะกะอัต[16] ผู้รายงานได้กล่าวว่า ท่านอิบนิอุมัรได้กล่าวว่า ถ้าหากความหวาดกลัวมีมากมีมากกว่าวันนี้ให้ละหมาดในสภาพขับขี่อยู่บนยานพาหนหรือในสภาพยืน และให้การทำท่า[17]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และตามรายงานของมุสลิม และอบีดาวูดว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ละหมาดในวันทำศึกที่ซาตีรริกออฺ[18] เป็นแบบละหมาดในยามหวาดกลัว มีพวกหนึ่งละหมาดพร้อมกับท่านและอีกพวกหนึ่งอยู่เผชิญหน้าศัตรู ท่านได้ละหมาดพร้อมกับพวกที่อยู่กับท่านหนึ่งเราะกะอัต แล้วท่านก็ยืนนิ่งอยู่จนพวกเขาทำละหมาดเสร็จเรียบร้อย แล้วแยกย้ายกันไปเผชิญหน้าศัตรู และอีกพวกหนึ่งก็ได้เข้ามา ท่านจึงได้ละหมาดพร้อมกับพวกเขาอีกหนึ่งเราะกะอัตที่ค้างอยู่[19] แล้วท่านก็นั่งนิ่งอยู่ จนพวกเขาทำละหมาดเสร็จเรียบร้อย ท่านจึงให้สลามพร้อมพวกเขา

จากอบีบักเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบีได้ละหมาดดุหริในยามหวาดกลัว ท่านได้จัดให้พวกเขาบางคนตั้งแถวอยู่ข้างหลังท่าน บางคนตั้งแถวเผชิญหน้าศัตรู ท่านได้ละหมาดพร้อมกับพวกที่อยู่ข้างหลังท่านสองเราะกะอัต แล้วท่านได้ให้สลาม[20] พวกที่ละหมาดกับท่านจึงได้ไปทำหน้าที่แทนพวกเขา (ที่ยังมิได้ละหมาด) หลังจากนั้นพวกนี้จึงได้ละหมาดข้างหลังท่านสองเราะกะอัต หลังจากนั้นท่านได้ให้สลาม[21] ได้ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ละหมาดสี่เราะกะอัตส่วนบรรดาสาวกของท่านละหมาดสองเราะกะอัต สองเราะกะอัต[22]

รายงานโดย อบูดาวูดและมุสลิม

เมื่อศัตรูอยู่ทางทิศกิบลัต

จากอิบนิอับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบีได้ลุกขึ้นยืน ประชาชนก็ได้พากันลุกขึ้นยืนพร้อมกับท่าน ต่อจากนั้นม่านได้ตักบีร[23] พร้อมกับท่าน ท่านได้รุกัวะอฺประชาชนส่วนหนึ่งได้รุกัวะอฺพร้อมกับท่าน ต่อจากนั้นท่านได้สุญูด ประชาชนส่วนนั้นก็ได้สุญูดพร้อมกับท่าน ภายหลังท่านได้ลุกขึ้นยืนเพื่อทำเราะกะอัตที่สอง ประชาชนส่วนที่ละหมาด(เราะกะอัตแรกพร้อมท่าน) ได้ลุกขึ้นและทำหน้าที่รักษาการณ์ให้กับพี่น้องของเขา ประชาชนอีกส่วนหนึ่งจึงได้มาก้มรุกัวะอฺและสุญูดพร้อมกับท่าน[24] ประชาชนทั้งหมดอยู่ในละหมาดเดียวกัน แต่ต่างทำหน้าที่รักษาการณ์ให้แก่กันและกัน รายงานโดนห้าคนนอกจากติรมีซี

จากสะห์ลุ บินอบีฮัซมะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ละหมาดกับพวกสาวกของท่านในยามหวาดกลัว ท่านได้จัดให้พวกเขาเข้าแถวอยู่ข้างหลังท่านสองแถวท่านได้ละหมาดกับพวกเขา(แถว) ที่อยู่ติดกับท่านหนึ่งเราะกะอัต หลังจากนั้นท่านได้ลุกขึ้นยืน[25] และยืนอยู่อย่างนั้น จนพวกที่ยืนอยู่ข้างหลัง พวก (แถว)แรกละหมาดได้หนึ่งเราะกะอัต[26] หลังจากนั้นพวกเขาได้ก้าวขึ้นไปข้างหน้า และพวกที่อยู่ข้างหลังได้ถอยลงไปอยู่ข้างหลัง และท่านได้ละหมาดพร้อมกับพวกเขา[27] หนึ่งเราะกะอัต หนึ่งเราะกะอัต[28]ต่อจากนั้นท่านได้นั่งลง จนกระทั่งพวกที่ล้าหลังอยู่ได้ละหมาดอีกหนึ่งเราะกะอัต แล้วท่านได้ให้สลาม[29]

รายงานโดย มุสลิมและอบูดาวูด

ตอนที่สอง 184

ละหมาดขณะเดินทาง

การย่อละหมาดและระยะการเดินทางที่อนุญาตให้ย่อละหมาด

อัลลอฮ์ ตาอาลาได้กล่าวว่า เมื่อท่านทั้งหลายเดินทางไปบนหน้าแผ่นดินดังนั้นจะไม่มีบาปเหนือท่านทั้งหลายที่จะย่อละหมาด[30]

จากยะอฺลา บินอุมัยยะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่อุมัร บินค๊อตต๊อบว่า คำที่ว่า ไม่มีบาปเหนือท่านทั้งหลายที่จะย่อละหมาด ถ้าหากท่านทั้งหลายกลัวว่าบรรดาผู้ทรยศจะสร้างความชั่วร้ายต่อท่านทั้งหลาย แต่ความจริงประชาชนมีความปลอดภัย[31] ท่านอุมัรได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าก็รู้สึกประหลาดใจ และข้าพเจ้าได้เคยถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ถึงเรื่องนี้ ท่านได้ตอบว่า มันเป็นทานที่อัลลอฮ์ มอบให้แก่ท่านทั้งหลาย ดังนั้นท่านทั้งหลายจงรับ ทานของอัลลอฮ์เถิด

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้ออกเดินทางพร้อมกับท่านนบีจากนครมะดีนะห์ไปยังนครมักกะห์ ปรากฏว่าท่านได้ละหมาดสองเราะกะอัต สองเราะกะอัต[32] จนพวกเราได้กลับจากนครมะดีนะห์ ข้าพเจ้า(ผู้เล่า) ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอยู่ที่มักกะห์กี่วัน ท่านอะนัสได้กล่าวว่า พวกเราอยู่ที่มักกะห์สิบวัน[33]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอิบนิอับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี ได้พำนักอยู่(ที่นครมักกะห์ขณะยึดครอง) เป็นเวลาสิบเก้าวัน โดยท่านย่อละหมาด ส่วนพวกเราเมื่อได้ออกเดินทางเป็นเวลาสิบเก้าวัน โดยท่านย่อละหมาด ส่วนพวกเราเมื่อได้ออกเดินทางเป็นเวลาสิบเก้าวัน พวกเราก็ได้ย่อละหมาด แต่ถ้าหากพวกเราออกเดินทางมากกว่านั้น พวกเราได้ละหมาดเต็ม (โดยไม่ย่อ)

รายงานโดย บุคอรี อบูดาวูด และติรมีซี

ตัวบทของติรมีซีว่า พวกเราจะละหมาดในระหว่างพวกเรา และระหว่างเวลาสิบเก้าวัน สองเราะกะอัต และเมื่อพวกเราพำนักอยู่มากกว่านั้น พวกเราได้ละหมาดสี่เราะกะอัต

จากอิบนิอุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ละหมาดพร้อมกับท่านบีที่ตำบนมินา[34]สองเราะกะอัต และได้ละหมาดพร้อมกับอบีบักระและอุมัร(สองเราะกะอัตเช่นเดียวกัน) และได้ละหมาดพร้อมกับอุสมานในยุคต้นการปกครองของท่าน(สองเราะกะอัต) แต่ภายหลังได้ละหมาดเต็ม[35]

รายงาโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

และปรากฏว่าอิบนิอุมัรและอิบนิอับบาส ได้ย่อละหมาด และลการถือศิลอดในระยะทางสี่บรีด[36] คือสิบหกฟัรซัค

รายงานโดย บุคอรี

จากยะห์ยา บินยะซีด อัลฮุนาอีย์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามท่านอะนัส บินมาลิก ถึงเรื่องการย่อละหมาด[37] ทางในระยะสามไมล์หรือสามฟัรซัค ท่านได้ละหมาดสองเราะกะอัต

รายงานโดย มุสลิม อบูดาวูด และอะห์มัด

                                       การรวมละหมาด[38] (اَلْجَمُعَ)

จากอิบนิอับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. เคยรวมระหว่างละหมาด ดุห์ริกับอัสร์ ขณะที่ท่านอยู่ระหว่างการเดินทาง และเคยรวมละหมาดมัฆริบและอิชา

รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

ตัวบทของมุสลิมว่า ปรากฏว่าท่านนบีเมื่อจะต้องรีบเดินทาง[39] ท่านจะหน่วงละหมาดดุห์ริจนถึงเวลาละหมาดอัสร์ แล้วท่านก็จะรวมละหมาดทั้งสอง[40] และจะหน่วงละหมาดมัฆริบจนกระทั่งท่านจะรวมละหมาดมัฆริบกับละหมาดอิชาอ์[41]

จากมุอ๊าซ บิน ญะบัล ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ปรากฏอยู่ในสงครามตะบูก ขณะเมื่อตะวันคล้อยก่อนออกเดินทาง ท่านได้รวมละหมาดดุหร์กับอัสร์[42] แต่ถ้าหากท่านเดินทางก่อนตะวันคล้อย ท่านจะหน่วงละหมาดดุหร์ไว้จนกว่าท่านจะลงจากพาหนเพื่อละหมาดอัสร์[43]และในละหมาดมัฆริบก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากตะวันลับก่อนออกเดินทางท่านได้รวมละหมาดมัฆริบกับละหมาดอิชาอ์ แต่ถ้าหากออกเดินทางก่อนตะวันลับท่านจะหน่วงละหมาดมัฆริบไว้จนกว่าท่านจะลงจากพาหนเพื่อละหมาดอิชาอ์  หลังจากนั้นท่านก็จะรวมละหมาดทั้งสอง

รายงานโดย อบูดาวูด อะห์มัด และติรมีซีว่าเป็นหะดีษหะซัน

ไม่ให้ย่อละหมาดมัฆริบ และไม่ให้ละหมาด รอวาติบขณะเดินทาง

จากอิบนิอุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าและเห็นท่านนบีเมื่อท่านต้องรีบร้อนเดินทาง ท่าจะหน่วงละหมาดมัฆริบไว้ แล้วหลังจากนั้นท่านท่านก็จะละหมาดมัฆริบสามเราะกะอัตแล้วให้สลาม ต่อจากนั้นน้อยครั้งที่ท่านจะหยุดอยู่ นอกจากจะอิกอมะห์เพื่อละหมาดอิชาอ์ แล้วท่านก็จะละหมาดอิชาอ์สองเราะกะอัตแล้วให้สลาม และท่านจะไม่ละหมาดสุนัตหลังละหมาดอิชาอ์ นอกจากท่านจะลุกขึ้นมาในกลางดึก[44]

รายงานโดย บุคอรี

บทที่สิบสอง

ละหมาดสุนัต

ละหมาดอีดทั้งสอง[45]

อัลลอฮ์ ตาอาลาได้กล่าวว่า ความจริงเราได้มอบสายน้ำอัลเกาซัรให้แก่ท่าน(โอ้ มุฮัมมัด)ดังนั้นท่านจงละหมาดเพื่อพระผู้อภิบาลบาลท่าน[46] และจงเชือดสัตว์[47]

การออกไปละหมาดอีด และเวลาของละหมาดอีด

จากอลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า นับเป็นซุนนะห์ คือ การที่ท่านออกไปละหมาดอีดโดยเดินไป และถือการที่ท่านรับประทานสิ่งหนึ่งก่อนออกไปละหมาด[48]

รายงานโดย ติรมีซี

จากอบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบีเมื่อได้ออกไป (จากบ้าน) ในวันอีด ท่านจะไปโดยเส้นทางหนึ่งแลกลับอีกเส้นทางหนึ่ง[49]

รายงานโดย บุคอรี อะบูดาวูด และติรมีซี

 จากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบีจะไม่ออกไปในตอนเช้าของวันอีดฟิตร์ จนกว่าท่านจะได้รับประทานอินทผลัมหลายผล[50] และท่านจะรับประทานอินทผลัมเป็นจำนวนคี่

รายงานโดย  บุคอรี และติรมีซี

และในบางรายงานว่า ปรากฏว่าท่านจะไม่ออกไปในวันอีดฟิตร์ จนกว่าท่านจะได้รับประทานอาหาร แต่ท่านจะไม่รับประทานในวันอีดอัฎฮา จนกว่าท่านจะได้ละหมาดเสียก่อน[51]

จากอัลบะรออฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบีได้ออกไปยังบาเกียอะในวันอีดอัดฮา ท่านได้ละหมาดสองเราะกะอัตจากนั้นได้หันหน้ามายังพวกเราแล้วกล่าวว่า กิจกรรมที่เป็นอิบาดะห์ ประการแรกของเราในวันนี้ คือ ให้เราเริ่มด้วยละหมาด[52] เสร็จแล้วให้กลับบ้านและเชือดสัตว์[53]

รายงานโดย บุคอรี และนาซาอี

ท่านอบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ได้มีฝนตกลงมาโดนพวกเขา (อัครสาวก) ในวันอีด ท่านนบีจึงได้ละหมาดอีดพร้อมกับพวกเขาในมัสญิด[54]

รายงานโดย อบูดาวูด และฮากิม

จากอุมมุ อะตียะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ใช้พวกเรา(ให้ปฏิบัติ) ในอีดฟิตร์และอัฎฮา คือ ให้พวกเราอนุญาตให้หญิงสาววัยรุ่น[55] ผู้หญิงที่มีเลือดประจำเดือน และผู้หญิงที่มีผ้าคลุมหน้าอกไป(ละหมาดอีด) แต่ผู้หญิงที่มีเลือดประจำเดือนให้ปลีกตัวออกจากละหมาด เพื่อที่พวกผู้หญิงจะได้รับความดีและคำวิงวอน (ดุอาอฺ) ของบรรดามุสลิม[56] ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ มีผู้หญิงคนหนึ่งในหมู่พวกเราไม่มีเสื้อคลุมท่านได้กล่าวว่า พี่น้องร่วมศาสนาของหล่อนจะต้องให้หล่อนสวมจากเสื้อคลุมของเขา[57]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอับดิลเลาะห์ บิน บุสริ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราเคย (ละหมาดอีด) เสร็จเรียบร้อยแล้วในเวลาเดียวกันนี้[58] ขณะนั้นเป็นเวลาที่อนุญาตให้ละหมาดสุนัตแล้ว[59]

รายงานโดย บุคอรี และอบูดาวูด

ตัวบทของอบูดาวูดว่า ท่านอับดิลเลาะห์ บินบุสริ สาวกของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ออกไปในวันอีดพร้อมกับประชาชน และท่านไม่เห็นด้วยกับความล่าช้าของอิหม่าม ท่านจึงได้กล่าวว่า พวกเราเคย (ละหมาดอีด) เสร็จเรียบร้อยแล้วในชั่วโมงนี้ ขณะนั้นเป็นเวลาที่อนุญาตให้ละหมาดสุนัตแล้ว

ละหมาดอีดและตุคบะห์ 188

จากญาบิร บินซะมูเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ละหมาดอีดทั้งสองพร้อมกับท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ไม่ใช้เพียงครั้งเดียวหรือสองครั้ง  โดยไม่มีอะซานและอิกอมะห์[60]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี

จากอิบนิอุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ท่านอะบูบักและอุมัรได้ละหมาดอีดทั้งสองก่อน คุตบะห์[61]

จากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบีได้ออกไปในวันอีดฟิตร์ ท่านได้ละหมาดสองเราะกะอัต โดยท่านไม่ได้ละหมาดก่อนและหลังสองเราะกะอัตนั้น[62]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ละหมาด (อีด) อัฎฮามีสองเราะกะอัต ละหมาด(อีด) ฟิตร์มีสองเราะกะอัต ละหมาดของผู้เดินทางมีสองเราะกะอัต และละหมาดวันศุกร์มีสองเราะกะอัตเป็นละหมาดเต็มจำนวนมิใช่ย่อ ที่มีมาจากปากของท่านนบี

รายงานโดย นะซาอี อะห์มัดและอิบนุมายะห์

จากอาอีชะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบีได้เคยกล่าวคำตักบีรในละหมาดฟิตร์ เจ็ดครั้งในเราะกะอัตแรก ห้าครั้งในเราะกะอัตที่สอง  

รายงานโดย อบูดาวูด ติรมีซี และอะห์มัด

ตัวบทของติรมีซีว่า ปรากฏว่าท่านนบีเคยกล่าวคำตักบีรในละหมาดอีดทั้งสอง ในร่อกาอัดแรกเจ็ดครั้งก่อนการอ่าน[63] และในเราะกะอัตที่สองก่อนการอ่าน[64]

ท่านอุมัร บินอัลค๊อตต๊อบ ร.ฎ. ได้ถาม อบูวากิด อัลอัยซี ถึงสิ่งที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. อ่านในละหมาดอีดอัฎฮาและอีดฟิตร์ อบูวากิดได้ตอบว่า ท่านเคยอ่านในละหมาดทั้งสองด้วย ซูเราะห์ ก๊อฟ วัลกุรอานิลมาญีด และซูเราะห์ อิกตร่อบติซซาอห์ วันซักก็อลก่อมัร

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ปรากฏตัวพร้อมกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ในละหมาดอีด ท่านได้เริ่มด้วยการละหมาดก่อนแสดงคุตบะห์ โดยไม่มีการอะซานและอิกอมะห์ภายหลังท่านได้ลุกขึ้นยืน[65] โดยเกาะท่านบิลาล ท่านได้ใช้ให้ยำเกรงต่อพระองค์อัลลอฮ์  ปลุกใจให้ปฏิบัติตามและเชื่อฟังอัลลอฮ์  และท่านได้อบรมและตักเตือนประชาชน ท่านได้แสดงคุตบะห์เรื่อยไป จนพวกผู้หญิงมาถึงท่าน จึงได้กล่าวอบรมและตักเตือนพวกผู้หญิง โดยท่านได้กล่าวว่า พวกเธอทั้งหลายจงบริจาคทาน เพราะความจริงพวกเธอส่วนมากนั้นเป็นเชื้อเพลิงของขุมนรกญะฮันนัม ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งจากบรรดาผู้หญิงที่ดี หล่อนมีแก้มทั้งสองที่แดงเรื่อลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า เพราะเหตุใด โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านได้กล่าวว่า เพราะพวกเธอชอบบ่นจู้จี้ (ชอบร้องทุกข์) และทรยศ (ไม่เชื่อฟัง) ต่อสามี (ผู้รายงาน) ได้กล่าวว่า พวกผุ้หญิงเริ่มบริจาคด้วยเครื่องประดับของพวกหล่อน จำพวกตุ้มหูและแหวนโดยโยนลงไปบนผ้าของบิลาล

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด และนะซาอี

ตัวบทคุตบะห์ของนบีได้กล่าวมาแล้วในเรื่องของวันศุกร์

ถ้าหากปรากฏชัดว่าเห็นเดือนในวันที่สามสิบเราะมะฎอนให้ละศีลอดและให้ออกไปละหมาดอีดในวันรุ่งขึ้น 189

จากอบีอุมัยร บินอะนัส ร.ฎ. จากบรรดาลุงของเขา จากบรรดาอัครสาวกของท่านนบีว่า ได้มีกลุ่มผู้เดินทางมาหาท่านนบี ได้ยืนยันว่าพวกเขาเห็นเดือนเมื่อวานนี้[66] ท่านนบีจึงใช้ให้พวกเขาละศิลอด[67] และเมื่อรุ่งเช้าให้พวกเขาไปยังที่ละหมาดของพวกเขา[68]

รายงานโดย อบูดาวูด นะซาอี และอะห์มัด

สมควรให้มีการตบแต่งในวันอีด

จากอิบนิอุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านอุมัรได้เอาเสื้อยาวตัวหนึ่งที่ทำจากเส้นไหมชนิดหยาบซึ่งมีขายอยู่ในตลาด ท่านได้ซื้อมาและนำมายังท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้กล่าวแก่เขาว่า ความจริงสิ่งนี้เป็นอาภรณ์ของผู้ไม่มีโชค[69] ท่านอุมัรจึงนำเสื้อตัวนั้นมาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ความจริงท่านเป็นผู้ที่กล่าวว่าสิ่งนี้เป็นอาภรณ์ของผู้ไม่มีโชค แล้วทำไมท่านจึงส่งเสื้อตัวนี้ให้ข้าพเจ้า ท่านเราะซูลได้กล่าวแก่เขาว่า เพื่อให้ท่านอุมัรขายมันและใช้ราคาของมันไปในสิ่งที่ท่านมีความจำเป็น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด และนะซาอี

จากอบีรอมซะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านนบีแสดงคุตบะห์โดย สวมเสื้อคลุมสองตัวสีเขียว[70]

รายงานโดย นะซาอี

อนุญาตให้มีการละเล่นที่ศาสนาอนุมัติในวันอีด[71]

จากอาอีชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านอบูบักร์ได้เข้ามาที่ข้าพเจ้า[72] โดยขณะนั้นมีทาสหญิงสองคน[73]

จากพวกอันซอรอยู่กับข้าพเจ้า ทาสหญิงสองคนนี้ขับลำนำโดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการปะทะคารมของพวกอันซอรในวันบุอาซ[74] ท่านหญิงอาอีชะห์ได้กล่าวว่า โดยที่ทาสหญิงทั้งสองไม่ใช่เป็นนักขับลำนำ ต่อมาท่านอบูบักร์ได้กล่าวว่า เสียงขลุ่ยของซัยตอน[75] อยู่ในบ้านของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. หรือ โดยที่วันนั้นเป็นวันอีด ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. จึงได้กล่าวว่า โอ้ท่านอะบูบักระ ความจริงทุกหมู่เหล่ามีวันรื่นเริง และนี่คือวันรื่นเริงของเรา[76]

และในบางรายงานว่า แท้จริงท่านอบูบักร์ได้เข้าไปที่ท่านหญิงอาอีชะห์ โดยมีทาสหญิงสองคนอยู่กับท่านในวันพักแรมที่มีนา โดยทาสหญิงทั้งสองกำลังขับลำนำและตีกลอง โดยมีท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. กำลังคลุมโปงอยู่ด้วยผ้าของท่าน อะบูบักร์ได้ตะคอกทาสหญิงทั้งสอง ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. จึงได้เปิดผ้าคลุมออกแล้วกล่าวว่า โอ้ อะบูบักร์ ท่านจงปล่อยหล่อนทั้งสองเถิด เพราะวันเหล่านี้เป็นวันรื่นเริง

เล่าอาอีชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าในวันอีด ได้มีพวกชาวซูดานเต้นระบำโดยมีโล่และหอกเป็นเครื่องประดับ บางที่อาจะเป็นไปได้ว่าข้าพเจ้าได้ขอท่านเราะซูลุลลอฮ์[77]ซ.ล. หรือบางที่ท่านกล่าวว่า เธออยากดูหรือ ข้าพเจ้าตอบว่า ใช่ (อยากดู) ท่านได้จับให้ข้าพเจ้ายืนอยู่ข้างหลังท่าน แก้มทั้งสองของข้าพเจ้าอยู่กับแก้มของท่าน พร้อมกันนั้นท่านได้กล่าวว่าจงเล่นต่อไปเถิด โอ้พวกบนี อัรฟีดะห์[78]  จนกระทั่งเมื่อข้าพเจ้าเบื่อ ท่านจึงได้กล่าวว่า พอได้แล้ว ข้าพเจ้าตอบว่า ค แล้วท่านก็กล่าวว่า เธอไปได้แล้ว และในบางรายงานว่าพวกอะบิสิเนียได้มาแสดงการละเล่น[79] ในวันอีดในมัสญิด ท่านนบีได้เรียกข้าพเจ้ามาดู ข้าพเจ้าได้วางศีรษะลงบนไหล่ของท่าน แล้วมองดูการละเล่นของพวกเขา จนกระทั่งข้าพเจ้าเลิกมองดู

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

จากอะนัสได้กล่าวว่า ท่านนบีได้มายังนครมะดีนะห์ สำหรับชาวมะดีนะห์นั้น มีอยู่สองวันที่พวกเขามีการละเล่นกัน ท่านได้กล่าว่า สองวันนี้เป็นวันอะไร พวกเขาตอบว่า เป็นวันที่พวกเรามีการละเล่นกันในสมัยญาฮีลียะห์[80] ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ ได้เปลี่ยนวันที่ดีกว่าวันทั้งสองนี้ให้แก่พวกท่าน คือ วันอัฎฮาและวันฟิตร์

รายงานหะดีษโดย อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ละหมาดเพราะเกิดสุริยะคราสและจันทรคราส

จากอัลมุฆีเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ตะวันได้จับคราสในวันที่อิบรอฮีม[81] เสียชีวิตประชาชนพากันกล่าวว่า ตะวันได้จับคราสก็เพราะการตายของอิบรอฮีม ท่านนบีจึงได้กล่าวว่า ตะวันและดวงจันทร์เป็นหลักฐานจากบรรดาหลักฐานของอัลลอฮ์ [82] ทั้งสองจะไม่จับคราสเพราะการตายหรือการเกิดของใคร เมื่อท่านทั้งหลายเห็นมันทั้งสอง[83] ท่านทั้งหลายจงวิงวอนต่ออัลลอฮ์ จนกว่ามันจะสว่าง[84]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด และนะซาอี

และในบางรายงานว่า แท้จริงพวกญาฮีลียะห์เคยกล่าวว่า แท้จริงตะวันและดวงจันทร์จะไม่จับคราส นอกจากเพราะการตายของผู้ยิ่งใหญ่จากบรรดาผู้ยิ่งใหญ่บนหน้าแผ่นดิน แต่ความจริงแล้วมันทั้งสองจะไม่จับคราส เพราะการตายแลการเกิดของผู้ใด แต่มันทั้งสองเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น จากการสร้างของอัลลอฮ์  ซึ่งพระองค์จะให้เกิดสิ่งใดแก่สิ่งที่พระองค์สร้างขึ้น ตามพระประสงค์ของพระองค์ เมื่ออันใดจากทั้งสองได้จับคราสให้ท่านทั้งหลายจงละหมาดจนกว่ามันจะสว่าง

คำเรียกร้องให้มาละหมาดเพราะเกิดสุริยะคราส หรือ จันทรคราส

จากอับดิลเลาะห์ บินฮัมร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ขณะเมื่อเกิดสุริยะคราสขึ้นในสมัยท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. จะถูกประกาศว่า แท้จริงเป็นละหมาดรวมกัน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด และนะซาอี

รูปแบบต่างๆของละหมาดสุริยะคราสและจันทรคราส

จากอบีบักเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ขณะที่พวกเราอยู่กับท่านนบีได้เกิดสุริยะคราสขึ้น ท่านนบีได้ลุกขึ้นยืน แล้วลากผ้าห่มของท่าน[85] จนเข้าสู่มัสญิด พวกเราก็จึงได้พากันเข้ามัสญิด และท่านได้ละหมาดกับเราสองเราะกะอัต จนดวงตะวันปรากฏชัดแจ้ง

รายงานโดย บุคอรี และนะซาอี

จากอาอีชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ได้เกิดสุริยะคราสขึ้นในสมัยท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ท่านได้ลุกขึ้นยืนละหมาดพร้อมกับประชาชน ท่านได้ยืนอยู่นาน[86] จากนั้นท่านได้รุกัวะอฺและรุกัวะอฺนาน[87] จากนั้นท่านได้ยืนและยืนนาน[88]แต่น้อยกว่ายืนครั้งแรกจากนั้นท่านได้รุกัวะอฺและรุกัวะอฺนานแต่น้อยกว่ารุกัวะอฺครั้งแรก[89] จากนั้นท่านได้สุญูดและสุญูดนาน[90] หลังจากนั้นท่านได้ทำในเราะกะอัตที่สองเช่นเดียวกับที่ทำในเราะกะอัตที่หนึ่ง หลังจากเสร็จะละหมาด ดวงตะวันได้ปรากฏตัวชัดแจ้ง ท่านจึงได้แสดงคุตบะห์ต่อประชาชน โดยท่านได้กล่าวคำสรรเสริญและเยินยออัลลอฮ์  จากนั้นท่านได้กล่าวว่า ความจริงดวงตะวันและดวงจันทร์ เป็นหลักฐานจากบรรดาหลักฐานของอัลลอฮ์  ทั้งสองนั้นจะไม่จับคราสเพราะการตายหรือการเกิดของผู้ใด[91] ดังนั้นเมื่อท่านทั้งหลายเห็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจงวิงวอนขอต่ออัลลอฮ์  ท่านทั้งหลายจงกล่าวตักบีร กล่าวคำเศาะละวาตและจงบริจาคทาน ต่อจากนั้นท่านได้กล่าวว่า โอ้ประชากรของมุฮัมมัด ขอสาบานต่ออัลลอฮ์  ไม่มีใครที่จะหวงแหนยิ่งกว่าอัลลอฮ์ าไในการที่บ่าวผู้ชาย ของพระองค์จะละเมิดประเวณี และต่อการที่บ่าวหญิงของพระองค์จะละเมิดประเวณี โอ้ประชากรของมุฮัมมัด ถ้าหากท่านทั้งหลายรู้เหมือนกับที่ข้าพเจ้ารู้ แล้วท่านทั้งหลายจะหัวเราะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่จะต้องร้องไห้อย่างมากมาย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และในบางรายงานว่า จากนั้นท่านได้เงยศีรษะขึ้น[92] แล้วกล่าวว่า พระองค์อัลลอฮ์ ได้ยินผู้ที่กล่าวคำสรรเสริญพระองค์ โอ้พระผู้อภิบาลของเราและมวลการสรรเสริญนั้นเป็นสิทธ์ของพระองค์ท่าน

และได้เล่าจาก อาอีชะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบีของอัลลอฮ์  ได้ละหมาด หกรุกัวะอฺ สี่สุญูด[93]

รายงานโดย มุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และอะห์มัด

ส่วนตัวบทของติรมีซีว่า เล่าจากอิบนิอับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบีได้ละหมาดในการเกิดคราส โดยท่านได้อ่านแล้วรุกัวะอฺ จากนั้นได้อ่านแล้วรุกัวะอฺ จากนั้นได้อ่านแล้วรุกัวะอฺสามครั้ง หลังจากนั้นได้สุญูดสองครั้ง ส่วนอีกเราะกะอัตหนึ่งได้กระทำเช่นเดียวกัน[94]

และเล่าจาก อิบนิอับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่าท่านนบี ได้ละหมาดในการเกิดคราสโดยท่านได้อ่านแล้วรุกัวะอฺ จากนั้นได้อ่านแล้วรุกัวะอฺ จากนั้นได้อ่านแล้วรุกัวะอฺ จากนั้นได้อ่านแล้วรุกัวะอฺ หลังจากนั้นได้สุญูด (ผู้รายงาน) ได้กล่าวว่า และอีกเราะกะอัตหนึ่ง ท่านได้กระทำเช่นเดียวกัน[95]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

อ่านดังในละหมาดเพราะเกิดจันทรคราส และอ่านค่อยในละหมาดเพราะเกิดสุริยะคราส[96]

เล่าจากอาอีชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบีได้อ่านดังในละหมาดจันทรคราส[97]

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

เล่าจากซะมูเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ได้ละหมาดกับพวกเราในละหมาดเพราะเกิดสุริยะคราส โดยที่พวกเราไม่ได้ยินเสียงของท่าน[98]

รายงานหะดีษโดย อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การอ่านในละหมาดสุริยะคราส

จากอุบัย ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ได้เกิดสุริยะคราสขึ้นในสมัยท่านนบี ท่านได้ละหมาดร่วมกับพวกเขา (เหล่าอัครสาวก) และท่านได้อ่านซูเราะห์หนึ่งจากบรรดาซูเราะห์ยาวๆ[99] รายงานโดย อบูดาวุดและฮากิม ได้ให้ความหมายไว้ในหะดีษนี้

และท่านหญิงอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้ละหมาดเพราะเกิดสุริยะคราส ข้าพเจ้าได้คเนการอ่านของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ในเราะกะอัตแรกเท่ากับซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ และในเราะกะอัตที่สองเท่ากับซูเราะห์ อาลี อิมรอน

รายงานโดย อะบูดาวูด

การแสดงคุตบะห์

จากอัสมาอฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้เสร็จ[100] ดวงตะวันได้ปรากฏขึ้น ท่านแสดงคุตบะห์โดยกล่าวคำสรรเสริญต่ออัลลอฮ์  ตามที่พระองค์สมควรได้รับ จากนั้นท่านได้กล่าวว่า อัมมาบะอฺดุ (หลังจากนั้น)

รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

การขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์

แลการกระทำความดีแทนการละหมาดเพราะเกิดคราส

จากอบีมูซา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความจริงเครื่องหมายเหล่านี้ซึ่งอัลลอฮ์ ส่งมานั้น ไม่ใช่เพราะการตายแลการเกิดของผู้ใด แต่อัลลอฮ์ส่งมาเพื่อข่มขวัญบ่าวของพระองค์ ดังนั้นเมื่อท่านทั้งหลายเห็นสิ่งใด จากบรรดาเครื่องหมายเหล่านั้น ท่านทั้งหลายจึงขอพึ่งพิงด้วยการระลึกถึงอัลลอฮ์  ด้วยการวิงวอนต่อพระองค์และขอภัยโทษต่อพระองค์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด และนะซาอี

จากอัสมาอฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ความจริงท่านนบีได้ใช้ให้ปลดปล่อยทาสในขณะที่เกิดสุริยะคราส

รายงานโดย บุคอรี และอบูดาวูด

สิ่งที่ท่านนบีได้พบเห็นขณะละหมาดเพราะเกิดคราส

จากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ได้เกิดสุริยะคราสในสมัยท่านนบี ท่านได้ละหมาดและยืนอยู่นาน จนกระทั่ง (ผู้เล่า) ได้กล่าวว่า แล้วต่อมาท่านนบีได้กล่าวว่า แท้จริงดวงตะวันและดวงจันทร์เป็นหลักฐานจากบรรดาหลักฐานของอัลลอฮ์ ทั้งสองจะไม่จับคราสเพราะการตายแลการมีชีวิตของผู้ใด ดังนั้นเมื่อท่านทั้งหลายเห็นเช่นนั้น ให้ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงพระองค์อัลลอฮ์  พวกเขาได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. พวกเราได้และเห็นท่านคว้าสิ่งหนึ่งที่ท่านยืน หลังจากนั้นพวกเราและเห็นท่านถอยหลัง[101] ท่านนบีได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าได้และเห็นสวรรค์ ข้าพเจ้าจึงได้คว้าพวง (องุ่น) ซึ่งถ้าหากข้าพเจ้าคว้าได้พวกท่านก็จะได้กินมัน ตราบเท่าที่โลกนี้ยังคงอยู่[102] และได้ให้ข้าพเจ้าเห็นนรก ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยเห็นสิ่งใดในวันนี้ที่จะน่าเกลียด น่าขยะแขยงยิ่งกว่ามัน และข้าพเจ้าได้พบเห็นว่าชาวนรกส่วนมากเป็นผู้หญิง พวก (เหล่าอัครสาวก) ถามว่า เพราะเหตุใดโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ท่านได้กล่าวว่า เพราะการทรยศของพวกหล่อน พวกเขาถามว่า พวกหล่อนทรยศต่ออัลลอฮ์หรือ ท่านตอบว่า พวกหล่อนทรยศต่อสามีและทรยศต่อการทำความดี[103] ถ้าหากท่านทำความดีแก่คนใดคนหนึ่งจากพวกหล่อนตลอดอายุหลังจากนั้นหล่อนได้เห็นสิ่งหนึ่ง[104] จากท่าน หล่อนจะกล่าวว่า ฉันไม่เคยเห็นความดีอะไรจากท่านเลย

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

จากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ได้เกิดสุริยะคราสขึ้นในสมัยท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. และได้นำหะดีษยาวมาเล่าจนถึงคำว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่พวกท่านถูกสัญญาไว้ นอกจากข้าพเจ้าได้พบเห็นมันในละหมาดของข้าพเจ้านี้ ความจริงเขาได้นำนรกมา[105] นั่นเป็นขณะที่พวกท่านเห็นข้าพเจ้าถอยหลัง เพราะกลัวเปลวของมันจะมาโดนข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้และเห็นแม้กระทั่งเจ้าของไม่เท้าหัวงอ กำลังลากไส้ของเขาอยู่ในนรกเขาเคยลักขโมยของของผู้ทำฮัจญ์โดยใช้ไม้เท้าของเขา[106] ถ้าหากผู้ถูกขโมยรู้ตัวเขาก็จะกล่าวว่าของนั้นมันเกี่ยวกับไม้เท้าของเขา แต่ถ้าหากผู้ถูกขโมยไม่รู้ตัว เขาก็จะเอาของนั้นไป และข้าพเจ้าได้และเห็นแม้กระทั่งผู้หญิงที่เป็นเจ้าของแมว ซึ่งหล่อนได้ผูกแมวไว้โดยไม่ให้อาหารกินและไม่ปล่อยให้มันออกจับสัตว์เลื้อยคลานเป็นอาหาร จนกระทั่งมันตายด้วยความหิว หลังจากนั้นเขาได้นำสวรรค์มา[107] นั่นเป็นขณะที่พวกท่านเห็นข้าพเจ้าเก้าเท้าไปข้างหน้า จนข้าพเจ้าได้ยืนอยู่ในที่ๆ ยืนของข้าพเจ้า และความจริงข้าพเจ้าได้ยื่นมือของข้าพเจ้าหมายที่จะคว้าผลไม้ในสวรรค์ เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้และเห็น แต่ปรากฏว่าข้าพเจ้าไม่สามารถกระทำเช่นนั้น ดังนั้นไม่มีสิ่งใดที่พวกท่านถูกสัญญาไว้ นอกจากข้าพเจ้าได้พบเห็นมันในละหมาดของข้าพเจ้านี้

รายงานโดย มุสลิม และนะซาอี

การสุญูดเพราะเกิดปรากฏการณ์[108]

   จากอิกริมะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ได้มีผู้กล่าวแก่อิบนิ อับบาสว่า ผู้หญิงคนนั้นได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งเป็นภรรยาคนหนึ่งของท่านนบี[109] ท่านอิบนิ อับบาสตอบว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กกล่าวว่า เมื่อท่านทั้งหลายเห็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้น ท่านทั้งหลายจงสุหยุด[110] และปรากฏการณ์ใดจะยิ่งใหญ่กว่าการจากไปของภรรยาท่านนบี[111]

รายงานโดย อบูดาวูด และติรมีซี

ละหมาดขอฝน[112]

   อัลลอฮ์ ตาอาลาได้กล่าวว่า และเมื่อนบีมูซาได้วิงวอนขอฝนให้แก่ประชาชนของเขา เราจึงได้กล่าวว่า  เจ้าจงตีหินก้อนนั้นด้วยไม้เท้าของท่าน  แล้วมันได้มีตาน้ำ  สิบสองตาพวยพุ่งออกมาจากก้อนหินนั้น

เล่าจากอิสหาก  ร.ฎ.   ได้กล่าวว่า  ท่านวาลีด  บินอุตบะห์เจ้าเมืองนครมะดีนะห์ได้ส่งข้าพเจ้าไปหาท่านอิบนิ อับบาส  เพื่อให้ข้าพเจ้าถามเขาถึงการละหมาดของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ในการขอฝน  ท่านอิบนุ อับบาสได้กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.     ได้ออกไปโดยสวมเสื้อผ้าเก่าๆ นอบน้อมถ่อมตน  จนถึงสถานที่ทำละหมาดท่านได้ขึ้นบนมิมบัร[113]  โดยท่านไม่ได้อ่านคุตบะห์เหมือนคุตบะห์ของท่านทั้งหลาย  แต่ท่านได้เฝ้าวิงวอนขอดุอาด้วยอาการถ่อมตนแลกล่าวตักบีร  ต่อจากนั้นท่านได้ละหมาดสองเราะกะอัตเหมือนกับที่ท่านละหมาดอีด[114]

รายงานหะดีษโดย อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ท่านอับดุลเลาะห์  บินยะซีด  อัลอันซอรีได้ออกไป  ท่านอัลบะรอฺ  บินอาซิบ และซัยดฺ  บินอัรกอม ร.ฎ.   ก็ได้ออกไปพร้อมกับเขา  ต่อจากนั้นท่านอับดุลเลาะห์ได้ขอฝนโดยท่านได้ยืนอยู่กับพวกเขาบนเท้าทั้งสองข้างของท่าน  โดยไม่มีมิมบัร  ต่อจากนั้นท่านได้วิงวอนขอลุแก่โทษ  หลังจากนั้นท่านได้ละหมาดสองเราะกะอัตโดยอ่านดัง  แต่ท่านมิได้อาซานและอิกอมะห์ 

รายงานโดย  บุคอรี

เล่าจากอับบาด  บินตะมีม  จากลุงของเขา  ร.ฎ.   ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้และเห็นท่านนบี  ซ.ล.     ในวันที่ท่านออกไปละหมาดขอฝน   ท่านได้หันหลังให้ประชาชนผินหน้าไปสู่กิบลัตวิงวอนขอดุอา  หลังจากนั้นท่านได้กลับผ้าห่มของท่าน  ต่อจากนั้นท่านได้ละหมาดนำพวกเราสองเราะกะอัต  โดยได้อ่านดังในทั้งสองเราะกะอัต[115]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ว่า  แท้จริงท่านนบีของอัลลอฮ์  ซ.ล.    ไม่เคยยกสองมือของท่านขอในสิ่งใดเลย  นอกจากในการขอฝน  จนและเห็นความขาวของรักแร้ทั้งสองข้าง[116]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด และนะซาอี

ตัวบทของคุตบะห์ที่ท่านนบีกล่าวในการละหมาดขอฝน

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ ร.ฎ.   ได้กล่าวว่า  ประชาชนได้พากันไปร้องทุกข์ยังท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.     ถึงเรื่องฝนแล้ง  ท่านได้ใช้ให้จัดตั้งมิมบัรขึ้น  มิมบัรจึงถูกจัดตั้งขึ้นในสถานที่ที่จะทำละหมาด  และท่านได้กำหนดวันให้ประชาชนได้ออกไปโดยพร้อมเพรียงกันในวันนั้น  ท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ได้ออกไปในขณะที่ปรากฏแสงตะวัน  ท่านได้นั่งลงบนมิมบัรแลกล่าวตักบีร[117]แลกล่าวคำสรรเสริญอัลลอฮ์ ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกระ  หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า  แท้จริงพวกท่านได้มาร้องทุกข์ถึงความแห้งแล้งในบ้านเมืองของพวกท่าน  แลการที่ฝนล่าจากฤดูของมัน  ความจริงอัลลอฮ์ ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกระได้ใช้พวกท่านทั้งหลายให้วิงวอนขอต่อพระองค์  และได้ให้สัญญากับพวกท่านว่าพระองค์จะรับการขอของพวกท่าน  หลังจากนั้นท่านได้กล่าวต่อไปอีกว่า  การสรรเสริญทั้งมวลเป็นสิทธ์ของอัลลอฮ์ ผู้อภิบาลสากลโลก  พระองค์เป็นผู้ทรงเมตตากรุณาเสมอ  เป็นผู้มีกรรมสิทธ์แต่ผู้เดียว  ในวันตัดสิน  ไม่มีพระเจ้าควรแก่การเคารพสักการะเว้นแต่อัลลอฮ์ องค์เดียวพระองค์จะกระทำตามที่พระองค์ประสงค์  โอ้พระองค์อัลลอฮ์   ท่านคือพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง  ไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักการะเว้นแต่พระองค์ท่านเท่านั้นที่เป็นผู้ร่ำรวยส่วนพวกเราเป็นพวกที่ยากจน  ได้โปรดประทานฝนให้ตกมายังพวกเรา  และได้โปรดดลบันดาลสิ่งที่ท่านได้ประทานลงมาเป็นกำลังและเป็นสิ่งที่จะนำไปสู่เป้าหมายของพวกเราตลอดไป  ต่อจากนั้นท่านนบี  ซ.ล.     ได้ยกมือทั้งสองข้างของท่าน  ท่านได้ยกอยู่อย่างนั้นจนความขาวจากรักแร้ทั้งสองข้างของท่านปรากฏ  หลังจากนั้นท่านได้หันหลังให้แก่ประชาชนและให้กลับผ้าห่มของท่าน  ต่อมาท่านได้หันหน้ามาทางประชาชนแล้วลงจาก (มิมบัร)  ต่อมาท่านได้ละหมาดสองเราะกะอัต  หลังจากนั้นอัลลอฮ์ ได้บันดาลให้เกิดเมฆ  ฟ้าร้องและฟ้าแลบ  ต่อมาฝนก็ตกด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์   ท่านนบียังไม่ทันจะกลับถึงยังมัสญิดของท่าน  น้ำก็ได้ไหลบ่าเสียก่อน เมื่อท่านนบี  ซ.ล.   และเห็นพวกเขาพากันรีบกลับบ้าน  ท่านได้เผยยิ้มจนเห็นเขี้ยวของท่าน[118] พลางกล่าวว่า  ข้าพเจ้าให้สัตย์ปฏิญาณว่า  แท้จริงอัลลอฮ์ คือผู้ทรงอำนาจเหนือทุกสิ่งและแท้จริงตัวข้าพเจ้าเป็นบ่าวของอัลลอฮ์ และทูตประกาศศาสนาของพระองค์ 

รายงานโดย อบูดาวูด  อิบนุฮิบบาน  และฮากีม  ถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

ผู้นำ  (อิหม่าม)  จะต้องรับคำเรียกร้องของประชาชนในเรื่องการละหมาดขอฝน[119]

เล่าจากอะนัส ร.ฎ.   ได้กล่าวว่า  ชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี  ซ.ล.   ขณะที่ท่านกำลังอ่านคุตบะห์ในวันศุกร์  แล้วกล่าวว่า  โอ้ท่านร่อซูลุลเลาะห์  สัตว์ตายหมดแล้ว[120] ทางขาดหมดแล้ว[121]ดังนั้นท่านจงวิงวอนต่ออัลลอฮ์เถิด[122]ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.     จึงได้วิงวอนขอดุอาอ์ และในบางรายงานว่า  ท่านได้ยกมือทั้งสองของท่าน  แล้วกล่าวว่า  โอ้พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดให้ฝนตกลงมาแก่พวกเรา  ได้โปรดให้ฝนตกลงมาแก่พวกเรา  ได้โปรดให้ฝนตกลงมาแก่พวกเรา  ฝนได้ตกลงมาจากวันศุกร์นั้นจนถึงอีกวันศุกร์หนึ่ง  จึงได้มีชายคนหนึ่งเข้ามาแล้วกล่าวว่า  โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  บ้านพังหมดแล้ว  ทางขาดหมดแล้ว  สัตว์ตายหมดแล้ว  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.     จึงได้กล่าววิงวอนขึ้นว่า  ข้าแต่อัลลอฮ์เจ้า  ได้โปรดให้ฝนไปตกบนยอดเขายอดดอย  ตามซอกเขาและสถานที่ที่มีต้นไม้ขึ้นเถิด  และในบางรายงานว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า  ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดให้ฝนตกระอบๆ เรา[123] อย่าตกบนเรา[124] เมฆฝนได้เคลื่อนตัวออกจากนครมะดีนะห์เหมือนถลกผ้า  ฝนได้เริ่มตกระอบๆ นครมะดีนะห์  มันมีสภาพเหมือนมงกุฎสวมอยู่[125]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด และนะซาอี

คำกล่าวขณะฝนตกและมีลมพายุ

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ ร.ฎ. ว่า  แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   เมื่อท่านได้และเห็นฝนตกท่านกล่าวว่า  ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์ (ขอได้โปรดให้)  แผ่นดินที่มีประโยชน์ (แก่แผ่นดินและมวลมนุษย์) 

รายงานโดย  บุคอรี และนะซาอี

และตามตัวบทของนะซาอีว่า  ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์  ขอได้โปรดให้มันเป็นฝนที่มีประโยชน์ (แก่แผ่นดินและมวลมนุษย์)  (และท่านอิบนุอุมัรได้นำไปเปรียบกับคำโคลงของท่านอบีตอลิบที่ได้กล่าวว่า  ขอให้เมฆสีขาวตกลงมาเป็นฝนด้วยพระเมตตาของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวของเด็กกำพร้าและเป็นที่พึ่งของหญิงหม้าย) 

รายงานโดย  บุคอรี

เล่าจากซัยดฺ  บินคอลิด  อัลยุฮานี ร.ฎ. เขาได้กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ได้ละหมาดซุบฮ์ร่วมกับพวกเราที่อัลฮุดัยบียะห์  บนรอยน้ำฝนที่ตกเมื่อคืนนี้  เมื่อท่านละหมาดเสร็จได้หันหน้ามาทางประชาชนแล้วกล่าวว่า  ท่านทั้งหลายทราบหรือไม่ว่า  พระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านได้กล่าวอะไรบ้าง  พวกเขา (เหล่าอัครสาวก) ตอบว่าอัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์ทราบดี  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. จึงได้กล่าวว่า  พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวว่าส่วนหนึ่งจากบ่าวของเรา  รุ่งเช้าขึ้นมือผู้ที่ศรัทธาต่อเราเป็นผู้ทรยศต่อดวงดาว[126] เขาเป็นผู้ศรัทธา  (มุอฺมิน)  ต่อเรา  และเป็นผู้ทรยศ  (กาฟิร ผู้ไม่ศรัทธา) สำหรับผู้ที่กล่าวว่า  พวกเราได้รับน้ำฝนเพราะความโปรดปราณของอัลลอฮ์  และเพราะความเมตตาของพระองค์นั่นแหละ  คือผู้ที่ศรัทธาต่อเราเป็นผู้ทรยศต่อดวงดาว[127] ส่วนผู้ที่กล่าวว่า (พวกเราได้รับน้ำฝน)  เพราะดาวดวงนั้นดวงนี้  นั่นแหละคือผู้ทรยศต่อเรา  และเป็นผู้ศรัทธาต่อดวงดาว[128]

รายงานโดย  บุคอรี และมุสลิม

ตัวบทของมุสลิมมีว่า  ท่านทั้งหลายไม่ทราบถึงสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านได้กล่าวไว้หรือ  พระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านได้กล่าวว่า  ไม่มีสิ่งใดที่เราได้มอบให้แก่บ่าวของเราจากความโปรดปราน  นอกจากจะต้องมีจากกลุ่มหนึ่งจากพวกเขาเป็นพวกทรยศ  พวกเขาจะกล่าวว่าดวงดาวและด้วยดวงดาว[129]

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ ร.ฎ.   ได้กล่าวว่า  ปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล.     เมื่อเกิดลมพายุท่านกล่าวว่า  ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์  ข้าพเจ้าขอความดีของมันจากท่านและความดีของสิ่งที่มีอยู่ในตัวมัน  และความดีของสิ่งที่มันพามา  และข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยท่านจากความชั่วร้ายของมัน  และความชั่วร้ายของสิ่งที่มันพามา  ท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า  เมื่อฟ้าได้เปลี่ยนแปลง  (ด้ายสายลมและความมีดครึ้ม)  สีหน้าของท่านจะเปลี่ยนไปท่านได้เข้าๆออกๆๆและหันหน้าหันหลัง  จนเมื่อฝนตก  ใบหน้าของท่านจึงจะคลายกังวลและข้าพเจ้าก็รู้ได้จากสีหน้าของท่าน  ข้าพเจ้าจึงได้ถามท่าน  (ว่าทำไมจึงทำเช่นนั้น)  ท่านได้ตอบกลับว่าโอ้อาอิชะห์  บางที่มันอาจเหมือนกับพวกอ๊าต[130] ได้กล่าวขณะเมื่อพวกนั้นและเห็นการลงโทษได้ลงมาเป็นกลุ่มเมฆ  แผ่กว้างมุ่งตรงไปยังหุบเขาที่พวกเขาอาศัยอยู่  พวกเขาก็กล่าวว่านี่คือกลุ่มเมฆที่จะให้น้ำฝนแก่เรา 

รายงานโดย  มุสลิม และติรมีซี

เอาความเป็นสิริมงคลด้วยฝนแรก

เล่าจากอะนัส ร.ฎ.   ได้กล่าวว่า  ฝนได้ตกลงมาถูกเราขณะที่พวกเราอยู่กับท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.     ท่านอะนัสได้กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ถลกผ้า  ของท่าน[131] จนกระทั่งน้ำฝนได้ถูกตัวท่าน  พวกเราจึงได้ถามว่า  โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ทำไมท่านจึงทำอย่างนี้  ท่านได้ตอบว่า  เพราะมันเป็นสิ่งใหม่ๆ ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า[132]

รายงานโดย มุสลิม

อนุญาตให้ใช้คนที่อัลลอฮ์รักเป็นสื่อเชี่ยมโยงไปหาพระองค์

เล่าจากอะนัสว่า  แท้จริงท่านอุมัร  บินอัลค๊อตตอบ ร.ฎ.   ได้ปรากฏว่า  ในขณะที่ประชาชนประสพกับความแห้งแล้ง  ท่านได้ขอฝนโดยเอาท่านอัลอับบาส  บินอับดิลมุตตอลิบ[133] เป็นสื่อเชื่อมโยงโดยท่านได้กล่าวว่า  ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์  ความจริงพวกเราเคยเอานบีของพวกเราเป็นสื่อเชื่อมโยงไปหาท่าน  ท่านก็ได้ประทานน้ำฝนให้แก่พวกเรา  และบัดนี้พวกเราได้เอาลุงของนบีของเราเป็นสื่อเชื่อมโยงไปหาท่าน  ขอได้โปรดประทานน้ำฝนให้แก่พวกเรา  ท่านอะนัสได้กล่าวว่า  ต่อมาพวกเขาเหล่านั้นก็ได้รับน้ำฝน 

รายงานโดย  บุคอรี

ท่านมุสอับ  บินสะอ์ดิได้กล่าวว่า  แท้จริงบิดาของข้าพเจ้านั้นเห็นว่าตัวท่านมีเกียรติยิ่งกว่าคนอื่นๆ[134] ท่านบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  พวกท่านจะไม่ได้รับชัยชนและพวกท่านจะไมได้เครื่องประทังชีวิต  ถ้าหากไม่มีคนอ่อนแออยู่ในหมู่พวกท่าน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ตัวบทของนะซาอีว่า  แท้จริงอัลลอฮ์จะให้ประชากรนี้ได้ชัยชน  ด้วยคนอ่อนแอของพวกเขา  ด้วยการวิงวอนขอของพวกเขา  ด้วยละหมาดของพวกเขา  และด้วยความบริสุทธิ์ใจของพวกเขา[135] ต่อไปจะได้นำมากล่าวอีกอย่างละเอียดในเรื่องญิฮาด  อินชาอัลลอฮ์ (ถ้าหากอัลลอฮ์มีพระประสงค์)

เล่าจากอุสมาน  บินฮะนีฟ ร.ฎ. ว่า  แท้จริงมีผู้ชายตาบอดคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี  ซ.ล.   แล้วกล่าวว่า  ท่านจงวิงวอนต่ออัลลอฮ์ให้ข้าพเจ้าหาย (จากอาการตาบอด)  ท่านนบีได้กล่าวว่า  ถ้าหากท่านต้องการข้าพเจ้าจะวิงอนขอดุอาอฺให้  แต่ถ้าท่านต้องการโดยท่านมีความซอบัร (อดทน)  มันเป็นความดีแก่ท่าน  ชายผู้นั้นกล่าวว่า  ท่านจงวิงวอนขอต่ออัลลอฮ์เถิดท่านนบีจึงได้ใช้ให้เขาไปอาบน้ำละหมาด  และให้อาบน้ำละหมาดอย่างดีและใช้ให้เขาวิงวอนโดยใช้ดุอาอฺนี้  ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์  แท้จริงข้าพเจ้าขอต่อท่านและมุ่งหน้ามาหาท่านโดยเอานบีของท่าน  คือมุฮัมมัด  นบีแห่งความเมตตาปราณีเป็นสื่อ (เชื่อมโยงมายังท่าน)  แท้จริงข้าพเจ้ามุ่งมายังพระผู้เป็นเจ้าโดยเอาท่าน (โอ้มุฮัมมัด)  เป็นสื่อในความต้องการ (ธุร) ของข้าพเจ้าครั้งนี้  เพื่อให้จัดการแก่ข้าพเจ้า  ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์ขอท่านได้โปรดรับความช่วยเหลือของเขา (มุฮัมมัด) ในเรื่องของข้าพเจ้า 

รายงานโดย  ติรมีซี และอิบนุมายะห์

เล่าจากอุมัร ร.ฎ.   ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้ขออนุญาตท่านนบี  ซ.ล.     เพื่อเดินทางไปทำอุมเราะห์    ท่านได้อนุญาตให้ข้าพเจ้าแล้วกล่าวว่า  ท่านอย่าลืมพวกเรา  โอ้น้องชายที่น่ารักของฉันในการขอดุอาอฺของท่าน[136] ท่านอุมัรได้กล่าวว่า  มันเป็นคำพูดที่ไม่มีอะไรจทำได้  ข้าพเจ้าดีใจยิ่งไปกว่านั้น  แม้จแลกด้วยโลกนี้ก็ตาม 

รายงานโดย  อบูดาวูด และติรมีซี

ตัวบทของติรมีซีว่า  ข้าพเจ้าได้ขออนุญาตท่านนบี  ซ.ล.     เพื่อเดินทางไปทำอุมเราะห์  ท่านได้กล่าวว่า  โอ้น้องชายที่รัก  ท่านจงให้พวกเราได้เข้าร่วมอยู่ในการขอดุอาอฺของท่านและท่านอย่าลืมพวกเรา

ละหมาดดุฮา[137]

เล่าจากซัยด์  บินอารกอม ร.ฎ. ว่า  เขาได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังละหมาดในขณะที่ตะวันได้ขึ้น(ดุฮา)[138]ท่านซัยด์ได้กล่าวว่า  พวกเขาไม่ทราบหรือว่าความจริงการละหมาดในเวลานอกจากชั่วโมงนี้ประเสริฐกว่า  เพราะแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.     ได้กล่าวว่า  ละหมาดอัลเอาวาบีนนั้น คือละหมาดในขณะที่ทรายร้อน[139]

รายงานโดย มุสลิม และอะห์มัด

เล่าจากอบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  คนรักของข้าพเจ้าได้สั่งเสียให้ข้าพเจ้าปฏิบัติสามประการ คือ  ให้ถือศิลอดสามวันทุกๆ เดือน[140] ให้ละหมาดดุฮาสองเราะกะอัต[141] และให้ข้าพเจ้าละหมาดวิตร์ก่อนนอน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากท่านหญิงอาอีชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ได้ละหมาดดุฮาสี่เราะกะอัต  และจทำเพิ่มตามแต่อัลลอฮ์ต้องการ[142]

รายงานโดย  มุสลิม  นาซาอี  และอะห์มัด

เล่าจากอุมมุฮานิอ์  บุตรสาวของอบีตอลิบ ร.ฎ. ว่า  แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.     ได้ละหมาดสุนัตดุฮาในวันที่เข้ายึดครองนครมักกะห์แปดเราะกะอัต  โดยให้สลามทุกๆ สองเราะกะอัต  และในบางรายงานว่า  แท้จริงท่านนบี  ซ.ล.   ได้เข้าไปในบ้านของหล่อน (อุมมุฮานิอ์)  ในวันที่เข้ายึดครองนครมักกะห์  ท่านได้อาบน้ำและได้ละหมาดแปดเราะกะอัต 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากอบีซัรร์ ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ข้อต่อทุกข้อ[143] ของใครคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านนั้น  รุ่งเช้าขึ้นมาควรมีการบริจาคทาน (เศาะดะเกาะห์) ทุกๆ การกล่าวตัสบีฮะหนึ่งครั้งเป็นซอดาเกาะห์   ทุกๆ การกล่าวตะห์มี้ดหนึ่งครั้งเป็นซอดาเกาะห์ ทุกๆ การกล่าวตะห์ลีลหนึ่งครั้งเป็นซอดาเกาะห์  ทุกๆการกล่าวตักบีรหนึ่งครั้งเป็นซอดาเกาะห์  การใช้ให้ทำความดีเป็นซอดาเกาะห์  การห้ามปรามความชั่วเป็นซอดาเกาะห์  และละหมาดสองเราะกะอัตที่เขาได้กระทำจากละหมาดดุฮา  ถือเป็นการพอเพียงจากการกระทำต่างๆที่กล่าวมา 

รายงานโดย  มุสลิม  อบูดาวูด และอะห์มัด

ตามรายงานของอบูดาวูดและอะห์มัดว่า  ข้อต่อทุกข้อของมนุษย์นั้นจะเป็นการบริจาคทาน (ซอดาเกาะห์)  การให้สลามแก่คนที่เขาพบเป็นซอดาเกาะห์  การที่เขาใช้ให้ทำความดีเป็นซอดาเกาะห์  การที่เขาห้ามปรามจากการทำความชั่วเป็นซอดาเกาะห์  การขจัดอันตรายให้พ้นทางเดินเป็นซอดาเกาะห์  การร่วมประเวณีกับภรรยาของเขาเป็นซอดาเกาะห์[144] และละหมาดสองเราะกะอัตจากละหมาดดุฮา   ถือเป็นการพอเพียงจากการทำซอดาเกาะห์ทั้งหมดที่กล่าวมา[145]

เล่าจากนุอัยมฺ  บินฮัมมาร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี  ซ.ล.     กล่าวว่าอัลลอฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกระได้กล่าวว่า  อย่าลืมเราจากการกระทำละหมาดสี่เราะกะอัตในตอนเริ่มวันใหม่ของท่าน[146] เราจะให้ท่านพอเพียงตลอดทั้งวัน[147]

รายงานโดย  อบูดาวุด  ติรมีซี  และอะห์มัด

ตัวบทของติรมีซีว่า  โอ้ลูกหลานของอาดัม  เจ้าจงละหมาดเพื่อเราในตอนเริ่มวันใหม่สี่เราะกะอัต  เราจะให้เจ้าพอเพียงตลอดทั้งวัน

เล่าจากมุอาซ  บินอะนัส  อัลยุฮะนี ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ผู้ใดนั่งละหมาดอยู่ในที่ละหมาดของเขาขณะที่เสร็จจากละหมาดซุบฮ์  จนกระทั่งได้ละหมาดดุฮาสองเราะกะอัตโดยเขาไม่ได้พูดอะไรนอกจากความดี  บาปต่างๆ ของเขาจะถูกอภัยให้[148] ถึงแม้มันจะมากมายเหมือนฟองทะเลก็ตาม 

รายงานโดย อบูดาวูด และติรมีซี

ตามตัวบทของติรมีซีว่า  ผู้ใดได้ละหมาดซุบฮ์โดยทำรวมกัน (ญามอะห์)  ต่อจากนั้นเขาได้นั่งรำลึกถึงอัลลอฮ์  (ซิกรุลเลาะห์)  จนกระทั่งตะวันขึ้น  หลังจากนั้นเขาได้ละหมาดสองเราะกะอัต  จะปรากฏผลบุญให้แก่เขาเหมือนผลบุญของการทำฮัจญ์และอุมเราะห์อย่างสมบูรณ์  อย่างสมบูรณ์  อย่างสมบูรณ์

เล่าจากอบีอุมามะห์ ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.     ได้กล่าวว่า  ผู้ใดออกจากบ้านของเขาในสภาพที่สะอาด (คือมีน้ำละหมาด) ไปละหมาดฟัรฎู  ผลบุญของเขาเหมือนผลบุญของผู้ทำฮัจญ์ที่ครองเอี้ยะห์รอม  และผู้ใดได้ออกไปละหมาดดุฮาโดยไม่มีใครออกไปนอกจากตัวเขา  ผลบุญของเขาเหมือนผลบุญของผู้ที่ทำอุมเราะห์  การละหมาดครั้งหนึ่งติดต่อกับอีกครั้งหนึ่ง[149] โดยไม่มีคำพูดไร้สารขึ้นระหว่างละหมาดทั้งสอง  จะถูกบันทึกไว้ในสวรรค์ชั้นอิ้ลลียีน[150]

รายงานโดย  อบูดาวูด

เล่าจากอบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ผู้ใดรักษาละหมาดดุฮาบาปต่างๆ ของเขาจะได้รับการอภัย  ถึงแม้มันจะมากมายเหมือนฟองทะเลก็ตาม 

รายงานโดย  ติรมีซี

ละหมาดสุนัตหลังตะวันคล้อย(ซวาล زَوَالٌ)

เล่าจากอบีอัยยูบ  จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  สี่เราะกะอัตก่อนละหมาดดุห์รี  โดยไม่มีการให้สลามระหว่างนั้น[151] ประตูฟ้าจะถูกเปิดออกเนื่องจากละหมาดทั้งสี่เราะกะอัตนั้น[152]

รายงานโดย  อบูดาวูด และติรมีซี

ตัวบทของติรมีซีว่า  ปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล.   จะละหมาดสี่เราะกะอัต  หลังตะวันคล้อยก่อนละหมาดดุห์รี โดยท่านได้กล่าวว่า  มันเป็นชั่วโมงที่ประตูฟ้าถูกเปิด  และข้าพเจ้าต้องการให้การกระทำที่เป็นความดีของข้าพเจ้าขึ้นไปในชั่วโมงนั้น 

ละหมาดกลางคืน (ละหมาดตะฮัจญุด) และคุณค่าของมัน

อัลลอฮ์ตาอาลาได้กล่าวว่า  และในบางช่วงของเวลากลางคืน  ท่านจงตื่นขึ้นทำละหมาดตะฮัจญุดเถิด  เป็นละหมาดที่เพิ่มเติมให้แก่ท่าน  หวังว่าพระผู้เป็นเจ้าของท่าน  จะแต่งตั้งท่านให้อยู่ในตำแหน่งที่ควรแก่การสรรเสริญ[153]

เล่าจากอบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  พระผู้เป็นเจ้าของเราผู้มีสิริมงคลและสูงส่ง  จะลงมายังฟากฟ้าทุกคืนในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ หนึ่งในสาม สุดท้ายของกลางคืน  พระองค์จะกล่าวว่า  ผู้ใดวิงวอนขอต่อเรา  เราจะรับคำขอของเขา  ผู้ใดขอเราเราจะให้เขา  ผู้ใดขออภัยต่อเราเราจะให้อภัยเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อบีฮุรอยเราะห์)  จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  อัลลอฮ์จะลงมายังฟากฟ้าทุกคืนในช่วงเวลาที่ล่วงไป หนึ่งในสามแรกของเวลากลางคืน[154] พระองค์จะกล่าวว่าเราคือเจ้าของที่แท้จริง  เราคือเจ้าของที่แท้จริง  ใครวิงวอนขอเรา  เราจะรับคำวิงวอนขอของเขา  ใครขอเราเราจะให้เขา  ใครขออภัยต่อเรา  เราจะให้อภัยแก่เขา  การจะเป็นอยู่อย่างนั้นจนแสงอรุณขึ้น 

รายงานโดย  มุสลิม และติรมีซี

ตัวบทของมุสลิมว่า  แท้จริงในเวลากลางคืนนั้น  มีอยู่หนึ่งชั่วโมง  ที่ไม่มีมุสลิมคนใดขอความดีทั้งกิจกรรมของโลกนี้และโลกหน้าต่ออัลลอฮ์ไปตรงกับชั่วโมงนั้น  นอกจากอัลลอฮ์จะให้เขาตามที่เขาขอและชั่วโมง (ที่อัลลอฮ์รับคำขอ)  นั้นมีอยู่ทุกคืน

และเล่าจากเขา  (อบีฮุรอยเราะห์)  จากท่านนบี  ซ.ล.     ได้กล่าวว่า  การถือศีลอดที่ประเสริฐยอดเยี่ยมหลังจากเดือนเราะมะฎอน  คือการถือศีลอดในเดือนของอัลลอฮ์  มุฮัรรอมและละหมาดที่ประเสริฐยอดเยี่ยมหลังจากละหมาดฟัรฎู  คือละหมาดกลางคืน (ตะฮัจญุด) 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา  (อบีฮุรอยเราะห์)  จากท่านนบี  ซ.ล.     ได้กล่าวว่า  ชัยฏอนมารร้ายจผู้กปมบนท้ายทอยของใครคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านขณะเขานอนหลับสามปม  และมันจะกำกับในแต่ละปมที่มันผู้กว่า  เจ้าจงนอนเถิดเวลากลางคืนยังอยู่อีกนาน  ดังนั้นถ้าหากเขาตื่นขึ้นมาและระลึกถึงอัลลอฮ์  ปมนั้นจะหลุดออกปมหนึ่ง  และถ้าหากเขาลุกขึ้นมาอาบน้ำละหมาดปมก็จะหลุดออกอีกปมหนึ่ง  และถ้าหากเขาได้ไปละหมาดปมก็จะหลุดออกทั้งหมด  เขาก็จะตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความกระฉับกระเฉงและสบายใจ  ถ้าไม่เช่นนั้นเขาจะตื่นเช้าขึ้นมาด้วยจิตใจที่หม่นหมองและขี้เกียจ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอับดิ้ลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ได้มีผู้กล่าวถึงชายคนหนึ่งให้ท่านนบี  ซ.ล.     ได้ยินโดยกล่าวว่า  เขานอนหลับจนรุ่งเช้ามิได้ลุกขึ้นละหมาด  ท่านนบีได้กล่าวว่า  ซัยตอนมารร้ายได้เยี่ยวกระอกเข้าไปในรูหูของเขา 

รายงานโดย  บุคอรี  มุสลิม และนาซาอี

เล่าจากอัลมุฆีเราะห์ ร.ฎ.   ได้กล่าวว่า ความจริงท่านนบี  ซ.ล.   ได้ลุกขึ้นเพื่อทำละหมาด  จนเท้าทั้งสองข้างหรือน่องทั้งสองข้างของท่านบวม  ได้มีผู้กล่าวแก่ท่านว่า  (ทำไมท่านจึงทำให้ตัวเองเหน็ดเหนื่อย  ในเมื่ออัลลอฮ์ได้อภัยให้แก่ท่านแล้ว)  ท่านกล่าวตอบว่าข้าพเจ้าจะไม่เป็นบ่าวที่รู้สำนึกบุญคุณอย่างนั้นหรือ 

รายงานโดย   บุคอรี  มุสลิม ติรมีซี และนาซาอี

และตัวบทของติรมีซีว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.     ได้ละหมาดจนฝ่าเท้าทั้งสองข้างของท่านบวมเป่ง  ได้มีผู้กล่าวแก่ท่านว่า  ท่านถูกบังคับให้กระทำอย่างนี้หรือ  ทั้งๆที่เขาได้อภัยให้ท่านแล้วทั้งความผิดที่ผ่านพ้นมาและที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง  ท่านนบีได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าจะไม่เป็นบ่าวที่รู้สำนึกบุญคุณอย่างนั้นหรือ

เล่าจากอุมมุซาลามะห์ ร.ฎ. ว่า  แท้จริงท่านนบี  ซ.ล.   ได้ตื่นขึ้นในคืนหนึ่งแล้วกล่าวว่า  ซุบฮานัลลอฮ์  มือะไรบ้างจากความปั่นป่วนวุ่นวายที่ถูกส่งลงมาในคืนนี้  มือะไรบ้างจากความโปรดปราณของอัลลอฮ์ที่ได้ถูกส่งลงมาในคืนนี้  ใครที่จะไปปลุกเจ้าของห้องเหล่านี้[155] โอ้ ช่างมีมากมายเหลือเกิน  ผู้ที่มีเครื่องนุ่งห่มในโลกนี้  เป็นผู้ที่เปลือยกายในโลกหน้า[156]

รายงานโดย  บุคอรี

เล่าจากอับดิลลาห์  บินอัมรฺ ร.ฎ.  ว่า  แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.     ได้กล่าวว่าละหมาดที่อัลลอฮ์รักยิ่ง  คือละหมาดของนบีดาวูด (อ.ล.)  แลการถือศีลอดที่อัลลอฮ์รักยิ่งคือการถือศิลอดของนบีดาวูด  โดยปรากฏว่าท่านนบีดาวูดนอนครึ่งคืน  และลุกขึ้น (ทำละหมาด) หนึ่งในสามของเวลากลางคืน  และจะนอนต่ออีกหนึ่งในหกของเวลากลางคืน  และท่านถือศิลอดวันหนึ่งเว้นวันหนึ่ง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด

เล่าจากอลี ร.ฎ. ว่า  แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.     ได้มาหาและพบว่า  อลีและฟาติมะห์นอนหลับในคืนหนึ่ง  ท่านจึงได้กล่าวว่า  ท่านทั้งสองลุกขึ้นทำละหมาดเถิด  ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า  โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ชีวิตของเราอยู่ในเงื้อมือของอัลลอฮ์  ถ้าหากพระองค์จะปลุกเราให้ลุกขึ้น (เพื่อทำละหมาด)  พระองค์ก็จะปลุกเราให้ตื่นขึ้น ท่านนบีจึงได้กลับออกไปเมื่อข้าพเจ้าได้กล่าวเช่นนั้น  โดยไม่ได้โต้ตอบข้าพเจ้าแต่อย่างใด  หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้ยินท่านกล่าวในขณะที่ท่านหันกลับไปพร้อมกับตบขาอ่อนของท่านว่า  มนุษย์นั้นเป็นพวกที่ชอบโต้เถียงมากที่สุด[157]

รายงานโดย  บุคอรี  มุสลิม และนาซาอี

เล่าจากอบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  เมื่อสามีได้ปลุกภรรยาของเขาจากการนอนหลับในเวลากลางคืน   และเขาทั้งสองได้ละหมาด  เขาทั้งสองจะถูกบันทึกเข้าอยู่ในกลุ่มของพวกผู้ชายที่ระลึกถึงอัลลอฮ์  แลกลุ่มของผู้หญิงที่ระลึกถึงอัลลอฮ์

และเล่าจากเขา  (อบีฮุรอยเราะห์)  จากท่านนบี  ซ.ล.    ได้กล่าวว่า  อัลลอฮ์ได้ให้ความเมตตาแก่ผู้ชายที่ตื่นขึ้นทำละหมาดในเวลากลางคืน  และเขาได้ปลุกภรรยาของเขาให้ลุกขึ้น  แต่ถ้าหากภรรยาของเขาไม่ยอมลุกขึ้น  เขาได้ใช้น้ำพรมไปบนใบหน้าของหล่อนอัลลอฮ์ได้ให้ความเมตตาแก่ผู้หญิงที่ตื่นขึ้นทำความละหมาดในเวลากลางคืน  และหล่อนได้ปลุกสามีของหล่อนให้ลุกขึ้นแต่ถ้าหากสามีของหล่อนไม่ยอมลุกขึ้น  หล่อนได้ใช้น้ำพรมไปบนใบหน้าของเขา 

รายงาน หะดีษทั้งสองโดย  อบูดาวูด  นาซาอี และอิบนุมายะห์

เล่าจากอบีอุมามะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า พวกท่านจะต้องตื่นขึ้นมาทำละหมาดในเวลากลางคืน  เพราะมันเป็นแนวทางของคนดีๆในยุคก่อนพวกท่านและมันเป็นสิ่งที่ทำให้เข้าใกล้ชิดพระเจ้าของพวกท่าน  มันเป็นสิ่งที่ลบล้างความผิด  และมันเป็นสิ่งที่จะยับยั้งจากความชั่ว  และในบางรายงานว่า  และมันเป็นสิ่งที่จะขจัดโรคภัยไข้เจ็บให้พ้นออกจากร่างกาย 

รายงานโดย  ติรมีซี  อะห์มัด และฮากีม

จำนวนเราะกะอัตของละหมาดกลางคืนและวิธีละหมาด

เล่าจากอบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.   จากท่านนบี(ซ.ล)ได้กล่าวว่า  เมื่อใครคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านได้ลุกขึ้นในตอนกลางคืน[158] ให้เขาจงเริ่มต้นละหมาดของเขาด้วยละหมาดสองเราะกะอัตเร็วๆ[159]

รายงานโดย  มุสลิม  อบูดาวูด และอะห์มัด

เล่าจากอิบนิอุมัร   ร.ฎ. ว่า  แท้จริงมีผู้ชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า  โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ละหมาดกลางคืนนั้นทำอย่างไร  ท่านตอบว่า  สองเราะกะอัต  สองเราะกะอัต[160] แต่เมื่อท่านกลัว (ว่าจะตื่นขึ้น)ละหมาดซุบฮ์ (ไม่ทัน) ให้ท่านจงทำละหมาดวิตร์แต่เพียงหนึ่งเราะกะอัต 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และได้มีผู้ถามท่านหญิงอาอิชะห์  ร.ฎ.   ถึงละหมาดของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.     ในเวลากลางคืน  ท่านได้ตอบว่า  เจ็ด  เก้าและสิบเอ็ด (เราะกะอัต)[161] นอกจากสองเราะกะอัต (ก่อน) ละหมาดซุบฮ์ 

รายงานโดย  บุคอรี

และเล่าจากเขา (ท่านหญิงอาอิชะห์) ได้กล่าวว่า  ปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล.    เคยละหมาดในเวลากลางคืนสิบสามเราะกะอัต  จากสิบสามเราะกะอัตนั้นมีทั้งละหมาดวิตร์ และสองเราะกะอัต (ก่อน) ละหมาดซุบฮ์[162]

เล่าจากอบีซาลามะห์  บินอับดิรเราะห์มาน ร.ฎ.   แท้จริงเขาได้ถามท่านหญิงอาอิชะห์ว่า  ละหมาดของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ไม่เคยละหมาดเกินกว่าสิบเอ็ดเราะกะอัต  ไม่ว่าจะเป็นในเราะมะฎอนและนอกจากเราะมะฎอน  ท่านร่อซูลได้ละหมาดสี่เราะกะอัต[163] ท่านอย่าถามถึงความสวยงาม (เรียบร้อย)  และความยาวของมันหลังจากนั้นท่านจะละหมาดอีกสี่เราะกะอัต  ท่านอย่าถามถึงความสวยงาม (เรียบร้อย) และความยาวของมัน  หลังจากนั้นท่านจะละหมาดอีกสามเราะกะอัต[164] ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ท่านจะนอนก่อนละหมาดวิตร์หรือ  ท่านได้กล่าวตอบว่า  โอ้อาอิชะห์  ความจริงตาทั้งสองข้างของฉันเท่านั้นที่หลับ  แต่ใจของฉันไม่หลับหรอก 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากซัยดฺ  บินคอลิด  อัลยุฮะนี  ร.ฎ.  โดยเขากล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้คอยสังเกตดูการละหมาดของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ในคืนหนึ่ง  และในบางรายงานว่า  ข้าพเจ้าได้หนุนศีรษะด้วยธรณีประตูบ้านของท่านนบีหรือกระโจมของท่าน  หลังจากนั้นท่านได้ละหมาดสองเราะกะอัตเร็วๆ  ต่อมาท่านได้ละหมาดสองเราะกะอัตยาวๆ จากนั้นท่านได้ละหมาดสองเราะกะอัตแต่สั้นกว่าสองเราะกะอัตก่อน  ต่อจากนั้นท่านได้ละหมาดสองเราะกะอัตแต่สั้นกว่าสองเราะกะอัตก่อน จากนั้นท่านได้ละหมาดสองเราะกะอัตแต่สั้นกว่าสองเราะกะอัตก่อน  หลังจากนั้นท่านได้ละหมาดวิตร์นั่นแหละทั้งหมดจึงรวมเป็นสิบสามเราะกะอัต 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ละหมาดกลางคืนระหว่างดังกับค่อย[165]

เล่าจากอบีกอตาดะห์ ร.ฎ. ว่า  แท้จริงท่านนบี  ซ.ล.   ได้ออกไปในคืนหนึ่งบังเอิญไปพบกับท่านอบีบักร์กำลังละหมาดโดยลดเสียงต่ำ(คืออ่านค่อย)  ผู้เล่าได้กล่าวว่า  ท่านนบีได้เดินผ่านท่านอุมัรกำลังละหมาดโดยส่งเสียงสูง (คืออ่านดัง)  ผู้เล่าได้กล่าวว่า  โอ้ อบีบักร์  ข้าพเจ้าเดินผ่านท่านโดยที่ท่านกำลังละหมาด  ท่านลดเสียงต่ำ  ท่านอบูบักร์ตอบว่า  ข้าพเจ้าได้ทำให้ผู้ที่ข้าพเจ้าเข้าเฝ้า[166] ได้ยินแล้ว  โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  และท่านได้กล่าวแก่อุมัรว่า  ข้าพเจ้าได้เดินผ่านท่านขณะท่านกำลังละหมาดโดยท่านออกเสียงดัง  ท่านอุมัรตอบว่า  โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ข้าพเจ้าต้องการปลุกคนนอนหลับให้ตื่นขึ้นและไล่ชัยฏอนมารร้าย  ท่านนบี  ซ.ล.    จึงได้กล่าวว่า โอ้ อบีบักระ  จงเพิ่มเสียงของท่านอีกหน่อย  แลกล่าวแก่อุมัรว่า  จงลดเสียงของท่านลงหน่อย 

รายงานโดย  อบูดาวูด และติรมีซี

เล่าจากอับดิลลาห์  บิน กอยส์  ร.ฎ. ว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่ท่านหญิงอาอิชะห์ว่า ท่านนบี  ซ.ล.   อ่านอย่างไรในเวลากลางคืน  ท่านอ่านค่อยหรืออ่านดัง  ท่านหญิงอาอิชะห์ตอบว่า  ทั้งหมดนั้น (ทั้งค่อยและดัง)  ท่านเคยทำ  บางครั้งท่านก็อ่านค่อย  บางครั้งท่านก็อ่านดังข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า  อัลฮัมดุลิลลาฮ์  มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิแต่อัลลอฮ์  ผู้ซึ่งดลบันดาลในเรื่องนี้ให้มีความกว้างขวาง 

รายงานโดย  ติรมีซี

การอ่านและดุอาอฺในละหมาดกลางคืน

เล่าจากอิบนิอับบาส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล.   เมื่อได้ลุกขึ้นในช่วงกลางคืนเพื่อทำละหมาดตะฮัจญุด ท่านได้กล่าวว่า ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์ มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของท่าน  ท่านเป็นผู้บหิหารฟากฟ้าและแผ่นดิน รวมทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ในฟากฟ้าและแผ่นดิน  มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของท่าน  ท่านเป็นเจ้าของฟากฟ้าและแผ่นดิน  รวมทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ในฟากฟ้าและแผ่นดิน  ท่านเป็นผู้ให้ความสว่างแก่ฟากฟ้าและแผ่นดิน  รวมทั้งผู้อาศัยอยู่ในฟากฟ้าและแผ่นดิน  มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของท่าน  ท่านมีจริง  สัญญาของท่านเป็นจริง  การพบกับท่านเป็นจริง  คำพูดของท่านเป็นจริง  สวรรค์มีจริง  นรกมีจริง บรรดานบีทั้งหลายมีจริง  มุฮัมมัด  ซ.ล.   มีจริง  วันสุดท้ายต้องเกิดขึ้นจริง  ข้าแต่อัลลอฮ์เจ้า  ข้าพเจ้ายอมจำนนต่อท่าน  ข้าพเจ้าศรัทธาต่อท่าน ข้าพเจ้ามอบหมายแก่ท่าน  ข้าพเจ้ากลับคืนไปหาท่าน ข้าพเจ้าโต้เถียงเพราะท่าน  ข้าพเจ้ายกข้อตัดสินใจในกรณีพิพาทไปยังท่าน[167] ดังนั้นท่านจงอภัยให้แก่ข้าพเจ้าในบาปกรรมที่ข้าพเจ้าได้กระห้ามาแล้ว  และจกระทำต่อไป และในสิ่งที่ข้าพเจ้าทำอย่างซ่อนเร้นและเปิดเผย  ท่านคือผู้มีมาแต่ดั้งเดิม  และท่านคือผู้คงถาวรตลอดไป  ไม่มีพระเจ้าที่ควรเคารพสักการะ  นอกจากท่าน ไม่มีพลังที่จะสร้างความดี  และไม่มีพลังที่จะป้องกันความชั่ว นอกจากพลังของอัลลอฮ์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อิบนิ อับบาส) ว่า  เขาได้นอนอยู่กับท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.    ต่อมาท่านนบีได้ตื่นขึ้น  ท่านได้แปรงฟันและอาบน้ำละหมาด  พร้อมทั้งกล่าวว่า  แท้จริงในการสร้างฟ้าและแผ่นดิน  แลการต่างกันของเวลากลางคืนแลกลางวัน  เหล่านี้เป็นหลักฐานแก่เหล่าผู้มีปัญญา  ท่านได้อ่านบรรดาโองการเหล่านี้จนหมดซูเราะห์  หลังจากนั้นท่านได้ลุกขึ้นยืนทำละหมาดสองเราะกะอัต  ท่านได้รุกัวะอฺและสุญูดนานในทั้งสองเราะกะอัตนั้น  และในบางรายงานท่านได้กล่าวว่า  ข้าแต่อัลลอฮ์ได้โปรดบันดาลให้เกิดรัศมีขึ้นในหัวใจของข้าพเจ้า  ให้เกิดรัศมีที่ลิ้นของข้าพเจ้า  ให้เกิดรัศมีในการได้ยินของข้าพเจ้า  ให้เกิดรัศมีในการและเห็นของข้าพเจ้า  ให้เกิดรัศมีทางเบื้องบนของข้าพเจ้า  ให้เกิดรัศมีทางเบื้องล่างของข้าพเจ้า  ให้เกิดรัศมีทางเบื้องขวาของข้าพเจ้า  ให้เกิดรัศมีทางด้านซ้ายของข้าพเจ้า  ให้เกิดรัศมีทางเบื้องหน้าของข้าพเจ้า  ให้เกิดรัศมีทางด้านหลังของข้าพเจ้า  ให้เกิดรัศมีในตัวข้าพเจ้าและให้รัศมีที่ยิ่งใหญ่แก่ข้าพเจ้า 

รายงานโดย  มุสลิม  อบูดาวูด และติสมีซี

ให้ชดใช้ (กอดออ์ قَضَىِ ) ละหมาดสุนัต  และอนุญาตให้นั่งละหมาดสุนัต[168]

เล่าจากอุมัร  บินค็อตต็อบ ร.ฎ.   จากนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ผู้ใดนอนหลับจากงานประจำของเขา[169]หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของงานประจำของเขา  ต่อจากนั้นเขาได้นำมาอ่านในช่วงเวลาระหว่างละหมาดฟัจริ(ซุบฮ์)  กับละหมาดดุหร์  ผลบุญจะถูกบันทึกให้แก่เขาเหมือนกับเขาได้อ่านในเวลากลางคืน 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอบีสะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้นอนหลับโดยไม่ได้ละหมาดวิตร์หรือเขาลืมละหมาดวิตร์  ให้เขาจงละหมาดเมื่อนึกขึ้นมาได้ และเมื่อเขาตื่นขึ้น

รายงานโดย  ติรมีซี  และอบูดาวูด            

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล.     เมื่อท่านได้ทำงานชิ้นหนึ่งชิ้นใด ท่านจะทำเป็นประจำ  และปรากฏว่าท่านนอนหลับในเวลากลางคืน หรือป่วย ท่านจะละหมาดในเวลากลางวันสิบสองเราะกะอัต[170] ท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.     ตื่นขึ้นในเวลากลางคืนและอยู่จนกระทั่งรุ่งเช้าและท่านไม่เคยถือศีลอดหนึ่งเดือนติดๆ กัน  นอกจากในเดือนเราะมะฎอน  

รายงานโดย  มุสลิม  และนาซาอี 

และได้มีผู้เห็นท่านนบี  ซ.ล.    ละหมาดหลังจากละหมาดอัสร์  จึงได้มีผู้ถามท่าน (ว่าทำไมท่านจึงละหมาดหลังละหมาดอัสร์  ซึ่งเป็นเวลาที่ห้ามละหมาด)  ท่านได้ตอบว่า  ได้มีผู้คนจากเผ่าอับดิลกอยส์ มาหาข้าพเจ้า  และทำให้ข้าพเจ้ายุ่งอยู่กับพวกเขา  จนไม่ได้ละหมาดสุนัตสองเราะกะอัตหลังละหมาดดุฮร์  และสองเราะกะอัตนี้แหละคือละหมาดนั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด

และปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล.    เมื่อท่านขาดละหมาดสี่เราะกะอัตก่อนละหมาดดุห์ริ  ท่านจะละหมาดสี่เราะกะอัตนั้น  หลังจากท่านได้ละหมาดสองเราะกะอัตหลังละหมาดดุห์ริแล้ว 

รายงานโดย  อิบนุมายะห์ และติรมีซีถือว่าเป็นหะดีษหะซัน

และตามรายงานของท่านติรมีซีว่า  ผู้ใดไม่ได้ละหมาด (สุนัต) สองเราะกะอัต (ก่อน) ละหมาดฟัจร์(ซุบฮ์)  ให้เขาจงละหมาดทั้งสองเราะกะอัตนั้นหลังจากตะวันขึ้นแล้ว

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ให้ใครคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านละหมาดในขณะที่เขาขยัน  และเมื่อเขาขี้เกียจะให้เขาจงนั่งละหมาด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด

เล่าจากอิมรอน  บินฮุซอยน์  ร.ฎ.   ซึ่งปรากฏว่าเขาเป็นโรคริดสีดวงทวารได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้ถามท่านนบี  ซ.ล.    ถึงการนั่งละหมาดของชายคนหนึ่ง  ท่านได้ตอบว่า  ผู้ที่ยืนละหมาดนั้นดีกว่า  และผู้ใดนั่งละหมาดเขาจะได้รับผลบุญครึ่งหนึ่งของคนที่ยืนละหมาด  และผู้ใดนอนละหมาด  เขาจะได้รับผลบุญครึ่งหนึ่งของคนที่นั่งละหมาด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และได้มีผู้ถามท่านหญิงอาอิชะห์ ร.ฎ.  ถึงการละหมาดของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ในเวลากลางคืน  ท่านหญิงอาอิชะห์ได้ตอบว่า  ปรากฏว่าท่านนบีเคยละหมาดในคืนหนึ่งโดยยืนนาน  แลบางคืนท่านได้ละหมาดโดยนั่งนาน[171] และปรากฏว่าเมื่อท่านยืนอ่านท่านก็ยืนรุกัวะอฺ  และเมื่อท่านนั่งอ่าน  ท่านนั่งรุกัวะอฺ

รายงานโดย  มุสลิม  ติรมีซีและนาซาอี

และเล่าจากเขา (ท่านหญิงอาอิชะห์) ได้กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.    อ้วนขึ้นและร่างกายของท่านหนักปรากฏว่าท่านนั่งละหมาดเป็นส่วนใหญ่

และในบางรายงานว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ยังไม่ได้เสียชีวิตจนกระทั่งท่านนั่งละหมาดเป็นส่วนใหญ่[172]

รายงานโดยมุสลิม

ละหมาดสุนัตภายในบ้านได้ผลบุญยอดเยี่ยมกว่า[173]

เล่าจากซัยด์  บินะซาบิต  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ให้ท่านทั้งหลายจงละหมาดภายในบ้านของพวกท่าน  เพราะแท้จริงละหมาดที่ดีของคนๆ หนึ่งนั้น  คือการละหมาดภายในบ้านของเขา  นอกจากละหมาดฟัรฎู[174]

รายงานโดยบุคอรี  มุสลิม และติรมีซี

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  เมื่อใครคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านได้ปฏิบัติละหมาดภายในมัสญิดเรียบร้อยแล้ว  ให้เขาจงทำในบ้านของเขาได้รับส่วนดีจากการละหมาดของเขาบ้าง  เพราะแท้จริงอัลลอฮ์จะเป็นผู้ดลบันดาลให้เกิดความเป็นมงคลแก่บ้านของเขา  เนื่องจากการละหมาดนั้น

เล่าจากอบีมูซา  ร.ฎ.   จากท่านนบี (ซ.ล) ได้กล่าวว่า  บ้านที่มีการกล่าวถึงอัลลอฮ์กับบ้านที่ไม่มีการกล่าวถึงอัลลอฮ์  ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับคนเป็นกับคนตาย 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย  มุสลิม

เล่าจากซัยด์  บินะซาบิต  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  การที่คนๆ หนึ่งละหมาดภายในบ้านของเขา  ย่อมดีกว่าการละหมาดของเขาในมัสญิดของข้าพเจ้า  นอกจากละหมาดฟัรฎู 

รายงานโดย อบูดาวูด  และท่านอิรอกีถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

การละหมาดอิสติคอเราะห์[175]

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล.   เคยสอนการเลือกเฟ้นสิ่งที่ดี  (อิสติคอเรา)  ให้แก่พวกเราในกิจการทั้งปวง  เหมือนอย่างที่ท่านสอนซูเราะห์  หนึ่งจากคัมภีร์อัลกุรอานให้แก่พวกเรา  โดยท่านกล่าวว่า  เมื่อใครคนใดคนหนึ่งมีความตั้งใจที่จะทำการชิ้นหนึ่งให้เขาจงก้มรุกัวะอฺสองเราะกะอัต  นอกจากละหมาดฟัรฎู  หลังจากนั้นให้เขาจงกล่าวว่า  โอ้พระองค์อัลลอฮ์  แท้จริงข้าพเจ้าขอเลือกเฟ้นสิ่งที่ดีต่อพระองค์ท่านด้วยความรอบรู้ของพระองค์ท่าน  และข้าพเจ้าขอให้พระองค์ท่านกำหนดด้วยพลังความสามารถของพระองค์ท่าน  และข้าพเจ้าขอต่อพระองค์ท่านด้วยความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่าน  เพราะแท้จริงพระองค์ท่านมีความสามรถ  ส่วนข้าพเจ้าไม่มีความสามารถ  พระองค์ท่านทรงรอบรู้  ส่วนข้าพเจ้าไม่รู้  และพระองค์ท่านนั้นทรงรอบรู้ในสิ่งเร้นลับทั้งปวง  ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์  ถ้าหากพระองค์ท่านทราบว่า  แท้จริงงานชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ดีแก่ข้าพเจ้าในศาสนาของข้าพเจ้า  ในการดำเนินชีวิตของข้าพเจ้าและในบั้นปลายของข้าพเจ้า  หรือได้กล่าวว่า  ในปัจจุบันและอนาคตของข้าพเจ้าแล้ว  ขอพรองค์ท่านได้โปรดกำหนดแก่ข้าพเจ้า  ได้โปรดให้บังเกิดความสะดวกแก่ข้าพเจ้า  หลังจากนั้นได้โปรดเพิ่มพูนเป็นสิริมงคลให้แก่ข้าพเจ้าในงานชิ้นนั้น  แต่ถ้าหากพระองค์ท่านทราบว่าแท้จริงงานชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดีสำหรับข้าพเจ้าในศาสนาของข้าพเจ้า  ในการดำเนินชีวิตของข้าพเจ้าและในบั้นปลายของข้าพเจ้าหรือได้กล่าวว่า  ในปัจจุบันและอนาคตของข้าพเจ้า  ขอพรองค์ท่านได้โปรดหันเห งานชิ้นนั้นให้พ้นออกไปจากข้าพเจ้า  และได้โปรดหันเหข้าพเจ้าให้พ้นออกไปจากงานชิ้นนั้น  และขอพรองค์ท่านได้โปรดกำหนดสิ่งที่เป็นความดีให้แก่ข้าพเจ้าไม่ว่าจะอยู่แห่งใด  หลังจากนั้นขอพรองค์ท่านได้โปรดให้ข้าพเจ้ามีความพอใจในงานชิ้นนั้น  เขา(ผู้เล่า)  ได้กล่าวว่า  และท่านนบีได้เอ่ยความต้องการของท่าน[176]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ละหมาดตัสบีฮะ[177]

เล่าจากอิบนิอับบาส ร.ฎ.   ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ได้กล่าวแก่อับบาส  บินอับดิล มุตตอลิบ ว่า  โอ้อับบาสโอ้ลุงของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าจะหยิบยื่นให้แก่ท่าน  ข้าพเจ้าจะให้แก่ท่าน  ข้าพเจ้าจะมอบให้แก่ท่าน  ข้าพเจ้าจะกระทำสิบประการแก่ท่าน[178] เมื่อท่านได้กระทำอย่างนั้นแล้วอัลลอฮ์จอภัยให้แก่ท่าน  บาปของท่านตั้งแต่แรกแลบาปสุดท้าย  บาปเก่า  บาปใหม่  บาปที่เจตนา  บาปที่ไม่เจตนา  บาปเล็ก  บาปใหญ่  บาปที่เร้นลับ  บาปที่เปิดเผย  สิบประการนี้ให้ท่านละหมาดสี่เราะกะอัต  อ่านฟาติฮะห์ทุกๆเราะกะอัตและอ่านซูเราะห์  เมื่อท่านเสร็จจากการอ่านในเราะกะอัตแรก  โดยที่ท่านยังยืนอยู่ให้ท่านกล่าว  ซุบฮานัลลอฮ์  วัลฮัมดุลิลลาฮิ  วะ ลาอิลาฮะะ อิลลัลลอฮุ  วัลลอฮุอักบัร  (มหาบริสุทธิ์แด่องค์อัลลอฮ์  มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ์  และไม่มีพระเจ้าที่คู่ควรแก่การเคารพสักการะนอกจากอัลลอฮ์  และพระองค์อัลลอฮ์นั้นมหายิ่งใหญ่)  สิบห้าครั้ง  ต่อจากนั้นให้ท่านก้มลงรุกัวะอฺโดยให้ท่านกล่าวในขณะที่กำลังรุกัวะอฺสิบครั้ง  จากนั้นให้ท่านเงยศีรษะขึ้นจากรุกัวะอฺและให้กล่าวสิบครั้ง  ต่อจากนั้นให้ท่านก้มลงสุญูดให้กล่าวในขณะสุญูดสิบครั้ง  หลังจากนั้นให้ท่านเงยศีรษะขึ้นจากสุญูด  ให้กล่าวสิบครั้ง  ต่อจากนั้นให้ท่านก้มลงสุญูด  แล้วให้กล่าวสิบครั้ง  ต่อจากนั้นให้ท่านเงยศีรษะ  แล้วกล่าวอีกสิบครั้ง  ดังนั้นจำนวนตัสบีฮะ ในทุกเราะกะอัตมีเจ็ดสิบห้า(ตัสบีฮะ)  ให้ท่านกระทำอย่างนี้ในทั้งสี่เราะกะอัต  ถ้าหากท่านมีความสามารถที่จะละหมาดอย่างนี้ทุกวันให้ท่านจงกระทำ  ถ้าหากท่านไม่มีความสามารถกระทำ (ทุกวัน)  ให้ท่านกระทำสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง  ถ้าหากท่านไม่มีความสามรถกระทำ(ทุกสัปดาห์)  ให้ท่านกระทำเดือนละหนึ่งครั้ง  ถ้าหากท่านไม่มีความสามารถกระทำ(ทุกเดือน)  ให้ท่านกระทำปีละครั้งหนึ่ง  แต่ถ้าหากท่านไม่มีความสามารถกระทำ(ทุกปี)  ให้ท่านกระทำครั้งหนึ่งในชั่วชีวิต  และในบางรายงานว่า  เพราะความจริงถ้าหากท่านเป็นคนที่บาปหนาที่สุดของชาวโลก  บาปของท่านก็จะถูกอภัยให้ด้วยการทำละหมาดนั้น  รายงานโดย  อบูดาวูด  และติรมีซี

โดยติรมีซีใช้สำนวนว่า  แม้ว่าบาปของท่านจะมากเหมือนเมล็ดทรายในที่ๆ  มีทรายมากที่สุด  อัลลอฮ์ก็จะอภัยบาปเหล่านั้นให้แก่ท่าน

ละหมาดเตาบะห์

เล่าจากอลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าเป็นผู้ชายคนหนึ่ง  เมื่อได้ยินหะดีษบทหนึ่งจากท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  อัลลอฮ์จะให้ข้าพเจ้าได้ประโยชน์จากหะดีษนั้นตามแต่พระองค์จะให้ข้าพเจ้าได้รับประโยชน์  และเมื่อมีชายคนหนึ่งจากเหล่าอัครสาวกของท่านร่อซูลเล่าหะดีษ  (ที่เขาได้ยินมาจากท่านร่อซูล)ให้ข้าพเจ้าฟัง  ข้าพเจ้าจะขอให้เขาสาบานเสียก่อน[179] ดังนั้นเมื่อเขาสาบานให้ข้าพเจ้าแล้ว  ข้าพเจ้าจึงจะเชื่อเขา  และความจริงท่านอบูบักร์ได้เล่าหะดีษบทหนึ่งให้ข้าพเจ้าฟัง  โดยอบูบักร์เป็นคนพูดจริง[180] ท่านอบูบักร์ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   กล่าวว่า  ไม่มีผู้ชายคนใดที่ทำบาป  หลังจากนั้นเขาลุกขึ้นทำความสะอาดแล้วไปละหมาด  หลังจากนั้นเขาขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์  นอกจากอัลลอฮ์จอภัยให้แก่เขา  หลังจากนั้นท่านได้อ่านโองการนี้  (มีใจความว่า  แลบรรดาผู้ที่เมื่อได้ทำความผิดร้ายแรง  หรือได้ทำทุจริตตัวเอง(ด้วยการทำความผิดที่ต่ำกว่านั้น)  เขาได้ระลึกถึง(สัญญาลงโทษของ) อัลลอฮ์และพวกเขาได้ขออภัยต่ออัลลอฮ์ในบาปกรรมของพวกเขา  จนจบโองการ[181]

รายงานโดย  ติรมีซี และอิบนุมายะห์

ละหมาดฮาญะห์ اَلْحَاجَةٌ (คือละหมาดก่อนลงมือกระทำการที่สำคัญๆ)

เล่าจากอับดิ้ลลาห์  บินรอบีเอาฟา ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ผู้ใดมีความจำเป็นประการใดประการหนึ่งต่ออัลลอฮ์หรือมนุษย์คนหนึ่งคนใด  ให้เขาจงอาบน้ำละหมาดแล้วให้อาบน้ำละหมาดอย่างดี  ต่อจากนั้นให้ละหมาดสองเราะกะอัต หลังจากนั้นให้กล่าวคำสรรเสริญต่ออัลลอฮ์  และให้เขาจงขอพรให้แก่ท่านนบี  ซ.ล.     จากนั้นให้เขาจงกล่าว(มีใจความ) ว่า  ไม่มีพระเจ้าที่เคารพสักการะนอกจากอัลลอฮ์  ผู้ทรงขันติ  ผู้ทรงใจบุญ  มหาบริสุทธิ์แด่องค์อัลลอฮ์ เจ้าของบัลลังอันยิ่งใหญ่มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ผู้อภิบาลสากลโลก  ข้าพเจ้าขอต่อพระองค์ท่านให้ตรงตามความเมตตาของพระองค์ท่าน  และให้ตรงแก่การให้อภัยของพระองค์ท่านอย่างจริงจัง  และขอให้ได้รับความดีทุกๆประการ  และขอให้ได้รับความปลอดภัยจากบาปทุกชนิด  ขอพรองค์ท่านได้โปรดอย่าปล่อยให้ข้าพเจ้ามีบาปนอกจากพระองค์ท่านต้องอภัยให้  และอย่าปล่อยให้ข้าพเจ้ามีความมัวหมอง  นอกจากพระองค์ท่านต้องช่วยให้หลุดพ้น  และอย่าปล่อยให้ข้าพเจ้ามีความจำเป็นประการใดๆ นอกจากพระองค์ท่านจะต้องจัดการให้แล้วเสร็จ  โอ้ผู้ที่มีความเมตตายิ่ง แห่งบรรดาผู้ที่มีความเมตตาทั้งหลาย 

รายงานโดย  ติรมีซี และอิบนุมายะห์

 

บทที่ 13 213

เรื่องศพ

มีเจ็ดบทแลบทสุดท้าย

ตอนที่ 1

ห้ามมิให้อยากตาย และให้เจตนาดีต่ออัลลอฮ์

 เล่าจากอะนัส จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า คนใดคนหนึ่งจากพวกท่าน  จงอย่าอยากตาย  เพราะเภทภัยที่ประสพกับเขา  ถ้าหากถึงขั้นจำเป็นที่อยากตายให้เขาจงกล่าวว่าโอ้พระองค์อัลลอฮ์  ได้โปรดให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่  ถ้าหากการมีชีวิตอยู่เป็นผลดีแก่ข้าพเจ้า  และจงได้โปรดให้ข้าพเจ้าตาย  ถ้าหากความตายนั้นเป็นผลดีแก่ข้าพเจ้า 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และในบางรายงานว่า  ท่านกอยส์ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้ไปหาท่านค็อบบาบในขณะที่ท่านทำการรักษาด้วยการใช้เหล็กเผาไฟนาบที่ท้องของท่านเจ็ดครั้ง  ข้าพเจ้าได้ยินท่านค็อบบาบกล่าวว่า  ถ้าหากท่านนบี  ซ.ล.   มิได้ห้ามพวกเราขอให้ตายแล้ว  ข้าพเจ้าจะต้องขอให้ตายอย่างแน่นอน

และตามรายงานของบุคอรีว่า  ใครคนใดคนหนึ่งอย่าอยากตาย  เพราะถ้าหากเขาเป็นคนดีก็หวังว่าความดีเขาจะเพิ่มขึ้น  และถ้าหากว่าเขาเป็นคนเลวก็หวังว่าเขาคงจะกลับตัว(เป็นคนดี)

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.     ก่อนท่านถึงแก่กรรมสามวัน  ท่านได้กล่าวว่า  คนใดคนหนึ่งจากพวกท่านอย่าอยากตายจนกว่าเขาจะต้องมีเจตนาดีต่ออัลลอฮ์ตาอาลาเสียก่อน  รายงานโดย  อบูดาวูดและมุสลิม

 ร.ฎ.  ว่า  แท้จริงท่านนบี  ซ.ล.   ปรารถนาที่จะพบกับเขา  ผู้ใดรังเกียจที่จะพบกับอัลลอฮ์  อัลลอฮ์ก็รังเกียจที่จะพบกับเขา  ท่านหญิงอาอิชะห์หรือภรรยาบางคนของท่านนบีได้กล่าวว่า  แท้จริงพวกเราจะต้องเกลียดความตาย[182] ท่านนบีได้กล่าวว่า  ไม่ใช่อย่างนั้น[183] แต่ผู้ใดที่มีศรัทธานั้น  เมื่อความตายมาเยือนเขาจะได้รับข่าวดีด้วยความยินดีและโปรดปรานของอัลลอฮ์  และจะไม่มีสิ่งใดที่เขาพอใจนอกจากสิ่งที่อยู่  ณ  เบื้องหน้าของเรา  ดังนั้นเขาจะมีความปรารถนาที่จะพบกับอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์ปรารถนาจะพบกับเขา  และแท้จริงผู้ทรยศ (ไม่ศรัทธา) นั้นเมื่อความตายได้มาเยือนเขา  เขาจะได้รับข่าวดีด้วยการลงโทษและทุกข์ทรมานของอัลลอฮ์  ไม่มีสิ่งใดที่เขารังเกียจยิ่งกว่าสิ่งที่อยู่  ณ  เบื้องหน้าของเขา  ดังนั้นเขารังเกียจที่จะพบอัลลอฮ์และอัลลอฮ์ก็รังเกียจที่จะพบเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. แท้จริงท่านนบี  ซ.ล.   ได้เข้าไปพบชายหนุ่มคนหนึ่งขณะที่กำลังจะตาย  ท่านนบีได้กล่าวว่า  ท่านพบตัวท่านเองเป็นอย่างไรบ้าง  ชายหนุ่มผู้นั้นตอบว่า  ข้าพเจ้าหวังจะได้พบอัลลอฮ์ โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  และความจริงข้าพเจ้ากลัวบาปของข้าพเจ้า ท่านบี  ซ.ล.   จึงได้กล่าวว่า  ทั้งสองสิ่งนั้นมันจะไม่รวมในจิตใจของบ่าว[184] ในสภาพอย่างนี้นอกจากอัลลอฮ์จมอบสิ่งที่เขาหวังให้แก่เขา  และอัลลอฮ์จมอบความปลอดภัยให้แก่เขาจากสิ่งที่เขากลัว 

รายงานโดย  ติรมีซี  และถือเป็นหะดีษหะซัน

เล่าจากอบีฮุรอยเราะห์  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงความตายมากๆ 

รายงานโดย  ติรมีซี และนาซาอี

คำกล่าวซิกร์  ดุอาอฺแลการอ่านกุรอานที่คนใกล้จะตาย

เล่าจากอบีสะอีด  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ท่านทั้งหลายจงสอนคน(ที่ใกล้จ)ตายของพวกท่านด้วยคำว่า  ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮ์ [185]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากมุอาซ  บิน ญะบัล  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ผู้ใดที่ปรากฏคำพูดสุดท้ายของเขาคือคำว่า  ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮ์  เขาได้เข้าสวรรค์ 

รายงานโดย  อบูดาวูด  ติรมีซี  และฮากีมถือว่าเป็นหะดีษซอเศาะฮีหะห์

เล่าจากอุมมุ  ซาลามะห์  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  เมื่อท่านทั้งหลายได้มายังผู้ป่วยหรือคนตาย  ท่านทั้งหลายจงกล่าวว่า  ดี[186] เพราะความจริงมวลมลาอิกะห์นั้นจะกล่าวคำว่า  อามีน  (ขออัลลอฮ์ได้โปรดรับ)  ให้แก่สิ่งที่ท่านทั้งหลายกล่าว  อุมมุซาลามะห์ได้กล่าวว่า เมื่ออบูซาลามะห์ได้เสียชีวิต  ข้าพเจ้าได้มาพบท่านนบี  ซ.ล.   ข้าพเจ้าได้กล่าวโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ความจริงท่านอบูซาลามะห์ได้เสียชีวิตไปแล้ว  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า  เธอจงกล่าวดังนี้  ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดอภัยให้แก่ข้าพเจ้าและแก่เขา  และได้โปรดทดแทนให้แก่ข้าพเจ้าแทนตัวของเขาด้วยสิ่งทดแทนที่ดีกว่า  อุมมุซะลามะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า  อัลลอฮ์ได้ทดแทนให้แก่ข้าพเจ้าด้วยบุคคลที่ดีสำหรับข้าพเจ้ายิ่งกว่าเขา(อบูซาลามะห์)  คือท่านนบีมุฮัมมัด  ซ.ล.  [187]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากอุมมุซาลามะห์ได้กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.    ได้เข้าไปที่อบีซาลามะห์(หลังจากเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว)  ในสภาพที่ตา (ทั้งสองข้าง) ของเขาเบิกโพลง  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. จึงได้ทำให้ตา (ทั้งสองข้าง) ของเขาปิดลง  หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า  แท้จริงวิญญาณนั้นเมื่อถูกถอดออก  สายตาจมองตาม  ต่อมาผู้คนได้พากันส่งเสียงสาปแช่งตัวเอง  เพราะความเศร้าใจที่คนในครอบครัวของเขาจากไป  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า  ท่านทั้งหลายอย่าวิงวอนในสิ่งที่เป็นอันตรายกับพวกท่าน  นอกจากจะวิงวอนแต่ในสิ่งที่ดี  เพราะแท้จริงมวลมลาอิกะห์จะกล่าวคำว่า  อามีน(ขออัลลอฮ์ได้โปรดรับ) ให้แก่สิ่งที่ท่านทั้งหลายกล่าว  หลังจากนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า  ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์ขอพรองค์ได้โปรดอภัยแก่อบีซาลามะห์  และได้โปรดเลื่อนขั้นของเขาให้อยู่ในจำพวกของผู้ที่ได้รับทางนำอันถูกต้อง  และได้โปรดหาผู้ทดแทนให้มาดูและครอบครัวของเขาหลังจากเขาได้จากไป  และได้โปรดอภัยให้แก่พวกเราและให้แก่เขา  โอ้พระผู้อภิบาลสากลโลก  และได้โปรดขยายหลุมฝังศพของเขาให้กว้างขวาง  และได้โปรดให้แสงสว่างแก่เขาในหลุมฝังศพ

รายงานโดย  มุสลิม

เล่าจากมะอฺกิล  บินยะซาร ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ท่านทั้งหลายจงอ่านซูเราะห์ยาซีน  ให้แก่คนที่ใกล้จะตายของพวกท่าน[188]

รายงานโดย อบูดาวูด นาซาอี อะห์มัด  อิบนุฮิบบาน และถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เครื่องหมายความตายของมุอฺมิน  และอายุของประชากร

เล่าจากบุรอยดะห์  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  มุอฺมินจะตายพร้อมด้วยเหงื่อที่หน้าผาก[189]

รายงานโดย ติรมีซี นาซาอี และอะห์มัด

เล่าจากอับดิลลาห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  แท้จริงชีวิตของมุอมินจออก(จากร่าง)พร้อมด้วยเหงื่อ  และข้าพเจ้าไม่ชอบความตายเหมือนการตายของลา  มีผู้ถามว่าการตายของลาเป็นอย่างไร  ท่านตอบว่า  คือตายอย่างกทันหัน 

รายงานโดย  ติรมีซี

และตามรายงานของอบีดาวูดว่า  การตายอย่างกทันหัน  เป็นการคร่าชีวิตอย่างกริ้วโกรธ[190]

เล่าจากอับดิลลาห์  บินอัมร์  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ไม่มีมุสลิมคนใดที่ตายวันศุกร์หรือคืนวันศุกร์  เว้นแต่อัลลอฮ์จป้องกันเขาจากความชั่วร้ายภายในหลุมฝังศพ

เล่าจากอบีฮุรอยเราะห์  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  อายุของประชากรของข้าพเจ้านั้นอยู่ระหว่างหกสิบถึงเจ็ดสิบ  และมีเป็นจำนวนน้อยของพวกเขาที่มือายุเกิน(ไม่ถึง)นั้น[191]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย  ติรมีซี

ในความตายนั้นคือความสบายของบ่าวของอัลลอฮ์

เล่าจากอบีกอตาดะห์  ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. นั้น ได้มีศพยกผ่านท่านไป  ท่านได้กล่าวว่า  สบายและได้รับความสบายจากเขา  พวกเขา(เหล่าอัครสาวก) ได้กล่าวโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  อะไรที่ว่าสบายและได้รับความสบายจากเขา  ท่านกล่าวตอบว่า  บ่าวผู้เป็นมุอฺมิน(ผู้มีศรัทธา) จะได้รับความสบายจากความเหน็ดเหนื่อยในโลกนี้  ส่วนบ่าวที่ชั่วช้าเลวทราม  บรรดาบ่าวของอัลลอฮ์  บ้านเมือง  ต้นไม้  แม้แต่สัตว์ก็จะได้รับความสบายจาก(การที่) เขา(ตาย)

รายงานโดย  บุคอรี  มุสลิม และนาซาอี

ตอนที่สอง

ห้าม (หรอม) การรำพึงรำพัน  แลการกระทำในลักษณะเดียวกัน

เล่าจากอับดิ้ลลาห์  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ไม่ใช่เป็นพวกเราที่ตบแก้ม  ฉีกเสื้อ  และรำพึงรำพันเหมือนพวกป่าเถื่อน(ยาฮิลียะห์) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอบีมูซา  ร.ฎ.  ว่า  แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ไม่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงที่ส่งเสียงรำพึงรำพัน  และผู้หญิงที่โกนศีรษะขณะที่ประสพภัยพิบัติ  และผู้หญิงที่ฉีกเสื้อผ้า 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอบีมาลิก  อัลอัซอารี ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  มีอยู่สี่ประการที่จะคงอยู่กับประชากรของข้าพเจ้า  จากงานของพวกป่าเถื่อนอย่างที่พวกเขาไม่อาจสลัดทิ้งได้  นั่นคือการนำเอาผลงานของวงศ์ตระกูลมาโอ้อวด  การกล่าวโจมตีในเรื่องของวงศ์ตระกูล การขอฝนด้วยดวงดาว[192] แลการรำพึงรำพัน  และท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า  ผู้หญิงที่รำพึงรำพันเมื่อหล่อนยังไม่กลับตัว(เตาบัด) ก่อนที่หล่อนจะตาย  ในวันกิยามะห์หล่อนจะถูกบังเกิดขึ้นมาในสภาพที่ร่างกายของหล่อนห่อหุ้มด้วยน้ำมันดิน  และห่อหุ้มด้วยขี้กลาก 

รายงานโดย  มุสลิม และติรมีซี

และตัวบทของติรมีซีว่า  สี่ประการที่จะคงอยู่ในประชากรของข้าพเจ้า  จากผลงานของพวกป่าเถื่อน  อย่างที่พวกเขาไม่อาจสลัดทิ้งได้  คือการรำพึงรำพัน  การกล่าวโจมตีในเรื่องของวงศ์ตระกูลการเชื่อถือในเรื่องโรคติตต่อ  อูฐตัวหนึ่งเป็นขี้กลากและทำให้อูฐอีกร้อยตัวเป็นขี้กลากไปด้วยแล้ว  ผู้ใดทำให้อูฐตัวแรกเป็นขี้กลากเล่า  แลการขอฝนด้วยดวงดาว(เชื่อถือในดวงดาวว่าทำให้ฝนตก)  พวกเราได้รับน้ำฝนเพราะดาวดวงนั้นดวงนี้

เล่าจากอุมมุ อะตียะห์  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.    ได้ห้ามพวกเราจากการรำพึงรำพัน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด

เล่าจากอบีสะอีด  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.    สาปแช่งผู้หญิงที่กำพึงรำพันและผู้หญิงที่ฟังการนินทา 

รายงานโดย  อบูดาวูด

ผู้ตายจะถูกลงโทษเพราะการรำพึงรำพัน  แลการกระทำในลักษณะเดียวกัน

เมื่อผู้ตายสั่งเสียให้กระทำอย่างนั้น

เล่าจากอัลมุฆีเราะห์  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ผู้ (ตายคนใด)  ที่มีผู้รำพึงรำพันเขาจะถูกลงโทษตามสิ่งที่มีผู้รำพึงรำพันถึงเขา[193]

รายงานโดย  บุคอรี  มุสลิม  และติรมีซี

เล่าจากอบีมูซาได้กล่าวว่า เมื่อท่านอุมัร ร.ฎ.  ถูกแทง  ท่านสุหัยบ์ได้กล่าวว่า  โอ้พี่ชายที่รัก  ท่านอุมัรได้กล่าวว่า  ท่านไม่ทราบหรือว่าท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  แท้จริงคนตายนั้นจะถูกลงโทษเพราะการร้องให้ของคนเป็น และในบางรายงานว่า  แท้จริงคนตายนั้นจะถูกลงโทษ  ด้วยการร้องให้ของบางคนในครอบครัวของเขา ต่อการตายของเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ได้มีผู้นำเอาคำของท่านอุมัรมากล่าวแก่ท่านหญิงอาอีชะห์ว่า  แท้จริงคนตายจะถูกลงโทษเพราะการร้องให้ของบางคนในครอบครัวของเขาต่อการตายของเขา  ท่านหญิงอาอีชะห์ได้กล่าวว่า  ขออัลลอฮ์ได้โปรดเมตตาท่านอุมัร  สาบานต่ออัลลอฮ์  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   มิได้พูดอย่างนั้น  แต่ท่านได้กล่าวว่า  แท้จริงอัลลอฮ์จะเพิ่มโทษให้กับผู้ทรยศ(กาฟิร)  ด้วยสาเหตุการร้องให้ของคนในครอบครัวของเขา ต่อการตายของเขา  และท่านหญิงอาอีชะห์ได้กล่าวว่า  อัลกุรอานก็เพียงพอแล้วสำหรับท่านทั้งหลายที่ว่า  ไม่มีใครต้องรับบาปของใคร  และในบางรายงานว่า  ท่านหญิงอาอิชะห์ได้ยินคำพูดของท่านอุมัรที่กล่าวว่า  คนตายจะถูกลงโทษด้วยสาเหตุการร้องให้ของคนในครอบครัวของเขา  ท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า  ขออัลลอฮ์ได้อภัยให้แก่อบีอับดิรเราะห์มาน(ท่านอุมัร) ความจริงเขามิได้โกหก  หากแต่ว่าเขาลืมไปหรือพลาดผิดไป  ความจริงท่านนบี  ซ.ล.   ได้เดินผ่านศพของผู้หญิงชาวยิวคนหนึ่ง  ซึ่งครอบครัวของหล่อนกำลังร้องให้ในการจากไปของหล่อน  ท่านนบีจึงได้กล่าวว่า  ความจริงพวกเขาเหล่านั้นกำลังร้องให้เพราะการจากไปของหล่อน  แต่แท้ที่จริงหล่อนกำลังถูกลงโทษอยู่ในหลุมฝังศพของหล่อน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอบีมูซา  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ไม่มีศพของผู้ใดที่เสียชีวิตไปแล้วมีคนยืนร้องให้ในการที่เขาจากไป  โดยรำพึงรำพันว่า  โอ้ที่พึ่งของข้าพเจ้า  โอ้เจ้านายของข้าพเจ้า  หรือคำรำพึงรำพันคล้ายๆ อย่างนี้  นอกจากจะมีมลาอิกะห์สองท่านถูกมอบหมายมาหาเขาให้ตีเขาใต้กกหู(พร้อมกับกล่าวว่า)  อย่างนี้แหละที่ท่านต้องประสพ

รายงานโดย  ติรมีซี และอะห์มัด

อนุญาตให้ร้องไห้ โดยไม่ส่งเสียง

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  พวกเราและท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.    ได้เข้าไปหาท่านอบีสัยฟ์ช่างเหล็ก  ซึ่งเป็นสามีแม่นมของอิบรอฮีม(อ.ล.)  (บินชายของท่านนบี  ท่านนบี  ซ.ล.   ได้จับอิบรอฮีมขึ้นมาจูบและดมตามร่างกาย  ต่อมาพวกเขาได้เข้าไปหาอิบรอฮีม  หลังจากนั้นในขณะที่อิบรอฮีมกำลังใกล้จะตาย  สองตาของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. มีน้ำตารินหลั่งออกมา  ท่านอับดุรเราะห์มานบินเอาฟ์ได้กล่าวแก่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ว่า  ท่านก็ร้องให้หรือ โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า  โอ้บินของเอาส์  (สภาพที่ท่านเห็นนี้)  มันเป็นความเมตตา(ที่อัลลอฮ์ได้โปรดประทานให้เกิดขึ้นในใจข้าพเจ้า) หลังจากนั้นก็มีน้ำตาไหลรินออกมาอีกท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ความจริงดวงตานั้นหลั่งน้ำตา  ส่วนหัวใจนั้นปวดร้าว  แต่เราจะไม่กล่าวสิ่งใดนอกจากจะเป็นที่พอพระทัยของพระผู้เป็นเจ้าของเรา  และความจริงพวกเรานั้นปวดร้าวในการจากไปของท่าน โอ้ อิบรอฮีม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากอิบนิอุมัร  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  ท่านซะอ์ดิ  บินอุบาดะห์ได้ร้องเรียนถึงอาการเจ็บป่วยของเขา  ดังนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. พร้อมด้วยอับดุรเราะห์มานบินเอาฟ์  ซะอ์ดิ บิน อบีวักกอส และอับดิลลา บินมัสอูดได้มาเยี่ยม  เมื่อท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้เข้าไปเยี่ยมก็ได้พบว่าเขาอยู่ในอาการที่ไม่รู้สึกตัวเสียแล้ว  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า  เขาสิ้นใจเสียแล้วหรือ  พวกเขาตอบว่ายังไม่สิ้นใจ  โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ได้ร้องไห้เมื่อพวกที่อยู่  ณ  ที่นั้นเห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ร้องไห้  พวกเขาก็พากันร้องไห้ไปด้วย  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า  ท่านทั้งหลายโปรดรับฟัง  แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ลงโทษเพราะน้ำตาที่ไหลรินจากดวงตา  และจะไม่ลงโทษด้วยความปวดร้าวของหัวใจ  แต่อัลลอฮ์จะลงโทษเพราะสิ่งนี้[194] หรือจะโปรดประทานความเมตตา 

รายงานโดย  บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ซัยด์ได้ถือธงรบและเขาก็ถูกฆ่าตาย[195] ต่อมายะอฺฟัรได้ถือธงรบแล้วเขาก็ถูกฆ่าตาย  ต่อมา อิบนุ รอวาฮะห์ได้ถือธงรบแล้วเขาก็ถูกฆ่าตาย  แท้จริงดวงตาทั้งสองข้างของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   มีน้ำตาไหลริน  ต่อจากนั้นคอลิด บิน อัลวาลีดได้ถือธงโดยไม่ได้มีคำสั่งจากท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. และชัยชนก็ได้ตกเป็นของเขา 

รายงานโดย  บุคอรี และนาซาอี

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ได้อ่านดุอากุนูตเป็นเวลาหนึ่งเดือน  ในขณะที่บรรดานักท่องจำคัมภีร์อัลกุรอานถูกฆ่าตาย  ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. เศร้าใจมากครั้งใดยิ่งไปกว่าครั้งนี้เลย 

รายงานโดย  บุคอรี และมุสลิม

ตอนที่สาม

ความอดทนและความยินดีในกำหนดของอัลลอฮ์

อัลลอฮ์ตาอาลาได้กล่าวว่า  พระองค์ (อัลลอฮ์) ได้บังเกิดความตายและความเป็นเพื่อทดลองพวกท่านทั้งหลายว่า  ใครในหมู่พวกท่านจะทำดีมากกว่ากัน  และพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ได้กล่าวว่า  บรรดาผู้ซึ่งภัยพิบัติได้ประสพกับพวกเขา  แล้วพวกเขาได้กล่าวว่า  ความจริงพวกเราเป็นสิทธิของอัลลอฮ์  และความจริงพวกเราต้องกลับคืนสู่พระองค์  พวกเขานั้นแหละที่จะได้รับการอภัยโทษ  และความเมตตาจากพระผู้อภิบาลของพวกเขา  และพวกเขานั่นแหละเป็นพวกที่ได้รับทางนำที่ถูกต้อง

ท่านอุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ที่ดีเยี่ยมของย่าม(ใส่ของ)สองใบ  และที่ดีเยี่ยมของของแถม  อยู่ในโองการนี้[196]

รายงานโดย  บุคอรี

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ท่านนบี  ซ.ล.    ได้เดินผ่านผู้หญิงคนหนึ่งกำลังร่ำให้อยู่ที่หลุมฝังศพ[197] ท่านได้กล่าวว่า  เธอจงเกรงกลัวอัลลอฮ์และเธอจงอดทน  ผู้หญิงคนนั้นได้กล่าวว่า  ท่านจงไปให้พ้น  เพราะท่านไม่ได้ประสพภัยพิบัติอย่างที่ข้าพเจ้าประสบ  ผู้หญิงคนนั้นได้พูดโดยไม่รู้จักท่านนบี  จึงได้มีผู้กล่าวแก่หล่อนว่า  แท้จริงคนที่เธอพูดด้วยนั้นคือท่านนบี  ซ.ล.     ผู้หญิงคนนั้นจึงได้มาที่ประตูบ้านของท่านนบี  แต่หล่อนก็ไม่พบว่ามียามเฝ้าประตูบ้านของท่าน  หล่อนจึงได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าไม่รู้จักท่าน  ท่านนบีได้กล่าวว่า  แท้จริงความอดทนนั้น คือขณะที่เริ่มประสพภัยพิบัติ[198]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ไม่มีมุอฺมินที่ถูกหนามตำหรือมากกว่านั้น  เว้นแต่อัลลอฮ์จะยกเกียรติของเขาให้สูงขึ้น(เพราะเหตุนั้น)หนึ่งขั้น  และจะลบความผิดออกจากเขา(เพราะเหตุนั้น) หนึ่งความผิด[199]

รายงานโดย มุสลิม และติรมีซี

 เล่าจากมุฮัมมัด  บินคอลิด  ฮัสสุละมี  จากบิดาของเขา  จากปู่ของเขา ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ความจริงบ่าวคนหนึ่งเมื่อตำแหน่งที่มีเกียรติจากอัลลอฮ์ได้ล่วงเลยเขาไปโดยที่เขายังไปไม่ถึงตำแหน่งนั้นด้วยการทำความดีของเขา  อัลลอฮ์จะทดลองเขาให้ประสพกับภัยพิบัติในทางร่างกายของเขา  หรือในทรัพย์สินของเขา  หรือในบุตรของเขา  แล้วพระองค์จะให้เขามีความอดทนที่จะเผชิญกับภัยพิบัตินั้น  จนกระทั่งอัลลอฮ์จะให้เขาถึงตำแหน่งอันมีเกียรติของอัลลอฮ์ที่ล่วงเลยเขาไปนั้น

เล่าจากอุมมุ  อัลอะลาอฺ  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  ท่านนบี  ซ.ล.   ได้มาเยี่ยมข้าพเจ้าในสภาพที่ข้าพเจ้าป่วย  ท่านได้กล่าวว่า  เธอจงรับข่าวดี  โอ้อุมมุ อัลอะลาอฺ  เพราะแท้จริงอาการเจ็บป่วยของมุสลิมนั้น  อัลลอฮ์จะลบล้างความผิดต่างๆของเขาด้วยเหตุที่เจ็บป่วยนั้น  เหมือนกับไฟที่มันขจัดเศษสกปรกที่ปนอยู่กับทองคำและเงิน 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย  อบูดาวูด

เล่าจากอบีมูซา  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  เมื่อบ่าวคนหนึ่งป่วยหรืออกเดินทาง  อัลลอฮ์ตาอาลาจะบันทึกผลบุญให้แก่เขา  เหมือนกับผลบุญของสิ่งที่เขาปฏิบัติขณะที่มีสุขภาพดีและไม่ได้ออกเดินทาง  รายงานโดย  อะห์มัด  บุคอรี และอบูดาวูด

ผลตอบแทนจากการตายของบุตร

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ไม่มีผู้ใดจากมุสลิมที่บุตรของเขาสามคนได้เสียชีวิตไปโดยยังไม่ถึงวัยบรรลุศาสนภาวะ  เว้นแต่อัลลอฮ์จะให้เขา(มุสลิมผู้นั้น)  ได้เข้าสวรรค์  ด้วยความเมตตาอันล้นเหลือของพระองค์ต่อพวกเขา[200]

รายงานโดย  บุคอรี และนาซาอี

และตามรายงานของนาซาอีว่า  ไม่มีมุสลิมสองคน[201] ที่บุตรสามคน  ซึ่งเกิดขึ้นจากเขาทั้งสองได้เสียชีวิตไป  โดยเขาทั้งสามยังไม่ถึงวัยบรรลุศาสนภาวะ  เว้นแต่อัลลอฮ์จะให้เขาทั้งสองเข้าสวรรค์  ด้วยความเมตตาอันล้นเหลือของพระองค์  ผู้เล่าได้กล่าวว่า  มีผู้กล่าว[202] แก่บุตรทั้งสามคนว่า  ท่านทั้งหลายจงเข้าสวรรค์  พวกเขาจะกล่าวว่า  จนกว่าบิดามารดาของเราจะได้เข้าสวรรค์เสียก่อน  ดังนั้นจึงมีผู้กล่าวว่า  ท่านทั้งหลายจงเข้าสวรรค์พร้อมกับบิดามารดาของพวกท่าน

เล่าจากอบีฮุรอยเราะห์  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  จะไม่มีมุสลิมคนใดที่บุตรของเขาสามคนได้เสียชีวิตไป  แล้วเขาต้องเข้านรกเว้นแต่เขาจะเข้าไปเพียงชั่วแก้คำสาบาน[203]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอบีสะอีด ร.ฎ. ว่าพวกผู้หญิงได้กล่าวแก่ท่านนบี  ซ.ล.   ว่า  ท่านจงกำหนดวันที่แน่นอนให้แก่พวกเราสักวันหนึ่ง  ต่อมาท่านนบีได้กล่าวอบรมแก่พวกผู้หญิงเหล่านั้นว่า  ผู้หญิงคนใดที่บินของหล่อนสามคนได้เสียชีวิตไป  พวกเขาจะเป็นเกราะป้องกันไฟนรกให้แก่หล่อน  ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งถามขึ้นว่า  และสองคนเล่า  ท่านตอบว่า  สองคนก็เช่นเดียวกัน 

รายงานโดย  บุคอรี  มุสลิม และนาซาอี

และได้มีผู้หญิงคนหนึ่งนำบุตรชายของหล่อนคนหนึ่งมาร้องเรียนต่อท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. โดยได้กล่าวว่า  โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ข้าพเจ้ากลัวเขาจะเสียชีวิต   เพราะความจริงข้าพเจ้าได้สูญเสียบุตรไปแล้วถึงสามคน  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ความจริงเธอได้รับการป้องกันด้วยกำแพงที่แข็งแรงจากไฟนรก 

รายงานโดย มุสลิม และนาซาอี

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้สูญเสียบุตรไปสามคนโดยที่พวกเขาทั้งสามยังไม่ถึงวัยบรรลุศาสนภาวะ  ปรากฏว่าเขาทั้งสามจะเป็นกำแพงที่มั่นคงคุ้มกันจากไฟนรก  ท่านอบูซัรรฺได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้สูญเสียบุตรไปสองคน  ท่านบีได้กล่าวว่าและสองคนก็เช่นเดียวกัน  ต่อมาท่านอุบัยย์บินกะอฺบฺ  หัวหน้านักอ่านคัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้สูญเสียบุตรไปหนึ่งคน  ท่านนบีได้กล่าวว่า  และหนึ่งคนก็เช่นเดียวกัน  แต่ว่าที่จะเป็นเช่นนั้นต้องในขณะที่เริ่มประสพภัยพิบัติ[204]

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ผู้ใดจากประชากรของข้าพเจ้าได้สูญเสียบุตรไปสองคน  อัลลอฮ์จะให้เขาได้เข้าสวรรค์เพราะสาเหตุจากบุตรสองคนนั้น  ท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า  ผู้ใดจากประชากรของท่านที่ได้สูญเสียบุตรไปหนึ่งคน  และผู้ใดที่สูญเสียบุตรไปหนึ่งคนก็เช่นเดียวกัน  โอ้เธอผู้พูดถูกต้อง  ท่านหญิงอาอีชะห์ได้กล่าวว่า  ดังนั้นผู้ที่ไม่มีบุตรเสียชีวิตจากประชากรของท่าน  ท่านได้ตอบว่า  ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าก็คือบุคลที่ประชากรของข้าพเจ้าต้องสูญเสีย  พวกเขาจะไม่ประสพภัยพิบัติเหมือนกับการที่สูญเสียข้าพเจ้า

เล่าจากอบีมูซา ร.ฎ. ท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อบุตรของบ่าวคนหนึ่งได้เสียชีวิตลง  อัลลอฮ์จะกล่าวกับมาลาอีกะห์ว่า  พวกท่านได้เก็บบุตรของบ่าวของเรามา พวกมาลาอิกะห์ตอบว่า ใช่แล้ว  พระองค์กล่าวว่า  พวกท่านได้เก็บเอาผลจากดวงใจของเขามา  พวกเขาตอบว่าใช่แล้ว  พระองค์กล่าวว่า  แล้วบ่าวของเราได้พูดอย่างไรบ้าง  พวกเขาตอบว่าเขากล่าวคำสรรเสริญท่านแลกล่าวว่า  แท้จริงพวกเราเป็นสิทธิของอัลลอฮ์  และพวกเราต้องกลับคืนสู่พระองค์  พระองค์อัลลอฮ์กล่าวว่า  พวกท่านจงสร้างปราสาทหลังหนึ่งให้แก่บ่าวของเราในสวรรค์  และพวกท่านจงเรียกปราสาทหลังนั้นว่า  ปราสาทแห่งการสรรเสริญ 

รายงานหะดีษทั้งสามโดย  ติรมีซี

การเยี่ยมผู้ป่วยและขอพรให้ผู้ป่วย

เล่าจากอบีฮุรอยเราะห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี (ซ.ล) ได้กล่าวว่า  สิทธิของมุสลิมเหนือมุสลิมมีห้าประการ  คือ  การตอบรับสลาม  การเยี่ยมผู้ป่วย  การเดินตามศพ  การตอบรับคำเชิญแลการกล่าวตอบคำกล่าวของคนจาม[205] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากตุวัยร์  บินอบีฟาคิตะห์  จากบิดาของเขา  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  อลีได้จับมือข้าพเจ้าแล้วกล่าวว่า  ท่านจงไปกับข้าพเจ้าไปเยี่ยมหะซัน  เราได้พบอบีมูซาอยู่ที่ท่านหะซันแล้ว  ท่านอลี(อ.ล.) ได้กล่าวว่า  ท่านมาเยี่ยมผู้ป่วยหรือว่ามาเยี่ยมธรรมดา  ท่านอบูมูซาตอบว่า เปล่า ข้าพเจ้ามาเยี่ยมผู้ป่วย  ท่านอลีจึงได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   กล่าวว่า  ไม่มีมุสลิมคนใดที่ได้เยี่ยมพี่น้องมุสลิมที่ป่วยในเวลาเช้า  เว้นแต่จะมีมาลาอิกะห์เจ็ดหมื่นท่านขอพรให้แก่เขาจนถึงเวลาเย็น  และถ้าหากเขาได้ไปเยี่ยมพี่น้องมุสลิมที่ป่วยในเวลาเย็น  เว้นแต่จะมีมาลาอิกะห์เจ็ดหมื่นท่านขอพรให้แก่เขาจนถึงเช้า  และเขาจะมีสิทธิเป็นเจ้าของสวนแห่งหนึ่งในสวรรค์ 

รายงานโดย อบูดาวูด และติรมีซี

เล่าจากซัยด์  บินอัรกอม  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ได้มาเยี่ยมข้าพเจ้าเนื่องจากการเจ็บที่เกิดขึ้นที่ตาทั้งสองข้างของข้าพเจ้า 

รายงานโดย อบูดาวูด  อะห์มัด  ฮากีม  และถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจากเซาบาน ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่าแท้จริงมุสลิมเมื่อได้ไปเยี่ยมพี่น้องมุสลิม(ที่เจ็บป่วย) เขาจะคงอยู่ในสวนผลไม้สวรรค์ 

รายงานโดย มุสลิม และติรมีซี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ผู้ใดอาบน้ำละหมาดและได้อาบน้ำละหมาดอย่างประณีต  และได้ไปเยี่ยมพี่น้องมุสลิมของเขา  โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ เขาจะถูกกันให้ออกห่างจากขุมนรกญะฮันนัมเป็นระยะทางถึงเจ็ดสิบเคาะรีฟ  มีผู้ถามว่า  โอ้ อบาฮัมซะห์ เคาะรีฟ นั้นคืออะไร ท่านได้ตอบว่า  คือหนึ่งปี[206]

รายงานโดย อบูดาวูด

เล่าจากอาอีชะห์  บุตรสาวของสะอ์ดิ  ร.ฎ.  ว่า  แท้จริงบิดาของหล่อนได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้เอ่ยปาก(ถึงอาการเจ็บป่วยของข้าพเจ้า) ที่นครมักกะห์  ท่านนบี  ซ.ล.   จึงได้มาเยี่ยมข้าพเจ้าและได้เอามือ(ขวา) ของท่านวางบนหน้าผากของข้าพเจ้า  หลังจากนั้นได้ลูบหน้าอกและท้องของข้าพเจ้า  จากนั้นท่านได้กล่าวว่า  ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดให้สะอาดหายจากอาการเจ็บป่วย  และได้โปรดให้การอพยพของเขาสมบูรณ์ 

รายงานโดย บุคอรี และอบูดาวูด

เล่าจากอิบนิอับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ผู้ใดเยี่ยมคนป่วยที่กำหนดความตายของเขายังมาไม่ถึง(ยังไม่ตาย)  และได้กล่าว(อย่างนี้) แก่ผู้ป่วยเจ็ดครั้งว่า  ข้าพเจ้าขอต่ออัลลอฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่  ผู้เป็นเจ้าของบัลลังก์(อะรัช) ที่ยิ่งใหญ่  ให้ท่านหายจากอาการเจ็บป่วยเว้นแต่อัลลอฮ์จะให้เขา(ผู้เยี่ยม)  ปลอดภัยจากโรคภัยอย่างนั้น 

รายงานหะดีษโดย อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

อนุญาตให้เปิดศพและจูบศพ

เล่าจากท่านหญิงอาอีชะห์  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  ท่านอบูบักร์ได้ขี่ม้ามุงหน้ามาจากบ้านของท่านที่สุนหิ[207] จนกระทั่งท่านได้ลงจากหลังม้าได้เข้ามัสญิด  และไม่ได้พูดกับผู้ใดจนกระทั่งท่านได้เข้าไปหาท่านหญิงอาอิชะห์ (ร.ฎ.)[208] และมุ่งตรงไปหาท่านนบี  ซ.ล.   ในสภาพที่ศพของท่านถูกคลุมอยู่ด้วยผ้าคลุมสีเขียว ท่านอบูบักร์ได้เลิกผ้าคลุมออกให้เห็นใบหน้าของท่านนบี  ท่านอบูบักร์ได้ก้มหน้าลงไปและจูบที่ใบหน้าของท่านนบี  แล้วท่านก็ร้องให้แลกล่าวว่า  สาบานด้วยบิดาของข้าพเจ้าแลกกับตัวท่าน(เป็นสำนวนที่ชาวอาหรับใช้สาบาน)  โอ้ นบีของอัลลอฮ์ อัลลอฮ์จะไม่ให้ท่านต้องตายสองครั้ง ส่วนความตายที่ถูกกำหนดให้แก่ท่านนั้น  บัดนี้เขาได้ให้ถึงวารแห่งความตายนั้นแล้ว 

รายงานโดย  บุคอรี และนาซาอี

และได้รายงานจากเขา(ท่านหญิงอาอีชะห์)ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าเห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   จูบ(ศพของ) อุสมาน บิน มัซอูน  ในสภาพที่เขาเป็นศพ  จนข้าพเจ้าและเห็นน้ำตาไหล 

รายงานโดย  อบูดาวูด และติรมีซี

สิ่งที่มีผู้กระทำต่อท่านนบี  ซ.ล.   ขณะท่านเสียชีวิต

เล่าจากท่านหญิงอาอีชะห์  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ถูกคลุมด้วยผ้าคลุม(สีเขียว)ในขณะที่ท่านเสียชีวิต 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด

เล่าจากอามีร  อัซซะอฺบี  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  ท่านอลี และอัลฟัดลฺ และอุซามะห์ บินซัยด์  พวกเขาได้นำศพของท่าน(นบี) เข้าหลุมฝังศพ  ดังนั้นเมื่อท่านอลีได้เสร็จสิ้น(จากการฝังศพ)  ท่านได้กล่าวว่า  ที่จะติดตามชายผู้นี้ (ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.) ไปคือ  วงศ์ญาติที่ใกล้ชิดของท่าน

รายงานโดย  อบูดาวูด

เล่าจากท่านหญิงอาอีชะห์  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  เมื่อพวกเขาต้องการจะอาบน้ำศพของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.    พวกเขาได้กล่าวว่า  พวกเราไม่ทราบว่า  เราจะเปลือยร่างของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. จากเสื้อผ้าหรือไม่  เหมือนอย่างที่เราเปลือยศพคนตายของพวกเรา  หรือเราจะอาบน้ำศพของท่านโดยมีเสื้อผ้าปกปิดอยู่  เมื่อพวกเขาขัดแย้งกัน อัลลอฮ์ได้ทำให้พวกเขาง่วงนอนจนกระทั่งไม่มีใครสักคนเดียวจากพวกเขา  นอกจากลูกคางห้อยลงมาอยู่ที่หน้าอก  หลังจากนั้นได้มีคนคนหนึ่งพูดขึ้นมาจากมุมหนึ่งของบ้าน  โดยพวกเขาไม่รู้ว่าผู้พูดเป็นใคร ว่า พวกท่านจงอาบน้ำศพของท่านนบี  ซ.ล.     โดยมีเสื้อผ้าปกปิดอยู่บนร่างของท่าน  พวกเขาจึงได้ลุกขึ้นไปยังท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.     และได้ทำการอาบน้ำศพของท่านโดยเสื้ออยู่บนร่างกายของท่าน  พวกเขาเทน้ำรดลงบนเสื้อผ้าของท่าน  และถูร่างของท่านด้วยเสื้อโดยไม่ได้ใช้มือของพวกเขา  และปรากฏท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า  ถ้าหากข้าพเจ้าทราบในตอนต้นเหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าทราบในตอนหลัง  จะไม่มีใครได้อาบน้ำศพของท่านนบี  นอกจากภรรยาของท่าน[209]

รายงานโดย  อบูดาวูด  อิบนุฮิบบาน และฮากีม

และเล่าจากเขา(ท่านหญิงอาอีชะห์) ได้กล่าวว่า  ศพของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าที่ทอในประเทศเยเมนสามชั้น  สีขาวบริสุทธิ์  ทอจากสำลีโดยไม่มีเสื้อและผ้าโพกศีรษะ(รวมอยู่ในผ้าทั้งสามชั้นนั้น)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา(ท่านหญิงอาอีชะห์) ได้กล่าวว่า  เมื่อท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   เสียชีวิต  พวกเหล่าอัครสาวกได้เกิดขัดแย้งกันในการฝังศพของท่าน  ท่านอบูบักร์ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้ยินจากท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.    สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าไม่เคยลืมเลย  ท่านได้กล่าวว่า  อัลลอฮ์จะไม่ให้นบีท่านใดเสียชีวิต นอกจากในสถานที่ซึ่งพระองค์ปรารถนาให้ฝังศพของท่านในสถานที่แห่งนั้น  ท่านทั้งหลายจงฝังศพของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ในสถานที่ที่ตั้งที่นอนของท่านเถิด[210]

เล่าจากยะอฺฟัร  บินมุฮัมมัด  จากบิดาของเขา  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  ผู้ที่ขุดหลุมศพของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.     คือท่านอบูตอลฮะห์ และผู้ที่เอาผ้ารองใต้ศพของท่านคือ  ซักรอน  ทาสของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   คือผู้ที่ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าสาบานต่ออัลลอฮ์  ข้าพเจ้าได้ปูผ้าใต้ศพของท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ภายในหลุมฝังศพ 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย  ติรมีซี

ตอนที่สี่

สิ่งที่จำเป็นต้องปฏิบัติแก่ผู้ตาย[211]

เล่าจากอุมมุ  อะตียะห์  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ได้กล่าวในขณะอาบน้ำศพบุตรสาวของท่าน[212] พวกเธอจงเริ่มอาบน้ำทางด้านขวาของหล่อน  และอวัยวที่อาบน้ำละหมาดจากศพของหล่อน[213]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา(อุมมุ  อะตียะห์ได้กล่าวว่า  ท่านนบี  ซ.ล.   ได้เข้ามาหาพวกเราในขณะที่พวกเราอาบน้ำศพบุตรสาวของท่าน  แล้วท่านได้กล่าวว่า  พวกเธอจงอาบน้ำหล่อนสามครั้ง  หรือห้าครั้ง  หรือมากกว่านั้น  ด้วยน้ำผสมใบพุทรา  และพวกเธอจงอาบน้ำเป็นครั้งสุดท้ายด้วยน้ำผสมพิมเสน  และเมื่อพวกเธออาบน้ำศพเสร็จเรียบร้อยแล้ว  จงแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบ  ดังนั้นเมื่อพวกเราอาบน้ำศพเสร็จเรียบร้อยแล้ว  พวกเราจึงได้แจ้งให้ท่านนบีทราบ  ท่านจึงได้มอบผ้านุ่งของท่านให้แล้วกล่าวว่า  พวกเธอจงสวมผ้าผืนนี้ให้แก่หล่อน  แต่(อุมมุ อะตียะห์) ได้เพิ่มเติมในบางรายงานว่า  พวกเราได้ขมวดผมของหล่อนเป็นสามขมวด  และเราได้ปล่อยให้มันห้อยไปด้านหลัง  และในบางรายงานว่า  พวกเธอจงอาบน้ำหล่อนให้เป็นจำนวนคี่  สามหรือห้าหรือมากกว่านั้น  ถ้าพวกเธอเห็นสมควรจะทำเช่นนั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

นักรบที่เสียชีวิตในสงครามศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องอาบน้ำละหมาดให้

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล.   เคยห่อศพของนักรบสองคนที่ถูกฆ่าตายด้วยผ้าผืนเดียวกันในสงครามอุฮุด[214] ต่อจากนั้นท่านกล่าวว่า  คนใด(จากทั้งสอง) จำคัมภีร์อัลกุรอานได้มากกว่ากัน  เมื่อมีผู้ชี้บอกว่าเป็นคนใด  ท่านได้เอาคนนั้นลงหลุมก่อน  และท่านได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าคือพยานของพวกเขาในวันกิยามะห์  และท่านได้ออกคำสั่งให้ฝังพวกเขาพร้อมด้วยคราบโลหิตที่ติดอยู่กับศพเหล่านั้น  โดยมิได้รับการอาบน้ำชำระ  และมิได้รับการละหมาดศพ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การห่อศพ

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  เมื่อใครคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านได้ห่อศพของพี่น้อง(ร่วมศาสนา) ของเขา  ให้เขาจงห่อให้ดีประณีตสวยงาม 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ท่านทั้งหลายจงใส่ด้วยเสื้อผ้าสีขาว  เพราะมันเป็นเสื้อผ้าที่ดีของพวกท่าน  และท่านทั้งหลายจงห่อศพคนตายของพวกท่านด้วยผ้าขาว 

รายงานโดย อบูดาวูด ติรมีซี และนาซาอี

และตามรายงานของอบูดาวูด  ท่านทั้งหลายอย่าห่อศพโดยใช้ผ้าราคาแพง (หรือมากเกินไป)  เพราะความจริงมันจะสูญสลายไปอย่างรวดเร็ว

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ. ว่าแท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ได้ห่อศพท่านฮัมซะห์  บิน อับดิล มุตตอลิบ  ด้วยผ้าลายทางเพียงชั้นเดียว[215]

รายงานโดย  ติรมีซี

และได้กล่าวมาแล้วหะดีษที่ว่า  ศพของท่านบี  ซ.ล.   ถูกห่อด้วยผ้าสามชั้นที่ทอจากสำลี

เล่าจากไลลา  บินสาวกอนิฟ  อัซซะกอฟียะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่ได้ร่วมอาบน้ำศพอุมมุ กัลซูม  บุตรสาวของท่านนบี  ซ.ล.    ในขณะที่หล่อนเสียชีวิตสิ่งแรกที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ให้แก่พวกเราก็คือผ้านุ่ง  ต่อมาก็เสื้อ  แล้วก็ผ้าคลุมหัวและต่อมาก็ผ้าที่ใช้คลุมร่าง  หลังจากนั้นได้เอาร่างของหล่อนสอดเข้าไปในผ้าอีกผืนหนึ่ง[216] ไลลาได้กล่าวว่า  ส่วนท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   นั่งอยู่ที่ประตูโดยมีผ้าห่อศพของอุมมุ กัลซูม อยู่ที่ท่านและท่านได้ส่งให้พวกเราที่ละผืน ที่ละผืน 

รายงานโดย  อบูดาวูดและอะห์มัด

การห่อศพผู้ครองเอียะห์รอม[217]

เล่าจากอิบนิอับบาส  ร.ฎ.  ว่า  แท้จริงได้มีชายผู้หนึ่งถูกอูฐของเขาสะบัดตกลงมาถึงแก่ความตาย  โดยที่พวกเราอยู่กับท่านนบี  ซ.ล.    และปรากฏว่าชายผู้นั้นเป็นผู้ครองเอี้ยะห์รอม  ท่านบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ท่านทั้งหลายจงอาบน้ำศพของเขาด้วยน้ำผสมใบพุทราและจงห่อศพของเขาด้วยผ้าสองผืน  และท่านทั้งหลายอย่าให้ศพของเขาถูกของหอม  และอย่าคลุมศีรษะของเขา  เพราะแท้จริงอัลลอฮ์จะให้เขาฟื้นคืนชีพขึ้นในวันกิยามะห์  ในสภาพของผู้ที่กล่าวตัลบียะห์[218]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

สมควรจะรมด้วยควันหอมขณะทำการอาบน้ำและห่อศพ

และสมควรกล่าวสิ่งที่เป็นความดีของผู้ตาย

เล่าจากอบีสะอีด  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  สิ่งที่มีกลิ่นหอมที่ดีที่สุดของพวกท่าน  คือ  ชมดเชียง 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ท่านทั้งหลายอย่าด่าคนตาย  เพราะความจริงพวกเขาได้ถึงแล้ว  ถึงสิ่งที่พวกเขาได้กระทำ 

รายงานโดย  บุคอรี และนาซาอี

และได้มีผู้กล่าวถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้วคนหนึ่งในแง่เลวให้ท่านนบี  ซ.ล.   ฟัง  ท่านได้กล่าวว่า  ท่านอย่ากล่าวถึงผู้ที่ล่วงลับของพวกท่าน  เว้นแต่ในแง่ดี 

รายงานโดย  นาซาอี

เล่าจากอิบนิอุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ท่านทั้งหลายจงกล่าวถึงสิ่งที่ดีของคนตายของพวกท่าน  และจงยับยั้งจาก(การพูดถึง) แง่ไม่ดีของพวกเขา 

รายงานโดย อบูดาวูด และติรมีซี

การละหมาดให้แก่ศพ

เล่าจากอบีฮุรอยเราะห์  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  เมื่อพวกท่านได้ละหมาดศพท่านทั้งหลายจงขอดุอาอฺด้วยความบริสุทธิ์ใจ 

รายงานโดย  อบูดาวูด  อิบนุฮิบบาน  และถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจากเขา(อบีฮุรอยเราะห์) ว่า แท้จริงท่านนบี  ซ.ล.   ได้ประกาศข่าวการเสียชีวิตของกษัตริย์  อันนัจญาซี  ในวันที่เขาเสียชีวิต  และท่านได้ออกไปพร้อมด้วยเหล่าอัครสาวก  และได้จัดแถวพวกเขา  และได้กล่าวตักบีรสี่ครั้งให้แก่ศพของเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ตักบีรให้แก่ศพที่อยู่บนคันหาม  ท่านได้ยกมือทั้งสองข้างขึ้นในการตักบีรครั้งแรก  และได้วางมือขวาบนมือซ้าย[219]

รายงานโดย  ติรมีซี และดารุกุตนี

และตอลฮะห์ บินของอับดิลลาห์ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้ละหมาดข้างหลัง อิบนิ อับบาสให้แก่ศพบนคันหามศพหนึ่ง  ท่านได้อ่านฟาติฮะห์  แล้วท่านได้กล่าวว่า  ให้พวกเราจงรับรู้ว่ามันเป็นแนวทางที่ควรสรรเสริญ 

รายงานโดย บุคอรี อบูดาวูด ติรมีซี และนาซาอี

ส่วนตัวบทของนะซาอีว่า ท่านได้อ่านฟาติฮะห์และซูเราะห์หนึ่ง โดยท่านได้อ่านดัง เมื่อเสร็จท่านได้กล่าวว่า  เป็นซุนนะห์และเป็นสิทธิ 

และรายงานโดย  ดารุกุตนี

เล่าจากเอาฟ์  บินมาลิก ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ได้ละหมาดให้แก่ศพหนึ่ง  ข้าพเจ้าได้จดจำดุอาอฺของท่านว่า  ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดอภัยให้แก่เขาได้โปรดเมตตาเขา  ได้โปรดให้ความผาสุกแก่เขา  ได้โปรดยกโทษให้แก่เขา  ได้โปรดต้อนรับเขาอย่างดี  ได้โปรดให้หลุมศพของเขากว้างขวาง  ได้โปรดชำระล้างเขาด้วยน้ำ  น้ำแข็งและลูกเห็บได้โปรดให้เขาสะอาดบริสุทธิ์จากบาป  เหมือนอย่างที่ท่านได้ทำความสะอาดผ้าสีขาวจากสิ่งโสโครก ได้โปรดเปลี่ยนเขาให้ได้อยู่ในบ้านที่ดีกว่าเดิมของเขา   และให้ได้อยู่กับครอบครัวที่ดีกว่าครอบครัวเดิมของเขา  และให้ได้อยู่กับคู่ครองที่ดีกว่าคู่ครองเดิมของเขา   ได้โปรดให้เขาได้เข้าสวรรค์  ได้โปรดป้องกันเขาจากทุกข์ทรมานในหลุมฝังศพ  หรือจากโทษทัณฑ์ของไฟนรก  เขา(เอาฟ์ บิน มาลิก)ได้กล่าวว่า  จนกระทั่งข้าพเจ้าอยากให้ตัวของข้าพเจ้าเป็นศพนั้นเสียเอง 

รายงานโดย  มุสลิม ติรมีซี และนาซาอี

เล่าจากอบีฮุรอยเราะห์  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ได้ละหมาดให้แก่ศพหนึ่ง  แล้วท่านได้กล่าวว่า  ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์  ได้โปรดอภัยโทษแก่คนเป็นของเราและคนตายของเรา  เด็กของเราและผู้ใหญ่ของเรา  ผู้ชายของเราและผู้หญิงของเรา  คนที่อยู่ปรากฏตัวอยู่  ณ  ที่นี้ของเรา  และคนที่ไม่ได้ปรากฏตัวอยู่  ณ  ที่นี้  ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์  ท่านได้ให้เขามีชีวิตอยู่เป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา  ดังนั้นท่านจงให้เขามีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่งโดยตั้งมั่นอยู่บนอีหม่าน  และผู้ใดที่ท่านได้ให้เขาเสียชีวิตไปจากพวกเรา  ขอท่านได้โปรดให้เขาเสียชีวิตอยู่บนศาสนาอิสลาม  ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์  ท่านอย่าหวงห้ามพวกเราต่อผลบุญของเขา  และอย่าได้ให้พวกเราหลงผิดหลังจากเขาได้จากไป 

รายงานหะดีษโดย อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และตามรายงานของอบีดาวูดและนาซาอีว่า  ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์  ท่านเป็นผู้อภิบาลของเขา  ท่านได้สร้างเขาขึ้นมา  และท่านได้แนะแนวทางที่ถูกต้องแก่เขา  ได้ให้นับถือศาสนาอิสลาม  และท่านได้เก็บวิญญาณของเขาไป  ท่านเป็นผู้รอบรู้ยิ่งในสิ่งที่เร้นลับของเขา  และในสิ่งที่เปิดเผยของเขา  พวกเรามาในฐานเป็นผู้ขอความช่วยเหลือ  ดังนั้นขอท่านได้โปรดอภัยโทษให้แก่เขา

เล่าจากอบีสะอีด  อัลมักบุรี  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้ถามท่านอบีฮุรอยเราะห์ว่าท่านละหมาดให้แก่ศพอย่างไร  ท่านได้ตอบว่า  ข้าพเจ้าขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า  ข้าพเจ้าจะบอกท่าน  ข้าพเจ้าได้ติดตามศพตั้งแต่ออกจากบ้าน(ครอบครัวของเขา)  เมื่อศพถูกวางลงข้าพเจ้าได้ตักบีร ได้สรรเสริญอัลลอฮ์  ได้ขอพรให้แก่นบีของพระองค์  แล้วข้าพเจ้าจะกล่าวว่า  ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์  ความจริงเขาเป็นบ่าวของท่าน  เป็นบุตรของบ่าวของท่าน  เป็นบุตรของบ่าวหญิงของท่าน  เขาเคยให้สัตย์ปฏิญาณว่า  ไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักการะนอกจากท่าน  และแท้จริงมุฮัมมัดเป็นบ่าวของท่าน  และเป็นทูตประกาศศาสนาของท่าน  และท่านก็ทราบเกี่ยวกับตัวเขาได้ดี  ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์  ถ้าหากเขาเป็นคนดีของท่านได้โปรดเพิ่มพูนความดีให้เขา  แต่ถ้าหากเขาเป็นคนชั่ว  ก็ขอท่านได้โปรดอภัยจากความชั่วต่างๆของเขา  ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์  ท่านอย่ากีดกันพวกเราจากผลบุญของเขา  และอย่าให้พวกเราประสบกับความปั่นป่วนวุ่นวายหลังจากเขาได้จากไป 

รายงานโดยอิหม่ามสองท่าน  คือมาลิกและชาฟีอี ร.ฎ.

ต้องละหมาดให้ศพ (ที่เป็นทารก) ถ้าหากรู้ว่ามีชีวิตขณะคลอด

เล่าจากอัลมุฆีเราะห์  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ผู้ขับขี่ให้ตามหลังศพส่วนคนเดินเท้าให้เดินตามแต่ต้องการ[220] และศพทารกนั้นต้องทำพิธีละหมาดให้ 

รายงานหะดีษโดย อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และอบูดาวูดได้รายงานเพิ่มเติมว่า  ศพทารกที่คลอดก่อนกำหนด(แท้ง)  ต้องทำพิธีละหมาดให้  และขอดุอาอฺให้แก่บิดามารดาของเขา  ด้วยการอภัยและความเมตตา  และตามรายงานของติรมีซีว่า  ศพทารกนั้นไม่ต้องทำพิธีละหมาดให้  ไม่ได้รับมรดกและไม่ถูกรับมรดกเว้นแต่จะรู้ว่ามีชีวิต[221] ท่านหะซันได้กล่าวว่า  ให้อ่านให้ศพที่เป็นทารกด้วยฟาติฮะห์  และให้กล่าวว่า  ข้าแต่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดให้เขาเป็นมิ่งขวัญ  เป็นผู้ที่คอยเราอยู่ข้างหน้าและเป็นผลบุญให้แก่พวกเรา 

รายงานโดย  บุคอรี

คุณค่าของการละหมาดให้แก่ศพ  และตำแหน่งที่ยืนของผู้ละหมาด

เล่าจากอบีฮุรอยเราะห์  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ผู้ใดปรากฏตัวอยู่กับศพจนได้ละหมาดให้ศพ  เขาจะได้รับผลบุญหนึ่งกีรอต  และผู้ใดปรากฏตัวอยู่กับศพจนศพถูกฝัง  เขาจะได้รับผลบุญสองกีรอต  มีผู้ถามว่า  สองกีรอตนั้นเท่าใด  ท่านนบีตอบว่าเหมือนภูเขาใหญ่ๆ สองลูก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ในบางรายงานว่า  อย่างเล็กที่สุดของถูเขาสองลูกนั้นก็ขนาดภูเขาอุฮุด[222]

และได้เคยปรากฏว่าท่านอิบนุ อุมัร ละหมาดให้แก่ศพ  หลังจากนั้นท่านก็กลับบ้านเมื่อท่านได้ทราบหะดีษที่เล่าโดยอบูฮุรอยเราะห์(เกี่ยวกับผลบุญดังกล่าว  ท่านได้กล่าวว่า  ความจริงเราพลาดไปหลายกีรอต

เล่าจากซามูเราะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้ละหมาดศพหญิงคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตเนื่องจากการคลอดบุตร  ข้างหลังท่านนบี  ซ.ล.    ท่านได้ยืนละหมาดตรงกลางลำตัวของหญิงนั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอบีฆอลิบ  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้ละหมาดร่วมกับท่านอะนัส บินมาลิก ให้แก่ศพชายผู้หนึ่ง  ท่านได้ยืนตรงกับศีรษะศพชายผู้นั้น[223] ต่อมาพวกเขาได้นำศพหญิงคนหนึ่งจากเผ่ากุเรซมา  แล้วพวกเขาได้กล่าวว่า  โอ้ อบาฮัมซะห์  จงละหมาดให้แก่ศพหญิงผู้นี้ท่านได้ยืนตรงกับเอวของผู้หญิงผู้นั้น  ต่อจากนั้นท่าน อัลอะลาอฺ บินซิยาด  ได้กล่าวแก่ท่านอะนัสว่าอย่างเดียวกันนี่แหละ  ข้าพเจ้าได้เห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ยืนละหมาดให้แก่ศพที่เป็นผู้หญิงที่เดียวกับที่ท่านยืน  และได้ยืนละหมาดให้แก่ศพที่เป็นผู้ชายที่เดียวกับที่ท่านยืน  ท่านอะนัสได้กล่าวว่า  ถูกต้องแล้วและเมื่อได้ละหมาดเสร็จท่านได้กล่าวว่า  ท่านทั้งหลายจดจำไว้ 

รายงานโดย อบูดาวูด ติรมีซี และอะห์มัด

ละหมาดคนตายในมัสญิด

เล่าจากอบีซาลาม  บินอับดีรเราะห์มาน  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  เมื่อซะอ์ดิ บิน อบีวักกอสได้เสียชีวิต  ท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า  ท่านทั้งหลายจงนำศพเขาเข้าไปในมัสญิด  เพื่อข้าพเจ้าจะได้ละหมาดให้แก่ศพเขาด้วย  แต่ท่านหญิงอาอิชะห์ถูกปฏิเสธ  ท่านหญิงอาอิชะห์จึงได้กล่าวว่า  มนุษย์ช่างลืมเร็วจริงหนอ  ขอสาบานต่ออัลลอฮ์  แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ละหมาดให้ศพสองศพที่เป็นบุตรบัยดออฺในมัสญิด  ศพทั้งสองนั้นคือ  สุฮัยส์กับน้องชายของเขา[224]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

อนุญาตให้ละหมาดศพบนหลุมฝังศพ  และศพที่อยู่ที่อื่น(ฆออิบ)

เล่าจากอบีฮุรอยเราะห์  ร.ฎ. ว่า  แท้จริงหญิงผิวดำคนหนึ่งที่เคยทำหน้าที่เก็บกวาดมัสญิดหรือเด็กหนุ่มคนหนึ่ง(ที่เคยทำหน้าที่เก็บกวาดมัสญิด)  ได้หายหน้าไปจากท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ท่านจึงได้ถามถึงหญิงผู้นั้นหรือเด็กหนุ่มผู้นั้น  พวกเขาตอบว่า  ได้เสียชีวิตไปแล้ว  ท่านได้กล่าวว่า  ทำไมพวกท่านจึงไม่บอกให้ข้าพเจ้ารู้  ผู้เล่าได้กล่าวว่า  คล้ายกับพวกเขาเหล่านั้นเห็นว่าหญิงผิวดำหรือเด็กหนุ่มผู้นั้นไม่ใช่เป็นคนสำคัญ(จึงไม่ได้แจ้งให้ท่านนบีทราบ)  ท่านนบีจึงได้กล่าวว่า  พวกท่านจงชี้ให้แก่ข้าพเจ้าว่าหลุมฝังศพของหล่อนอยู่ที่ใด  พวกเขาจึงได้ชี้ให้แก่ท่าน ท่านได้ละหมาดให้แก่ศพนั้น[225] หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า  หลุมฝังศพเหล่านี้เต็มไปด้วยความมีดที่เป็นอันตราย  และแท้จริงอัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกระ  จะให้แสงสว่างที่เป็นประโยชน์แก่พวกเขา  ด้วยการละหมาดของข้าพเจ้าให้แก่พวกเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  แท้จริงในวันนี้คนดีคนหนึ่งแห่งฮะบัซ[226]  ได้เสียชีวิต  ดังนั้นท่านทั้งหลายจงมาร่วมละหมาดให้แก่ศพของเขา  ท่านญาบิรได้กล่าวว่า  พวกเราได้ตั้งแถว  และท่านนบี  ซ.ล.   ได้ละหมาดให้แก่ศพของเขาพร้อมกับพวกเราอีกหลายแถว  ท่านญาบิรได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าอยู่ในแถวที่สองหรือแถวที่สาม[227]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การละหมาดครั้งเดียวให้แก่ศพหลายศพถือว่าใช้ได้

เล่าจากอัมมาร  ทาสของอัลฮาริษ  บินเนาฟัล  ร.ฎ. ว่าเขาได้ร่วมในพิธีศพของอุมมุกัลซูม  และบุตรชายของหล่อน  เขาได้นำศพของเด็กชายมาวางไว้ติดกับอิหม่าม  ข้าพเจ้าได้ปฏิเสธการทำเช่นนั้น  และในจำนวนผู้มาร่วมในพิธีศพก็มีท่านอิบนุ อับบาส  ท่านอบูซะอีด อัลคุตรี  ท่านอบูกอตาดะห์  และท่านอบูฮุรอยเราะห์  พวกเขากล่าวว่า  อย่างนี้แหละเป็นซุนนะห์ 

รายงานโดย  อบูดาวูด และนาซาอี

และท่านอิบนุยุรอยจ์ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้ยินท่านนาเฟียอฺกล่าวว่า  แท้จริงท่านอิบนุ อุมัรได้ละหมาดให้แก่ศพเก้าศพในคราวเดียวกันทั้งหมด  โดยท่านได้จัดให้ศพผู้ชายอยู่ติดกับอิหม่าม  และให้ศพผู้หญิงอยู่ติดทางด้านทิศกิบลัต  และท่านได้จัดศพผู้หญิงอยู่ในแถวเดียวกัน 

รายงานโดย  นาซาอี

การละหมาดศพที่มีแถวคนละหมาดมากๆ  เป็นที่หวังว่าจะถูกรับไว้พิจารณา

เล่าจากมาลิก  บินฮุบัยเราะห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ไม่มีศพใดที่เสียชีวิตแล้วมีผู้ละหมาดให้แก่เขาสามแถวจากมุสลิม  นอกจากอัลลอฮ์จะต้องให้เขาได้เข้าสวรรค์  ท่าน(มาลิก)บินฮุบัยเราะห์ได้กล่าวว่า  ปรากฏว่ามาลิกนั้น  เมื่อพบว่ามีผู้มาร่วมพิธีศพน้อย  ท่านจะแบ่งผู้มาร่วมพิธีนั้นออกเป็นสามแถว(เพื่อละหมาด)  เพราะหะดีษบทนี้ 

รายงานโดย  อบูดาวูด  และติรมีซี

เล่าจากอาอิชะห์  ร.ฎ.   จากท่านนบีได้กล่าวว่า  ไมมีศพใดที่เสียชีวิตแล้วมีประชากรมุสลิมกลุ่มหนึ่งที่มีจำนวนหนึ่งร้อยคน  ละหมาดให้แก่ศพเขา  โดยทุกคนขอพรให้เขาเว้นแต่อัลลอฮ์จะรับคำขอพรจากพวกเขา  รายงานโดย  มุสลิม  ติรมีซีและนาซาอี

เล่าจากอิบนิอับบาส  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ไม่มีผู้ชายมุสลิมคนใดที่เสียชีวิต  และมีผู้ยืน(ละหมาด)ให้แก่เขาจำนวนสี่สิบคน  โดยพวกเขาไม่ได้นำสิ่งใดๆมาเป็นภาคีกับอัลลอฮ์  เว้นแต่อัลลอฮ์จะให้พวกเขาได้ช่วยเหลือศพนั้น  รายงานโดย  มุสลิมและอบูดาวูด

และท่านอิหม่ามมาลิก ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้ทราบว่าท่านนบี  ซ.ล.   เสียชีวิตในวันจันทร์  และถูกนำไปฝังในวันอังคาร  ประชาชนได้ละหมาดให้แก่ศพของท่าน  โดยต่างคนต่างละหมาด   ไม่มีผู้นำละหมาด  เพราะเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ที่ได้เกิดขึ้นกับพวกเขา  และเพราะในขณะนั้นยังไม่มีคอลีฟะห์

คำสรรเสริญศพของมวลมุสลิมถูกรับพิจารณา

เล่าจาก อะนัส  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  ได้มีศพบนคันหามถูกยกผ่านมาก ได้มีผู้กล่าวคำสรรเสริญ แก่ศพนั้นด้วยคุณงามความดี (ของเขา) ท่านนบีของ อัลลอฮ์ได้กล่าวว่า  ได้แน่ ได้แน่ ได้แน่ และได้มีศพบนคันหามถูกยกผ่านมาอีก ได้มีผู้กล่าวคำประณามถึงความเลว(ของเขา) ท่านนบีของ อัลลอฮ์  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ได้แน่ ได้แน่ ได้แน่ ท่านอุมัรได้กล่าวว่า  บิดา และมารดาของข้าพเจ้าเป็นค่าไถ่แก่ท่าน  อะไรที่ท่านกล่าวว่าได้แน่ ? ท่านเราชูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ผู้ที่พวกท่านกล่าวคำสรรเสริญความดีของเขานั้น เขาได้เข้าสวรรค์แน่ และผู้ที่ พวกท่านกล่าวคำประณามถึงความเลวของเขานั้น เขาได้เข้านรกแน่ พวกท่านคือพยานของอัลลอฮ์ในหน้าพื้นแผ่นดิน พวกท่านคือพยานของอัลลอฮ์ในหน้าพื้นแผ่นดิน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และตัวบทของติรมีซีว่า  มวลมลาอิกะห์คือพยานของอัลลอฮ์บนฟากฟ้า ส่วนพวก ท่านเป็นพยานของ อัลลอฮ์ในหน้าพื้นแผ่นดิน

เล่าจากอบีอัลอัสวัด  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้เข้ามายังนครมะดีนะห์และได้เกิดโรค (ระบาด) ขึ้นที่นครมะดีนะห์ ต่อมาข้าพเจ้าได้นั่งอยู่กับท่านอุมัร  ร.ฎ.  ได้มีศพบนคันหามผ่าน พวกเขา(เหล่าอัครลาวก)ไป ได้มีผู้กล่าวคำสรรเสริญศพนั้นถึงความดีของเขา ท่านอุมัรกล่าวว่า  ได้แน่ ต่อมาก็มีศพบนคันหามถูกนำผ่านมาอีกก็ได้มีผู้กล่าวคำสรรเสริญศพนั้นถึงความดีของ เขา ท่านอุมัรกิได้กล่าวว่า  ได้แน่ ต่อมาศพที่สามก็ถูกยกผ่านมา ก็มีผู้กล่าวคำประณามศพนั้น ถึงความชั่วของเขา ท่านอุมัรกิได้กล่าวว่า ได้แน่ ท่าน อบูอัลอัสวัดได้กล่าวว่า อะไรที่ว่าได้แน่ โอ้ท่านผู้นำของมวลมุอฺมิน ท่านอุมัรได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้กล่าวเหมือนกับที่ท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวไว้ว่า มุสลิมคนใดที่มีคนสี่คนเป็นพยานให้เขาว่า “ดี” อัลลอฮ์จะให้เขาได้เข้าสวรรค์ ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า  (ถ้ามีเพียง) สามคน ท่านตอบว่า สามคน(ก็เช่นเดียวกัน) ข้าพเจ้าได้กล่าว ว่า  (ถ้ามีเพียง)สองคน ท่านตอบว่า สองคน(ก็เช่นเดียวกัน) หลังจากนั้นพวกเราไม่ได้ถามเขา(อุมัร) ถึง(คนที่มีพยานรับรองเพียง)คนเดียว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี  ติรมิซี และนะซาอี

ไม่ต้องละหมาดให้คนที่ฆ่าตัวตาย

เล่าจากญาบิร บินะซามุเราะห์  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ได้มีผู้นำชายคนหนึ่งที่เขาฆ่าตัวตายโดย ใช้หอกสั้น ปรากฏว่าท่านนบีไม่ได้ละหมาดให้แก่ศพชายผู้นั้น

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

ให้รีบจัดการศพแลการเสียชีวิตในต่างแดน

เล่าจากอลี  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  โอ้ อลี สามสิ่งนี้ท่านอย่าทำล่าช้า คือ ละหมาดเมื่อถึงเวลา ศพบนคันหามเมื่อพร้อมแล้ว และผู้หญิงหม้าย เมื่อท่านได้พบคนที่คู่ควรแก่หล่อน

รายงานโดย ติรมิซี อะห์มัด และฮากีม

เล่าจากอับดิลลาห์ บินอัมร์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ได้มีชายคนหนึ่งเสียชีวิตที่นครมะดีนะห์เขาเป็นบุคคลที่เกิดที่นครมะดีนะห์ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ได้ละหมาดให้แก่ศพเขาหลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า  โอ้ คิดว่าเขาคงจเสียชีวิตในดินแดนที่ไม่ใช่เป็นแหล่งกำเนิดของเขา พวกเขา(เหล่าอัครสาวก) ได้ถามว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านได้กล่าวว่า  แท้จริงชายคนหนึ่งเมื่อเขาเสียชีวิตในดินแดนที่ไม่ใช่เป็นแหล่งกำเนิดของเขา เขาจะวัดพื้นที่ในสวรรค์ให้แก่เขาเท่ากับระยะทางตั้งแต่ถิ่นที่เขาเกิดจนถึงถิ่นที่เขาตาย

รายงานโดย นาซาอี

ตอนที่ห้า

ระเบียบการเดินร่วมขบวนศพ

เล่าจากอัลบะรออฺ  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  ท่านนบี  ซ.ล.   ได้ใช้พวกเราเจ็ดประการ และได้ห้ามพวกเราเจ็ดประการ ได้ใช้พวกเราให้ติดตามศพ  ให้เยี่ยมผู้ป่วย ให้ตอบรับคำเชิญ ให้ช่วยผู้ถูกข่มเหง ให้ปฏิบัติตามคำสาบาน(ที่ปรารถนาดีของผู้อื่น) ให้ตอบสลามและให้ตอบคำของคนที่จะาม และได้ห้ามพวกเราจากการใช้ภาชนที่ทำด้วยเงิน ห้ามใช้แหวนทองคำ ผ้าไหมเนื้อ ละเอียด ผ้าไหมชนิดเลว และผ้าไหมเนื้อหยาบ และจากที่รองนั่งของผู้ขับขี่ทำด้วยผ้าไหม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอิบนิอุมัร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้เห็นท่านนบี  ซ.ล.   ท่านอบูบักร์ และท่านอุมัรได้เดินข้างหน้าศพที่อยู่บนคันหาม  

รายงานหะดีษโดย อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี อะห์มัด และอิบนุฮิบบาน ถือว่าเป็นหะดีษที่เศาะฮีหะห์

เล่าจากอัลมุฆีเราะห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ผู้ที่อยู่บนพาหนให้เดินข้างหลังศพ คนเดินเท้าให้เดินข้างหลัง ข้างหน้า ข้างขวาและข้างซ้ายศพ โดยให้อยู่ใกล้ๆ ศพ

รายงานหะดีษโดย อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี และฮากิมถือว่าเป็นหะดีษที่เศาะฮีหะห์

เล่าจากญาบิร บินะซามุเราะห์  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  เขาได้นำม้าที่ไม่ได้ใส่อานมาให้ท่านนบี  ซ.ล.   และท่านได้ขี่มัน ขณะที่ท่านกลับจากงานศพของท่านอิบนุ อัดดะฮ์ดาฮ์ ส่วนพวกเราเดิน อยู่รอบๆ ท่าน

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอบีฮุรอยเราะห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงรีบพาศพเดินไปเร็วเพราะถ้าหากศพนั้นเป็นคนดี ดังนั้นความดีก็คือสิ่งที่พวกท่านกำลังนำศพไปหา และถ้าหากศพนั้นไม่เป็นเช่นนั้น ดังนั้นความชั่วก็คือสิ่งที่พวกท่านจะได้ปล่อยลงจากต้นคอของพวกท่าน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอุยัยนะ บินอับดิรเราะห์มาน จากบิดาของเข  ร.ฎ.  ว่า ความจริงเขาได้เข้าร่วม ในพิธีศพของอุสมานบินอบี อัลอาส  และพวกเราได้เดินกันไปอย่างเร็ว ๆ จนกระทั่งท่านอบูบักร์เราะห์ได้เดินตามมาทันพวกเรา ท่านได้ส่งเสียงโดยได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าพบว่า พวกเราในสมัย ที่อยู่กับท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   นั้น พวกเราวิ่งเหยาๆ

รายงานโดย อบูดาวูด และนาซาอี

เล่าจากอุมมุ อะตียะห์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราถูกห้ามติดตามศพ แต่มิใช่ตกหนัก เหนือพวกเรา[228]  

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด

เล่าจากอบี สะอีด  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  เมื่อศพถูกวางลง (บนคันหาม) และพวกผู้ชายได้แบกศพนั้นไว้บนบ่าของพวกเขา ถ้าหากศพนั้นเป็นศพของคนดี ศพนั้นจะกล่าวว่า  จงนำฉันไปก่อน แต่ถ้าหากศพนั้นเป็นศพของคนชั่ว  ศพนั้นก็จะกล่าวว่า พินาศแล้ว พวกเขาจะเอาศพไปไหน เสียงของศพนั้นสรรพสิ่งต่างๆ จะได้ยินทั้งหมดนอกจากมนุษย์ และถ้าหากมนุษย์ได้ยินเสียงนั้น ก็คงจะตายด้วยความตกใจ

รายงานโดย บุคอรี และนาซาอี

มลาอิกะห์จเข้าร่วมในขบวนศพ

และสิ่งที่จะอยู่กับศพก็คือผลจากการกระทำของเขา

เล่าจากเซาบาน  ร.ฎ.  ว่า แท้จริงท่านนบี  ซ.ล.   นั้น ได้มีผู้นำสัตว์พาหนมาให้ท่าน โดยที่ท่านอยู่ร่วมกับศพ ท่านได้ปฏิเสธที่จะขึ้นขี่ เมื่อท่านได้กลับไปแล้วได้มีผู้นำสัตว์พาหนมาให้ท่าน และท่านได้ขึ้นขี่  จึงได้มีผู้ถามท่าน[229]  ท่านได้ตอบว่า  แท้จริงมวลมลาอิกะห์เดิน ดังนั้น ข้าพเจ้าจะไม่ขี่พาหน ในขณะที่พวกเขากำลังเดิน เมื่อพวกเขาได้ไปแล้วข้าพเจ้าจึงได้ขึ้นขี่สัตว์ พาหน

รายงานโดย อบูดาวูด

และท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ได้ออกไปร่วมในพิธีศพ ท่านได้เห็นพวกที่ขี่สัตว์พาหน (ร่วมในขบวนศพ) ท่านจึงได้กล่าวว่า พวกท่านไม่อายหรือ แท้จริงมวลมลาอิกะห์เดินเท้า แต่พวกท่านอยู่บนหลังสัตว์

รายงานโดย ติรมีซี และอิบนุมายะห์

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  สามสิ่งจะติดตามไปกับศพ และจะกลับมาสองสิ่ง จอยู่กับศพเพียงสิ่งเดียว ครอบครัว ทรัพย์สมบัติ และผลจากการกระทำของเขาจะติดตามเขาไป ครอบครัวและทรัพย์สินของเขาจะกลับมา ส่วนผลจากการกระทำของเขา นั้นจะอยู่(กับเขา)

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และติรมีซี

การยืนให้เกียรติแก่ศพ

เล่าจากอบีสะอีด  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  เมื่อพวกท่านเห็นศพท่านทั้งหลายจงลุกขี้นยืน และผู้ใดที่ติดตามศพ เขาอย่านั่งจนกว่าศพจะถูกวางลง และในบางรายงาน ว่า  เมื่อพวกท่านเห็นศพ ท่านทั้งหลายจงลุกขึ้นยืน จนกว่าศพนั้นจะผ่านพวกท่านไป หรือจนกว่าศพนั้นจะถูกวางลง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  มีศพหนึ่งผ่านมา  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้ลุกขึ้นยืนให้เกียรติแก่ศพนั้น และพวกเราก็ได้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับท่าน พวกเราจึงได้กล่าวว่า  โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ความจริงศพนั้นเป็นศพของผู้หญิงชาวยิว ท่านได้กล่าวว่า แท้จริงความตายนั้น เป็นสิ่งที่น่าพรั่นพรึง เมื่อพวกท่านเห็นศพจงลุกขึ้นยืน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด และนะซาอี 

เล่าจากอลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  พวกเราได้เห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ลุกขึ้นยืน พวก เราจึงได้ลุกขึ้นยืนตาม และ(เมื่อ) ท่านนั่งลงพวกเราก็ได้นั่งลงตาม

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

หลุมศพ การฝัง และเวลาฝัง

อัลลอฮ์ ตาอาลาได้กล่าวว่า  ต่อมาพระองค์(อัลลอฮ์ )ก็ได้ให้เขา(มนุษย์) ตายและได้ให้เขาอยู่ในหลุมศพ หลังจากนั้นเมื่อพระองค์มีพระประสงค์ ก็จะได้บังเกิดเขาขึ้นมาอีกครั้ง หนึ่ง

เล่าจากอิบนิอับบาส  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า หลุมละฮัด [230] นั้นเป็นหลุม ฝังศพของพวกเรา แลการเซากลางหลุมนั้น เป็นหลุมฝังศพของพวกอื่น[231] รายงานโดย  เจ้าของสุนันและอะห์มัด  

ท่านสะอ์ดิ บินวักกอส  ร.ฎ.  ได้กล่าวในการป่วย  ซึ่งเป็นวารสุดท้ายแห่งชีวิตของท่าน ว่า  ท่านทั้งหลายจงขุดหลุมละฮัดให้แก่ข้าพเจ้าหลุมหนึ่ง และจงเอาอิฐดิบก่อปิดปากหลุมชั้นในเหมือนอย่างที่เขาได้ทำให้กับท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.    

รายงานโดย มุสลิม นาซาอี และอะห์มัด

เล่าจากอบีอัลหัยยาจ  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านอลี บิน อบีตอลิบได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า  ได้โปรดรับทราบว่า ข้าพเจ้าจะแต่งตั้งท่านตามสิ่งที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ได้เคยแต่งตั้งข้าพเจ้านั้นก็คือท่านจะต้องไม่ปล่อยให้มีรูปเคารพเหลืออยู่ นอกจากท่านจะต้องทำลายมัน และจะต้อง ไม่ปล่อยให้มีหลุมฝังศพที่ก่อสูงขึ้นมา  นอกจากท่านจะต้องทำให้มันเรียบ

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากฟะดอลห์  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ใช้ให้เกลี่ย หลุมฝังศพให้เสมอกับพื้น  

รายงานโดย มุสลิม และอบูดาวูด

เล่าจากฮิซาม บินอุรวะห์  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  พวกอันซอรได้มาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ในวันสงครามอุฮุด โดยพวกเขาได้กล่าวว่า  พวกเราต้องประสบกับความเหน็ดเหนื่อย อย่างที่สุด[232] ท่านจะโปรดว่าอย่างไร ท่านได้กล่าวว่า  ท่านทั้งหลายจงขุดหลุมให้ลึกแลกว้าง และจงฝังศพผู้ชายสองและสามคนในหลุมเดียวกัน ได้มีผู้ถามว่า จะเอาใครฝังก่อน ท่านตอบ ว่า  คนที่ท่องอัลกุรอานจำมากที่สุด

รายงานหะดีษโดย อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอัลมุตตอลิบ บิน อบีวดาอห์  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า เมื่อท่านอุสมาน บิน มัซอูน ได้เสียชีวิต ได้มีผู้นำศพของท่านออกมาฝัง ต่อมาท่านนบี  ซ.ล.   ได้ใช้ให้ผู้ชายคนหนึ่งไปนำหิน มาให้ท่าน แต่ชายคนนั้นแบกไม่ไหว ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. จึงได้ลุกขึ้นไป และได้กางแขนทั้งสองข้างของท่านออก และยกหินก้อนนั้นมาวางไว้ทางด้านศีรษะของอุสมาน บิน มัซอูน พร้อมทั้ง กล่าวว่า  เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้จักหลุมฝังศพน้องชายของข้าพเจ้าโดยสังเกตจากก้อนหินนี้ และ ข้าพเจ้าจะได้นำคนในครอบครัวของข้าพเจ้าที่เสียชีวิตมาฝังใกล้ๆ   หลุมศพของเขา                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                        

เล่าจากอบีอิสฮาก  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านฮาริษได้สั่งเสียให้ท่านอับดุลเลาะห์ บิน ยะซีด ละหมาดให้แก่ศพของท่าน ต่อมาท่านอับดุลเลาะห์ก็ได้ละหมาด และนำศพของท่านฮาริษไปฝังโดยนำศพเข้าทางด้านตีนหลุม พร้อมทั้งกล่าวว่า นี่เป็นซุนนะห์[233]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อบูดาวูด

เล่าจากอิบนิอุมัร  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล.   เมื่อท่านได้วางศพลงในหลุมแล้วท่านได้กล่าวว่า ด้วยนามของอัลลอฮ์และดำเนินตามแนวทางของเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.    

รายงานหะดีษโดย อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ส่วนตัวบทของติรมีซีว่า  ด้วยนามของอัลลอฮ์  และด้วยอัลลอฮ์และดำเนินตาม แนวทางของเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  

เล่าจากอุกบะห์ บินอามิร  ร.ฎ.  กล่าวว่า สามช่วงเวลาที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์[234]ซ.ล.   เคยห้ามพวกเราละหมาด หรือฝังศพคนตายของพวกเราในช่วงเวลาทั้งสามนั้น คือ ในขณะที่ตะวันขึ้นจนสูงชั่วด้ามหอก  ในขณะที่ตะวันตรงหัวจนตะวันคล้อย  และในขณะที่ตะวันโพล้เพล้จนถึงตะวันตก 

รายงามโดย ห้าคน นอกจากบุคอรี

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ประชาชนได้และเห็นไฟในสถานที่ใช้ฝังศพ พวกเขาจึง ได้พากันมาที่ไฟนั้น โดยที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   อยู่ที่หลุมฝังศพนั้น และท่านได้กล่าวว่า  ท่านทั้งหลายจงให้ข้าพเจ้าได้จับเพื่อนของพวกท่าน[235] บังเอิญปรากฏว่าศพนั้นคือศพของผู้ชายที่เคย ส่งเสียงดังในการ[236] ซิกร์

รายงานโดย อบูดาวูด และติรมีซี

ส่วนตัวบทของติรมีซีว่า   ท่านนบี (ซ.ล) ได้จับเขาทางด้านกิบลัตพร้อมกับได้กล่าวว่า  ขออัลลอฮ์ ได้โปรดเมตตาท่าน  ถ้าหากท่านเป็นคนที่ชอบขอดุอาอฺและชอบอ่านอัลกุรอาน (คนนั้น)

ไม่อนุญาตให้ตบแต่ง ก่อ และนั่งบนหลุมฝังศพ

 เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ได้ห้ามโบกปูนที่หลุมฝังศพ ได้ห้ามนั่งบนหลุมฝังศพ และ ได้ห้ามก่อบนหลุมฝังศพ[237]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และตัวบทของติรมีซีว่า  ท่านนบี  ซ.ล.   ได้ห้ามโบกปูนหลุมฝังศพ ห้ามจารึกข้อความ บนหลุมศพ[238]  ห้ามก่อสร้างบนหลุมศพ และห้ามเหยียบย่ำบนหลุมศพ

เล่าจากอบีฮุรอยเราะห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  การที่ใครคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านจะนั่งบนถ่านไฟแล้วไหม้ผ้า และทะลุถึงผิวหนังของเขายังดีเสียกว่าการที่เขาจะนั่งบนหลุมฝังศพ[239]

รายงานโดย  มุสลิม อบูดาวูด และนาซาอี

อนุญาตให้เคลื่อนย้ายศพเหมือนกับอนุญาตให้ขุดศพเพราะความจำเป็น

เล่าจากญาบิร  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ได้มีศพของผู้ชายคนหนึ่งลูกฝังพร้อมกับศพบิดาของ ข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่สบายใจจนกระทั่งข้าพเจ้าได้เอาศพของผู้ชายคนนั้นออกไป  และได้นำไปฝังไว้ในหลุมหนึ่งต่างหาก  

รายงานโดย บุคอรี อบูดาวูด และนาซาอี

และอบูดาวูดได้รายงานเพิ่มเติมว่า ข้าพเจ้าได้นำศพของเขาออก(จากหลุมเดียวกัน กับหลุมศพบิดาของข้าพเจ้า) หลังจากหกเดือนได้ผ่านพ้นไป ข้าพเจ้ามิได้ละทิ้งสิ่งใด  จากศพ ของเขา นอกจากเส้นขนจำนวนเล็กน้อยที่เคราของเขา ซึ่งมันติดอยู่กับพื้นดิน

เล่าจากอะนัส  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านนบี  ซ.ล.   ได้มายังนครมดีนะห์ และได้มีคำสั่ง ให้สร้างมัสญิดโดยท่านได้กล่าวว่า โอ้ บนีอันนัจญาร ท่านทั้งหลายจงขายพื้นที่ในรั้วล้อมแห่งนี้ ให้แก่ข้าพเจ้า พวกเขาได้กล่าวว่า ไม่ เราไม่ต้องการราคาของมันเว้นแต่สิ่งตอบแทนจากอัลลอฮ์ ท่านได้ใช้ให้ขุด ศพของพวกมุชริกีนออกจากบริเวณนั้น ต่อมาศพเหล่านั้นก็ถูกขุดออกไป หลังจากนั้นท่านได้ใช้ให้เกลี่ยซากปรักหักพัง และมันก็ได้ลูกเกลี่ยจนเสมอ ต่อมาท่านได้ใช้ ให้ตัดต้นอินทผลัม และมันก็ถูกตัดออกไป และพวกเขาได้นำต้นอินทผลัมที่ตัดออกไปกองไว้ทางด้านกิบลัตของมัสญิด และพวกเขาได้ก่อริมๆ ประตูทั้งสองข้างของมัสญิดด้วยก้อนหิน และพวกเขาก็ได้เริ่มขนย้ายก้อนหินออกไป พร้อมทั้งขับลำนำเป็นกลอนสด โดยมีท่านนบีอยู่ร่วมกับพวกเขา ท่านได้กล่าวว่า  ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์ ไม่มีความดีนอกจากความดีของอาคิเราะห์ ขอพรองค์ได้โปรดอภัยให้แก่พวกอันซอร และพวกผู้อพยพ(มุฮาญิรีน)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์  ร.ฎ.   ได้กล่าวว่า การทำให้กระดูกของศพแตกเหมือนกับ การทำให้แตกในขณะที่ศพนั้นมีชีวิต

รายงานโดย อบูดาวูด และอิบนุมายะห์

เล่าจากอับดิลลาห์ บินอัมร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  พวกเราได้ออกไปยังตออิฟพร้อมกับท่าน นบี  ซ.ล.   พวกเราได้ผ่านหลุมฝังศพแห่งหนึ่ง ท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า นี่คือหลุมฝังศพของอบีริฆอล[240] เขาเคยอยู่ที่แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เพื่อคอยป้องกัน เมื่อเขาออกไปจากแผ่นดิน ศักดิ์สิทธิ์ภัยพิบัติก็ได้เกิดขึ้นกับเขา ซึ่งเป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับประชาชนของเขา ณ สถานที่ แห่งนี้ ศพของเขาจึงลูกฝังอยู่ที่นี่ มีหลักฐานที่ยืนยันอยู่ก็คือศพของเขาถูกฝังไว้พร้อมกับไม้เท้า ทองคำ ถ้าหากพวกท่านขุดศพของเขา พวกท่านก็จะพบไม้เท้าทองคำอยู่กับศพของเขาประชาชนได้รีบพากันขุดและได้นำไม้เท้าทองคำออกมา

รายงานโดย อบูดาวูด

ตอนที่หก

การสอบถามในหลุมฝังศพ และโทษทัณฑ์ภายในหลุมฝังศพ

เล่าจากอัลบะรออฺ  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  เมื่อ (ศพของ) มุอฺมินได้ถูกให้ ลุกขึ้นนั่งภายในหลุมฝังศพของเขา จะมีผู้มาหาเขา[241] หลังจากนั้นเขาให้สัตย์ปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักการะนอกจากอัลลอฮ์  และแท้จริงมุฮัมมัดเป็นทูตประกาศศาสนา  ของอัลลอฮ์[242] และนั่นแหละที่ตรงกับคำของอัลลอฮ์ (ตาอาลา)ที่ว่า พระองค์อัลลอฮ์จะให้บรรดาผู้ศรัทธาสามารถยืนยันด้วยคำพูดที่มั่นคงทั้งในโลกนี้และโลกหน้า(อาคิเราะห์)[243]

เล่าจากอะนัส จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริงบ่าวของอัลลอฮ์นั้น เมื่อถูกวาง ลงในหลุมฝังศพ และมิตรสหายของเขาได้กลับกันหมดแล้ว ความจริงเขาจะได้ยิน (แม้แต่) เสียง รองเท้าของพวกเขาที่กระทบพื้น จะมีมลาอิกะห์สองท่านมาหาเขา แล้วจับเขาลุกขึ้นนั่ง และมลาอิกะห์ทั้งสองท่านก็กล่าวว่า ท่านเคยพูดอย่างไรในตัวชายผู้นี้ หมายถึง มุฮัมมัด ซ.ล.   ส่วนบ่าวของอัลลอฮ์ที่เป็นผู้มีศรัทธา (มุอฺมิน) ก็จะกล่าวตอบว่า ข้าพเจ้าให้สัตย์ปฏิญาณว่า แท้จริงเขาเป็นบ่าวและเป็นทูตประกาศศาสนาของอัลลอฮ์ จะมีผู้กล่าวแก่เขาว่า ท่านจงดู ที่อยู่ของท่านในขุมนรก แท้จริงอัลลอฮ์ได้เปลี่ยนให้ท่านมีที่อยู่ในสวรรค์ เพราะชายผู้นี้ และเขาก็ได้และเห็นสถานที่ทั้งสองแห่งนั้น ส่วนบ่าวของอัลลอฮ์ที่เป็นกาฟิร (ผู้ไม่ศรัทธา) หรือเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก จะมีผู้กล่าวแก่เขาว่า ท่านเคยกล่าวอย่างไรในชายผู้นี้ เขาจะกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่รู้แต่ข้าพเจ้าเคยพูดเหมือนกับที่ผู้คนเขาพูดกัน จะมีผู้กล่าวว่า ท่านไม่รู้และไม่ตาม และเขาจะถูกตีด้วยกรบองใหญ่ที่ทำจากเหล็กครั้งหนึ่ง  เขาจะส่งเสียงร้องขนาดที่ผู้ที่อยู่ใกล้ๆ จะได้ยินนอกจากมนุษย์และญิน

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอัสมาอฺ  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า แท้จริงท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวคำสรรเสริญและเยินยอ เกียรติของพระองค์อัลลอฮ์   ต่อจากนั้นท่านได้กล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่เขาให้ข้าพเจ้าและเห็นเว้นแต่ข้าพเจ้าได้พบเห็นมันในที่ที่ข้าพเจ้ายืนอยู่นี้[244] แม้กระทั่งสวรรค์และนรก และต่อมาได้มีโองการ(วะฮีย์) มายังข้าพเจ้าว่า พวกท่านทั้งหลายจะต้องประสบกับความเลวร้ายในหลุมฝังศพ[245] เช่นเดียวกัน หรือใกล้เคียงกับความเลวร้ายจากจะอมหลอกลวง (ดัจญาล) เขาจะกล่าวว่า ท่านมี ความรู้อะไรเกี่ยวกับชายผู้นี้สำหรับผู้ที่มีศรัทธา (มุอฺมิน) หรือผู้มีความเชื่อมั่นจะกล่าวว่า เขาคือมุฮัมมัดทูตประกาศศาสนาของอัลลอฮ์ เขาได้นำหลักฐานต่างๆ และแนวทางที่ถูกต้องมาสู่พวกเรา และพวกเราได้ตอบรับ (คำเรียกร้องของเขา) และพวกเราได้ปฏิบัติตามเขา เขาคือมุฮัมมัด เขากล่าวย้ำสามครั้ง ก็จะมีผู้กล่าวว่า ท่านจงนอนอย่างเป็นสุขเถิด พวกเรารู้แน่นอนแล้วว่า ท่านเป็นผู้ที่เชื่อมั่นต่อเขา และสำหรับคนหน้าไหว้หลังหลอกมุนาฟิก) หรือผู้ที่มีความคลางแคลงใจ เขาจะกล่าวว่าข้าพเจ้าไม่รู้จักข้าพเจ้าได้ยินประชาชนพูดกันอย่างไร ข้าพเจ้าก็พูดไปอย่างนั้น

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และนาซาอี

เล่าจากอิบนิอุมัร  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ความจริงเมื่อใครคนใดคนหนึ่ง จากพวกท่านได้เสียชีวิต ที่อยู่ของเขาจะถูกฟ้ามาให้เขาเห็นทั้งเวลาเช้าและเวลาเย็น ถ้าหากเขา เป็นชาวสวรรค์ที่อยู่ของเขาก็เป็นของชาวสวรรค์ แต่ถ้าหากเขาเป็นชาวนรกที่อยู่ของเขาก็เป็นของชาวนรก จะมีผู้กล่าวแก่เขาว่า  นี่คือที่อยู่ของท่าน จนกว่าอัลลอฮ์จบังเกิดท่านขึ้นมาใน วันกิยามะห์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอิบนิอับบาส  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า  ท่านนบี  ซ.ล.   ได้เดินผ่านหลุมฝังศพสองหลุม ท่านได้กล่าวว่า  ความจริงเขาทั้งสองกำลังถูกลงทัณฑ์อยู่ เขาทั้งสองมิได้ถูกลงทัณฑ์เพราะเรื่องใหญ่ (ในสายตาของพวกท่าน) ต่อมาท่านได้กล่าวว่า ใช่แล้ว สำหรับคนหนึ่งนั้นเขายุแหย่ให้เกิดความแตกแยก ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นเขาปัสสาวะไม่ทันสุด และในบางรายงานว่า  เขาไม่ระวังในขณะที่ปัสสาวะ[246] (ผู้เล่า) ได้กล่าวว่า หลังจากนั้นท่านได้เอาไม้สดๆ มาดุ้นหนึ่ง[247] และท่านได้ฉีกมันออกเป็นสองซีก แล้วปักแต่ละซีกไว้บนหลุมฝังศพ แล้วท่านก็กล่าวว่า หวังว่ามันคงจทำให้โทษทัณฑ์ของเขาทั้งสองเบาบางลง ตราบใดที่มันทั้งสองยังไม่แห้ง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และตามรายงานของบุคอรี มุสลิม และนาซาอีว่า  ท่านนบี  ซ.ล.   เคยขอดุอาอฺว่า ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์แท้จริงข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยพระองค์ท่านจากโทษทัณฑ์ในหลุมฝังศพ จากโทษทัณฑ์ของไฟนรก จากความเลวร้ายในขณะมีชีวิตอยู่และในขณะเสียชีวิตไปแล้ว และจากความเลวร้ายของจอมหลอกลวงดัจญาล

เล่าจาก ฮานิอฺ ทาสของท่านอุสมาน  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ท่านอุสมานขณะเมื่อยืนอยู่บน หลุมฝังศพหนึ่ง ท่านร้องไห้จนเคราของท่านเปียก ได้มีผู้ถามท่านว่า  ท่านเคยกล่าวถึงสวรรค์ และนรกแต่ท่านไม่ร้องไห้ และทำไมท่านจึงร้องเพราะเหตุนี้ ท่านอุสมานได้กล่าวว่า  แท้จริง ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  แท้จริงหลุมฝังศพนั้นเป็นแหล่งพำนักแรกของอาคิเราะห์ ถ้าหากเขาปลอดภัยจากภัยพิบัติในหลุมฝังศพ สิ่งที่อยู่หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องที่ง่ายกว่า แต่ถ้าหากเขาไม่รอดพ้นจากภัยพิบัติในหลุมฝังศพ สิ่งที่อยู่หลังจากนั้นมันก็ลำบากลำบนยิ่งกว่า ท่านได้กล่าวว่า และท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าไม่เคยพบเห็นภาพใดเลยเว้นแต่หลุมฝังศพจะมีความน่าขยะแขยงยิ่งกว่า

รายงานโดย ติรมีซี

เล่าจาก อบีฮุรอยเราะห์  ร.ฎ.   จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ชีวิตของผู้มิศรัทธา (มุอฺมิน) นั้น ถูกแขวนอยู่ด้วยหนี้สินของเขา จนกว่าหนี้สินนั้นจะถูกชำระสสาง[248] 

รายงานโดย ติรมีซี  อิบนุมายะห์ และอะห์มัด

เล่าจาก อะนัส  ร.ฎ.  ว่า แท้จริงท่านนบี  ซ.ล.   ได้ยินเสียงจากหลุมฝังศพหนึ่ง ท่านได้ถามว่า  คนนี้ตายตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกเขาพากันตอบว่า ตายตั้งแต่อยู่ในสมัยยาฮิลียะห์ (ยุคก่อนอิสลาม)  ท่านได้แสดงความดีใจที่เป็นเช่นนั้น พร้อมทั้งได้กล่าวว่า ถ้าหาก (ข้าพเจ้าไม่กลัวว่า) พวกท่านจะไม่ฝังกันเองแล้ว ข้าพเจ้าจะขอดุอาอฺจากอัลลอฮ์ให้พวกท่านได้ยินการลงโทษ ภายในหลุมฝังศพ

รายงานโดย มุสลิม และนาซาอี

เลาจากอุมัร  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ชายผู้นี้[249] บัลลังก์ (ของพระเจ้า) สั่นสเทือนให้แก่เขา ประตูฟ้าถูกเปิดให้เขา และมลาอิกะห์จำนวนเจ็ดหมื่นได้มาร่วมในพิธีศพ ของเขา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังถูก (หลุมฝังศพ) บีบหนึ่งครั้ง แล้วถูกช่วยให้พ้น (จากการบีบนั้น)

รายงานโดย นาซาอี ในเรื่องนี้  แต่บุคอรีและมุสลิมได้รายงานในเรื่อง อัลฟ่าดออิล

การขอพรให้ศพสามารถตอบคำถาม(ตัซบีต) และสอนศพ(ตัลกีน)[250]

เล่าจากอุสมาน  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี  ซ.ล.   เมื่อเสร็จจาการฝังศพ ท่านได้ยืนที่หลุมฝังศพแล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงวิงวอนขออภัยโทษให้พี่น้องของพวกท่าน และจงขอให้เขาสามารถตอบคำถาม (ของมลาอิกะห์ที่จะมาถาม) เพราะความจริงขณะนี้เขากำลังถูกถาม 

รายงานโดย อบูดาวูด  บัซซาร และฮากิมถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

ตอนที่เจ็ด

การปลอบใจ และเยี่ยมหลุมฝังศพ

เล่าจากอุซามะห์ บิน ซัยด์  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า บินสาวของท่านนบี[251]  ซ.ล.   ได้ส่งข่าวมา ถึงท่านว่า แท้จริงบินของข้าพเจ้าใกล้จะเสียชีวิต[252] จงมาหาเรา ท่านจึงได้ส่งตัวแทนไปกล่าวคำให้สล่ามแลกล่าวว่า    แท้จริงอัลลอฮ์ได้เอาสิงที่เป็นสิทธิของพระองค์ และสิ่งที่พระองค์ประทานให้ ก็เป็นสิทธิของพระองค์ ทั้งหมดล้วนมีกำหนดตายตัว ณ พระองค์ท่าน ตังนั้นจะงอดทนและมุ่งในผลบุญจากพระองค์อัลลอฮ์[253] ต่อมาหล่อนก็ได้ส่งคนให้มาตามตัวท่านอีกโดย หล่อนสาบานว่า ท่านจะต้องไปหาหล่อนให้ได้ท่านจึงได้ลุกขึ้นและไปพร้อมกับศอฺดุ บิน อุบาดะห์ มุอาซ บินญะบัล อุบัย บินกะอฺบฺ ซัยด์ บิน ซาบัติ และพวกผู้ชายอีกหลายคน เขาได้ยกเด็กนั้นไปหาท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.   ในสภาพที่ร่างของเด็กนั้นสั่นเทิ้มเหมือนกับ ถุงใส่น้ำที่เหลือน้ำอยู่เพียงเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองของท่านเอ่อนองด้วยน้ำตา ท่านสะอ์ดิได้กล่าว ว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ นี่หมายความว่าอย่างไร ท่านตอบว่า นี่คือความเมตตาที่อัลลอฮ์มอบไว้ในดวงใจบ่าวของพระองค์ ความจริงบุคคลที่อัลลอฮ์จะเมตตาจากบรรดาบ่าวของพระองค์ คือ บรรดาผู้มีความเมตตา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจาก อับดิรเราะห์มาน บิน อัลกอเซ็ม บิน มุฮัมมัด บิน อบีบักระ  ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า จงให้ภัยพิบัติที่ประสบกับข้าพเจ้าเป็นเครื่องปลอบใจของบรรดามุสลิม ในภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกเขา

รายงานโดย ท่านอิหม่ามมาลิก

เล่าจากอับดิลลาห์ บิน ยะอฺฟัร  ร.ฎ.  ได้กล่าวว่า เมื่อข่าวการตายของยะอฺฟัรมาถึง ท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงทำอาหารให้แก่ครอบครัวของยะอฺฟัร เพราะความ จริงสิ่งที่ทำให้พวกเขาพวงได้เกิดขึ้นกับพวกเขา

รายงานโดย อบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้ปลอบใจผู้ที่ประสบ ภัยพิบิติ เขาจะได้รับผลบุญเช่นเดียวกันกับผู้ที่ประสบภัยพิบัตินั้น

รายงานโดย ติรมิซี อิบนุมายะห์ และฮากีม

การเยี่ยมหลุมฝังศพ และขอพรให้แก่ศพในหลุม 242

เล่าจากสุลัยมาน บิน บุรอยดะห์ จากบิดาของเขา  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าว่า แท้จริงข้าพเจ้าเคยห้ามพวกท่านจากการเยี่ยมหลุมฝังศพ ต่อมาเขาได้อนุญาตให้มุฮัมมัดในการ เยี่ยมหลุมฝังศพมารดาของเขา ดังนั้นท่านทั้งหลายจงไปเยี่ยมหลุมฝังศพ เพราะความจริง หลุมฝังศพนั้นจะทำให้ระลึกถึงวันอาคิเราะห์ รายงานหะดีษโดย มุสลิม อบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี  ส่วนตัวนทเป็นของ ติรมิซี

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์  ร.ฎ.  จากท่านนบี  ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ยิบรีลได้มาหาข้าพเจ้า แล้วกล่าวว่า แท้จริงพระผู้เป็นเจ้าของท่านใช้ท่านให้ไปหาชาวบะเกียอะ (بَقِيْعَ – สวรรค์)[254] เพื่อให้ท่านขออภัย โทษให้แก่พวกเขา ท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะกล่าวให้แก่ พวกเขาอย่างไร โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ท่านได้กล่าวว่า เธอจงกล่าวว่า ขอความสันติสุข จงประสบแด่ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านแห่งนี้ จากพวกผู้ชายและผู้หญิงที่มีศรัทธา และขอพรองค์ อัลลอฮ์ได้โปรดเมตตาแก่พวกเราที่ล่วงหน้าไปก่อน และที่จะติดตามไปในภายหลัง และแน่ แท้พวกเราจะเป็นผู้ที่ติดตามพวกท่านไป ถ้าหากอัลลอฮ์ด้องการ และในบางรายงานว่า ขอความสันติสุขจงประสบแด่พวกท่านทั้งหลาย โอ้เหล่าผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านแห่งนี้จากพวกที่มีศรัทธา และพวกที่ยอมจำนนต่อพระเจ้า (มุอฺมีนและมุสลิมีน) และแน่แท้พวกเรา ถ้าหากอัลลอฮ์ต้องการก็จะติดตามพวกท่านไป ข้าพเจ้าขอวิงวอนต่ออัลลอฮ์ได้โปรดให้อภัยแก่พวกเราและแก่พวกท่าน

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม

เล่าจากอบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.  ได้มาที่สุสาน แล้วท่านได้กล่าว ว่า  ขอความสันติสุขจงประสบแต่พวกท่าน โอ้ผู้ที่อาศัยอยู่ในแหล่งพำนักของพวกที่มีศรัทธา และแน่แท้ถ้าหากอัลลอฮ์ด้องการเราก็ต้องติดตามพวกท่านไป

اَلسلام عليكم دَارَ قَومٍ مُمِنِيْنَ وَ  إنا اِنْشاء الله بِكُمْ لاحِقُوْنَ

อัสลามุ อาลัยกุม ดาเรา เกาะมิล มุอฺมินีน ว อินนา อินชา อัลลอฮุ บิกุม ลาฮิกูน รายงานโดย มุสลิม อบูดาวูด นาซาอี และอะห์มัด

เล่าจากอิบนิอับบาส(ร.ด.)ได้กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้เดินผ่านหลุมฝังศพ แห่งนครมะดีนะห์  ท่านได้หันหน้าไปทางนั้นพร้อมกับกล่าวว่า  ขอความสันติสุขจงประสบแด่พวกท่าน โอ้พวกที่อยู่ในหลุมศพ ขออัลลอฮ์ได้โปรดอภัยให้แก่พวกเราและพวกท่าน พวกท่าน ล่วงหน้าไปก่อน ส่วนพวกเราจะติดตามไป

รายงานโดย  ติรมีซี

และเล่าจากเขา(อิบนิอับบาส) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์ได้สาปแช่ง [255] พวกผู้หญิงที่ไปเยี่ยมหลุมฝังศพ  และพวกที่ยึดเอาที่ฝังศพเป็นมัสยิด (ที่ทำละหมาด) และพวก ที่จุดตะเกียง (บนหลุมฝังศพ )[256]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ท่านนบี ซ.ล.  ได้ไปเยี่ยมหลุมฝังศพมารดาของท่าน

เล่าจากอบีฮุรอยเราะห์ (ร.ด.) ได้กล่าวว่า ะ ท่านนบี ซ.ล.  ได้ไปเยี่ยมหลุมฝังศพมารดา ของท่าน ท่านได้ร้องไห้และทำให้ผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นร้องไห้ไปด้วยกับท่าน ท่านได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ขออนุญาตจากพระผู้อภิบาลของข้าพเจ้าในการที่ข้าพเจ้าจะขออภัยโทษให้แก่มารดา ของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่ได้รับอนุญาต [257]ข้าพเจ้าจึงขออนุญาตเยี่ยมหลุมฝังศพของท่าน และ ข้าพเจ้าก็ได้รับอนุญาต ดังนั้นท่านทั้งหลายจงเยี่ยมหลุมฝังศพเถิด เพราะมันทำให้ระลึกถึง ความตาย รายงานโดย มุสลิม  อบูดาวูดและนาซาอี

บทสุดท้าย

ผู้ตายจะได้รับประโยชน์จากการกระทำของผู้อื่น

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์(ร.ด.)ว่า แท้จริงมีผู้ชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล.  แล้วกล่าว ว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ความจริงมารดาของข้าพเจ้าได้เสียชีวิตไปแล้ว อย่างกระทันหันโดย มิได้สั่งเสียอะไรเลย ข้าพเจ้าคาดว่าถ้าหากมารดาของข้าพเจ้าสามารถพูดได้ ท่านต้องบริจาคทาน อย่างแน่นอน มารดาของข้าพเจ้าจะได้รับผลบุญหรือไม่ ถ้าหากข้าพเจ้าบริจาคทานแทนท่าน ท่านตอบว่า  ได้

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และนาซาอี

เล่าจากอิบนิอับบาส(ร.ด.)ได้กล่าวว่า มารดาของท่านสะอ์ดิบุตรอุบาดะห์ได้เสียชีวิต โดยทีท่านไม่อยู่ ต่อมาท่านได้กล่าวว่า  โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ความจริงมารดาของข้าพเจ้าเสีย ชีวิตโดยที่ข้าพเจ้าไม่อยู่  จะมีสิ่งใดบ้างที่เป็นประโยชน์แก่มารดาของข้าพเจ้า  ถ้าหากข้าพเจ้าบริจาคทานแทนท่าน  ท่านนบีตอบว่า  ได้ ท่านสะอ์ดิจึงได้กล่าวว่า  ดังนั้นข้าพเจ้าขอให้ท่าน เป็นพยานด้วยว่า ส่วนของข้าพเจ้าที่มีรั้วล้อมรอบนั้น เป็นสิงที่ข้าพเจ้าบริจาคเป็นทานแทนมารดา ของข้าพเจ้า

รายงานโดย บุคอรี  ตีรมีซี และนาซาอี

เล่าจากสะอ์ดิ บุตรอุบาดะห์(ร.ด.)ว่า ท่านได้กล่าวว่า  โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  แท้จริง มารดาของสะอ์ดิได้เสียชีวิต การบริจาคทานด้วยสิ่งใดจึงประเสริฐที่สุด  ท่านตอบว่า น้ำ ผู้เล่าได้กล่าวว่า  ต่อมาเขาก็ได้ขุดบ่อนํ้าและกล่าวว่า บ่อน้ำนี้บริจาคเป็นทานแก่มารดาของ สะอ์ดิ

รายงานโดย อบูดาวูด อะห์มัด

และท่านนาซาอีได้รายงานเพิ่มเติมว่า  และนั่นแหละคือแหล่งน้ำของสะอ์ดิที่นครมะดีนะห์[258]

ภาคการบริจาคซะกาต

มี9บท และสรุปท้ายเรื่อง

บทที่ 1

การบัญญัติเรื่องซะกาต และภาคผลของมัน

อัลกุรอาน  และเจ้าทั้งหลายจงดำรงการละหมาด จงบริจาคซะกาต และจงทำตามคำ สั่งของศาสดาเพื่อพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา

อัลกุรอาน  เจ้าจงเก็บทานมาจากทรัพย์สินของพวกเขา  เพื่อการชำระและเปลื้องปลดมนทิลแก่พวกเขา และเจ้าจงอำนวยพรแก่พวกเขา เพราะการอำนวยพรของเจ้านั้น เป็นความ สงบมั่นแก่พวกเขา และอัลลอฮ์ทรงได้ยิน อีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง

อัลกุรอาน  แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาในหมู่พวกเจ้า และทำการบริจาคนั้น พวกเขาย่อม ได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่

จากอิบนิอับบาส ท่านนบี ซ.ล.ได้ออกคำสั่งแก่มุอาซบินญะบัล ในคราวนี้ท่านได้แต่ง ตั้งเขาไปปกครองเมืองยะมัน ว่าท่านกำลังจะเดินทางไปสู่กลุ่มชนที่เป็นชาวคัมภีร์  ดังนั้นเมื่อท่านไปถึงพวกเขา ท่านก็จงประกาศเชิญชวนให้พวกเขาปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้า นอกจาก อัลลอฮ์ และมุฮัมมัดเป็นศานทูตแห่งอัลลอฮ์  ครั้นเมื่อพวกเหล่านั้นปฏิบัติตามคำสั่งของ ท่านในกรณีนั้นแล้ว ท่านก็จงแจ้งให้พวกเขาทราบเถิดว่าแท้จริงอัลลอฮ์ได้บัญญัติการละหมาด ห้าเวลาแก่พวกเขาในทุกวันและคืน ครั้นเมื่อพวกเขาปฏิบัติตามคำสั่งของท่านในกรณีนั้น แล้ว ท่านจงแจ้งต่อไปให้พวกเขาทราบว่า อัลเลาะฮฺทรงบัญญัติการทำทานไว้แก่พวกเขา ซึ่ง จะเก็บมันมาจากคนรวยแล้วมอบแก่คนจน ครั้นเมื่อพวกเขาปฏิบัติตามคำสั่งของท่านในกรณีนั้นแล้ว ท่านก็จงสังวรถึงทรัพย์สินอันมีค่าของพวกเขาให้ดี (อย่าได้ยึดมาเป็นอันขาด) และท่านจงตระหนักถึงคำวิงวอนของผู้ถูกกดขี่เพราะคำวิงวอนของเขานั้น ไม่มีฉากกำบังระหว่างมันกับอัลลอฮ์เลย (อัลลอฮ์รับสนองคำวิงวอนนั้นโดยไม่มีเงื่อนไข) 

รายงานโดย  ผู้รายงานทั้งห้า

จากอะบีฮุรอยเราะฮฺ มีชายคนหนึ่งได้มาพบท่านนบี ซ.ล.แล้วได้กล่าวว่าโปรดชี้แจง ให้ข้าพเจ้าทราบถึงการงานอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อข้าพเจ้าได้ประพฤติแล้วจะทำให้ข้าพเจ้าได้เข้าสวรรค์ ท่านศาสดาตอบว่าท่านทำการนมัสการต่ออัลลอฮ์โดยไม่ตั้งสั่งใดขึ้นเป็นภาคีกับ พระองค์ ท่านทำการละหมาดที่ถูกบัญญัติไว้โดยสม่ำเสมอ ท่านบริจาคทานซะกาตที่ถูกบัญญัติ ไว้ และท่านถือศีลอด ชายผู้นั้นกล่าวต่อไปว่าขอสาบานต่ออัลลอฮ์ซึ่งชีวิตข้าพเจ้าอยู่ใน อำนาจของพระองค์ ข้าพเจ้าไม่ขอทำให้เกินไปกว่านี้ ต่อมาเมื่อเขาได้จากไปแล้ว ท่านนบี ซ.ล. จึงกล่าวว่าใครชอบที่จะมองชายคนหนึ่งที่เป็นชาวสวรรค์ เขาก็จงมองไปที่ชายคนนี้เถิด

และจากอะบีฮุรอยเราะฮฺ จากท่านนบี ซ.ล. ท่านกล่าวว่าไม่มีสักวันเดียวที่มวลบ่าว ตื่นเข้าขึ้นมา นอกจากจะต้องมีมลาอิกะฮฺ2 ท่านลงมา แล้วท่านหนึ่งก็กล่าวขอพรว่าโอ้อัลลอฮ์ โปรดประทานสิงทดแทนแก่ผู้บริจาคเถิด และอีกท่านหนึ่งก็กล่าวว่าโอ้อัลลอฮ์โปรดประทานความหายนะแก่ผู้ทีสกัดกั้น (ไม่ยอมบริจาค) 

รายงานโดย  บุคอรี มุสลิม  อันนะซาอี

จากอะบีฮุรอยเราะฮ์ ท่านนบีซ.ล.กล่าวว่า. ไม่ว่าคนใดก็ตามที่ทำทานหนึ่ง ๆ จากสิ่ง ที่ดี และอัลลอฮ์จะไม่รับ นอกจากสิงที่ดีเท่านั้น นอกจากว่าอัลลอฮ์ผู้ทรงเมตตาจักทรง รับทานนั้นไว้ด้วยความพึงพระทัยยิ่ง  และหากปรากฏว่าทานนั้นเป็นเพียงอินทผลัมหนึ่งเม็ดมันก็จะเจริญเติบโตขึ้นในความตอบรับของผู้ทรงเมตตา จนกระทั่งมันจะใหญ่ยิ่งกว่าภูเขาเสียอีกประดุจดังคนหนึ่งในหมู่พวกท่านเลี้ยงลูกม้าหรือลูกอูฐ (ซึ่งมันจะเจริญเติบโตชื่นเรื่อย ๆ)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี 

และติรมีซีได้เพิ่มข้อความว่าและได้รับรองความจริงดังกล่าวในคัมภีร์แห่งแห่งอัลลอฮ์ ทีว่า อัลลอฮ์ทรงลบล้างดอกเบี้ยและทรงเพิ่มพูนบรรดาทานทั้งหลาย

จากอะบีฮุรอยเราะฮฺจากท่านนบี ซ.ล. ผู้ใดจ่ายค่าเลียงดูแก่ภรรยาสองคนของเขาในหนทางของอัลลอฮ์ เขาจักถูกเรียกในสวรรค์ว่าโอ้บ่าวของอัลลอฮ์  สิ่งนี้เป็นความประเสริฐยิ่งดังนั้นผู้ใดเป็นผู้ทีชอบทำละหมาดก็จะลูกเรียกจากประตูการรบ  ผู้ใดเป็นผู้ที่ชอบทำงานก็จะถูกเรียกจากประตูแห่งทาน  และผู้ใดเป็นผู้ทีชอบถือศีลอด  ก็จะถูกเรียกจากประตูอัรรอยยาน

อะบูบักร์ อัสซิดดีก กล่าว'ว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ที่จริงไม่เป็นเหตุอุปสรรคแก่ บุคคลหนึ่งที่จะถูกเรียกจากบรรดาประตูเหล่านั้น (ทั่งหมดพร้อมกันทุกประตู) แล้วจะมีสักคน หนึ่งไหมที่ถูกเรียกจากประตูเหล่านั้นทุกประตู  ท่านนบี ซ.ล.ตอบว่ามี และฉันหวังว่าท่าน จะเป็นผู้หนึ่งจากพวกนั้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี 

และจากอะบีฮุรอยเราะฮฺ  จากท่านนบี ซ.ล.ท่านกล่าวว่า  เมื่อท่านบริจาคซะกาตทรัพย์ สินของท่าน นั้นเท่ากับว่าท่านได้ชำระหน้าที่ของท่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

รายงานโดย ตีรมีซี

จากอะบีฮุรอยเราะฮฺและอะบีสะอีด  ทั่งสองเล่าว่า  ท่านร่อซูล ซ.ล.  ไต้ให้โอวาทแก่พวกเราในวันหนึ่ง โดยท่านกล่าวว่า.  ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮ์   ซึ่งชีวิตของฉันอยู่ในอำนาจของ พระองค์  ท่านกล่าวสามครั้ง  หลังจากนั้นท่านก็หมอบกราบลงกับพื้น  แล้วทุก ๆ คนทีอยู่ในกลุ่มพวกเราต่างก็พากันหมอบราบลงตามท่าน พร้อมทั้งร่ำให้ เราไม่ทราบว่า ท่านรอซูลได้สาบานเกี่ยวกับเรื่องอันใด  หลังจากนั้นท่านได้เงยศีรษะของท่านขึ้นมา ปรากฏว่าในใบหน้า ของท่านนั้นมีความยิ้มแย้ม ซึ่งสภาพเช่นนี้ป็นที่ชื่นชอบสำหรับพวกเราเป็นอันมาก ยิ่งไปกว่า ปศุสัตว์สีแดงเสียอีก หลังจากนั้นท่านก็กล่าวว่า  ไม่ว่าบ่าวคนใดก็ตามทีทำการละหมาดทั่งห้า เวลา ทำการถือศีลอดเดือนรอมาดอน   ทำการบริจาคซะกาต   และบรรดาบาปใหญ่ทั้งเจ็ด ประการถูกเว้นห่างไกล นอกจากว่าแน่นอนทั่สุด บรรดาประตูสวรรค์จะเปิดให้แก่เขา แล้วมีผู้ เข้ญเขาว่า  เชิญท่านเข้าโดยสันติสุขเถิด

บทที่ 2

บาปร้ายแรงของผู้ละทิ้งไม่ออกซะกาต

อัลลอฮ์โองการว่า   และบรรดาผู้สะสมทองและเงินไว้ โดยไม่ยอมบริจาคมันไปใน ทางของอัลลอฮ์   เจ้าจงแจ้งให้พวกเขาทราบถึงการลงโทษอันมหันต์เถิด ในวันซึ่งจะถูกย่าง มันในนรกยะฮันนัม (หลังจากยุบทรัพย์สินดังกล่าวแปรเป็นแผ่นเหล็ก) จากนั้นก็นำมันมานาบ หน้าผากของพวกเขา สีข้างของพวกเขาและเบื้องหลังของพวกเขา (พร้อมกับมีเสียงประกาศว่า) นี้คือทรัพย์สินที่พวกเจ้าได้สะสมไว้ เพื่อตัวของพวกเจ้าเอง ดังนั้นเจ้าทั้งหลายจงลิ้มรส สิ่งที่พวกเจ้าได้สะสมไว้เถิด

จากอุมมิสะละมะฮฺ จากท่านนบี ซ.ล. ทรัพย์สินที่มีจำนวนถึงพิกัด ในการบริจาค ซะกาตแล้วทรัพย์ส่วนนั้นก็ถูกนำมาบริจาคเป็นซากาด แน่นอนมันมิใช่ทรัพย์สินที่สะสม (ไว้ อย่างผิดบทบัญญัติ) รายงานโดย  อบูดาวูด  อัลฮากีม  และมาลิก

เนื้อความของมาลิก คือ  ทรัพย์ที่ถูกนำมาออกซากาด (ตามพิกัดและอัตรา)  ทรัพย์นั้นหาใช่การสะสมไม่

จากอะบีฮุรอยเราะฮฺ  จากท่านนบี ซ.ล. ไม่ว่าเจ้าของทองและเจ้าของเงินคนใดก็ตาม ที่ไม่ยอมชำระหน้าที่แห่งทรัพย์นั้น นอกจากว่าเมื่อถึงวันกิยามะฮ จะมีการทำแผ่นเหล็กจากไฟ นรกเพื่อเขา แล้วแผ่นเหล็กนั้นก็ถูกนำไปย่างในนรกยะฮันนัม  จากนั้นก็นำมันมานาบที่สีข้าง ของเขาที่ด้านหน้าผากของเขา  และด้านหลังของเขา  ทุกครั้งที่มันเย็นมันก็จะถูกนำกลับมายัง เขาอีก (เพื่อนาบต่อไป) ในวันหนึ่งมีปริมาณเท่ากับห้าหมื่นปี  จนกว่าจะมีการตัดสินระหว่าง บ่าวทั้งหมดจนเรียบร้อย แล้วเขาจึงจะมองเห็นทางของเขา อาจจะไปสู่สวรรค์ และอาจจะไป สู่นรกก็ได้   มีผู้ถามว่า  โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์   แล้ว (เจ้าของ) อูฐเล่าครับ (เป็นอย่างไร) ท่านตอบว่าไม่ว่าเจ้าของอูฐคนใดก็ตามที่ไม่ยอมชำระสิทธิหน้าที่แห่งมันให้เรียบร้อยและสิทธิหน้าที่บางอย่างแห่งมันก็คือ การรีดนมของมันในวันที่มีการมาหามัน (นั่นคือมีแขกมาเยือน หรือมีผู้เดือดร้อนต้องการนม) นอกจากว่าเมื่อถึงวันกิยะมาฮฺ ตัวเขาจะลูกจับให้นอนราบลงกับ พื้นต่อหน้าอูฐเหล่านั้น ณ พื้นที่ราบและลื่น โดยที่อูฐดังกล่าวมีขนาดใหญ่กว่าที่เคยเป็น (ในโลก ดุนยา) ไม่มีสิงใดลับหายไปจากมันเลย (เพราะตัวมันใหญ่ทุกๆสิ่งมองเห็นอย่างชํดแจ้ง) แม้ กระทั่งลูกอูฐสักตัวหนึ่งก็ตาม ซึ่งอูฐนั้นเหยียบยํ่าเขาด้วยกลีบเท้าของมัน และจะขบกัดเขาด้วย ปากของมัน ทุกครั้งที่ตัวแรกจากฝูงนั้นได้ผ่านไปบนตัวเขาตัวสุดท้ายจากฝูงก็ถูกหวนกลับมาบน ตัวเขาอีก (จนครบทุกตัวที่มีอยู่ในฝูงนั้น) ในวันหนึ่ง ซึ่งมีระยะเวลาถึงห้าหมื่นปี จนกว่าจะมี การพิพากษาจนเสร็จสิ้นระหว่างบ่าวทั้งมวล แล้วเขาก็ถูกทำให้มองเห็นทางไปของเขา อาจจะ สู่สวรรค์ และอาจจะสู่นรก มีผู้ถามว่า   โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ แล้ว (เจ้าของ) วัวและแพะ  ท่านตอบว่า   ไม่ว่าเจ้าของวัวและเจ้าของแพะคนใดก็ตามที่ไม่ยอมชำระบางส่วนของมัน ตาม สิทธิหน้าที่ทีเกี่ยวกับมัน นอกจากว่าเมื่อถึงวันกิยามะฮฺ ตัวเขาจะถูกจับตัวให้ราบนอนลงบนพื้น ณ พื้นที่ราบอันลื่นขลับ ไม่มีอะไรลับหายไปจากมัน จะเป็นสิ่งเดียวก็ตาม (เพราตัวมันใหญ่ มาก) ซึ่งไม่มีตัวที่เขางอ  ตัวที่ไร้เขา  และตัวที่เขาแตก ในฝูงนั้นเลย (นอกจากทุกตัวนั้นมีเขา ปกติเรียบร้อย) มันจะชนเขาด้วยกับเขาของมันและมันจะเหยียบเขาด้วยกับกลีบเท้าของมัน ทุก ครั้งที่ตัวแรกได้ผ่านไปบนเขาแล้ว ก็จะถูกส่งตัวสุดท้ายกลับคืนมา (ทำเช่นนั้นกับตัวเขาอีก ทำ แล้วผ่านไปสลับเวียนกันอยู่ชั่วนิจนิรันดร) ในวันหนึ่งซึ่งมีช่วงเวลาถึงห้าหมื่นปี จนกว่าจะเสร็จ สิ้นการพิพากษาระหว่างบ่าวทั้งมวล แล้วเขาก็ถูกให้มองเห็นทางของเขาอาจจะสู่สวรรค์ และ อาจจะสู่นรก

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

จากอะบีฮุรอยเราะฮฺ ท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า   ผู้ใดก็ตามที่อัลลอฮ์ประทานทรัพย์สิน แก่เขา แต่เขาไม่ยอมบริจาคซะกาต เมื่อถึงวันกิยามะฮฺ จะมีงูแปลงตัวหนึ่งมาหาเขา มันเป็นงู หัวล้านและมีเขี้ยวสองเขี๊ยว งูตัวนั้นจะถูกทำเป็นเข็มขัดรัดคอของเขาไว้อย่างแน่นหนา ต่อมา มันจะจ่อ (หัวและหางของมัน) ไว้กับขากรรไกรทั้งสองข้างของเขา แล้วมันก็พูดว่า   ข้านี่แหละ คือทรัพย์สมบัติของท่าน ข้านี่แหละคลังที่ท่านสะสมไว้ หลังจากนั้นมันก็อัญเชิญอัลกุรอาน ความว่า  และบรรดาผู้ตระหนี่ต่อทรัพย์ที่อัลลอฮ์ทรงประทานแก่พวกเขา จากความโปรด ปรานของพระองค์ อย่าคิดว่าสิ่งนั้นเป็นคุณงามความดีแก่ตัวพวกเขา ตรงกันข้าม มันเป็นความ เลวร้ายแก่พวกเขา ในวันกิยามะฮฺ  พวกเขาจะถูกพันรอบคอด้วยทรัพย์สินทีพวกเขาเคยตระหนี่

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

จากอะบีฮุรอยเราะฮฺ  เมื่อท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ถึงแก่อสัญกรรม และอบูบักร์ได้รับการ แต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดการบริหารแทนหลังจากท่าน ในระยะนั้นมีพวกอาหรับบางกลุ่มได้ก่อ การทรยศ (กระด้างกระเดื่องไม่ยอมอยู่ใต้กฎหมายอิสลาม) อุมัรจึงกล่าวกับอะบีบักร์ว่าท่านจะทำการรบกับมนุษย์ได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้เคยสั่งไว้ว่า  ฉันได้รับ บัญชามาให้ทำการรบกับมวลมนุษย์  จนกระทั่งพวกเขายอมกล่าวปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้านอกจากอัลลอฮ์   ดังนั้นผู้ใดกล่าวเช่นนั้นแล้ว ก็เป็นอันว่าได้รับการคุ้มกันจากฉัน ซึ่งทรัพย์ สินและชีวิตของเขา ยกเว้นตามสิทธิหน้าที่ของเขา (ภายใต้กฎหมายอิสลาม) และการสอบสวน เขานั้นเป็นหน้าที่'ของอัลลอฮ์ อบูบักร์กล่าวว่า  ขอสาบานกับอัลลอฮ์ ข้าพเจ้าจักทำการ รบ (เพื่อปราบปราม)  พวกที่แยกออกจากกันระหว่างการละหมาดและการซะกาต  เพราะแท้จริงซะกาตเป็นสิทธิส่วนทรัพย์สิน ขอสาบานกับอัลลอฮ์  มาดแม้นพวกนั้นขัดขืนฉันจะเป็นเพียง แพะสักตัวเดียว ซึ่งพวกเขาเคยชำระมันเป็นอันดีต่อท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. (เมื่อครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่) แน่นอนข้าพเจ้าต้องทำการรบ ปราบปรามพวกเขา  เพราะการขัดขืนของเขานั้น อุมัรกล่าวว่า  ขอสาบานกับอัลลอฮ์สิ่งนั้นมิใช่อื่นใด นอกจากว่าอัลลอฮ์ได้เปิดหัวใจของ อะบูบักร์เพื่อการรบ ซึ่งข้าพเจ้ากิได้รู้ว่า สิ่งนั้นเป็นสัจธรรม 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

สิ่งที่ต้องนำมาบริจาคชากาฅและสิ่งที่ไม่ต้องบริจาค

จากอะบี ซัรริน ข้าพเจ้าได้เข้าพบท่านนบี ซ.ล. ท่านได้กล่าวว่า ขอสาบานกับอัลลอฮ์ ซึ่งชีวิตข้าพเจ้าอยู่ในอำนาจของพระองค์ หรือขอสาบานกับอัลลอฮ์ ซึ่งไม่มีพระเจ้า อื่นใดนอกจากพระองค์. หรือเสมือนที่ท่านได้สาบานไว้ (จากนั้นท่านก็กล่าวต่อไปว่า) ไม่ว่าชายคนใดก็ตามทีมีอูฐหรือวัวหรือแพะ ซึ่งเขาไม่ยอมชำระสิทธิแห่งมันให้เรียบร้อย นอกจากว่าสัตว์เหล่านั้นจะถูกนำมาให้ปรากฏในวันกิยามะฮฺ โดยตัวของมันใหญ่โตยิ่งกว่าที่เคยเป็น (ในโลกดุนยา) และอ้วนท้วนกว่าเดิมยิ่งนัก มันจะใช้กลีบเท้าของมันเหยียบเขา และใช้เขาของมัน ขวิดชนเขา ทุกครั้งที่ตัว สุดท้ายของมันเสร็จสิ้นไปแล้ว ก็ถูกนำตัวแรกกลับคืนมาทำเช่นนั้นอีก จนกว่าจะทำการพิพากษาเสร็จสิ้นระหว่างมวลมนุษย์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

จากอะบีสะอีดเล่าว่า  มือาหรับบ้านนอกคนหนึ่งได้สอบถามท่านนบี ซ.ล. ถึงเรื่องการอพยพ ท่านก็ตอบว่า  น่าสงสารเธอจัง  ที่จริงเรื่องของการอพยพนั้นร้ายแรงยิงนัก แล้ว เธอมีอูฐที่พึงบริจาคซากาดหรือไม่  เขาตอบว่า มีครับ   ท่านรอซูลก็กล่าวว่า. ตังนั้นเธอจง ทำ (ความดีในทุกสถานที่) เถิด (แม้จะอยู่) เบื้องหลังทะเล (ซึ่งไม่มีใครอื่นมองเห็น) ก็ตาม เพราะแท้จริงอัลลอฮ์ไม่ทรงละทิ้งความประพฤติของเธอไว้เลย แม้สักประการเดียวก็ตาม (นอกจากพระองค์จะนำมาตอบแทนทั้งสิ้น)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

อุมัร บิน อับดุลอะซีซ กล่าวว่า  ที่จริงซะกาตนั้นวายิบต้องออกในทองและเงิน  ผลิตผลการเกษตร  และปศุสัตว์ และคำกล่าวเช่นนี้ มาลีก และซาฟิอีเห็นพ้องด้วย

และคำกล่าวของซาพีอีในหนังสือ   อัลอุมมฺ  มีใจความว่า. อันทรัพย์สินที่'ต้องบังคับให้นำมาบริจาคเป็นทานซะกาตจากตัวของทรัพย์นั้น ได้แก่ ทองและเงิน พืชผลทางการเกษตร บางชนิด  ปศุสัตว์  และทรัพย์สินที่ได้ในแผ่นดิน ได้แก่ เหมืองแร่และทรัพย์ของคนโบราณ  ที่ฝังดินไว้

รายงานจากอะบีสะอีด จากท่านนบี ซ.ล. ท่านกล่าวว่า. ในอัตราที่ต่ำกว่าห้าเอา'ซัก  ไม่ต้องออกซะกาต

รายงานจากอะบีฮุรอยเราะฮฺ จากท่านนบี ซ.ล.กล่าวว่า. ไม่บังคับแก่มุสลิมต้องออก ซะกาต ในทาสของเขาและม้าของเขา

รายงานจากอะบีฮุรอยเราะฮฺ ท่านรอซูล ซ.ล. ถูกถามถึงลาว่าออกซะกาตไหม  ท่านตอบวา. ฉันไม่ได้รับบัญญัติในสิ่งนั้นเลยสักกรณีเดียว นอกจากเพียงโองการอันแจ่มแจ้งนี้  นั่นคือ แท้จริงผู้ใดประพฤติความดีไว้สักเพียงนำหนักเท่าผงธุลี เขาก็ย่อมได้เห็น และผู้ใดประพฤติความชั่วไว้สักเพียงนํ้าหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นเช่นเดียวกัน

รายงานจากอะหมัด บุคอรี และมุสลิม

รายงานจากมุอาซ  เขาได้ทำบันทึกถึงท่านนบี ซ.ล. เพื่อสอบถามท่านถึงเรื่องพืชผัก มันคือพวกผักล้มลุกต่างๆ   (ว่าต้องออกซะกาตไหม) ท่านตอบว่า  ไม่มีบังคับในสิ่งนั้นเลยสัก กรณีเดียวก็ตาม

รายงานโดย  ตีรมีซี  อัลบัซซ๊าร  อัดดารอกุตนี

 

บทที่ 3

ซะกาตปศุสัตว์คือ  อูฐ  แพะ  วัว

จากอะนัสเล่าว่า อะบูบักร์ได้เขียนหนังสือให้เขาหนึ่งฉบับ  เมื่ออะบูบักร์ส่งตัวเขาไป (จัดการเก็บซะกาต) ยังบะฮฺเรน

ในพระนามแห่งอัลลอฮ์ผู้'ทรงยิ่งในพระเมตตาธิคุณ ทรงยิ่งในพระกรุณาธิคุณ  นี้ เป็นบทกำหนดการทำทานซะกาต   ซึ่งศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ได้บัญญัติไว้แก่มวลมุสลิมทั้งปวง และเป็นสิ่งที่อัลลอฮ์ได้บัญชาแก่ศาสนทูตของพระองค์ให้ดำเนินการ  ดังนั้นผู้ใดที่ถูกขอซะกาต จากมวลมุสลิม ตรงตามนัยยะเงื่อนไขของมัน (อย่างถูกต้อง) เขาก็จงมอบซะกาตนั้นให้ไปเถิด และผู้ใดถูกขอเกินไปกว่าอัตราซะกาต เขาก็อย่ามอบให้

สำหรับซะกาตของอูฐ เมื่อมีจำนวน 24 ตัวหรือต่ำกว่านั้น ให้นำแพะ 1 ตัวมาออกเป็น ซะกาตต่ออูฐ 5 ตัว

ต่อมาเมื่อมีจำนวน 25 ถึง 35 ตัว ก็ให้นำอูฐตัวเมียอายุหนึ่งปีบริบูณ์ย่างเข้าปีสองมา บริจาคเป็นซะกาต 1 ตัว

เมื่อมีจำนวน 36 จนถึง 45 ตัว ให้นำอูฐตัวเมียอายุ 2 ปีย่างปี 3 มาบริจาคเป็นซะกาต 1 ตัว

เมื่อมีจำนวน 46 จนถึง 60 ตัว ให้นำอูฐตัวเมียอายุ 3 ปีเต็ม ที่อูฐตัวผู้ทับได้ มาบริจาค เป็นซะกาต 1 ตัว

เมื่อมีจำนวน 61 จนถึง 75 ตัว ก็ให้นำอูฐตัวเมียอายุ 4 ปี บริจาคซะกาต 1 ตัว

เมื่อมีจำนวน 76 จนถึง 90 ตัว ก็ให้บริจาคซะกาตด้วยอูฐตัวเมียอายุ 2 ปีย่างปี 3 จำนวน 2ตัว

เมื่อมีจำนวน 91 จนถึง 120 ตัว ให้บริจาคซะกาตด้วยอูฐตัวเมียอายุ 3 ปี ที่อูฐตัวผู้ทับ ได้ จำนวน 2 ตัว

ครั้นเมื่อมันมีจำนวนเกินไปกว่า 120 ตัว ให้คิดจากจำนวน 40 ตัว ต่อซะกาตอูฐตัวเมีย อายุ 2 ปี1 ตัว และคิดจากจำนวน 50 ตัว ต่อซะกาตอูฐตัวเมียอายุ 3 ปี 1 ตัว

ด้งนั้นผู้ใดไม่มีอูฐอยู่ในกรรมสิทธิ์ นอกจากเพียง 4 ตัว เขาก็ไม่ต้องออกซะกาต นอก จากเมื่อเจ้าของของมันปรารถนา (จะบริจาคเอาบุญ)

ครั้นเมื่อเขามีอูฐจำนวน 5 ตัว จึงจะนำแพะ 1 ตัว มาออก

และในกรณีการออกซะกาตแพะ – แกะที่เลี้ยงอยู่ในทุ่งของมัน เมื่อมีจำนวน 40 ตัวจน ถึง 120 ตัว ให้บริจาคแพะตัวเมีย 1 ตัว

เมื่อมีจำนวนเพิ่มขึ้นเกิน 120 ตัว จนถึง 200 ตัว ให้บริจาคซะกาตแพะตัวเมีย 2 ตัว เมื่อมีจำนวนเกิน 200 ตัว จนถึง 300 ตัว ให้บริจาคซะกาตแพะตัวเมีย 3 ตัว

เมื่อมีจำนวนเกินกว่า 300 ตัว ให้คิดจาก 100 ตัว ต่อแพะตัวเมีย 1 ตัว

เมื่อปศุสัตว์ของบุรุษหนึ่งมีจำนวนน้อยกว่า 40 สักเพียงแพะตัวเดียวก็ตาม จำนวนนั้นไม่บังตับให้ออกซะกาต นอกจากเจ้าของประสงค์ (จะออกเพื่อเอาบุญ)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากมุอาซเล่าว่า  ข้าพเจ้าได้รับการแต่งตั้งจากท่านรอซูล ซ.ล. ให้ไปว่าราชการที่เมือง ยะมัน และท่านบัญชาให้ข้าพเจ้าเก็บซากาดจากรวัวจำนวน 30 ตัว ให้เก็บวัวอายุ 1 ขวบบริบูรณ์ ตัวผู้หรือตัวเมียก็ได้มาเป็นซะกาต1 ตัวและจากจำนวน 40 ตัวให้เก็บวัวอายุ 2 ขวบ 1 ตัวเป็นซากาด รายงานโดย เจ้าของสุนัน  ฮากีม

จากมุอาซเล่าว่า  ท่านรอซูล ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่ข้าพเจ้า มิให้ข้าพเจ้าเก็บซากาดจากรัว จนกว่าจะมีจำนวนครบ 30 ตัว ครั้นเมื่อมันมีจำนวนครบ 30 ตัวแล้ว ให้ออกลูกวัวที่ยังตามแม่ จะเป็นตัวผู้หรือตัวเมียก็ได้ 1 ตัว จนกว่ามันจะครบจำนวน 40 ตัว ครั้นเมื่อมันมีจำนวนครบ 40 ตัวแล้ว ก็ให้ออกซากาดด้วยวัวอายุสองขวบ 1 ตัว

รายงานโดย อันนะซาอี

จากอะนัสเล่าว่า ท่านอะบุบักร์ได้กำหนดแก่เขาตามที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ บัญญัติไว้ (ในเรื่องการเก็บซะกาต) และไม่ต้องรวมระหว่างที่แยกกันอยู่ และไม่ต้องแยกกัน ระหว่างที่รวมกัน เพราะกลัวการออกซากาด (หมายถึงอย่าเอาสัตว์ต่างฝูง ต่างชนิดมาคิดรวม กัน เพื่อทำให้เป็นผลได้แก่เจ้าของยิ่งขึ้น ในการบริจาคซะกาต) และกรณีที่มาจากคู่หุ้นที่ร่วม สิทธิ์ ทั้งสองจะต้องคำนวณกลับไปมาระหว่างทั้งสองนั้น โดยเท่าเทียมกัน  

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ให้บริจาคบางอย่างแทน เมื่อสิ่งที่ต้องการไม่มี

จากอะนัสเล่าว่า อะบูบักร์ได้เขียนให้เขาว่า ข้อบัญญัติการทำทานซะกาตซึ่งอัลลอฮ์ ทรงมีบัญชาแก่รอซูลของพระองค์ คือ  ใครมีอูฐที่ต้องบริจาคอัลยะซะอะฮ (ลูกอูฐอายุภายใน 5 ขวบ) แต่เขาไม่มีอัลยะซะอะฮฺนั้น แท้จริงเป็นที่รับรองแก่เขาเหมือนกัน ด้วยการบริจาค อัลฮิกเกาะฮ (ลูกอูฐ 3 ขวบอย่าง 4 ขวบ) แทน หรือเขาจะเปรียบเทียบเท่ากับแพะสองตัวก็ได้ หากเขาสะดวกที่จะทำเช่นนั้น หรือมิฉะนั้นก็ให้เทียบเป็นเงินยี่สิบดิรฮัม  และผู้ใดถึงกำหนด ต้องบริจาคอัลฮิกเกาะฮฺและเขาไม่มีมัน  แต่เขามีอัลยะซะอะฮ ที่จริงเป็นที่รับรองแก่เขา  ถ้าเขาบริจาคอัลยะซะอะฮแทน  และผู้บริจาคทานซะกาตจะให้บริจาคเป็นเงินยี่สิบดิรฮัมหรือแพะสองตัวก็ได้  และผู้ใดถึงกำหนดต้องบริจาคทานด้วยอัลฮิกเกาะฮฺ แต่เขาไม่มีอย่างอื่น นอก จากบินติละบุน (ลูกอูฐตัวเมีย 1 ขวบย่าง2ขวบ) ที่จริงก็ถือเป็นทีรับรอง(ใช้ได้แล้ว) สำหรับ เขาเหมือนกัน การบริจาคบินติละบุนนั้น และเขาให้แพะสองตัวและเงินยี่สิบดิรฮัมและผู้ใด ทีถึงกำหนดต้องบริจาคบินติละบุน แต่เขามีฮิกเกาะฮฺก็คือ เป็นที่รับรองสำหรับเขาแล้วโดยการ บริจาคมันไปและผู้ทำทานจะให้เงินยี่สิบดิรฮัมหรือแพะสองตัวก็ได้  และผู้ใดทีถึงกำหนดต้อง บริจาคเงินบินติละบูน และเขาไม่มีมัน แต่เขามีบินติมะค๊อค  ทีจริงก็ถึอเป็นที่รับรองการบริจาค บินติมะค๊อดนั้นของเขาเหมือนกัน และเขาจะให้พร้อมกับมัน  เงินยี่สิบติรฮัม หรือ แพะสองตัวก็ได้ และผู้ใดถึงขีดบังคับต้องบริจาคบินติมะค๊อด และเขาไม่มีมัน เขามีแต่บิน ติละบูน ก็ถือว่าถูกรับรองแก่เขาเหมือนกัน[259] และให้ผู้ทำทานทำการบริจาคให้ไปยี่สิบดิรฮัมหรือ แพะสองตัว ต่อมาเมื่อเขาไม่มีบินติมะค๊อดตรงตามเงื่อนไขตามนัยยะของมัน แต่เขามีอิบนิละบูน (ลูกอูฐตัวผู้ 1 ขวบย่าง 2 ขวบ) ก็ถือเป็นการรับรองแก่เขา ด้วยการบริจาคอิบนิละ'มูนแทน และเขาไม่ต้องบริจาคสิ่งใดควบแทนค่าอีกแล้ว   

รายงานโดย  อัลบุคอรี  อะบูดาวูด  อันนาซาอี

เงื่อนไขในการบริจาคปศุสัตว์[260]

จากอะนัสเล่าว่า  อะมูบักร์ได้เขียนให้เขาทราบเกี่ยวกับการบริจาคซะกาตที่อัลลอฮ์ ทรงมีบัญชาแก่รอซูลของพระองค์ว่า  และจะต้องไม่ออกซะกาตด้วยสัตว์แก่ทีฟันหลุดและสัตว์ที่พิการและแพะแกะที่กำลังหนุ่มคะนอง  ยกเว้นในกรณีที่เจ้าของผู้บริจาคมีความประสงค์(จะนำสัตว์ตังกล่าวมาบริจาค ก็ให้ทำได้ แต่ไม่ดีนัก)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอับติลลาหฺ บินมุอาวิยะฮฺ อัลฆอฎิรีย์ จากท่านนบี ซ.ล. ท่านกล่าวว่า  มี 3 ประการ ผู้ใดได้กระทำมัน เขาย่อมได้ลิ้มรสแห่งศรัทธา นั่นคือ  ผู้ซึ่งทำการมนัสการต่ออัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียว และยึดมั่นว่าไม่มีพระเจ้า นอกจากพระองค์และเขาได้บริจาคซะกาตทรัพย์สิน ของเขาด้วยหัวใจที่มีความพึงพอใจในซะกาตนั้น อีกทั้งซะกาตนั้นได้สงเคราะห์แก่เขาในทุกๆ ปี และเขาไม่บริจาคสัตว์ที่แก่จนฟันหลุดแล้วเป็นซะกาต  และไม่บริจาคสัตว์ที่เป็นโรคผิวหนังและสัตว์ที่กำลังป่วย และสัตว์ชั้นเลว  แต่ให้เลือกเอาจากทรัพย์สินในระดับปานกลางของท่านทั้งหลายมาเป็นซะกาต  เพราะแท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ขอท่านทั้งหลายด้วยทรัพย์ระดับดีเลิศและไม่ได้ใช้ท่านทั้งหลายด้วยทรัพย์ชั้นเลว  

รายงานโดย  อะบูดาวูด  อัตตอบบะรอนี

จากบะอฺซิ บินหะกีม  จากมารดาของเขา จากปู่ของเขา จากท่านนบี ซ.ล. ท่านกล่าวว่า . ในปศุสัตว์อูฐนั้น ให้บริจาคบินติละมูน 1 ตัวในจำนวน 40 ตัว ไม่มีการจำแนกอูฐตัวหนึ่ง ออกจากจำนวนทั้งฝูงของมัน  ผู้ใดให้มันเป็นซะกาตหวังกุศลจากอัลลอฮ์   เขาก็ย่อมได้กุศลจากอัลลอฮ์เขาก็ย่อมได้กุศลของมัน   และผู้ใดหวงไว้ แน่นอนเราจะยึดมันมาพร้อมทั้งทรัพย์ ครึ่งหนึ่งของเขาถือเป็นข้อบังคับหนึ่งจากบรรดาข้อบังคับของพระเจ้าของเรา ( ซึ่งบัญญัติแก่ประชาชนทั้งปวง )

แต่สำหรับวงศ์ญาติของมุฮัมมัดนั้น ไม่มีสิทธิ์ใดๆ ต่อสิ่งนั้นเลย (คื่อไม่มี สิทธิรับซะกาต)   รายงานโดย  อะบูดาวูด  อันนะซาอี

และรายงานหนึ่ง'ของอะบีดาวูด จากอาลีระบุว่า  และในกรณีวัวที่มีจำนวนครบ 30 ตัวให้ออกตะบีอฺ (ลูกอูฐตัวผู้อายุ1 ขวบ) 1 ตัว และในจำนวน 40 ตัว ให้ออกมุซินนะอฺ (ลูก อูฐที่ฟันขึ้นแล้ว) 1 ตัว  แต่ไม่มีบังคับสำหรับสัตว์ใช้งานสักกรณีเดียว (ที่จะต้องออกซะกาต)

และอิหม่ามชาฟิอีมีทัศนะว่า  อูฐและวัวงาน ไม่ต้องออกซะกาต

จากมุอาซ กล่าวว่า   ท่านรอซูล ซ.ล. ได้แต่งตั้งข้าพเจ้าให้ไปปกครองยะมัน พร้อม กับท่านสั่งว่า จงเก็บผลผลิตของพืชจากผลผลิตของพืชด้วยกัน จงเก็บแพะแกะจากแพะแกะ ด้วยกัน  จงเก็บอูฐจากอูฐด้วยกัน  และจงเก็บวัวจากวัวด้วยกัน (คือให้คำนวณพิกัดและอัตรา ออกซะกาตจากตัวจริงของสั่งเหล่านั้น จะนำสั่งอื่นๆ มาคำนวณคละเข้าด้วยกันไม่ได้)   

รายงานโดยอบูดาวูด  อัลฮากิม

จากอิบนิอุมัร จากท่านนบี ซ.ล. ท่านกล่าวว่า  ผู้ใดแสวงประโยชน์ทรัพย์สิน (คือเลี้ยง ปศุสัตว์) สิ่งนั้นยังไม่ต้องห้ามาออกซะกาตแต่ประการใด ๆ จนกว่าจะผ่านรอบปีขณะที่สิ่งนั้น อยู่กับเจ้าของ   รายงานโดย  อัตตีรมีซี  อะบูดาวูด

บทที่ 4

ซะกาตผลิตผลทางเกษตร

อัลลอฮ์โองการไว้ว่า   และพวกเจ้าจงให้สิทธิของมันในวันเก็บเกี่ยวมันเถิดและพวกเจ้าอย่าสุรุ่ยสุร่าย เพราะแท้จริงอัลลอฮ์ไม่โปรดบรรดาผู้สุรุ่ยสุร่าย

จากอะบีสะอึด อัคคุดรี จากท่านนบีซ.ล.กล่าวว่า   ในผลิตผลเกษตรที่มีจ้านวนน้อย กว่าห้าเอาชุกนั้น ไม่ต้องออกซะกาต. ในปศุสัตว์ที่มีจำนวนตํ่ากว่าห้าตัว ก็ไม่ต้องออกซากาด และในเงินทองที่มีอัตราตำกว่าห้าอาวาก[261] ก็ไม่ต้องออกซากาด  รานงานโดย  ผู้รายงานทั้งห้า

. 2/11/60/10.10

จากยาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ท่านกล่าวว่า (อัตราการออกซะกาต) ในกรณีพืชผลที่ใช้นํ้าจากลำคลองไหลผ่านเข้าไป และใช้น้ำฝนตามธรรมชาติ ให้บริจาคหนึ่งในสิบ (จากยอดผลิตผล) และในกรณีที่รดนํ้าด้วยเครื่องมือฉุดนํ้า ให้บริจาคครึ่งหนึ่งของหนึ่งในสิบ[262]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และมีปรากฏในบางกระแสรายงานว่า ในกรณีที่ฟ้าและลำคลองและตานํ้า รดนํ้าให้ หรือเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ (ไม่ต้องใช้น้ำรด) ก็ให้ออกหนึ่งในสิบ และในกรณีที่พืชที่รดนํ้าด้วยเครื่องมือฉุดนํ้าที่ใช้สัตว์ หรือการเคลื่อนย้ายนํ้าด้วยวิธีอื่นๆ ก็ให้ออกซะกาตครึ่งหนึ่งของหนึ่งในสิบ

การประเมินจำนวนองุ่นและอินทผลัม

จากอัตตาบ บินอะสีด ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ใช้ให้ทำการประเมิน จำนวนองุ่น (ที่กำลังอ่อนว่าจะมีจำนวนเท่าใด) เช่นเดียวกับให้ประเมินอินทผลัม และให้เก็บ ซะกาตองุ่นเมื่อเป็นองุ่นแห้ง เช่นเดียวกับให้เก็บซะกาตอินทผลัม เมื่อเป็นอินทผลัมแห้ง

จากสะฮัล บิน หัชมะฮ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ท่านกล่าวว่า เมื่อท่านทั้งหลาย ประเมิน (จำนวนของผลิตผลเกษตร) ท่านก็จงเก็บไว้ (เพื่อเป็นประโยชน์ของเกษตรกรเอง) และจงเว้นไว้เศษหนึ่งส่วนสาม แต่ถ้าพวกท่านไม่เว้นไว้เศษหนึ่งส่วนสาม พวกท่านก็จงเว้นไว้สัก เศษหนึ่งส่วนสี่ (ของผลิตผลที่ประมาณไว้นั้น เพื่อเตรียมไว้ออกซะกาต)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และท่านนบี ซ.ล. ไค้แต่งตั้ง อับดุลเลาะฮ์ บิน รอวาฮะฮฺ ไปยังยิวคอยบัร (เพื่อเก็บซะกาต) แล้วเขาก็ประเมินจำนวนอินทผลัม เมื่อมันเป็นอินทผลัมอ่อน ก่อนถึงวัยที่พึงรับประทานมัน หลังจากนั้นอับดุลเลาะฮฺให้พวกยิวเลือกเอาว่า พวกเขาจะเก็บมันไว้โดยใช้การประเมินนั้นเป็น มาตรฐาน หรือพวกเขาจะมอบมันไป เพื่อจะไค้รักษาซะกาต ก่อนที่จะรับประทานผล และถูก แยกออก

รายงานโดย อะบูดาวูด

ซากาด ทองและเงิน

จากอะนัส ร.ฎ. ในหนังสือซึ่งอะบูบักรได้เขียนถึงเขา ขณะเมื่ออะบูบักรแต่งตั้งเขา ไปเมืองบะฮเรน เกี่ยวกับซะกาตที่เราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้บัญญัติไว้แก่มวลมุสลิม และในการเก็บซะกาตเงินให้คิด ¼ (25/100) ของ 1/10 (10/100) = (2.5%) แต่ถ้าไม่มีนอกจากเพียง 190 ดิรฮัม ก็ไม่ต้องออกซากาดเลย ยกเว้นเมื่อเจ้าของต้องการ (จะบริจาคเอาบุญ) 

รายทนโดย อัลบุคอรี อะบูดาวูด อันนะซาอี

และกระแสรายงานของผู้รายงานทั้ง 5 ระบุว่า ในเงินที่มีน้ำหนักต่ำกว่า 5 อาวาก (200 ดิรฮัม) ไม่ ต้องออกซะกาต

จากอะลี ร.ฎ. และเขาไค้เล่าหะดิษจนกระทั้งถึงตอนที่พูดว่า เมื่อท่านมีครบ 200 ดิรฮัม และผ่านรอบปีไปแล้ว ในจำนวนนั้นจะต้องบริจาคเป็นซะกาต 5 ดิรฮัม (ร้อยละสอง ครึ่ง) และไม่บังคับแก่ท่านสักสิ่งเดียว จนกว่าท่านจะมีจำนวนครบ 20 ดีนารฺ ดังนั้นเมื่อท่านมีดรบ 20 ดีนารฺ และ ผ่านรอบปีแล้ว ก็บังคับในนั้นต้องบริจาคครึ่งดีนารฺ ส่วนจำนวนที่เกินไปจากนั้น ก็ให้คิดไป ตามเกณฑ์ดังกล่าว

รายทนโดย บุคอรี อะบูดาวูด

จากอะลี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า ฉันยกให้ (ไม่ต้องนำมาบริจาคซะกาต) ม้า และทาส ดังนั้นท่านทั้งหลายจงคำนวณซากาดของเงิน จากจำนวน 40 ดิรฮัม ด้วย 1 ดิรฮัม

และไม่บังคับบริจาคในจำนวน 190 แต่เมื่อมีจำนวนครบ 200 ดิรฮัม จึงจะออก 5 ดิรฮัม รายางาน โดย อะบูดาวูด อัดติรมิซี อะห์มัด

จากอะบีฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.กล่าวว่า. ปศุสัตว์ (ถ้าบุคคลใดเป็นอันตรายเพราะมัน) ย่อมสูญเปล่า (เจ้าของไม่ต้องชดใช้ใดๆ ถ้าเจ้าของไม่จงใจ) พื้นที่ขุดแร่ (ผู้ที่ตกลงไปเป็นอันตราย) ย่อมสูญเปล่า บ่อ ย่อมสูญเปล่า และในทรัพย์ที่ขุดได้จากแผ่นดิน ต้องบริจาคหนึ่ง ในห้า (20%)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

ซะกาต สินค้า

อัลลอฮ์ทรงบัญญัติไว้ว่า “โอ้ผู้มีศรัทธาทั้งหลาย จงแจกจ่ายทรัพย์สินที่ดี ที่พวกเจ้าได้ขวนขวายไว้เถิด”

มุยาฮิดอธิบายว่า โองการนี้ได้ลงมาในเรื่องของการค้า

จากสะมุเราะฮฺ บิน ยุนดุบ ร.ฎ. กล่าวว่า อันดับต่อจากนั้น แท่จริงท่านรอชูลุเลาะฮฺ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเราให้ออกซะกาต จากสินค้าที่เราได้เตรียมมันไว้เพื่อขาย  รายงานโดย อะบูดาวูด

จากอะบีซัรริน ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ท่านกล่าวว่า ในอูฐก็มีซากาดของมัน ใน แพะแกะก็มีซะกาตของมัน ในวัวควายก็มีซะกาตของมัน และในเสื้อผ้า (ค้าขาย) ก็มีซะกาต ของมัน

รายงานโดย อัดดารอกุฏนี อัลฮากีม

บทที่ 5

ซะกาตเครื่องประดับ ทรัพย์เด็กกำพร้า และน้ำผึ้ง

จากอัมริบนิชุอัยบ์ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขาเล่าว่า  มีหญิงคนหนึ่งได้มาหาท่าน นบี ซ.ล. และนางได้พาบุตรหญิงของนางมาด้วย ซึ่งในมือของบุตรหญิงของนางนั้นมีกำไลทองหนาสวมอยู่สองอัน ท่านศาสดาได้กล่าวกับนางว่า เธอให้ซะกาตของสิ่งนี้หรือไม่ นาง ตอบว่า เปล่า ท่านกล่าวว่า เธอพอใจหรือที่จะให้อัลลอฮ์สวมกำไลจากไฟนรกสองอัน ในวันกิยามะฮ เนื่องเพราะกำไลทั้งสอง (ที่เธอไม่บริจาคซะกาต) ผู้รายงานเล่าว่า แล้วนางก็ ถอดกำไลทั้งสองมอบให้แก่ท่านนบี ซ.ล.พร้อมทั้งกล่าวว่า กำไลทั้งสองนี้เป็นของอัลลอฮ์ และรอซูลของพระองค์  รายงานโดย เจ้าของสุนัน

และข้อความของติรมีซีปรากฏว่า ท่านบี ซ.ล. ได้มองเห็นกำไลทองสองอันอยู่ในมือ ของทั้งสอง ท่านจึงกล่าวว่า เธอทั้งสองชำระซะกาตของมันไหม  ทั้งสองตอบว่า ไม่ ท่าน จึงกล่าวแก่นางทั้งสองว่า เธอทั้งสองชอบที่จะให้อัลลอฮ์สวมกำไลนรกแก่เธอกระนั้นหรือ ทั้งสองตอบว่า ไม่ ท่านจึงกล่าวว่า ดังนั้น เธอทั้งสองจงชำระซะกาตของมันเถิด

จากอุมมิ สะละมะฮฺ ร.ฎ. กล่าวว่า ฉันสวมใส่กำไลทองเท้า แล้วฉันก็กามว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ จะถือเป็นการสะสมหรือไม่ ท่านตอบว่า ทรัพย์สินใดที่มีปริมาณถึง ขั้นต้องออกซะกาต แล้วได้นำมาออกซะกาตจนเรียบร้อยนั้น ย่อมไม่ถือเป็นการสะสม (ที่ผิดต่อบทบัญญัติ) 

รายงานโดย อะบูดาวูด อัลฮากีม

จากนาฟิอ์ จากอิบนิอุมัร ร.ฎ. ปรากฏว่าท่านไต้สวมใส่เครื่องประดับแก่บรรดาบุตรหญิงของท่านและบรรดาคนใช้ของท่านด้วยเครื่องประดับทองคำ หลังจากนั้น ท่านก็มิได้นำมันมาออกซะกาต

รายงานโดย มาลิก ชาฟิอี

จากอัมริ อิบนิ ดีนาร์ กล่าวว่า ฉันได้ยินชายผู้หนึ่งถามยาบิร บิน อับดุลเลาะฮฺถึงเรื่องเครื่องประดับ ว่าจะต้องออกซะกาตไหม ท่านตอบว่า ไม่ต้อง เขาถามอีกว่า และถ้ามันมีปริมาณ ถึง 1000 ดีนาร ท่านก็ตอบว่า และแม้จะมากก็ตาม[263]

รายงานโดย อัชชาฟิอี อัลบัยฮะกี

ซะกาตทรัพย์สินของเด็กกำพร้า

จากอัมริน บิน ชุอัยบ์ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา จากท่านบี ซ.ล. ท่านได้ให้ โอวาทแก่ปวงชนว่า พึงสังวร ผู้ใดปกครองเด็กกำพร้าที่มีทรัพย์สมบัติ เขาก็จงทำการค้าขาย ในทรัพย์นั้น (เพื่อให้ทรัพย์เพิ่มพูนขึ้น) และเขาอย่าปล่อยมันไว้เฉยๆ จนกระทั่งซะกาตกินมัน

รายงานโดย ติรมิซี. ชาฟิอี ดารอกุตนี

จากกอซิม[264] ร.ฎ. กล่าวว่า อาอิชะห์ทำการปกครองข้าพเจ้า และพี่น้องอีกสองคนของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นกำพร้าในอุปถัมภ์ของนาง แล้วนางก็จัดการเอาทรัพย์สินของเราไปออกเป็นซะกาต (ตามอัตราส่วน)

รายงานโดย ชาฟิอี

ซะกาตน้ำผึ้ง

จากอัมริน บิน บุอัยบ์ จากบิดา จากปู่ กล่าวว่าฮิลาลชายผู้หนึ่งจากตระกูลบะนี มุตอานได้เข้าพบท่านรอซูลุลเลาะรุ ซ.ล. พร้อมกับนำอัตราส่วน 1/10 ของนํ้าผึ้งที่เขาได้มา (เพื่อมอบเป็นซะกาต) และเขาได้ขอให้ท่านรอซูลทำการดูแลหุบเขาที่ชื่อ สะละบะฮ์ ท่านรอซูลก็ตอบสนองเขา (ตามที่เขาขอ) ครั้นเมื่อถึงยุคปกครองของ อุมัร บินคอตตอบ ผู้ปฏิบิติราชการของท่าน ชื่อซุฟยาน บิน วะฮฺบิน ได้มีจดหมายมาถามท่าน ซึ่งอุมัร ก็มีจดหมายตอบไป ถึงเขาว่า หากเขา (ฮิลาล) ได้ชำระแก่ท่านเหมือนที่เคยชำระแก่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. เกี่ยวกับอัตราส่วน 1/10 ของนํ้าผึ้งที่เขามีอยู่ ท่านก็คงช่วยดูแลสะละบะฮฺต่อไป แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น มันก็เป็น (ของสาธารณะ ซึ่งใครมาพบก่อนก็เก็บไปก่อน อันเปรียบดังแมลงวันแห่งฝน ผู้ประสงค์ ก็รับประทานใต้

รายงานโดย อะบูดาวูด อันนะซาอี อัฏฎอบะรอนี

จากอิบนิอุมัร ร.ฎ.จากท่านนบี ซ.ล.กล่าวไว้เที่ยวกับน้ำผึ้งว่า ในจำนวนสิบชิก [265]ต้อง ออกหนึ่งชิก

รายงานโดย อะบูดาวุด และฅิรมิซี 

และสำนวนของอะบูดาวุดคือ จากทุกๆ 10 กิรบะฮฺ ต้องออกหนึ่งกิรบะฮ์[266]

บทที่ 6 ซากาตุลฟิตริ

อัลลอฮ์โองการไว้ว่า แท้จริงผู้หมดมลทิน (ด้วยการออกซะกาต) และได้รำลึกถึงพระนามแห่งพระเจ้าของเขา แล้วเขาได้ทำละหมาด เขาย่อมประสบชัยชนะอย่างแน่นอน[267] 

จากกะซีร บินอับดิลลาฮ์ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ถูกถามถึงอายะฮฺหนึ่ง ท่านก็ตอบว่า เป็นอายะฮ์ที่ประทานเกี่ยวกับเรื่องซะกาตฟิตริ

รายงานโดย อิบนุคุซัยมะฮ์

จากอิบนิอับบาส ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.ได้บัญญัติการซะกาตฟิตริ เพื่อนำความสะอาดแก่ผู้ถือศีลอดให้หมดสิ้นจากความไร้สาระ ความหยาบคาย และเพื่อให้ อาหารแก่บรรดาผู้ยากไร้ บุคคลใดบริจาคมันก่อนละหมาด(อีดิ้ลฟิตริ) มันก็เป็นซะกาตที่ถูกรับรอง(โดยพระเจ้า) แต่ผู้ใดบริจาคมันหลังละหมาด มันก็เป็นการทำทานหนึ่งจากบรรดาการทำทาน

รายงานโดย อะบูดาวูด อิบนุมายะฮ์ อัลฮากีม

อัตราบริจาคซะกาตฟิตริ

จากอิบนุอุมัร ร.ฎ.กล่าวว่า เราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้บัญญัติการบริจาคซะกาตฟิตริ หนึ่งศออฺ (ประมาณ 4 ทะนาน) จากอินทผลัม หรือหนึ่งศออฺ จากข้าวฟ่าง เป็นการบังคับแก่ผู้เป็นทาส และเสรีชน แก่ผู้ชายและผู้หญิง แก่เด็กและผู้ใหญ่ จากมวลมุสลิมทั้งปวง และท่านได้มีคำสั่ง ให้บริจาคมันก่อนที่มนุษย์จะออก(จากบ้าน) มาสู่การละหมาด(อีด)

รายงานโดย ผู้รายงานทั้ง 5

จากอะบะสะอิด ร.ฎ.กล่าวว่า. พวกเราเคยบริจาคซะกาตฟิตริในสมัยเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.เป็นอาหารหนึ่งศออฺ หรืออินทผลัมหนึ่งศออุ หรือข้าวฟ่างหนึ่งศออฺ หรือองุ่นแห้งหนึ่ง ศออฺ หรือนมแห้งหนึ่งศออุ ต่อมาเมื่อมุอาวิยะฮ์มา(หาพวกเรา) และข้าวสาลีก็(ลูกนำ)มา(รวบรวมไว้จากการเก็บซะกาตฟิตริ) มุอาวิยะฮฺก็กล่าวว่า ฉันคิดว่าหนึ่งทะนาน (مُدًا-มุด) จำนวนนี้ คงจะเท่ากับสองทะนาน รายงานโดย ผู้รายงานทั้ง 5

และในกระแสรายงานหนึ่งระบุว่า จนเมื่อมุอาวิยะฮฺได้มายังพวกเรา เพื่อทำฮัจย์หรืออุมเราะห์ซึ่งเขาได้กล่าวให้โอวาทแก่ประชาชนทั้งหลายบนมิมบัร และบางเรื่องที่เขาพูดกับพวกเหล่านั้น ก็คือ ฉันเห็นว่าสักทะนานจากข้าวสาลีของเมืองชาม จะเท่ากับอินทผลัมหนึ่งศออุ ดังนั้นผู้คนทั้งหลายจึงยึดถือในคำพูดนั้นเป็นเกณฑ์มาตรฐาน

อะบุสะอีดกล่าวว่า ฉันเองนั้น ฉันได้ออกจากซะกาตตามเกณฑ์เช่นนั้นมาโดยตลอด

จากหะซัน ร.ฎ. กล่าวว่า อิบนุอับบาสได้แสดงธรรมเทศนาในปลายเดือนรอมาดอนบนมิมบัรของเมืองบัศเราะฮฺว่า ท่านทั้งหลายจงออกซะกาตจากการถือศีลอดของพวกท่านเถิด แท้จริงดูเหมือนประชาชนทั้งหลายยังไม่รู้เรื่องนี้ แล้วท่านก็กล่าวต่อไปว่า  ใครเป็นชาวมะดีนะฮฺ ที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ ขอได้ยืนขึ้นไปหาพี่น้องพวกท่านเกิด แล้วจงบอกให้พวกเขาทราบ เพราะพวกเขายังไม่รู้ท่านรอชูลุลเลาะฮฺ ซ.ลได้บัญญัติการทำทานซะกาตนั้นโดยให้บริจาคอินทผลัมหนึ่งศออฺ หรือข้าวฟ่างหนึ่งศออฺ หรือข้าวสาลีครึ่งศออฺ เป็นการบังคับแก่เสรีชนหรือผู้เป็นทาส ทั้งชายและหญิง ทั้งเด็กหรือผู้ใหญ่

ครั้นต่อมา เมื่ออะลีได้เดินทางมาถึง เขาได้เห็นราคาสินค้าลดลงแล้ว เขาจึงกล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ได้อำนวยฐานะที่ดีแก่พวกท่านแล้ว ดังนั้นหากท่านทั้งหลายบริจาคมันให้เป็น หนึ่งศออฺจากทุกๆ ชนิด(ก็จะเป็นการดี)

รายงานโดย อะบูดาวูด อันนะซาอี

จากอิบนิอุมัร ร.ฎ.จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า นํ้าหนักให้ใช้นํ้าหนักมาตรฐานของชาว มักกะฮฺและการตวงให้ใช้เครื่องตวงแบบชาวมะตีนะฮฺเป็นมาตราฐาน

รายงานโดย อะบูดาวูด อันนะซาอี

อนุมัติให้ออกซะกาตก่อนกำหนด และให้เคลื่อนย้าย

จากอะลี ร.ฎ. อับบาสได้ถามท่านนบี ซ.ล.ในเรื่องการบริจาคซะกาตก่อนครบขวบปี แล้วท่านก็ผ่อนผันแก่เขาในกรณีนั้น

รายงานโดย อะบูดาวุด ติรมิซี

และในกระแสรายงานหนึ่งระบุว่า ท่านนบี ซ.ล.ได้กล่าวแก่ อุมัรว่า เราได้เก็บซะกาต ของอับบาสสำหรับปีแรก(ที่พ้นมา) สำหรับปีนี้

และรายงานหนึ่งของบุคอรีระบุว่า ประชาชนได้บริจาคซะกาตก่อนอีดวันหนึ่งและสองวัน

และได้มีผู้ปฎิบัติราชการคนหนึ่ง แต่งตั้งอิมรอน บิน หุซอยน์ให้จัดการเก็บซะกาต ครั้นเมื่อเขากลับมาแล้ว ผู้ปฏิบัติราชการท่านนั้นก็ถามว่า ไหนเล่าทรัพย์ซะกาต อิมรอนตอบว่า และท่านได้ส่งตัวฉันให้จัดการเก็บทรัพย์สิน เราได้เก็บทรัพย์สินนั้น ตามแบบที่เราเคยเก็บกัน ในสมัยของรอซูลุลเลาะฮ์ ซ.ล.และเราได้จัดการแจกจ่ายออกไปตามแบบที่เราเคยแจกจ่าย ในสมัยของท่านรอซูลุลเลาะฮ์ ซ.ล.

รายงานโดย อะบูดาวูด สะอีด บิน มันซูร

จากอะบีฮิลาล อัซซะกอฟี ร.ฎ. กล่าวว่า ได้มีชายผู้หนึ่งเข้าพบท่านนบี ซ.ล.เขากล่าวว่า ข้าพเจ้าเกือบถูกฆ่าตายหลังจากท่าน ในกรณีที่เกี่ยวกับลูกแพะตัวเล็ก หรือแพะตัวเมียที่ เก็บมาเป็นซะกาต ท่านรอซูล ซ.ล.จึงกล่าวว่า หากมิใช่เพราะจะให้แพะตัวนั้นแก่คนจนๆ ชาวมุฮาญิรีน ฉันก็ไม่เอามันมาหรอก

รายงานโดย อันนะซาอี

มารยาทของผู้ให้และผู้รับ

จากญาบิร บิน อะตีก จากบิดาของเรา ร.ฎ.จากท่านนบี ซ.ล.กล่าวว่า ในอนาคตจะ มีมาหาพวกท่านกลุ่มชนหนึ่งที่ถูกโกรธ(ได้แก่พวกที่ออกเก็บซะกาตจากเจ้าของ เพราะเจ้าของซะกาตย่อมไม่พอใจทีตนเองถูกเก็บซะกาตไป) ดังนั้นเมื่อพวกนั้นมาหาพวกท่าน ท่านทั้งหลาย ก็จงกล่าวต้อนรับพวกเขาเถิด และท่านทั้งหลายจงปล่อยอิสระระหว่างพวกเขากับสิ่งที่พวกเขาแสวงหา หากพวกเขามีความเที่ยงตรง มันก็เป็นคุณความดีแก่ตัวพวกเขาเอง และหากพวกเขาฉ้อฉล มันก็เป็นโทษแก่ตัวพวกเขาเอง และท่านทั้งหลายจงยินดีต่อพวกเขา เพราะแท้จริงการ ให้ซะกาตโดยครบถ้วนแก่พวกเขานั่นแหละ คือการแสดงความยินดีต่อพวกเขา และพวกเขาจักขอพรให้แก่พวกท่าน

รายงายโดย อะบูดาวุด

จากยะรีรฺ บินอับดิลลาฮ์ ร.ฎ.กล่าวว่า. คนอาหรับชนบทได้มาร้องทุกข์ต่อท่านนบี ซ.ล. ว่า มีคนกลุ่มหนึ่งเป็นพวกที่มีหน้าที่เก็บซะกาตพวกเขามาหาพวกเรา แล้วก็ฉ้อฉลพวกเรา ท่านนบี ซ.ล. จงกล่าวว่า พวกท่านจงยินดีต่อผู้เก็บซะกาตของพวกท่านเถิด ยะรีรฺเล่าว่า นับแต่ฉันได้ยินประโยคนี้จากท่านนบี ซ.ล.ไม่ว่าผู้เก็บซะกาตคนใดได้ออกไปจากฉัน นอกจากฉันจะต้องมีความยินดีต่อเขาเสมอ

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และคำรายงานของติรมิซีระบุว่า เมื่อผู้เก็บซะกาตได้มาหาพวกท่าน ก็อย่าให้เขาได้ แยกจากพวกท่านไป นอกจากแยกไปด้วยความยินดี

จากอัมรินนิชุอัยบ์ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.กล่าวว่า(การเก็บซะกาต นั้นจะต้อง) ไม่มีการลาก และไม่มีการเรียกเก็บจากที่ห่างไกล และซะกาตของพวกเขา จะไม่ถูกเก็บนอกจากที่อยู่ของพวกเขา

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

จากอับดิลลาฮฺ บินอะบีเอาฟา ร.ฎ.กล่าวว่า บิดาของฉันเป็นหนึ่งจากเจ้าของต้นไม้ และท่านนบี ซ.ล. เมื่อมีคนกลุ่มหนึ่งนำซะกาตมามอบแก่ท่าน ท่านจะกล่าวความว่า โอ้อัลลอฮ์ โปรดประทานพรแก่วงศ์ญาติของฟุลาน ต่อมาบิดาของฉันได้นำซะกาตมอบแก่ท่าน ซึ่งท่านก็กล่าวว่า โอ้อัลลอฮ์โปรดประทานพรแก่วงศ์ญาติของอะบีเอาฟา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี 

และรายงานของติรมิซีกับของอะบีดาวูดยังมีอีกเนื้อความหนึ่งคือ เจ้าหน้าที่จัดการซากาดที่มีสิทธิชอบธรรม(ย่อมได้กุศล) ประดุจดังนักรบในทางของอัลลอฮ์จนกระทั่งเขา กลับมาสู่บ้านของเขา ผู้ละเมิดในเรื่องซากาด(เช่น บริจาคไม่ครบจำนวน) ก็(มีบาปโทษ) ประดุจเดียวกับผู้งดเว้นการบริจาคนั่นเอง

จากรอฟิอ์ บิน คอดีจ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.กล่าวว่า เจ้าหน้าที่จัดการซากาดโดย สิทธิอันชอบธรรม มีฐานะประดุจดังนักรบในทางของอัลลอฮ์จนกว่าเขาจะกลับมาสู่บ้านของ เขา

รายงานโดย ติรมิซี

บทที่ 7

บุคคลที่มีสิทธิรับซะกาต

อัลลอฮ์โองการที่ว่า อันที่จริงบรรดาซะกาตย่อมเป็นสิทธิของผู้ยากไร้ทั้งหลาย ของผู้ขัดสนทั้งหลาย ของบรรดาเจ้าหน้าที่จัดการซากาด และของบรรดา(ผู้เข้าอิสลามใหม่ซึ่ง) ต้องประสานหัวใจของพวกเขาไว้ และในทาส (ที่ได้รับสัญญาจากนายในการไถ่ตัวเป็นอิสระ) ในผู้เป็นหนี้สิน (ผู้สละชีวิต) ในทางของอัลลอฮ์และผู้เดินทาง เป็นข้อบัญญัติมาจากอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ ทรงปรีชาญาณยิ่ง

มีชายคนหนึ่งถามท่านนบี ซ.ล.เกี่ยวกับเรื่องซะกาต ท่านก็ตอบว่า อัลลอฮ์ไม่ทรง พอพระทัยในการตัดสินของนบีคนใด และคนอื่นๆ ก็ตาม ในเรื่องของซะกาตจนกระทั่งพระองค์ได้ทรงตัดสินในเรื่องนั้นเอง โดยพระองค์ได้จัดจำแนกมันออกเป็น 8 ส่วน ดังนั้นหากท่าน เป็นหนึ่งจากบรรดาส่วนเหล่านั้น ฉันก็จะมอบสิทธิของท่านนั้นแก่ท่าน

รายงานโดย อะบูดาวุด

จากอะบีสะอีด ร.ฎ.กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งในสมัยของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ถูกภัยพิบิติคุกคามในกรณีของผลไม้ที่เขาได้ซื้อมันมา แต่ปรากฏว่าหนี้สินของเขามีมากเหลือเกิน ท่าน เราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.จึงกล่าวว่า พวกท่านทั้งหลายจงให้ซากาดแก่เขาเถิด ผู้คนทั้งหลายต่างก็ บริจาคซากาดแก่เขา แต่จำนวนที่เขาได้รับมานั้น ยังไม่ครบที่จะชำระหนี้ของเขาได้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.จึงกล่าวแก่บรรดาเจ้าหนี้ของเขาว่า พวกท่านจงเอาเท่าที่พวกท่านได้จากเขา และพวกท่านไม่มีสิทธิยกเว้นเท่านั้น รายงานโดย ดิรมิซี

จากอะบีฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ.จากท่านนบี ซ.ล.กล่าวว่า หาใช่ผู้ขัดสนไม่ บุคคลที่เที่ยววนเวียนอยู่กับมนุษย์ ยังมือาหารสักคำหรือสองคำ และอินทผลัมสักเม็ดหรือสองเม็ดมาถึงเขา(จากการให้ทานของผู้อื่น) แต่คนขัดสนที่แท้จริงนั้นได้แก่ผู้ที่ไม่มีทรัพย์สินอันพอเพียงที่จะทำให้เขารวยได้ และไม่มีผู้ใดรู้จักเขา(ว่าเขายากจน) อันจะทำให้ผู้อื่นทำทานแก่เขา และเขาไม่ยืนขึ้น เพื่อทำการขอผู้อื่น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

จากกอบีเซาะฮฺ บิน มุคอริก อัลฮิลาลี ร.ฎ. กล่าวว่า ข้าพเจ้ารับภาระอย่างหนึ่ง(อัน เกี่ยวข้องกับผู้อื่น ยังต้องใช้ทรัพย์สินจำนวนหนึ่งดำเนินการ) ฉันจึงเข้าพบท่านรอซูล ซ.ล. เพื่อขอท่านในเรื่องภาระนั้น ท่านกกล่าวว่า ท่านจงยืนดำเนินการ(ตามภาระนั้นไป)เถิด จนกว่าซากาด(จากผู้เก็บรวบรวม)จะมาถึงเรา เราจะได้ใช้ให้ท่านจัดการกับมัน หลังจากนั้นท่านก็กล่าวว่า โอ้กอบีเซาะฮฺ ที่จริงการขอ ไม่อนุมัติแก่ผู้ใด ยกเว้นแก่หนึ่งจากสามคนต่อไปนี้ บุรุษหนึ่งที่รับภาระหนึ่งๆ (เช่น เป็นหนี้เพื่อสร้างสรรค์สังคมส่วนรวม เป็นด้น) ย่อมอนุมัติให้เขาทำการขอจนกระทั่งเขาสามารถดำเนินการมันได้ หลังจากนั้นเขาก็งดเว้น(การขอเสีย) อีกบุรุษหนึ่งประสบภัยที่ทำลายทรัพย์สมบัติของเขา ย่อมอนุมัติให้เขาทำการขอ จนกว่าเขาจะได้ปัจจัยยังชีพ และอีกบุรุษหนึ่งประสบความยากแค้นสาหัส จนกระทั่งมีคนสามคนจากกลุ่มชนของเขายังเป็นผู้ยากแค้นด้วยกันกล่าวว่า ความยากแค้นได้ประสบแก่ฟุลานนั้นอย่างแท้จริงแล้วก็อนุมัติให้เขาทำการขอจนกระทั่งเขาได้ปัจจัยยังชีพ อันการขอเนื่องจากกรณีอันนอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้วนั้น กอบีเซาะฮฺเอ๋ย มันคือเนื้อต้องห้ามยังเจ้าของมันบริโภคอย่างผิด ๆ

รายงานโดย มุสลิม อะบูดาวูด อันนะซาอี

จากอับดิลลาฮฺ บินอัมริน ร.ฎ.จากท่านนบี ซ.ล.กล่าวว่า ไม่อนุมัติการขอสำหรับคนรวย และไม่อนุมัติสำหรับผู้มีร่างกายแข็งแรงสมประกอบ

จากอะนัส ร.ฎ.จากท่านนบี ซ.ล.กล่าวว่า แท้จริงการขอไม่บังควร ยกเว้นสำหรับสาม คนต่อไปนี้ คือ สำหรับผู้ยากจนค้นแค้น หรือสำหรับผู้เป็นหนี้สินล้นพ้นตัว หรือผู้รับภาระต้องชำระค่าเลือดอันสร้างความเจ็บปวด(หมายถึง ต้องหาเงินชำระค่าทำขวัญเนื่องจากคดีต่างๆ แต่ตัวเองไม่มีเงิน เช่น คดีฆาตกรรม เป็นต้น)

จากอับดิลลาหฺ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.กล่าวว่า ใครขอผู้อื่นทั้งๆ ทีเขามีทรัพย์ที่ทำให้ เขารวย เขาจะต้องมาในวันชาติหน้า โดยสิ่งที่เขาขอนั้นปรากฏอยู่ในใบหน้าของเขาเป็นร่องรอยอันอัปยศ

มีผู้ถามว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ครับ  และสักเท่าใดจึงจะทำให้เขารวย ท่านรอซูลตอบ ว่า 50 ดิรฮัม หรือทองในราคานั้น

รายงานทั้งสามหะดีษนี้โดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอะบีสะอีด ร.ฎ.จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า ใครขอผู้อื่นโดยที่เขามีทรัพย์มูลค่าครบ ลูกิยะฮฺ(40 ดิรฮัม) นั่นเท่ากับเขาพิรี้พิไรขอ(ซึ่งผิดหลักศาสนา) และในกระแสรายงานหนึ่งระบุว่า  นั่นเท่ากับเขาได้ขออย่างพิรี้พิไร ฉันจึงถามว่า อูฐตัวเมียของฉันที่ชื่อ ยากูติยะฮ์ มีราคาสูงดีกว่าลูกียะฮ์เสียอีก

รายงานโดย อะบูดาวูด

จากสะฮัส บิน ฮันเซาะลียะฮฺ ร.ฎ.จากท่านนบี ซ.ล.กล่าวว่า ใครขอผู้อื่น โดยเขา ยังมีทรัพย์ที่ทำให้เขารวย นั่นแสดงว่าเขาทำการขอเพิ่มจำนวนให้มากจากไฟนรก

และในกระแสรายงานหนึ่ง จากก้อนไฟนรก พวกซอฮาบะห์ถามว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ และอัตราใดที่ทำให้เขารวย ท่านตอบว่า “ที่ทำให้เขามีกินในตอนเช้าและตอนเย็น” (หมายความว่าคนที่มีกินอย่างอิ่มตลอดทั้งวัน ไม่อนุญาตให้ขอผู้อื่น)

และในกระแสรายงานหนึ่งระบุว่า เมื่อเขามี(อาหารบริโภค)อิ่มทั้งวันและคืน

รายงานโดย อะบูดาวุด อิบนุฮิบบาน

จากอะฏออฺ บินยะซารฺ จากท่านนบี ซ.ล.กล่าวว่า ไม่อนุมัติให้คนรวยรับซะกาตยกเว้น สำหรับ 5 คน คือ สำหรับผู้ที่ออกรบในทางของอัลลอฮ์ หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวกับการเก็บซากาด หรือผู้เป็นหนี้ หรือบุรุษหนึ่งที่เขาซื้อนั้น(มาจากคนจน) ด้วยทรัพย์ของเขา หรือบุรุษหนึ่งที่เขามีเพื่อนบ้านทีขัดสน แล้วได้มีการให้ซะกาตแก่ผู้ขัดสนคนนั้น จากนั้นผู้ขัดสน ได้มอบซะกาตนั้นเป็นของขวัญแก่คนรวย

รายงานโดย อะบูดาวุด อะห์มัด ฮากีม

ไม่อนุมัติรับซะกาต สำหรับเครือญาติของนบี ซ.ล.

จากอะบีฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ.กล่าวว่า   หะซัน บุตรของอะลี ร.ฎ. ได้หยิบอินทผลัมเม็ด หนึ่งจาก(กอง)อินทผลัม(ที่ถูกเก็บเป็น)ซะกาต  แล้วหะซันก็จับอินทผลัมนั้นใส่ลงไปในปากของเขา  ท่านนบี ซ.ล.จึงพูดว่า กั๊ค กั๊ค  (จงคายเสีย) เพื่อให้หะซันคายมันออกมา   หลังจาก นั้นท่านก็กล่าวต่อไปว่า  เจ้าไม่รู้หรือว่า พวกเราไม่กินซากาด

รายงานโดย บุคอรี  มุสลิม

สำหรับเนื้อความบันทึกโดยมุสลิมระบุว่า  เจ้าไม่รู้หรือว่า  พวกเราไม่อนุมัติให้รับซะกาต

จากอะนัส ร.ฎ.เล่าว่า. ท่านนบี ซ.ล.ได้ผ่านไปทีอินทผลัมเม็ดหนึ่งซึ่งตกอยู่กลางทาง เดิน ท่านก็พูดว่า หากมันมิใช่เป็นส่วนหนึ่งของซะกาตฉันจะกินมันเอง

รายงานโดย มุสลิม  อบูดาวูด                                                                                                           จากอาอิซะอฺ ร.ฎ.กล่าวว่า   ได้มีผู้นำเนื้อสัตว์มามอบแก่ท่านนบี ซ.ล. ฉันจึงพูดว่า สิ่งนื้ได้ถูกนำมาทำทานแก่บะรีเราะฮฺ(ซึ่งเป็นทาสหญิงของอาอิซะอุ)  ท่านนบีจึงกล่าวว่า  สิ่ง นั้นเป็นทานสำหรับนาง แต่เป็นของขวัญสำหรับเขา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

และท่านนบี ซ.ล.นั้น เมื่อมีใครนำอาหารมามอบแก่ท่าน ท่านจะถามถึง(ที่มาของ)มัน หากมีผู้ตอบว่า เป็นของขวัญ ท่านก็จะรับประทาน แต่ถ้ามีผู้ตอบว่าเป็นทาน ท่านก็จะไม่รับประทาน

รายงานโดย  ตีรมีซี  มุสลิม

จากอับดุลเลาะฮฺ บินฮาริษ อัลฮาซิมี ร.ฎ.และเขาได้รายงานหะดิษ(อย่างยาว) จนเขา พูดว่า  แท้จริงบรรดาซะกาตเหล่านั้น มันเป็นเหงื่อไคลของมนุษย์ และมันไม่อนุมัติสำหรับ มุฮัมมัด และไม่อนุมัติสำหรับเครือญาติของมุฮัมมัด

รายงานโดย  มุสลิม  อันนะซาอี

จากอะบีรอฟิอ์ ร.ฎ.เล่าว่า  ท่านนบี ซ.ล.ได้ส่งชายผู้หนึ่งให้ไปจัดการรวบรวมซะกาต จากคนตระกูลบะนีมัคซูม แล้วเขาก็กล่าวกับอะบีรอฟิอฺว่า  ท่านจงเป็นเพื่อนข้าพเจ้าด้วยเถิด (ในการไปเก็บซะกาตครั้งนี้) แล้วท่านก็จะได้ส่วนแบ่งจากซะกาตด้วย (เพื่อเป็นค่าจ้างในการ ปฏิษัติงาน) แต่อะบีรอฟิอฺตอบว่า   จนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าพบท่านนบี ซ.ล.แล้วถามท่านเสียก่อน (จึงจะยอมรับข้อเสนอนั้น)  จากนั้นท่านนบี ซ.ล.ก็กล่าวว่า   ทาสปล่อยของชุมชนหนึ่ง ย่อม เป็นส่วนหนึ่งจากฐานะของชุมชนนั้น และแท้จริงไม่อนุมัติซากาดสำหรับเรา

รายงานโดย  อบูดาวูด  ตีรมีซี

บทที่ 8

ภาคผลของการไม่ขอ ข้อตำหนิของการขอ ยกเว้นเพราะคับขัน

อัลลอฮ์โองการว่า   ผู้โง่เขลาคิดว่าพวกเขา(ชาวมุฮาญิรีนทีอพยพมาอยู่มะดีนะฮฺและ พักอยู่ทีมัสยิดนะบะวี)เป็นคนรวย ทั้งนี้เนื่องมาจากการไม่ยอมขอใคร เจ้ารู้จักพวกเขาด้วยเครื่อง หมายของพวกเขา พวกเขาไม่ยอมขอผู้อื่นอย่างเด็ดขาด

จากอะบีสะอีด ร.ฎ. มีคนกลุ่มหนึ่งจากชาวอันชอรฺได้ขอท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.แล้ว ท่านก็ให้พวกเขาตามคำขอนั้น หลังจากนั้นพวกเขาก็ขอท่านอีก ท่านก็ให้อีก จนกระทั่งสิงที่มี อยู่ที่ท่านหมดสิ้น(ไม่เหลืออะไรเลย)  ท่านจึงบอกให้พวกนั้นทราบว่า ทรัพย์สินใด ๆ ก็ตามที่ ฉันมีอยู่ ฉันจะไม่กักตุนไว้(เพื่อกีดกัน)จากพวกท่าน และผู้ใดขอให้งดเว้นการขอ อัลลอฮ์ก็ จักประทานการงดเว้นแก่เขา และผู้ใดขอความรวย อัลลอฮ์ก็จะประทานความรวยแก่เขา และ ผู้ใดมุ่งขันติ อัลลอฮ์ก็จะประทานความขันติแก่เขา และไม่มีบุคคลหนึ่งใดทั้งสิ้นที่จะได้รับ อะไรประเสริฐ และกว้างขวางเกินความอดทนไปได้

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และรายงานของบุคอรีมุสลิมและติรมีซีระบุว่า   ย่อมประสบขัยชนะบุคคลที่มีจิตอิสลาม และกูกประทานความเพียงพอแก่เขา และอัลลอฮ์ได้ประทานความมักน้อยแก่เขา ในสิ่งที่พระองค์ ทรงประทาน

และในกระแสรายงานหนึ่งระบุว่า  โอ้อัลลอฮ์ โปรดบันดาลให้โชคผลแห่งประยูร วงศ์ของมุฮัมมัดให้เป็นสิงประทังชีพอันพอเพียงเถิด

และในกระแสรายงานหนึ่งระบุว่า  หาใช่ความรวยไม่  การที่มีทรัพย์สมบัติมาก ๆ แต่ความรวยที่แท้ คือความรวยของจิตใจ

จากอะบูฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.กล่าวว่า  ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ซึ่งชีวิต ของฉันอยู่ในอำนาจของพระองค์ การที่คนใดของพวกท่านได้ถือเชือกของเขาออกไป แล้วเขา เก็บไม้ฟืนแบกไว้บนหลังของเขา ย่อมดีกว่าการที่เขาจะเข้าหาชายผู้หนึ่ง แล้วเขาก็ขอจากชายผู้ นั้น ซึ่งเขาอาจจะให้หรืออาจจะไม่ให้ก็ได้

จากหะกีมบินหิชาม ร.ฎ.กล่าวว่า   ฉันได้ขอจากท่านรอซูล ซ.ล.แล้วท่านก็ให้ฉัน หลังจากนั้นฉันก็ขอท่านอีก ท่านก็ให้ หลังจากนั้นฉันขอท่าน ท่านก็ให้แก่ฉัน(มิได้ขัดเลย) หลัง จากนั้นท่านได้สอนฉันว่าอันที่จริงทรัพย์สมบัตินี้เป็นความเขียวชอุ่ม อีกทั้งหวานชื่น ด้งนั้นผู้ ใดเอามันมาด้วยจิตใจอันสุนทรทานก็จะได้รับความจำเริญในมันและผู้ใดเอามันมาด้วยจิตอันฟุ้งเฟ้อ เขาจะไม่ได้รับความจำเริญในมันเลย เช่นเดียวกับผู้ที่รับประทานไม่รู้จักอิ่ม  และมือบน ย่อมประเสริฐกว่ามือล่าง   หะกีมเล่าต่อไปว่าแล้วฉันได้ถามท่านศาสดาว่า  โอ้รอซูลุลลอฮ์ ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ที่ได้แต่งตั้งท่านโดยสัจธรรม ฉันจะไม่ขอผู้ใดทั้งสิ้นหลังจากท่านแม้สัก สิงเดียวก็ตาม จนกว่าฉันจะจากโลกนี้ไป  ครั้นต่อมา อะบูบักร์และอุมัรได้ให้บางส่วนจากทรัพย์ ทียึดมาจากเชลย แต่เขาปฏิเสธ หลังจากนั้นเขาก็เสียชีวิต

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

และมีรายงานหนึ่งของอะบีดาวุดระบุว่า  มือมีทั้งหมดสามคือ  มือแห่งอัลลอฮ์เป็น มือสูง  และมือของผู้ให้เป็นลำดับรองลงไป  และมือของผู้ขอเป็นมือต่ำ ด้งนั้นท่านจงให้สิงที่ เหลือ(จากความจำเป็นของท่าน) และท่านอย่าอ่อนแอต่อ(การต่อสู้กับ)ตัวของท่านเอง

จากอุมัร ร.ฎ.กล่าวว่า   ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.ได้มอบสิงของแก่ฉัน แต่ฉันได้กล่าว กับท่านว่า ขอท่านได้โปรดมอบสิ่งนั้นแก่คนที่ยากจนกว่าฉันเถิด ท่านกล่าวว่า   ท่านจงรับมัน เถิดเมื่อมีสิ่งใด ๆ จากทรัพย์สินนี้มาถึงท่าน โดยท่านไม่ฟ้งเฟ้อและท่านมิได้ขอมัน ด้งนั้นท่าน จงรับมันไว้เถิดและสิ่งใดที่ไม่มีมาถึงท่าน ท่านก็อย่าตามติดสิงนั้น ด้วยตัวของท่านเอง(เพื่อขอ สิ่งนั้น)

รายงานโดย  บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

และกระแสรายงานของ บุคอรีมุสลิมระบุว่า   แท้จริงทรัพย์สินนี้เป็นความเขียว อีก ทั้งหวาน และเจ้าของมุสลิมที่ดีที่สุดนั้นเป็นทรัพย์สินของบุคคลที่นำมันบางส่วนมามอบให้แก่ คนยากไร้  เด็กกำพร้า  และคนเดินทาง   และแท้จริงผู้ใดเอาทรัพย์สินมาโดยปราศจากความชอบ ธรรม เขาจะมีฐานะสภาพเหมือนเช่นคนที่กินไม่รู้จักอิ่ม และทรัพย์นั้นจะเป็นพยานทิ่มตำเขา ในวันชาติหน้า

และจากอุมัร จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า  บุรุษหนึ่งจะทำการขอต่อผู้อื่นเป็นนิจสิน จนกระทั่งเขาจะมาสู่วันชาติหน้า ในสภาพใบหน้าของเขาไม่มีก้อนเนื้อติดอยู่เลย

รายงานโดย  บุคอรี  มุสลิม

และกระแสรายงานของอันนะซาอีระบุว่า  หากพวกท่านทั้งหลายทราบถึงโทษที่มีอยู่ ในการขอ แน่นอนจะไม่มีผู้ใดเลยที่เดินไปหาอีกคนหนึ่ง เพื่อทำการขอคนผู้นั้น

จากอับดิลลาฮฺ ร.ฎ.จากท่านนบี ซ.ล.กล่าวว่า  ผู้ใดประสบความยากแค้น แล้วเขาก็ นำมันมามอบให้เพื่อนมนุษย์แก้ไข แน่นอนความยากแค้นของเขานั้น ไม่อาจไค้รับการคลี่คลายได้  แต่ถ้าผู้ใดได้นำมามอบให้อัลลอฮ์แก้ไข ไม่นานหรอก อัลลอฮ์จักทรงประทานความรวย แก่เขา อาจจะเพราะความตายอันรีบต่วน หรือความรวยทรวดเร็ว

รายงานโดย  อบูดาวูด  ติรมีซี

ท่านรอซูลุลลอฮ์ ซ.ล.กล่าวว่า  ผู้ใดบ้างทีรับประกันกับฉันว่า เขาจะไม่ขอสิ่งหนึ่ง จากผู้ใดทั้งสิ้นและฉันจะรับประกันแก่เขาด้วยสวรรค์(ที่เขาไค้เข้าแน่นอน)   เซาบานจึงพูดขึ้นว่า  ข้าพเจ้าเอง   ต่อจากนั้นเขาก็ไม่ยอมขอสิ่งหนึ่งจากผู้ใดเลย

รายงานโดย อะบูดาวูด

อัลฟีรอซีกล่าวว่า โอท่านรอซูลุลลอฮ์  ข้าพเจ้าขอ  ท่านรอซูลุลลอฮ์กล่าวว่า  ไม่ (ท่าน อย่าขอ) และหากเลี่ยงไม่พ้น(ที่จะต้องขอเพราะความเดือดร้อนสาหัส) ท่านก็จงขอจากคนดี ๆ

รายงานโดย อะบูดาวูด  อันนะซาอี

จากสะมุเราะอฺ ร.ฎ.จากท่านนบี ซ.ล.กล่าวว่า   บรรดาสิ่งที่ขอมานั้น จะทำให้บุรุษผู้ ทำการขอมีความอัปมงคลแก่ใบหน้าของเขาเอง เพราะสิ่งเหล่านั้น ดังนั้นผู้ใดประสงค์ก็ให้ค้าง (ความอัปมงคลนั้น) บนใบหน้าของเขาเถิด และผู้ใดประสงค์เขาก็ปล่อยมันไป ยกเว้นในกรณี ที่บุรุษหนึ่งทำการขอจากผู้มีอำนาจการปกครอง หรือในกิจหนึ่งที่เขาไม่มีทางเลี่ยงได้

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

บทที่ 9

การเลี้ยงดูกรอบครัว และการทำงาน

มีบทย่อยอีกคือ

การทำทานแก่ครอบครัวและแก่ญาติมีภาคผลมากกว่าทำแก่ผู้อื่น

จากอะบีฮุรอยเราะอฺ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า   การทำทานที่ดีที่สุด คือ ทาน ที่ทำบนหลังแห่งความรวย และท่านจงเริ่มต้น ด้วยการทำทานแก่บุคคลทีท่านต้องเลี้ยงดู (เช่น ภริยา บุตร)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

จากอะบีฮุรอยเราะฮฺ  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า ดีนารฺหนึ่งที่ท่านใช้จ่ายไปในทางของ อัลลอฮ์  ดีนารฺหนึ่งที่ท่านใช้จ่ายไปในการปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระ  ดีนารหนึ่งที่ท่านนำ มาทำทานแก่ผู้ยากไร้ และดีนารฺหนึ่งทีท่านใช้จ่ายเลี้ยงดูครอบครัวของท่าน บรรดาเหล่านั้น ทั้งหมดที่ไค้กุศลยิ่งใหญ่ที่สุด คือดีนารฺที่ท่านนำมาใช้จ่ายเลี้ยงดูครอบครัวของท่าน 

รายงานโดย  มุสลิม  ตีรมีซี  อะห์มัด

จากอับดิลลาอฺ บิน อัมริบ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า  เป็นบาปแก่บุคคลหนึ่ง อย่างเพียงพอแล้ว การที่เขาเพิกเฉยการเลี้ยงดูบุคคลที่เขาครอบครองอยู่  รายงานโดย  มุสลิม  นะซาอี  อะบูดาวูด

และเนื้อความของรายงาน อะบีดาวูด  คือ  ย่อมเป็นโทษอันพอเพียงแล้ว สำหรับบุคคล หนึ่ง การที่เขาละเลยต่อผู้ที่เขาต้องเลี้ยงดู

จากยาบิร ร.ฎ. กล่าวว่า   ได้มีชายผู้หนึ่งจากตระกูลบะนีอุซเราะฮฺ ได้ปลดปล่อยทาส ผู้หนึ่งของเขาเป็นอิสระ ภายหลังจากเขาได้ตายไปแล้ว (ด้วยการพูดว่า เมื่อฉันตาย เธอก็เป็น อิสระ เป็นต้น) แล้วข่าวนั้นก็ทราบมาถึงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ท่านก็พูดว่า. ท่านมีทรัพย์ สินอื่นใดนอกจากทาสผู้นั้นหรือ   เขาตอบว่า  ไม่มี   ท่านรอซูลลุลลอฮ์  ซ.ล.กล่าวต่อไปว่า   จะมีผู้ใดซื้อทาสผู้นี้ไปจากฉันหรือไม่    ก็ปรากฏว่านุอัยม์บินอับดิลลาฮฺ อัลอะดะวีย์ ไค้'เอ'ไปด้วย ราคา 800 ดิรฮัม จากนั้นเขาก็นำเงินจำนวนดังกล่าวมาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. แล้วท่าน ก็มอบเงินนั้นแก่เขาไป. หลังจากนั้นท่านก็สอนว่า.ท่านจงเริ่มต้นที่ตัวของท่านเอง โดยท่าน จงทำทานให้ตัวท่าน ครั้นเมื่อมีส่วนใดเหลือก็จงทำทานแก่ครอบครัวของท่าน ต่อมาเมื่อยัง มีสิงใดเหลือจากครอบครัวของท่าน ก็จงทำทานแก่วงศ์ญาติของท่าน จากนั้นเมื่อยังมีสิงใด เหลือจากเครือญาติของท่าน ก็จงให้แก่บุคคลนี้บุคคลนี้ต่อไป. ท่านรอซูลกล่าวต่อไปนี้ แล้ว จงทำทานแก่ผู้อยู่ต่อหน้าท่าน  และผู้อยู่ข้างขวาของท่าน  และข้างซ้ายของท่าน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และมีผู้ถามท่านนบี ซ.ล. ถึงเรื่องการทำทานแก่เครือญาติ ท่านก็ตอบว่า. เขาได้รับ กุศลสองเท่า คือ  กุศลแห่งวงศ์ญาติ  และกุศลแห่งการทำทาน

รานงานโดย  บุคอรี  มุสลิม  ตีรมีซี และนาซาอี  

และเนื้อความของนะซาอีและติรมีซีคือ  การทำทานแก่คนยากไร้ได้ผลแห่งทาน และ การทำทานแก่วงศ์ญาติได้สอง คือ ไค้ผลแห่งทาน และการสัมพันธ์เครือญาติ

จากอะบีอุมามะฮฺ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า. โอ้มนุษย์ แท้จริงการที่ท่าน ให้ส่วนเหลือ (แก่ผู้อื่น) มันก็เป็นความดีแก่ท่าน และการที่ท่านหวงไว้ มันจะเป็นความเลวแก่ท่าน เอง และท่านจะไม่ถูกตำหนิ เนื่องจากความพอมีพอใช้ (ไม่เหลือเฟือจนจะให้ใครได้)  และท่าน จงเริ่มต้นกับบุคคลที่ท่านเลี้ยงดู และมือบนย่อมประเสริฐกว่ามือล่าง

รานงานโดย    บุคอรี  มุสลิม

จากอะบีมัสอูด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. กล่าว่า  มุสลิมนั้น เมื่อได้ใช้จ่ายค่าเลี้ยงดูหนึ่ง แก่ครอบครัวของเขา โดยเขาใคร่ครวญแต่กุศลของมัน แน่นอนสิ่งนั้นย่อมเป็นผลทำทานสำหรับเขา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี 

การทำทานที่ได้ภาคผลยิ่ง

อัลลอฮ์โองการว่า  ท่านทั้งหลายจะไม่ได้กุศลใด ๆ จนกว่าท่านทั้งหลายจะใช้จ่าย จากสิ่งที่ท่านทั้งหลายรัก

จากอะบีฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ. กล่าวว่า. มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วเขากล่าว ว่า   โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์ การทำทานอย่างใด จึงจะได้กุคลยิ่งใหญ่ที่สุด  ท่านรอชูลตอบว่า  ให้ท่านทำทานขณะที่ท่านมีสุขภาพปกติ  ท่านยังมีความต้องการในสิ่งนั้น   ท่านยังกลัว ความยากจน (จากการทำทานนั้น) และท่านยังหวังความรวย และท่านไม่ประวิง (การทำทาน) จนถึงวาระที่วิญญาณขึ้นมาถึงคอหอยแล้ว ซึ่งวาระนั้นท่านพูดสั่งให้ทานแก่นายฟุลานอย่างหนึ่งอย่างนี้ อย่างนี้ และแก่นายฟุลานอีกคนหนึ่งอย่างนี้อย่างนี้ แต่สิ่งนั้นมีอยู่แล้วสำหรับนายฟุลาน   

รายงานโดย  บุคอรี  มุสลิม และนะซาอี

จากอะบีฮุรอยเราะอฺ   ฉันถามท่านรอชูลลุลลอฮ์ ว่า   การทำทานทีประเสริรูสุดคืออย่างใด   ท่านตอบว่า  ความพยายาม (ให้ทาน) ของผู้มีทรัพย์น้อย และท่านจงเริ่มต้นกับบุคคลที่ท่าน รับภาระเลียงดู

รายงานโดย อะบูดาวูด  อัลฮากีม

จากอะบีฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า  เพียงดิรฮัมเดียวก็ชนะหนึ่งพันดีรฮัม พวกซอฮาบะอฺถามท่านรอชูลว่า  โอ้ท่านรอชูลุลลอฮ์จะชนะได้อย่างไร   ท่านตอบว่า  ชายคนหนึ่งเขามีสองดีรฮัม เขานำตดีรฮัมหนึ่งมาทำทาน และชายอีกคนหนึ่ง เขามีทรัพย์สมบัติ มหาศาล แล้วเขาก็เอาเพียงจากด้านหนึ่งของทรัพย์สมบัติ (ที่เขาหยิบฉวยมาอย่างไม่เสียดาย) เป็นจำนวน 1000 ดีรฮัม แล้วเขาก็นำมันมาทำทาน

รายงานโดย อันนะซาอี

ให้ทำทานให้มาก

อัลลอฮ์ทรงโองการว่า   และท่านทั้งหลายจงบริจาคเถิด จากสิ่งที่เราได้ประทานแก่ พวกท่าน ก่อนหน้าที่ความตายจะเข้ามายังคนใดคนหนึ่งจากพวกท่าน แล้วเขาก็จะรำพึงว่า โอ้ องค์อภิบาล   หากพระองค์ประวิงข้าพเจ้าไว้ตราบถึงกำหนดอันใกล้เคียง (ออกไปอีก) แน่นอน ข้าพเจ้าจักทำทาน และข้าพเจ้าจักเป็นผู้หนึ่งจากหมู่ชนที่ประพฤติตนดีเป็นแน่

จากอะบีมูซา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า. เป็นภาระหน้าทีของมุสลิมทุกคน จะต้องทำทาน พวกซอฮาบะอฺถามท่านว่า   หากเขาไม่มี   ท่านรอซูลุลลอฮ์ตอบว่า   ก็ให้เขา ช่วยเหลือแก่ผู้มีความจำเป็นที่เดือดร้อน  พวกเขาถามอีกว่า   แล้วถ้าเขาไม่มี    ท่านตอบว่า ก็ให้เขาปฏิบัติแต่คุณธรรม และระงับความชั่ว นั้นเป็นการทำทานสำหรับเขาแล้ว

และจากอะบีมูชา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า   ต่อไปจะอุบัติกาลเวลาหนึ่งสำหรับ มนุษย์ชาติซึ่งบุรุษหนึ่งจะนำทองเพื่อทำทานเที่ยววนหาผู้รับ แต่แล้วเขาก็ไม่พบผู้ใดที่จะเอา ทองนั้นไปจากเขา   และต่อไปจะเห็นบุรุษหนึ่ง มีสตรีถึงสี่สิบคนเดินตามเพื่อเสพสุขกับเขา ทั้งนี้เนื่องจากบุรุษมีน้อย และสตรีมีมาก

รายงานโดย บุคอรี  มุสลิม อันนะซาอี

หมวด การถือศีลอด

มี 8บท แลบทส่งท้าย

บทที่ 1

การบัญญัติศีลอดเราะมะฎอน

         อัลลอฮ์โองการว่า  “โอ้ผู้มีศรัทธาทั้งหลาย  ได้มีการบัญญัติการถือศีลอดแก่พวกท่านเหมือนเช่นที่ได้บัญญัติแก่ประชากรสมัยก่อนหน้าพวกท่านมาแล้ว  ทั้งนี้เพื่อพวกท่านจะได้ยำเกรง(อัลลอฮ์)ในหลายวันที่ถูกกำหนดไว้”

และทรงโองการว่า  “เดือนเราะมะฎอน  ซึ่งอัลกุรอานได้ถูกประทานลงมานั้นเพื่อเป็นสิ่งชี้นำทางแก่มนุษย์  และแจ้งถึงสิ่งชี้นำทางและการจำแนก  ดังนั้นผู้ใดจากหมู่พวกท่านได้ประจักษ์ชัดถึง (การเข้า) เดือน (เราะมะฎอน) เขาก็จงถือศีลอดเถิด”

จากอนัสบินมาลิก ร.ฎ. กล่าวว่า  พวกเราถูกห้ามมิให้ซักถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ถึงสิ่งหนึ่ง  (ที่ไม่มีความจำเป็น)  ต่อมาเราก็รู้สึกฉงนที่มีชายคนหนึ่งมา  ชายคนนั้นเป็นผู้เฉลียวฉลาดคนหนึ่งจากชาวชนบท  แล้วเขาก็ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. โดยมีพวกเราฟังอยู่  กล่าวคือมีชายคนหนึ่งจากชาวชนบทได้มา  แล้วเขาก็ถามว่า  โอ้มุฮัมมัด  ทูตของท่านได้ไปหาพวกเราแล้วเขาก็พูดให้เราคิดว่า  ตัวท่านเองนั้นคิดว่าอัลลอฮ์  ได้แต่งตั้งท่านเป็นศาสนทูต  เป็นความจริงหรือ  ท่านรอซูลตอบว่า  เขาพูดจริงแล้ว  ชายผู้นั้นถามต่อไปว่าแล้วใครเล่าที่สร้างชั้นฟ้า  ท่านตอบว่าอัลลอฮ์  เขาถามว่า  แล้วใครเล่าที่สร้างแผ่นดิน  ท่านตอบว่าอัลลอฮ์  เขาถามว่าแล้วใครปักภูเขาเหล่านี้ไว้  และใครบันดาลให้มีสรรพสิ่งต่างๆไว้ภายในมัน  ท่านตอบว่าอัลลอฮ์  เขากล่าวต่อไปว่า  และทูตของท่านบอกกับเราว่าเรามีหน้าที่ต้องทำละหมาดห้าเวลาในกลางวันและกลางคืน  ท่านตอบว่าเขาพูดจริงแล้ว  เขากล่าวอีกว่า  ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ผู้ทรงแต่งตั้งท่านเป็นศาสนทูต  อัลลอฮ์ได้ทรงบัญชาแก่ท่านในเรื่องนี้หรือ  ท่านตอบว่าถูกแล้ว  เขากล่าวต่อไปว่า  และทูตของท่านบอกกับเราว่า  พวกเรามีหน้าที่ต้องถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอนในรอบปีของเรา  ท่านตอบว่า  เขาพูดถูกแล้ว  เขากล่าวต่อไปว่า  ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ที่แต่งตั้งท่านเป็นศาสนทูต  อัลลอฮ์ได้มีบัญชาแก่ท่านในเรื่องนี้หรือ  ท่านตอบว่า  ถูกแล้ว  เขากล่าวต่อไปว่า  และทูตของท่านได้บอกแก่เราว่า  พวกเรามีหน้าที่ต้องทำฮัจญ์  ณ  บัยตุลลอฮ์  สำหรับผู้ที่มีความสามารถเดินทางไปได้  ท่านตอบว่าเขาพูดถูกแล้ว  ผู้รายงานเล่าว่า  แล้วชายผู้นั้นก็หันกลับไปพร้อมทั้งพูดว่า  ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ซึ่งทรงแต่งตั้งท่านโดยสัจธรรม  ข้าพเจ้าจะไม่เพิ่มเติมอะไรเกินไปกว่าสิ่งเหล่านั้นอีก  และข้าพเจ้าจะไม่ลดให้น้อยลงไปกว่านั้น  จากนั้นท่านนบี ซ.ล.  ก็กล่าวว่า  ขอสาบาน  หากเขาพูดจริงเขาก็ได้เข้าสวรรค์อย่างแน่นอน

แลเพิ่มเติมในกระแสรายงานหนึ่งว่า  แล้วชายผู้นั้นก็พูดว่า  ข้าพเจ้าขอศรัทธาในสิ่งที่ท่านได้นำมาประกาศและข้าพเจ้าเป็นตัวแทนของพวกพ้องที่อยู่เบื้องหลังข้าพเจ้า  และข้าพเจ้าชื่อ  ฎิมาม บิน ซะอ์ละบะฮฺ  ผู้เป็นพี่น้องของบะนีสะอ์ดิ อิบนิ  บักริน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

จากอบีฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า  เราะมะฎอนเดือนอันมีมงคลได้มาสู่พวกท่านแล้ว  อัลลอฮ์ทรงบัญญัติการถือศีลอดในเดือนนั้นแก่พวกท่าน  ในเดือนนั้นประตูสวรรค์ถูกเปิดไว้  ประตูนรกถูกปิดสนิท  และบรรดามารร้ายผู้ชั่วร้ายถูกล่ามโซ่ไว้  สำหรับอัลลอฮ์  มีคืนๆ หนึ่งในเดือนดังกล่าว  เป็นเดือนที่มีความประเสริฐเลิศเลอยิ่งกว่าหนึ่งพันเดือน  ผู้ใดถูกห้ามความประเสริฐของเดือนนั้นแน่นอนเขาย่อมถูกห้ามอย่างแท้จริง  (ที่จะได้เข้าสวรรค์) 

รายงานโดย  อันนะซาอี  อัลบัยฮะกี

จากอันนะฎอรฺ บิน ชะอ์บาน ร.ฎ.กล่าวว่า  ฉันได้พูดกับอะบีสะละมะฮ์ บิน อับดิรเราะห์มานว่า  ท่านโปรดบอกเล่าแก่ข้าพเจ้าสักประการหนึ่งที่ท่านได้ยินมาจากบิดาของท่านและบิดาของท่านได้ยินมาจากเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.   ซึ่งระหว่างบิดาของท่านกับเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ไม่มีผู้ใดมาแทรกเลย(ขอให้ท่านบอก)  ในเรื่องของเดือนเราะมะฎอน  เขากล่าวว่า  ได้บิดาของฉันได้บอกแก่ฉันว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า  แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงบัญญัติการถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอนแก่พวกท่านทั้งหลาย  และฉันได้ทำแบฉบับไว้สำหรับพวกท่านในเรื่องของการตื่นทำอิบาดะฮฺในตอนกลางคืนของเราะมะฎอน  ดังนั้นผู้ใดถือศีลอดและตื่นทำอิบาดะฮฺในเดือนเราะมะฎอน  โดยศรัทธาและบริสุทธิ์ใจ  เขาจะได้ออกจากมวลบาปของเขา  ประดุจดังวันที่มารดาของเขาคลอดเขาออกมา 

รายงานโดย  อันนะซาอี  อะห์มัด

บทที่  2

ภาคผลของการถือศีลอด

จากอบี ฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ.จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า  อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า  ความประพฤติทุกอย่างของมนุษย์เป็นสิทธิ์ของเขาเอง  ยกเว้นการถือศีลอด  มันเป็นของข้า  และข้าจะตอบแทนมันเอง  การถือศีลอดเป็นโล่(ป้องกันความผิด)  และเมื่อถึงวันแห่งการถือศีลอดของคนใดในหมู่พวกท่าน  เขาอย่าพูดจาหยาบ  และอย่าพูดก้าวร้าวแข็งกระด้าง  ครั้นเมื่อมีผู้ใดด่าเขาหรือชวนวิวาทกับเขา  เขาก็จงกล่าวเถิดว่า  แท้จริงฉันกำลังถือศีลอด  ฉันกำลังถือศีลอดขอสาบานต่ออัลลอฮ์  ซึ่งชีวิตมุฮัมมัดอยู่ในอำนาจของพระองค์  อันที่จริงกลิ่นปากของคนถือศีลอดนั้น  ณ  อัลลอฮ์แล้ว  หอมยิ่งกว่ากลิ่นของชมดเชียงเสียอีก  สำหรับผู้ถือศีลอดมีความดีใจอยู่สองวาระ  ซึ่งเขาดีใจในทั้งสองนั้นมาก  เมื่อเขาแก้ศีลอด  เขาก็ดีใจ  และเมื่อเขาได้พบพระเจ้าของเขา  เขาก็ดีใจกับการถือศีลอดของเขา  (ที่เป็นเหตุให้เขาได้รับความโปรดปรานของพระองค์) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และปรากฏในสายรายงานหนึ่งว่า  ความประพฤติของมนุษย์ทุกคนนั้นได้รับการทวีคูณ  ความดีหนึ่งเป็นสิบเท่าของมัน  จนถึงเจ็ดร้อยเท่า  อัลลอฮ์ทรงดำรัสว่า  ยกเว้นการถือศีลอดมันเป็นของข้า  และข้าจะตอบแทนมันเอง  ผู้ถือศีลอดได้เว้นละความกำหนัดของเขาและอาหารของเขา  เนื่องเพราะ(เขาปฏิบัติตามคำสั่งของ)ข้า

จากอะบีฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่าเมื่อเดือนเราะมะฎอนมาถึงประตูสวรรค์ถูกเปิด  ประตูนรกถูกปิด  และมารร้ายถูกล่าม 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

และเนื้อความของติรมีซีระบุว่า  เมื่อถึงคืนแรกของเดือนเราะมะฎอน  มารร้ายและพวกญินเลวๆ  ถูกจองจำ  และประตูนรกถูกปิด  ไม่มีสักประตูเดียวจากมันที่ถูกเปิด  และประตูสวรรค์ถูกเปิด  ไม่มีสักประตูเดียวที่ถูกปิด  และมีผู้ประกาศว่า  โอ้ผู้แสวงหาความดีจงมาเถิด  และโอ้ผู้แสวงหาความเลว  จงยุติเถิด  และอัลลอฮ์ทรงมีเหล่าบุคคลที่ถูกนิรโทษออกจากนรก  และเหตุการณ์นั้นมีทุกๆ คืน

จากอะบีฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า  ใครถือศีลอดโดยศรัทธาและบริสุทธิ์ใจ  เขาจักได้รับการอ๓ยบาปที่เขาได้กระทำล่วงมันมาแล้ว  รายงานโดย  ผู้รายงานทั้ง 5 และอะห์มัด ซึ่งเพิ่มข้อความ  และบาปที่เขายังไม่ได้กระทำ

จากสะฮัล ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า  ในสวรรค์มีประตูอยู่หนึ่งประตูเรียกว่า  อัรรอยยาน  จะมีเพียงผู้ถือศีลอดเท่านั้นที่เข้าไปได้ในวันกิยามะฮฺ  ไม่มีผู้ใดนอกจากพวกเขาที่จะเข้าไปได้เลย  มีผู้ประกาศว่า  บรรดาผู้ถือศีลอดอยู่ไหน  แล้วพวกเขาก็จะเข้าไปในนั้นครั้นเมื่อคนสุดท้ายได้เข้าไปแล้ว  ประตูนั้นก็ถูกปิดทันที  แล้วผู้ใดก็ไม่ได้เข้าไปอีก 

รายงานโดย  บุคอรี  มุสลิม  อันนะซาอี

จากฮุซัยฟะฮฺ ร.ฎ. กล่าวว่า  ใครบ้างที่จดจำคำสอนของนบี ซ.ล.  ในเรื่องของวิกฎติการ  ฮุซัยฟะฮฺตอบว่า  ฉันได้ยินท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  วิกฤติการของชายผู้หนึ่งในกรณีที่เกี่ยวกับครอบครัวของเขา  เกี่ยวกับทรัพย์สินของเขา  และเพื่อนบ้านของเขานั้น  จะได้รับการนิรโทษโดยการละหมาด  การถือศีลอด  และการทำทาน  อุมัรกล่าวว่าฉันมิได้ถามท่านเกี่ยวกับด้านนี้  ความจริงฉันต้องการถามถึงวิกฤติการที่ม้วนตัวประดุจดังทะเลม้วนตัวเป็นคลื่นมหึมา  เขาจึงตอบว่า  แท้จริงก่อนหน้านั้น  มีประตูหนึ่งที่ถูกปิดสนิท  เขาถามต่อไปว่าและประตูนั้นถูกเปิดหรือว่าถูกทำให้แตก  ท่านตอบว่า  ถูกทำให้แตก  เขาจึงกล่าวว่า  นั้นย่อมแสดงว่า  มันไม่อาจถูกปิดได้ตราบถึงวันกิยามะฮฺ  แล้วเราได้กล่าวแก่มัสรูกว่า  ท่านจงถามเขาเถิดว่า  อุมัรรู้ไหมว่า  ใครคือประตู  มัสรูกจึงถามเขาซึ่งเขาก็ตอบว่า  ใช่แล้ว  อุมัรรู้เป็นอันดี  ประดุจดังเขารู้ว่าก่อนถึงวันพรุ่งนี้จะต้องมีคืนนี้ 

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม และตีรมีซี

จากยาบีร ร.ฎ. เล่าว่ามีชายคนหนึ่งได้ซักถามท่านนบี ซ.ล.  ว่า ท่านเห็นเป็นอย่างไรเมื่อข้าพเจ้าทำละหมาดฟัรดูครบถ้วน  ข้าพเจ้าทำการถือศีลอดเราะมะฎอน  ข้าพเจ้ายึดสิ่งอนุมัติเป็นสิ่งอนุมัติ  และยึดสิ่งห้ามเป็นสิ่งห้าม  และข้าพเจ้าไม่ทำอะไรเกินเลยกว่านั้นเลยสักประการเดียวก็ตาม  ข้าพเจ้าจะได้เข้าสวรรค์ไหม  ท่ารอซูลตอบว่า ได้  ขอสาบานต่ออัลลอฮ์  ข้าพเจ้าไม่ขอทำสิ่งใดเพิ่มเกินไปกว่านั้น 

รายงานโดย  มุสลิม

จากมุอาซ  บิน  ญะบัล ร.ฎ. กล่าวว่า  ฉันได้อยู่ร่วมกับท่านนบี ซ.ล.  ในการเดินทางครั้งหนึ่ง  แล้วในตอนเช้าของวันหนึ่ง  ฉันก็ได้อยู่ใกล้ชิดกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ในขณะที่พวกเรากำลังเดินทางกันอยู่  ฉันถามว่า  โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  โปรดบอกข้าพเจ้าให้รู้ถึงการกระทำอย่างหนึ่ง  ที่จะทำให้ข้าพเจ้าได้เข้าสวรรค์  และทำให้ข้าพเจ้าห่างไกลจากนรก  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ตอบว่า  ขอสาบาน  แท้จริงท่านได้ถามข้าพเจ้าถึงเรื่องอันยิ่งใหญ่เหลือเกิน  แต่ที่จริงมันเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับบุคคลที่อัลลอฮ์ทรงอำนวยความสัมฤทธิ์แก่เขา  นั้นคือ  ท่านทำการนมัสการต่ออัลลอฮ์  โดยท่านไม่ตั้งสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นเป็นภาคีกับพระองค์  ท่านดำรงการละหมาด  ท่านบริจาคซะกาต  ท่านถือศีลอดเดือนเราะมะฎอน  และท่านบำเพ็ญฮัจญ์ ที่บัยติลลาฮฺ  หลังจากนั้นท่านรอซูลได้กล่าวสืบเนื่องต่อไปว่า  เอาไหม  ฉันจะแจ้งให้ท่านทราบถึงประตูแห่งความดีมันคือการถือศีลอดเป็นโล่  การทำทานดับความผิดประดุจดังน้ำที่ดับไฟ  และการละหมาดของบุรุษหนึ่งในยามสงัดของรัตติกาลเป็นสัญลักษณ์ของคนดี  ผู้รายงานเล่าต่อไปว่า  หลังจากนั้นท่านรอซูลก็อ่านอัลกุรอาน  ความว่า  สีข้างของพวกเขาห่างเหินจากที่นอน  จนถึงพวกเขารู้ดี  หลังจากนั้นท่านรอซูลได้กล่าวว่า  เอาไหม  ฉันจะแจ้งให้ท่านทราบถึงหัวแห่งการงาน  เสาของมัน  และเป็นสุดยอดของมัน  ฉันตอบว่า  ครับ  โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ท่านจึงพูดว่า  หัวแห่งการงานคืออิสลาม  เสาของมันคือละหมาด  และยอดสูงสุดของมันคือการต่อสู้  หลังจากนั้นท่านกล่าวว่า  เอาไหม  ฉันจะแจ้งให้ท่านทราบถึงวิธีการครอบครองสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด  ฉันตอบว่า  เอาครับ  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. จากนั้นท่านรอซูลได้จับลิ้นของท่านไว้  และท่านกล่าวว่า  ท่านจงระงับสิ่งนี้ไว้เหนือท่าน  ฉันกล่าวว่า  และพวกเราก็ต้องถูกเอาผิดในทุกสิ่งที่เราพูดนะสิ  โอ้ท่านนบีแห่งอัลลอฮ์  ท่านตอบว่าแม่ท่านได้อาภัพท่านเสียแล้วหละมุอาซเอ๋ย  และจะไม่มีสิ่งใดทำให้คว่ำหน้าของมนุษย์หรือจมูกของมนุษย์ลงในนรกได้เลย  นอกจากลิ้นอันเกี่ยวก่ายของมนุษย์เอง 

รายงานโดย  อัตตีรมีซี

จากอะบีอุมามะฮฺ ร.ฎ. ฉันพูดว่า  โอ้ท่านรอซูลแห่งอัลลอฮ์  โปรดออกคำสั่งแก่ข้าพเจ้าในกิจกรรมหนึ่ง  ซึ่งอัลลอฮ์จะทรงอำนวยประโยชน์แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด  ท่านตอบว่าท่านจงถือศีลอด  ที่จริงไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมการถือศีลอดได้เลย 

รายงานโดย  อันนะซาอี  อัลฮากิม

เริ่มต้นการถือศีลอด  ระยะเวลาการถือ

จากบะรออ์ ร.ฎ. กล่าวว่าบรรดาอัครสาวกของมุฮามัด ซ.ล. เมื่อมีบุรุษใดทำการถือศีลอด  แล้วได้เวลาแก้ศีลอด  แต่บังเอิญเขาหลับเสียก่อนที่จะทำการรับประทานอาหารแก้ศีลอด  คนผู้นั้นก็ต้องไม่บริโภคตลอดทั้งคืนและวันนั้น  จนกว่าจะถึงตอนพลบค่ำ  และแท้จริงก๊อยซ์ บินซีรมะฮฺ  เขาทำการถือศีลอด  ครั้นเมื่อได้เวลาแก้ศีลอด  เขาก็มาหาภริยาของเขาและถามว่า  เธอมือาหารไหม  นางตอบว่า  ไม่มี  แต่ฉันจะออกไปหามาให้เอง  ส่วนก๊อยซ์นั้นตลอดวันเขาต้องทำงาน (ในสวนของเขาด้วยความอ่อนเพลียและหิวโหย )เขาจึงเผลอหลับไป (ด้วยความอ่อนเพลีย)  ต่อมาภริยาของเขาได้กลับมา  ครั้นนางเห็นเขา  นางก็รำพึงขึ้นว่า  ท่านประสพความล้มเหลวเสียแล้ว  ต่อมาเมื่อถึงเที่ยงวัน  ก๊อยซ์  บินซีรมะฮฺเป็นลมสิ้นสติ  (เพราะทนหิวกระหายและอ่อนเพลียไม่ไหว)จากนั้นได้มีผู้นำเหตุการณ์นั้นไปรายงาน ให้ท่านนบี ซ.ล.  ทราบ  ก็มีโองการนี้ถูกประทานลงมา คือ เป็นที่อนุมัติแก่พวกท่านในยามกลางคืนของการถือศีลอด  ให้ทำการร่วมเพศกับภริยาของพวกท่านได้  บรรดาสาวกทั้งหลายก็มีความดีใจเป็นล้นพ้นต่อโองการนี้  และได้มีโองการประทานลงมาว่า  และท่านทั้งหลายจงรับประทานและจงดื่ม  จนกว่าจะประจักษ์แจ้งแก่ท่าน  ด้วยสีขาวจากด้ายสีดำ  (หมายถึงเวลาแสงอรุณขึ้น) 

รายงานโดย  บุคอรี  อะบูดาวูด  อันนะซาอี

และในกระแสรายงานหนึ่งระบุว่า  มนุษย์ในสมัยของท่านนบี ซ.ล.  เมื่อพวกเขาทำละหมาดอิชาอฺ  ก็เป็นที่ต้องห้ามสำหรับพวกเขาที่จะบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม  รวมทั้งการข้องเกี่ยวทางเพศกับภริยา  และพวกเขาต้องถือศีลอดติดต่อเรื่อยไปจนถึงคืนต่อไป  ครั้นต่อมาได้มีผู้ชายคนหนึ่งทำร้ายตัวเอง  ด้วยการร่วมประเวณีกับภริยาของเขา  เมื่อเขาได้ทำละหมาด  อิชาอฺแล้ว  โดยยังมิได้แก้ศีลอด  ดังนั้นอัลลอฮ์จึงประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นให้เป็นความสะดวกแก่ผู้ที่ยังเหลืออยู่  เป็นการผ่อนผันและเป็นคุณประโยชน์  ดังนั้นอัลลอฮ์จึงประทานโองการว่า  อัลลอฮ์ทรงทราบว่า  สูเจ้าทั้งหลายได้ทำร้ายตัวเอง  ดังนั้นพระองค์ได้ทรงให้อภัย  และทรงนิรโทษแก่พวกเจ้าแล้ว  จนจบโองการ                                                                                       

จากซะละมะฮฺ  บิน  อักวะอ์ร.ฎ. กล่าวว่า  เมื่อโองการต่อไปนี้ถูกประทานลงมา(คือโองการที่มีความหมายว่า)  และเป็นหน้าที่ของผู้ถือศีลอดไหว  ให้บริจาคสิ่งไถ่แทนคือ  ให้อาหารแก่คนยากจน  ผู้ใดต้องการจะงดการถือศีลอด  และใช้การไถ่แทน  เขาก็ย่อมจะทำได้จนกระทั่งมีโองการหลังจากนั้นถูกประทานลงมา  นั่นคือ  ดังนั้นผู้ใดจากพวกท่านได้ประจักษ์ชัดในการมีเดือน(เราะมะฎอน)  เขาก็จงถือศีลอดเถิด  ซึ่งโองการนี้ได้ยกเลิกโองการข้างต้น

จากอะดี  ฮาติม ร.ฎ.กล่าวว่า  เมื่อโองการที่ว่า  จนกระทั่งเส้นด้ายสีขาวได้ชัดแจ้งออกมาจากเส้นด้ายสีดำ  อันได้แก่แสงอรุณ  ได้ถูกประทานลงมา  ฉันก็พูดขึ้นว่า  โอ้รอซูลแห่งอัลลอฮ์  ข้าพเจ้าจะใช้บังเหียนสองเส้นใส่ไว้ใต้หมอนของข้าพเจ้า  เส้นหนึ่งสีขาว  อีกเส้นหนึ่งสีดำ  เพื่อฉันจะได้รู้กลางคืนแยกจากกลางวันได้ถูกต้อง  มีเพิ่มในรายงานหนึ่งว่าแล้วฉันก็เพ่งมองในเวลากลางคืนแต่ไม่ชัดแจ้งแก่ฉันเลย  ท่านรอซูล ซ.ล.   จึงกล่าวแก่นางว่าความจริงหมอนของเธอนั้นเป็นเพียงสิ่งที่ถูกวางขวางไว้ (ให้เธอนอนมันไม่เกี่ยวกับการบอกเวลาใดๆเลย)  ความเป็นจริง  ที่ว่ามานั้นเป็นความดำของกลางคืน  และความขาวของกลางวัน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอิบนิอุมัร ร.ฎ. กล่าวว่า  ท่านนบี ซ.ล. มีผู้อะซานบอกเวลาละหมาดอยู่สองคนคือ  บิลาล  และอิบนุ อิมมุมักตูม  ซึ่งตาบอด  แล้วท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ก็พูดว่า  บิลาลจะทำการอะซานในเวลากลางคืน  ดังนั้นพวกท่านจงกินและจงดื่มเถิด  จนกระทั่ง อิบนุอิมมิมักตูมทำการอะซาน  ท่านพูดต่อไปว่า  และระหว่างคนทั้งสอง  (ขึ้นไปทำการอะซาน)นั้น  ไม่มีเวลาห่างไกลเลย นอกจากเพียงระยะเวลาที่คนนี้ลงและคนนี้ขึ้น 

รายงานโดย  บุคอรี  มุสลิม

เครื่องหมายแห่งแสงอรุณ

จากสะมุเราะฮฺ บิน ยุนดุบ ร.ฎ. จากท่านนบี  ซ.ล.  กล่าวว่า  ท่านทั้งหลายอย่าเลิกละการรับประทานซะฮูรฺ  เพราะได้ยินเสียงอะซานของบิลาล  และเพราะแสงขาวที่ทาบขอบฟ้าเป็นแนวยาวเช่นนั้น  จนกว่ามันจะกระจาย (เป็นรัศมีกว้าง)  อย่างนี้ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเนื้อความของบุคอรี คือ ท่านทั้งหลายอย่าทำให้เสียงอาซานของบิลาลยุติการรับประทานซะฮูรฺของพวกท่าน  และแสงอรุณที่ทอดเป็นลำยาว(ก็เช่นเดียวกัน)  แท้ทว่าแสงอรุณแท้  คือ  แสงที่กระจายอยู่ในขอบฟ้า

บทที่ 3

ถือศีลอด  และเลิกศีลอดด้วยการเห็นเดือน 276

จากอิบนิอุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่าพวกท่านอย่าถือศีลอดจนกว่าพวกท่านจะเห็นดวงเดือน(เราะมะฎอน)  และพวกท่านอย่าเลิกการถือศีลอด  จนกว่าพวกท่านจะเห็นมัน  แต่ถ้าเกิดการปกคลุมมีดครึ้มแก่พวกท่าน  พวกท่านก็จงใช้วิธีคำนวณมัน (ให้นับซะบานครบสามสิบวัน) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเนื้อความของตีรมีซีคือ  พวกท่านอย่าถือศีลอดก่อนถึงเราะมะฎอน  พวกท่านจงถือศีลอดเพราะเห็นมัน  และเลิกถือศีลอดเพราะเห็นมัน  แต่ถ้ามีความมีดครึ้มปกคลุม ณ ทิศทางมัน  ท่านทั้งหลายก็จงนับ (เดือนซะบาน) ให้ครบสามสิบวัน

และเนื้อความของบุคอรีคือ  แต่ถ้าเกิดความมีดครึ้มปกคลุมเหนือพวกท่าน  พวกท่านก็จงนับจำนวนซะบานให้ครบสามสิบวัน

และในกระแสรายงานหนึ่ง  แต่ถ้าเกิดความมีดครึ้มแก่พวกท่าน  พวกท่านก็จงถือศีลอดต่อให้ครบสามสิบวัน  (ในกรณีจะออกจากเราะมะฎอน)

และจากอิบนิอุมัร ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า  แท้จริงเราเป็นประชาชาติที่ไม่รู้หนังสือเราเขียนไม่ได้และเราคำนวณไม่ได้  เดือนเป็นอย่างนี้  เป็นอย่างนี้  หมายความว่าบางครั้ง 29 วัน บางครั้ง 30 วัน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

จากอุมมิสะละมะฮฺ ร.ฎ. เล่าว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้สาบานว่าจะไม่สัมพันธ์ทางเพศกับภริยาของท่านเป็นเวลาหนึ่งเดือน  ครั้นเมื่อผ่านไป29วัน ท่านก็ออกแต่เช้าหรือท่านก็ออกไป  (สัมพันธ์ทางเพศกับภริยา)  มีผู้ถามท่านว่า  ก็ท่านสาบานไว้ว่าจะไม่สัมพันธ์ทางเพศหนึ่งเดือน  ท่านตอบว่า  แท้จริงเดือนหนึ่งมี29วัน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

และมุสลิมเพิ่มเติมว่า  หลังจากนั้นท่านนบี ซ.ล.  ได้ประกบมือทั้งสองข้างไว้สามครั้งสองครั้งแรกท่านประกบพร้อมกับนิ้วมือทั้งสองข้างทั้งหมด  และครั้งที่สามพร้อมกับนิ้วมือทั้งเก้า

จากอะบีบักเราะฮฺ ร.ฎ.จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  สองเดือนอีดนั้นไม่บกพร่องนั่นคือเราะมะฎอน  และเดือนซุลฮิจญะฮฺ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

รับรองการเห็นเดือน  แม้จะโดยการปฏิญาณของผู้มีคุณธรรมเพียงคนเดียว

จากหุซัยน์ บิน ฮาริส ร.ฎ. กล่าวว่า ผู้ปกครองมักกะฮฺได้แสดงธรรมคถา[268]  หลังจากนั้นเขากล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งมายังพวกเราให้เราทำอิบาดะห์ด้วยการเห็นเดือน  แต่ถ้าเราไม่เห็นเดือน  และมีผู้ยืนยันสองคนทีมีคุณธรรมได้สาบานว่าเห็นเดือนจริง  เราก็ทำอิบาดะฮฺได้  ด้วยการสาบานของทั้งสอง 

รายงานโดย  อะบูดาวูด  อัดดารอกุฏนี

จากชายผู้หนึ่งจากสาวกของท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่ามนุษย์มีความเห็นขัดแย้งกันในวันสุดท้ายของเดือนเราะมะฎอน  ก็ปรากฏมือาหรับชนบทสองคนมาถึง  ทั้งสองก็เข้าสาบานตนต่ออัลลอฮ์  ต่อหน้าท่านนบี ซ.ล.  ว่าตัวเขาทั้งสองนั้นได้เห็นเดือนเมื่อวานนี้ในตอนพลบค่ำดังนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. จึงออกคำสั่งให้มนุษย์เลิกถือศีลอด  และให้พวกเขาออกไปยังสถานที่ละหมาดของพวกเขา 

รายงานโดย  อะบูดาวูด  อะหมัด

จากอิบนิอุมัร ร.ฎ.กล่าวว่า  มนุษย์ต่างก็พูดกันว่าเห็นเดือน  ฉันจึงรายงานให้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ทราบว่า  ตัวฉันเห็นเดือนแล้ว  ดังนั้นท่านจึงถือศีลอด  และออกคำสั่งให้ประชาชนถือศีลอด 

รายงานโดย  อะบูดาวูด  อิบนุฮิบบาน  อัลฮากิม

จากอิบนิอับบาล ร.ฎ. กล่าวว่า   มือาหรับชนบทคนหนึ่งเข้าพบท่านนบี ซ.ล.  แล้วเขากล่าวว่า  แท้จริงฉันเห็นเดือนแล้ว  ท่านรอซูลถามว่า  ท่านปฏิญาณตนไหมว่า  ไม่มีพระเจ้านอกจากอัลลอฮ์  เขาตอบว่าครับ  ผมปฏิญาณ  ท่านถามต่อไปว่า  ท่านปฏิญาณตนไหมว่า  มุฮัมมัดเป็นศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์  เขาตอบว่าครับ  ผมปฏิญาณ  ท่านรอซูลจึงออกคำสั่งแก่บิลาลว่า  โอ้บิลาล  ท่านจงอะซานประกาศในหมู่ประชาชนเถิดให้พวกเขาทำการถือศีลอดได้  รายงานโดย  เจ้าของสุนัน  อิบนุฮิบบาน  ฮากิม

แต่ละเมืองต้องดูเดือนเอง

จากกุรอยบ  ร.ฎ.เล่าว่า  อุมมัลฟัดลิ  บินติ  ฮาริส  ได้ส่งกุรอยบไปหามุอาวิยะฮฺ ณ เมืองซาม  กุรอยบเล่าว่า  แล้วฉันก็มาถึงเมืองซาม  และจัดธุระของนางจนลุล่วงเรียบร้อยและปรากฏว่ามีการปรากฏเดือนเราะมะฎอนขึ้นแก่ฉัน  โดยที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น  ที่จริงฉันเห็นดวงเดือนในตอนค่ำวันศุกร์  หลังจากนั้นฉันกลับมาถึงมาดีนะฮฺในตอนปลายเดือน  แล้วอิบนิ อับบาสก็ถามฉันว่า  พวกท่านเห็นดวงเดือนเมื่อใด  ฉันก็ตอบว่า  พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์  อิบนิ อับบาส ถามย้ำว่า  ท่านเห็นมันเองหรือ  ฉันตอบว่าถูกแล้ว  และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขายังถือศีลอด  และมุอาวียะฮฺ  อิบนิอับบาส จึงกล่าวว่าแต่พวกเราใน(มะดีนะฮฺ)เห็นเดือนในค่ำวันเสาร์  ดังนั้นเราก็ยังจะคงถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบ30วัน  หรือจนกว่าเราจะเห็นเดือน  ฉันพูดว่า  ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวิยะฮฺ  และการถือศีลอดของเขา  อิบนิอับบาสตอบว่า ไม่  แบบนี้แหละที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา(ให้ถือปฏิบัติ) 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

 

บทที่ 4

เรื่องเจตนา  และสิ่งควรประพฤติสำหรับผู้ถือศีลอด

จากฮัฟเซาะฮฺ  ภริยาของท่านนบี ซ.ล.  ร.ฎ.เล่าว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  กล่าวว่า  ผู้ใดไม่รวมการถือศีลอด (ด้วยการเจตนาถือวันต่อไป) ก่อนแสงอรุณขึ้น  แน่นอนย่อมไม่มีการถือศีลอดสำหรับเขา 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี  อิบนิคุซัยมะฮฺ  อิบนิฮิบบาน

จากอาอิชะฮฺ ร.ฎ.กล่าวว่า  ท่านนบี ซ.ล. ได้เข้ามาหาฉันในวันหนึ่งแล้วท่านพูดว่าพวกเธอมือะไรสักอย่างหนึ่งไหม  พวกเราตอบว่าไม่มี  ท่านจึงกล่าวว่า  ถ้าอย่างนั้นฉันจะได้ถือศีลอดเสียเลย  หลังจากนั้นท่านได้มาหาเราอีกในวันอื่น  พวกเราก็พูดว่า  โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์วันนี้เราได้ฮัยซ์[269] เป็นของฮาดียะฮฺ  ท่านสั่งว่า  จงนำมาให้ฉันดูซิเพราะฉันถือศีลอดมาแต่เช้า  ครั้นแล้วท่านก็รับประทานอาหารนั้น 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงรับประทานซะฮูรฺเถิดเพราะในซะฮูรฺมีความสิริมงคล 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

จากอัมริบนิลอ๊าศ ร.ฎ. เล่าว่า  แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่าการแยกระหว่างศีลอดของเรากับศีลอดของชาวคัมภีร์ คือ การรับประทานอาหารซะฮูรฺ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากซัยด์บิน ซาบิต ร.ฎ.กล่าวว่า  พวกเราได้รับประทานซะฮูรฺร่วมกับท่านนบี ซ.ล. หลังจากนั้นท่านก็ยืนขึ้นทำละหมาด(ซุบฮิ)  ฉันถามว่า  ระยะทางเท่าไดระหว่างการอะซานกับอาหารซะฮูรฺ  ท่านตอบว่า   ประมาณสัก(อ่านกุรอาน)  ห้าสิบอายะฮฺ 

รายงานโดย  บุคอรี  มุสลิม  และตีรมีซี

และรายงานของนะซาอีกับอะบีดาวูดระบุว่า  พวกท่านจงรับประทานอาหารซะฮูรฺเพราะมันเป็นอาหารที่มีมงคล

และรายงานของอะบีดาวูดระบุว่า  ซะฮูรฺที่เยี่ยมยอดที่สุดของมุอ์มิน  คือ  อินทผลัม

จากอิบนิอับบาส ร.ฎ.จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่าท่านทั้งหลายจงอาศัยอาหารซะฮูรฺเพื่อการถือศีลอดในตอนกลางวัน  และอาศัยการนอนกลางวัน  เพื่อการตื่นทำอิบาดะฮฺในตอนกลางคืน 

รายงานโดย  อิบนุมายะฮฺ  อัลฮากิม  อัฏฏอบะรอนี

จากสะฮัล  บินสะอัด  ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า  มนุษย์จะประสบความดีตลอดเวลาที่เขารีบละศีลอด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเนื้อความของอะบีดาวูดระบุว่า  ศาสนาจะปรากฏเด่นชัดอยู่เสมอ  ตราบใดที่มนุษย์รีบแก้ศีลอด  ทั้งนี้เพราะพวกยะฮุดี และนัศรอนี  ล่าช้าในการแก้

และเนื้อความของตีรมีซีและอะหมัดระบุว่า  อัลลอฮ์ทรงโองการว่า  บ่าวอันเป็นที่รักยิ่งของฉันได้แก่บ่าวที่รีบแก้ศีลอด

จากอะบี อะฏียะฮฺ ร.ฎ. กล่าวว่า  ฉัน และมัสรู้กได้เข้าพบอาอิชะฮฺ  แล้วเราถามว่าโอ้ผู้เป็นมารดาแห่งมวลมุมีนีน  มีอัครสาวกของนบีมุฮัมมัด ซ.ล.  สองคนซึ่งคนทั้งสองไม่ละเลยต่อการทำความดี  คนหนึ่งจากทั้งสอง  ทำการแก้ศีลอดและทำการละหมาดอย่างฉับพลันทันทีที่ได้เวลา  ส่วนอีกคนหนึ่งเขาล่าช้า  เวลาแก้ศีลอด  และการละหมาด  นางตอบว่าทั้งสองคนนั้นผู้ใดเล่าที่รีบแก้ศีลอด  และรีบทำละหมาด  เราตอบว่า  อับดุลลอฮ์บินมัสอูด  นางกล่าวว่า  เช่นนั้น เป็นสิ่งที่กระทำโดยท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.   และส่วนอีกคนหนึ่งได้แก่ อะบู มูซา(ที่ทำอย่างล่าช้า)

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากซันมาน บิน อามีรฺ ร.ฎ.จากท่านนบี  ซ.ล.  กล่าวว่า เมื่อคนใดจากพวกท่านแก้ศีลอด  เขาจงแก้ด้วยกับอินทผลัม เพราะมันเป็นความสิริมงคล  แต่ผู้ใดไม่มีเขาก็จงแก้ศีลอดด้วยกับน้ำ  เพราะมันเป็นสิ่งสะอาด 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอะนัส ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. แก้ศีลอดด้วยอินทผลัมสดหลายเม็ด  ก่อนที่ท่านจะทำละหมาด(มักริบ)  แต่ถ้าไม่มีอินทผลัมสด  ท่านก็จะแก้ศีลอดด้วยอินทผลัมแห้งหลายเม็ด  แต่ถ้าไม่มีท่านก็จะดื่มน้ำหลายอึก  รายงานโดย  อะบูดาวูด  ตีรมีซี

และรายงานจากตีรมีซีระบุว่า  ท่านนบี  ซ.ล.  แก้ศีลอดในฤดูหนาวด้วยอินทผลัม  และในฤดูร้อนด้วยน้ำ

คำขอพรขณะแก้ศีลอด

จากอิบนิอุมัร ร.ฎ. กล่าวว่า เมื่อท่านนบี ซ.ลงแก้ศีลอดท่านจะอ่านว่าความกระหายได้สูญหาย  เส้นในร่างกายได้เย็นลง และกุศลได้ปรากฏชัด  อินชาอัลลอฮ์  รายงานโดย  อะบูดาวูด  อันนะซาอี

และเมื่อท่านนบี ซ.ล.  แก้ศีลอดท่านจะอ่านว่า  โอ้อัลลอฮ์  ข้าพเจ้าถือศีลอดเพื่อพระองค์  และข้าพเจ้าแก้ศีลอด  ด้วยริสกีของพระองค์

จากอับดิลลาฮฺ  บิน  ซุบัยร์ กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้แก้ศีลอดร่วมกับสะอัดบินมุอาซ  แล้วท่านก็กล่าวว่า  ได้มาแก้ศีลอด ณ พวกท่าน โดยบรรดาผู้ถือศีลอดและได้มารับประทานอาหารของพวกท่านโดยบรรดาคนดีๆ และมลาอิกะฮฺได้ประสาทแก่พวกท่านแล้ว 

รายงานโดย  อิบนุมายะฮฺ

ให้สงวนลิ้น

จากอะบีฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่าผู้ใดไม่ละเว้นคำพูดและการกระทำอันเลวร้าย  ก็ไม่เป็นที่ประสงค์สำหรับอัลลอฮ์  ในการที่เขาละเว้นอาหารและเครื่องดื่มของเขา  รายงานโดย  ผู้รายงานทั้ง 5 ยกเว้นมุสลิม

และจากอะบีฮุรอยเราะฮฺ  จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า  เมื่อคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านได้ถือศีลอดในวันใด  เขาก็อย่าพูดหยาบ  และอย่าพูดก้าวร้าวระราน  ครั้นเมื่อมีผู้ใดบริภาษเขา  หรือชวนวิวาทกับเขา  เขาก็จงกล่าวว่า  ฉันกำลังถือศีลอด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอะบีฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  คนถือศีลอดบางคนไม่ได้อะไรจากการถือศีลอดเลย  นอกจากความหิว  และคนตื่นนอนทำอิบาดะฮฺกลางคืนบางคนไม่ได้อะไรเลยจากการตื่นนั้น  นอกจากการอดนอน 

รายงานโดย  อิบนุมายะฮฺ  อะหมัด  ฮากิม

การถูฟัน 281

จากอาอิชะฮฺ ร.ฎ.จากท่านนบี  ซ.ล. กล่าวว่า  การถูฟันทำให้ปากสะอาด  ทำให้อัลลอฮ์ทรงโปรด 

รายงานโดย  บุคอรี นะซาอี และชาฟีอี 

จากอามิรฺ บิน รอบีอะฮฺ ร.ฎ.กล่าวว่า  ฉันเห็นท่านนบี ซ.ล. ถูฟันในขณะที่ท่านยังถือศีลอด  ฉันไม่ได้นับ  และนับไม่ถ้วน 

รายงานโดย บุคอรี อะบูดาวูด และตีรมีซี

การอ่านกุรอาน  และความเอื้อเฟื้อในเราะมะฎอน

จากอิบนิอับบาส  ร.ฎ. กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล.   เป็นคนที่มีจิตเอื้อเฟื้อที่สุดในการทำดีและจะยิ่งเอื้อเฟื้อเมื่ออยู่ในเดือนเราะมะฎอน  ขณะญิบรีลมาพบกับท่าน  ซึ่งญิบรีลจะมาพบกับท่านเป็นประจำทุกๆ คืนในเราะมะฎอน  จนกระทั่งสิ้นสุดในเดือนนั้น  โดยญิบรีลจะเสนอ อัลกุรอานต่อท่านนบี ซ.ล.  (เพื่อทบทวนให้จดจำเสมอๆ)

และในรายงานหนึ่งระบุว่า  แล้วญิบรีลก็ทำการทบทวน อัลกุรอานกับท่านนบี  ผู้ใดเลี้ยงแก้ศีลอดแก่ผู้ถือศีลอด  เขาจะได้รับกุศลเทียบเท่ากับผู้ถือศีลอดนั้น  โดยเขามิได้ด้อยกว่ากุศลของผู้ถือศีลอดเลยแม้แต่น้อย 

รายงานโดย  ตีรมีซี  อะหมัด

จากอุมมิ อิมาเราะฮฺ   อันวอรียะฮฺ ร.ฎ. ท่านนบี ซ.ล.  ได้เข้ามาหานาง   แล้วนำอาหารมาเทียบให้ท่าน  ท่านบอกกับนางว่า  เธอจงรับประทานด้วยซิ  นางตอบว่า  ฉันกำลังถือศีลอด  ท่านจึงกล่าวว่า  แท้จริงผู้ถือศิลอดนั้น  มวลมลาอิกะฮฺจะประสาทพรแก่เขา  เมื่อมีผู้อื่นมารับประทานที่เขา  จนกว่าพวกเขาจะเสร็จสิ้น(จากการรับประทาน)  และบางทีท่านรอซูลอาจพูดว่า  จนกระทั่งพวกเขาอิ่ม

และในรายหนึ่งระบุว่า  ผู้ถือศีลอด  เมื่อบรรดาผู้แก้ศีลอดได้มารับประทานที่เขา มลาอิกะฮฺประสาทพรแก่เขา 

รายงานโดย  ตีรมีซี

การตื่น  เราะมะฎอนคือละหมาดตะรอวีห์

จากอะบีฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ.กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ได้ส่งเสริมในการตื่นคืนเราะมะฎอนเพียงแต่ท่านมิได้ใช้อย่างเด็ดขาดเท่านั้น  ท่านพูดว่า  ผู้ใดตื่นคืนเราะมะฎอนโดยศรัทธาและบริสุทธิ์ใจ  เขาจะได้รับอภัยโทษที่ล่วงมาแล้วของเขา  ต่อมาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ถึงแก่อสัญกรรมโดยกิจกรรม(ตื่นคืนเราะมะฎอนก็คงสภาพถูกส่งเสริม)เป็นเช่นนั้น  หลังจากนั้นกิจกรรมก็เป็นเช่นนั้น  ในสมัยคอลิฟะฮฺอะบีบักร  และตอนเริ่มยุคของคอลิฟะฮฺอุมัร 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอาอิชะฮฺ ร.ฎ.กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ออกมาในคืนหนึ่ง  ช่วงวิกาลของคืนนั้น  แล้วท่านก็ทำละหมาดในมัสญิด  โดยมีผู้ชายหลายคนร่วมทำละหมาดกับท่านด้วย  ครั้นเมื่อถึงเวลาเช้า  พวกเขาก็พากันพูดถึงเหตุการณ์นั้น  และส่วนมากของพวกเขาก็รวมตัวกันขึ้น  แล้วมาทำละหมาดร่วมกับท่าน  (ในคืนต่อมาเป็นคืนที่สอง)  เมื่อถึงตอนเช้าพวกเขาเมื่อถึงตอนเช้าพวกเขาก็พากันพูดถึงเหตุการณ์นั้นอีก  จึงทำให้ผู้คนในมัสญิดเพิ่มมากขึ้นในคืนที่สาม  แล้วท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.   ก็ออกมา  แล้วท่านก็ทำละหมาด  ซึ่งพวกเขาก็ร่วมทำละหมาดพร้อมกับท่าน  ครั้นเมื่อถึงคืนที่สี่  มัสญิดก็ล้นไปด้วยผู้คนที่มา  (แต่ท่านนบีมิได้ออกมาในคืนนั้น)  จนกระทั่งท่านออกมาเพื่อละหมาดซุบฮิเลย  ครั้นเมื่อท่านเสร็จละหมาดซุบฮิแล้ว  ท่านก็หันมาทางผู้คน  แล้วท่านก็กล่าวคำปฏิญาณ  จากนั้นท่านก็พูดว่า  อันดับหลังจากนั้นที่จริงมิใช่เพราะสถานที่ของพวกท่าน  (อันแคบคับและล้นหลาม)  ทำให้เกิดความกลัวแก่ฉันหรอก  แต่เพราะฉันกลัวว่า  (การละหมาดกลางคืนเราะมะฎอนที่เคยกระทำนั้น)  จะเป็นบัญญัติบังคับแก่พวกท่าน  แล้วพวกท่านก็จะไม่สามารถกระทำได้  จากนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ก็ถึงแก่อสัญกรรม โดยกิจกรรมก็เป็นอยู่เช่นนั้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

จากอะบีซัรริน ร.ฎ. กล่าวว่า  พวกเราได้ถือศีลอดร่วมกับท่านนบี ซ.ล.  ในเดือนเราะมะฎอน  แต่ท่านมิได้ออกมาทำละหมาดกลางคืนกับพวกเราเลยสักคืนเดียวก็ตามจากเดือนนั้นจนกระทั่งมีเวลาเหลืออยู่อีกเพียงเจ็ดวัน  ท่านจึงออกมาทำละหมาดกลางคืนร่วมกับเรา(ในคืนที่23)  จนกระทั่งเลยเวลา 1/4 ของคืน(ท่านจึงกลับ)  ต่อมาถึงคืนที่หก (ก่อนสิ้นเดือนคือคืนที่24)  ท่านก็ไม่ออกมาทำละหมาดกลางคืนร่วมกับพวกเรา  ต่อมาเมื่อถึงคืนที่ห้า  (ก่อนสิ้นเดือนคือคืนที่25)ท่านก็ออกมาละหมาดกลางคืนกับพวกเรา  จนกระทั่งเลยครึ่งคืนไปแล้ว (ท่านจึงกลับ)  ฉันจึงพูดว่า  โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  หากท่านสั่งให้พวกเราทำละหมาดสุนัต กลางคืนตลอดทั้งคืนนี้(ก็จะเป็นการดี)  ท่านจึงตอบว่า  แท้จริงชายผู้หนึ่ง  เมื่อทำละหมาดร่วมกับอิหม่าม  จนกระทั่งจากกัน(เสร็จเรียบร้อย)  เขาก็ถูกคำนวณกุศลแก่เขาเท่ากับยืนทำทั้งคืนนั่นแหละ  ผู้รายงานเล่าต่อไปว่า  ครั้นเมื่อถึงคืนที่สี่(คือคืนที่26)  ท่านก็ไม่ออกมาละหมาดกลางคืนร่วมกับเรา  ต่อมาเมื่อถึงคืนที่สาม(คือคืนที่27)ท่านก็รวบรวมครอบครัวของท่านบรรดาภริยาของท่าน  และประชาชน  แล้วท่านก็ร่วมทำละหมาดกลางคืนกับพวกเรา  จนพวกเรากลัวว่าอัลฟะลาหฺ(ความดี)  จะล่วงพ้นเราไป  ฉันถามว่า  อะไรคืออัลฟะลาหฺ  ผู้รายงานตอบว่า  การรับประทานซะฮูรฺ  หลังจากนั้นท่านมิได้ออกมาร่วมทำละหมาดกลางคืนร่วมกับพวกเราอีกเลย  เวลาที่เหลืออยู่จากเดือนนั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

จากอับดุรเราะห์มาน  บินอับดุลกอรีอ  ร.ฎ. กล่าวว่า  ฉันออกไปมัสญิดพร้อมกับอุมัร  บินคอตตอบในคืนหนึ่งของเดือนเราะมะฎอน (เมื่อถึง)  ก็ปรากฏว่ามีกลุ่มคนแยกย้ายกันเป็นกลุ่มๆ  ผู้ชายบางคนก็ทำละหมาดคนเดียว  และผู้ชายบางคนทำละหมาดโดยมีกลุ่มคนร่วมละหมาดกับเขาด้วย  อุมัรจึงกล่าวว่า  ฉันเห็นว่า  ๔ฉันรวมผู้คนให้ทำละหมาดพร้อมกันโดยมีผู้อ่าน(อิหม่าม)เพียงคนเดียว  ก็จะเป็นระเบียบอย่างยิ่ง  หลังจากนั้นเขาได้ออกคำสั่งเด็ดขาดแล้วจัดการรวมผู้คนดังกล่าวให้ละหมาดโดยการนำของอุบัยย์  บินกะอับ  หลังจากนั้นฉันได้ออกมาในอีกคืนหนึ่งพร้อมกับเขา  โดยมีประชาชนกำลังทำละหมาดตามผู้อ่าน(อิหม่าม)  ของพวกเขา  อุมัรจึงกล่าวว่า  สิ่งนี้เป็นการดำริที่ยอดเยี่ยมมาก  และช่วงเวลาที่พวกเขานอนไม่ได้ทำละหมาดนั้น  ย่อมประเสริฐกว่าเวลาที่เขาตื่นทำละหมาด  อุมัรหมายถึงตอนดึกของเวลากลางคืน (ซึ่งเขาใช้เวลาดังกล่าวทำอิบาดะฮฺโดยมิได้มากระทำร่วมกับผู้คนที่มัสญิด  เนื่องจากกระทำคนละเวลา)  และประชาชนทั่วไปนั้น  ทำละหมาดกลางคืนตอนในตอนหัวค่ำ

รายงานโดย บุคอรี

จำนวนละหมาดกลางคืนเราะมะฎอน

จากอะบีสะละมะฮฺ บิน อับดีรเราะมาน ร.ฎ. เขาได้ถามอาอิชะฮฺว่า  การละหมาดของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ในเวลากลางคืนในเราะมะฎอนนั้นเป็นอย่างไร  นางตอบว่า  ไม่เกินไปจากสิบเอ็ดรอกาอะฮฺ  ทั้งในเราะมะฎอนและเดือนอื่นๆกล่าวคือ  ท่านทำละหมาดสี่รอกะอะฮฺซึ่งท่านไม่ต้องถามถึงความสวยงามเรียบร้อยของรอกะอะฮฺเหล่านั้น  และความยาวของเหล่านั้น(เพราะท่านทำอย่างเรียบร้อยสวยงาม  และใช้เวลาอันยาวนานมาก)  หลังจากนั้นท่านก็ทำละหมาดอีกสี่รอกะอะฮฺ  ซึ่งท่านไม่ต้องถามถึงความสวยงามเหล่านั้น  และความยาวของเหล่านั้น  หลังจากนั้น  ท่านจึงละหมาดสามรอกะอะฮฺ  แล้วฉันก็ถามว่า  โอ้ เราะซูลุลลอฮ์ท่านจะนอนก่อนที่ท่านจะทำละหมาดวิติรกระนั้นหรือ  (เมื่อนางสังเกตเห็นท่านนบีง่วงนอน)ท่านจึงตอบว่า  โอ้อาอิชะฮฺ  ถึงตาของฉันหลับ  แต่ใจของฉันไม่หลับ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากยะซีด  บินรูมาน ร.ฎ. กล่าวว่า  ประชาชนในสมัยของท่านอุมัร  บิน  คอตตอบทำการละหมาดกลางคืนในเราะมะฎอน  จำนวน 23 รอกะอะฮฺ

และรายงานจากท่านนบี ซ.ล. หรือจากอิบนิ มัสอูดกล่าวว่า  สิ่งใดที่มวลมุมินีนเห็นว่าสวยงาม[270] สิ่งนั้นก็คือความสวยงาม ณ อัลลอฮ์  และสิ่งใดที่มวลมุสลิมีนเห็นว่าน่าเกลียด  สิ่งนั้นเป็นความน่าเกลียด ณ อัลลอฮ์  รายงานโดย   อิหม่ามมาลิก ร.ฎ.

บทที่5

ข้อห้ามในการถือศีลอด

1. การประเวณี

เล่าจาก อบูฮุร็อยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า มีชายคนหนึ่งได้เข้าพบท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ข้าเจ้าพินาศแล้ว ท่านถามว่า และอะไรทำให้ท่านพินาศ เขาตอบว่าข้าพเจ้าได้ร่วมประเวณีกันในเดือนเราะมะฎอน ท่านถามว่า แล้วท่านมีทาสที่จะปลดปล่อยให้เป็นอิสระไหม เขาตอบว่า ไม่มีครับ ท่านถามต่อไปว่า ท่านสามารถถือศีลอดติดต่อกันสองเดือนได้หรือไม่ เขาตอบว่า ไม่ครับ ท่านถามว่า แล้วท่านมือาหารพอที่จะแจกจ่ายให้กับคนหกสิบคนไหม เขาตอบว่า ไม่มีครับ ผู้รายงานกล่าวว่า หลังจากนั้นเขาก็นั่งลง แล้วมีคนนำอินทผลัมบรรจุในกระสอบมอบให้แก่ท่านนบี ซ.ล. ท่านนบีสั่งว่า ท่านจงนำสิ่งนี้ไปทำทานเถิด ชายผู้นั้นจึงบอกกับท่านว่า ยังจะมีคนอื่นอีกหรือที่ยากจนกว่าเรา โอ้เราะซูลุลลอฮ์ ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ไม่มีครอบครัวใดอีกแล้วระหว่างสองแผ่นดินที่มีหินสีดำ ที่ยากจนยิ่งไปกว่าครอบครัวของเรา ท่านนบี หัวเราะจนกระทั่งเห็นฟันกรามของท่าน หลังจากนั้นท่านก็สั่งชายผู้นั้นว่า ท่านจงไปเถิด แล้วจงให้มัน(อินทผลัม) เป็นอาหารแก่ครอบครัวท่าน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

2.การกิน 3.การดื่ม และ4.การอาเจียน

เล่าจาก อบูฮุร็อยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ใครแก้ศีลอดวันหนึ่งจากเดือนเราะมะฎอน โดยไม่มีเหตุผลได้รับการผ่อนผัน ที่อัลลอฮ์ทรงผ่อนผันให้แก่เขา แน่นอนจะไม่สามารถชดเชยแก่วันนั้นได้ แม้จะถือศีลอดไปทั้งปีก็ตาม และแม้เขาจะทำการถือศีลอดชดเชยมันก็ตาม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อบูฮุร็อยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ใครลืม ทั้งๆที่เขากำลังถือศีลอด แล้วเขาก็รับประทานหรือดื่ม เขาก็จงถือศีลอดให้ครบสมบูรณ์ (เมื่อนึกขึ้นได้พร้อมยุติในทันที) เพราะแท้จริงแล้ว อัลลอฮ์ได้ให้อาหารและให้การดื่มแก่เขาเอง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และสำนวนจากติรมิซีว่า ใครรับประทานอาหารหรือดื่มโดยลืม (ว่าตนเองกำลังถือศีลอด) เขาจงอย่าแก้ศีลอด เพราะแท้จริงแล้ว นั่นเป็นโภคผลที่อัลลอฮ์ทรงประทานแก่เขาเอง

จากอัสมาอ์ บินติ อบีบักร ร.ฎ. กล่าวว่า พวกเราได้แก้ศีลอดในสมัยท่านนบี ซ.ล. ในวันที่มีดครึ้มปกคลุม แล้วหลังจากนั้นปรากฏว่า ดวงตะวันยังค้างฟ้าอยู่ ยังไม่ตกจริงๆ มีผู้ไปถามฮิชามว่า แล้วพวกเหล่านั้น(ที่แก้ศีลอดนั้น) ต้องถือศีลอดชดเชยไหม ฮิชามตอบว่า จำเป็นต้องชดเชย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด

เล่าจาก อบูฮุร็อยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ใครอาเจียนออกมา ในขณะที่เขากำลังถือศีลอด ก็ไม่บังคับให้ถือศีลอดชดเชย แต่ถ้าแกล้งอาเจียนออกมา เขาก็ต้องชดเชย

และในรายงานหนึ่งระบุว่า และผู้ใดแกล้งอาเจียนโดยเจตนา เขาจะต้องชดเชย

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี นะซาอี  และฮากีม

5. การถือศีลอดติดต่อกัน

เล่าจาก อบูฮุร็อยเราะห์ ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ห้ามการถือศีลอดติดต่ออีกวันโดยไม่กินซะฮูรฺ พวกเศาะฮาบะห์ได้ถามแย้งว่า แต่ท่านก็ถือศีลอดแบบต่อเนื่องนี่ครับ โอ้ท่าเราะซูลุลลอฮ์ ท่านตอบว่า และพวกท่านมีคนใดบ้างเล่าที่เหมือนกับฉัน เพราะฉันค้างคืนโดยมี อัลลอฮ์ให้อาหารฉัน และให้ดื่มแก่ฉัน ต่อมาพวกเศาะฮาบะห์ขัดขืนที่จะยุติการถือศีลอดแบบต่อเนื่อง ท่านนบีก็ร่วมทำการถือถือศีลอดแบบต่อเนื่องกับพวกเขา วันหนึ่งหลังจากวันนั้นอีกวันหนึ่ง หลังจากนั้นพวกเขาก็เห็นเดือน ท่านนบีจึงพูดว่า หากดวงเดือนปรากฏล่าช้ากว่านี้ แน่นอนฉันต้องเพิ่มแก่พวกท่าน เหมือนกับว่าท่านนบีพูดขู่พวกเขา เมื่อเห็นพวกเขาขัดขืนที่จะยุติ(การถือศีลอดแบบต่อเนื่อง)

และในอีกรายงานหนึ่ง ท่านทั้งหลายจงงดเว้นถือศีลอดแบบต่อเนื่อง ท่านพูดสองครั้ง มีผู้ถามว่า ท่านเองก็ทำการถือศีลอดแบบต่อเนื่อง(ไม่กินซะฮูรฺ) ท่านนบีกล่าวว่า แท้จริงฉันค้างคืนโดยมี อัลลอฮ์ให้อาหารฉัน และให้ดื่มแก่ฉัน ดังนั้นท่านทั้งหลายจงบังคับตัวเองให้กระทำ เท่าที่พวกท่านสามารถจะทำได้ (อย่าทำเกินความสามารถพื้นฐาน)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

6. การจูบ 7. การสัมผัส

เล่าจาก อบูฮุร็อยเราะห์ ร.ฎ. กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งถามท่านนบี ซ.ล. ถึงเรื่องการสัมผัสภรรยาของผู้ถือศีลอด (ว่าจะมีผลเสียหรือไม่) ท่านได้ผ่อนผันให้เขา และมีอีกคนมาหาท่าน แล้วก็ถามท่านถึงเรื่องเดียวกัน แต่ท่านห้ามเขา (มิให้สัมผัส) ทั้งนี้เนื่องจากผู้ที่ท่านผ่อนผันให้สัมผัสนั้นชราแล้ว ส่วนผู้ที่ห้ามนั้นเป็นชายหนุ่ม

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด บัยฮะกี

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล จูบสัมผัสภริยาของท่าน ในขณะที่ท่านกำลังถือศีลอด และท่านนบีนั้นเป็นผู้ที่ควบคุมความต้องการของตัวเองได้ดีเป็นที่เยี่ยมที่สุด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

8.การบ้วนปาก 9. การสูดน้ำเข้าจมูก

จากละกีต บินซ็อบเราะฮ์ ร.ฎ. กล่าวว่า ฉันถามท่านนบีว่า โอ้เราะซูลุลลอฮ์โปรดบอกข้าพเจ้าเกี่ยวกับเรื่องอาบน้ำละหมาดเถิด ท่านบอกว่า ท่านจงอาบน้ำละหมาดให้เรียบร้อยสมบูรณ์ และท่านจงประสานระหว่างนิ้วมือ และจงสูดน้ำเข้าจมูกแรงๆ ยกเว้นในกรณีที่กำลังถือศีลอด

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การมีญะนาบะห์สำหรับผู้ถือศีลอด

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ถึงเวลาแสงอรุณขึ้นในเราะมะฎอน ท่านมีญะนาบะห์จากการร่วมประเวณีกับภรรยาท่าน โดยมิได้ฝัน แล้วท่านก็อาบน้ำ แล้วท่านก็ถือศีลอด

จากอุมมุ สะลามะห์ ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้อยู่ถึงเช้า โดยท่านมีญะนาบะห์เนื่องจากร่วมประเวณี มิใช่เนื่องจากการฝัน หลังจากนั้นท่านมิได้แก้ศีลอด และมิได้ถือศีลอดชดใช้

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การกรอกเลือด การทาตา การอาบน้ำ

จากเซาบาน ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดกรอกเลือด และผู้ถูกกรอกเลือดได้เสียศีลอดแล้ว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และมีผู้ถาม อะนัส ว่า พวกท่านรังเกียจการกรอกเลือด สำหรับผู้ถือศีลอดในสมัยของท่านนบี ซ.ล. หรือ เขาตอบว่า ไม่ ยกเว้นเนื่องจากอ่อนแอ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ทำการกรอกเลือด ในขณะที่ครองอิห์รอม(ฮัจญ์ ในปีฮัจญ์อำลาตามความเห็นของนักปราชญ์) และท่านรักการกรอกเลือด ในขณะที่ท่านถือศีลอด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และในบางรายงานระบุว่า ไม่เสียศีลอด ผู้ที่อาเจียนและไม่เสียศีลอด ผู้ฝันเปียกและไม่เสียศีลอด ผู้รับการกรอกเลือด

จาก อะนัส บิน มาลิก ร.ฎ. กล่าว่า มีชายคนหนึ่งกล่าวกับท่านนบี ซ.ล. ว่า ตาของฉันเจ็บ ฉันจะใส่ผงทาตา (เพื่อรักษา) ในขณะที่ฉันกำลังถือศีลอด จะได้ไหม ท่านตอบว่า ได้

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

และท่านนบี ซ.ล. ได้ทาตา (ด้วยผงทาตา) ในเดือนเราะมะฎอน ซึ่งท่านกำลังถือศีลอด

รายงานหะดีษโดย อิบนุมายะห์

และอะนัส ร.ฎ. รับการกรอกเลือดในขณะที่กำลังถือศีลอด

และจาก อะอ์มัช กล่าวว่า ฉันไม่เคยเห็นผู้ใดจากบรรดาสหายของเรา ถือความน่ารังเกียจในการกรกเลือด สำหรับผู้ถือศีลอด

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

อะนัสและ หะซัน  และอิบรอฮีม ไม่เห็นว่าการกรอกเลือดสำหรับผู้ถือศีลอด จะเป็นพิษภัยใดๆ (แก่การถือศีลอด)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

และสหายบางคนของท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า ฉันได้เห็นท่านเราะซูลุลลลอฮ์ ณ ตำบล อัรยิ ท่านกำลังรดน้ำบนศีรษะท่าน ในขณะที่ท่านกำลังถือศีลอด เนื่องจากความร้อน และความกระหาย

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด นะซาอี และอะห์มัด

บทที่ 6

สาเหตุของการเสียศีลอด

ผู้ป่วยเรื้อรัง และผู้เดินทาง อนุมัติให้งดการถือศีลอด 287

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “ดังนั้นผู้ใดในหมู่พวกท่านได้ประจักษ์ชัดว่าเข้าในเดือนเราะมะฎอนแล้ว เขาจงถือศีลอดเถิด ผู้ใดป่วยหรือกำลังเดินทาง(ก็จงเว้นการถือศีลอดไว้) แล้วกลับมาถือชดเชยในจำนวนวันที่ขาดไป ในวันอื่นๆ อัลลอฮ์ทรงประสงค์ต่อพวกท่านทั้งหลาย ให้บังเกิดความสบายและไม่ทรงประสงค์ความลำบากแก่พวกท่าน”

จากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. เล่าว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ออกไปยังมักกะห์ในเดือนเราะมะฎอน ท่านได้ถือศีลอด จนกระทั่งถึงแอ่งน้ำกะดีด ท่านก็เลิกถือ ซึ่งประชาชน(ที่ร่วมเดินทาง) ก็เลิกถือด้วย และบรรดาสหายของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.นั้น ปฏิบัติตามข้อประพฤติครั้งล่าสุดแล้วก็ล่าสุดจากการงานของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. (โดยถือว่า การกระทำครั้งนั้นได้ยกเลิก การกระทำครั้งก่อนๆ หรือ อนุญาตให้กระทำทั้งสองกรณี แต่กรณีหลังมีน้ำหนักกว่า)

และในบางรายงาน ว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ออกเดินทางจากมะดินะห์ไปมักกะห์ โดยท่านถือศีลอด จนกระทั่งมาถึงอุสฟาน ท่านเรียกหาน้ำ แล้วท่านก็ยกน้ำขึ้นจรดปากเพื่อให้ประชาชนได้เห็น แล้วท่านก็เว้นการถือศีลอด จนกระทั่งถึงมักกะห์ และเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในเดือนเราะมะฎอน

อิบนิ อับบาส กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ถือศีลอด และเว้นการถือศีลอด(ในระหว่างการเดินทาง) ดังนั้นผู้ใดประสงค์จะถือศีลอดก็จงถือ ใครมิประสงค์จะถือศีลอดก็จงเว้นว่างไป

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

อะนัส ร.ฎ. กล่าวว่า พวกเราเดินทางร่วมกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ในเดือนเราะมะฎอนก็ปรากฏว่า ผู้ถือศีลอดก็มิได้ตำหนิผู้เว้นการถือศีลอด(แต่ประการใด) และผู้เว้นการถือศีลอด ก็มิได้ตำหนิผู้ถือศีลอด (เช่นเดียวกัน ต่างคนต่างมีอิสระจากกันในการจะถือหรือเว้น การถือศีลอดขณะเดินทาง)

และในอีกกระแสหนึ่งระบุว่า ที่จริงพวกซอฮาบะฮฺมีความเห็นว่า ผู้ใดกำลังพอแล้วเขาก็ทำการถือศีลอดได้ ก็เป็นความดีงาม และส่วนผู้ใดอ่อนแอ แล้วงดการถือศีลอด ก็เป็นความดีสำหรับเขาเช่นเดียวกัน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

จากญาบิร ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.กำลังอยู่ระหว่างเดินทางครั้งหนึ่ง ต่อมาท่านได้เห็นคนกลุ่มหนึ่ง กำลังแออัดมุงดู ชายคนหนึ่ง (อยู่ท่ามกลางคนกลุ่มนั้น) ซึ่งเขาได้รับการกำบังร่ม(ให้พ้นแดด) ท่านนบี ซ.ล. จึงถามว่าอะไรกันนี่ พวกเขาตอบว่า ชายผู้นี้ถือศีลอด ท่านจึงกล่าวอีกว่า ไม่ได้กุศลใดๆ สำหรับการถือศีลอดในระหว่างเดินทาง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

อะนัส ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. กำลังอยู่ระหว่างเดินทางครั้งหนึ่ง ก็ปรากฏว่า บางคนถือศีลอด และบางคนก็งดถือ บรรดาพวกที่งดถือศีลอดนั้นได้ร่วมมือกัน และทำงาน(บางอย่าง เช่น ช่วยยก ช่วยกาง กระโจม) ส่วนพวกที่ถือศีลอดประสบความอ่อนแอต่อการทำงานบางอย่าง ดังนั้น ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. จึงกล่าวว่า ในวันนี้ บรรดาผู้งดถือศีลอดได้เอาบุญไปหมดแล้ว

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และนะซาอี

จาก อิบนิ อุมัร และอิบนิ อับบาส  ร.ฎ. ทำการตัดทอนละหมาด และงดถือศีลอด ใน(การเดินทางที่มีระยะ) สี่บะรีด (เท่ากับสองมัสฮาละห์ คือระยะเดินทางสองวัน)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

อิบนิ อุมัร  ร.ฎ. ได้ออกไปสู่ ฆอบะฮ์ โดยไม่ตัดทอนละหมาด และไม่งดถือศีลอด

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

คนชรา หญิงตั้งครรภ์ แม่นม ผู้ป่วยเรื้อรัง อนุมัติให้งดถือศีลอด โดยเสียฟิดยะห์แทน

จากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ. กล่าวว่า โองการจากอัลกุรอานที่ว่า “และเหนือผู้ที่สามารถถือศีลอดได้นั้น อนุญาตให้ชำระค่าทดแทน คือให้อาหารแก่คนยากจนได้” เป็นโองการที่ผ่อนผันแก่คนชราทั้งหญิงละชาย ทั้งๆที่ทั้งสองสามารถถือศีลอด ให้งดการถือศีลอด และให้ทั้งสองบริจาคอาหาร ในทุกๆ วันแก่คนยากจน ส่วนหญิงตั้งครรภ์ และแม่นม เมื่อนางทั้งสองกลัว(อันตรายจะประสบแด่นาง) ก็ให้นางงดถือศีลอด และให้พวกนางบริจาคอาหารแทน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

และเนื้อความของบุคอรี จากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ. กล่าวว่า “ที่แท้จริงโองการนั้นมิได้ถูกยกเลิก หากเป็นโองการสำหรับคนชราทั้งหญิงละชาย ที่ไม่สามารถถือศีลอดได้ ก็ให้ทั้งสองบริจาคอาหารทุกวันแก่คนยากจน

จากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ. กล่าวว่า ในโองการนี้ ไม่ได้ผ่อนผันในกรณีนี้ ยกเว้นสำหรับผู้ที่ไม่สามารถจะถือศีลอดได้ หรือป่วยเรื้องรังซึ่งไม่หวังว่าจะหาย

รายงานโดย นะซาอี

จากอบีกอลาบะฮ์ ร.ฎ. จากชายผู้หนึ่งกล่าวว่า ฉันได้มาหาท่านนบี ซ.ล. เพื่อจุดประสงค์หนึ่ง ในขณะนั้นท่านกำลังรับประทานอาหาร ท่านจึงกล่าวว่า มาสิ มารับประทานอาหารด้วยกัน ฉันตอบว่า ข้าเจ้ากำลังถือศีลอด ท่านกล่าวว่า มาสิ ฉัน(นบี) จะบอกท่านเกี่ยวกับเรื่องถือศีลอด แท้จริงอัลลอฮ์ทรงยกเลิกจากผู้เดินทาง ครึ่งหนึ่งของการละหมาด และการถือศีลอด และทรงผ่อนผันแก่หญิงมีครรภ์ และแม่นม

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

หญิงมีระดู และหญิงมีเลือดหลังคลอดบุตร ให้งดถือศีลอด และต้องชดเชย

จากมุอาซะห์ ร.ฎ. กล่าวว่า ฉันถามอาอิชะห์ว่า ทำไมเล่าหญิงมีระดูจึงต้องชดเชยศีลอด แต่ไม่ต้องชดเชยละหมาด อาอิชะห์ย้อนถามฉันว่า เธอเป็นชาวหะรูรออ์หรือ ฉันตอบว่า ฉันไม่ใช่ชาวหะรูรออ์ แต่ฉันต้องการถามเพื่อความเข้าใจ อาอิชะห์จึงกล่าวว่า พวกเราเคยมีประสบการณ์แบบนั้น แล้วพวกเราก็ได้รับคำสั่งจากท่านนบี ให้ถือศีลอดชดเชย แต่ไม่ได้รับคำสั่งให้ชดเชยละหมาด

จากอาอิชะห์ ร.ฎ. กล่าวว่า หากพวกเราคนใดคนหนึ่งงดเว้นการถือศีลอด ในสมัยของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. (เนื่องจากเหตุขัดข้องใดๆ ก็ตาม) หล่อนจะไม่สามารถชดเชยศีลอดนั้น พร้อมกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.ได้ จนกว่าจะถึงเดือนชะอ์บาน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า การชดเชยเราะมะฎอนนั้น หากเจ้าตัวประสงค์เขาก็แยกกัน(ไม่ต้องติดต่อกัน) หากเขาประสงค์ เขาก็ถือติดต่อกัน(จนครบจำนวนที่ขาด)

รายงานหะดีษโดย ดารอกุฏนี

ให้ชดเชยศีลอดแทนผู้ตายได้ ทั้งด้วยศีลอด และด้วยการบริจาคอาหาร

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ใครตายโดยยังมีศีลอดติดค้างอยู่ในตัวเขา ก็ให้ผู้ปกครอง(หมายถึงญาติโดยไม่ต้องรับอนุญาต และผู้อื่น โดยญาติอนุญาตให้) ทำการถือศีลอดแทนเขาได้

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

จากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ. กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วพูดว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ คุณแม่ของผมได้เสียชีวิตไปโดยค้างศีลอดไว้หนึ่งเดือน ผมจะถือชดเขยแทนท่านได้ไหม ท่านนบี ซ.ล. ตอบว่า ก็ถ้าแม่ท่านมีหนี้สินอยู่ อันที่จริงหนี้ของอัลลอฮ์ทรงสิทธิ์ยิ่งนักต่อการได้รับชำระ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

มีหญิงคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วนางถามท่านว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ แม่ของดิฉันได้เสียชีวิตไปโดยค้างศีลอด โดยท่านค้างศีลอดที่ท่านบนบานไว้ว่า และดิฉันจะถือชดเขยแทนท่านได้ไหม ท่านนบีถามนางกลับไปว่า ก็ถ้าแม่เธอมีหนี้สินค้างอยู่ แล้วเธอก็ชำระแทนท่าน การชำระนั้นปลดเปลื้องหนี้แก่ท่านได้ไหม นางตอบว่า ได้ค่ะ ท่านกล่าวต่อไปว่า ดังนั้นเธอจงถือศีลอดแทนแม่ของเธอเถิด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าว่า ใครเสียชีวิตไปโดยค้างศีลอดไว้หนึ่งเดือน ก็จงบริจาคอาหารชดเชยแทนเขาในทุกๆวัน แก่คนยากจน

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และอิบนุมายะห์

จากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ. กล่าวว่า เมื่อชายคนใดป่วยไข้ในเดือนเราะมะฎอน หลังจากนั้นเขาได้สิ้นชีวิตลงโดยเขามิทันได้ถือศีลอดให้ครบ ก็ให้บริจาคอาหารแทนเขา โดยไม่ต้องถือศีลอดชดเชย และถ้าเขาบนบานไว้ ก็ให้ญาติของเขาทำการถือศีลอดชดเชยแทนเขาเสีย

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และบัยฮะกี

บทที่ 7

เรื่องค่ำอัลกอดัร

อัลลอฮ์โองการว่า “แท้จริงเราได้ลง อัลกุรอานในค่ำกอดัร และเจ้ารู้ไหมอะไรคือค่ำกอดัร อันค่ำกอดัร ประเสริฐกว่าพันเดือน เป็นค่ำซึ่งมะลาอิกะห์และวิญญาณบริสุทธิ์หลั่งไหลลงมา โดยอนุมัติขององค์อภิบาลแห่งพวกเขาจากทุกๆ กิจการ เป็นค่ำที่มีสันติภาพตราบถึงรุ่งอรุณ”

เล่าจาก อบูฮุร็อยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ผู้ใดตื่นขึ้นทำอิบาดะฮ์ในค่ำอัลกอดัรโดยศรัทธาและหวังกุศลของมัน แน่นอนที่สุด เขาย่อมได้รับการอภัยโทษที่ล่วงพ้นมาของเขา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากท่านนบี ซ.ล.  ท่านได้รับการเปิดเผยให้มองเห็นอายุมนุษย์ในยุคก่อนจากท่าน หรือที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์ ครั้นท่านนบี ซ.ล.ได้เห็น ท่านมีความรู้สึกว่าอายุประชากรท่านนั้นสั้นเกินกว่าจะ) ปฏิบัติกิจวัตรใดๆได้เท่าเทียมประชาชาติอื่นๆ ในอายุอันยาวนาน(ของประชาชาติเหล่านั้น) ดังนั้นอัลลอฮ์จึงประทานค่ำอัลกอดัรแก่ท่านนบีมุฮัมมัดมา ซึ่งดีกว่าหนึ่งพันเดือน

รายงานหะดีษโดย อิหม่ามมาลิก

ค่ำอัลกอดัรอยู่ใน 10วันสุดท้ายของเดือนเราะมะฎอน

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  เมื่อย่างเข้าสู่ 10 วันสุดท้ายของเราะมะฎอน ท่านจะผู้กเอวของท่านเอาไว้(ไม่ลุกออกไปจากที่ทำอิบาดะห์) และท่านจะตื่นตลอดทั้งคืน อีกทั้งท่านปลุกครอบครัวของท่าน ให้ตื่นขึ้นมาด้วย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และสำนวนของติรมิซีคือ ท่านจะเพิ่มความเอาจริงในสิบคืนสุดท้าย โดยที่ท่านไม่ได้เพิ่มความเอาจริงในวาระอื่นๆ

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ทำการอิอ์ติกาฟใน 10 วันสุดท้ายของเราะมะฎอนและท่านกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงเฝ้าคอยค่ำอัลกอดัรใน 10 วันสุดท้ายของเราะมะฎอนเถิด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าว่า มีคนหลายคนที่เป็นเศาะฮาบะห์ท่านนบี ซ.ล. พวกเขาถูกดลบันดาลให้เห็นค่ำอัลกอดัรในขณะหลับฝัน ในช่วงเจ็ดวันสุดท้าย แล้ว ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ก็กล่าวว่า ฉันเห็นความฝันของพวกท่านนั้น ได้สอดคล้องกันในเจ็ดวันสุดท้าย ดังนั้นผู้ใดจะเฝ้าคอยมัน เขาก็จงคอยในเจ็ดวันสุดท้ายเถิด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงเฝ้าคอยค่ำอัลกอดัรในคืนเลขคี่จาก10 วันสุดท้ายของเราะมะฎอนเถิด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

จาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  จากท่านนบีฯ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงแสวงหาค่ำอัลกอดัร10 วันสุดท้ายของเราะมะฎอน(จงแสวงหา) ค่ำอัลกอดัรในคืนที่ 9 ที่เหลืออยู่จากเดือน ในคืนที่ 7 ที่เหลืออยู่จากเดือน ในคืนที่ 5 ที่เหลืออยู่จากเดือน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

จากอะบี สะอีด ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ทำการอิอ์ติกาฟใน 10 วันแรกของเราะมะฎอน หลังจากนั้นท่านได้ อิอ์ติกาฟใน 10 วันกลางเดือน ในกระโจมเล็กๆ บนเพิงของมันมีเสื่อผืนหนึ่ง(วางกันแดด) ผู้รายงานเล่าว่า จากนั้นท่านนบีได้หยิบเสื่อนั้น และขยับมันย้ายไปทางมุมขวาของกระโจม หลังจากนั้นท่านได้เงยศีรษะของท่านขึ้น แล้วกล่าวปราศรัยกับผู้คน ซึ่งพวกเขาก็เขามาล้อมอย่างใกล้ชิด ท่านกล่าวว่า ฉันทำการอิอ์ติกาฟในสิบคืนแรก เพื่อแสวงหาค่ำอัลกอดัรนี้ หลังจากนั้นฉันก็ อิอ์ติกาฟอีกในกลางเดือน หลังจากนั้นมีญิบรีล ลงมาบอกกับฉันว่า ที่จริงค่ำอัลกอดัรอยู่ในสิบคืนสุดท้ายของเราะมะฎอน ดังนั้นผู้ใดในพวกท่านชอบที่จะทำการอิอ์ติกาฟ เขาก็จงทำการอิอ์ติกาฟเถิด จากนั้นประชาชนก็ทำ อิอ์ติกาฟไปพร้อมกับท่านนบี ซ.ล. ท่านกล่าวอีกว่า แท้จริงฉันได้รับการเปิดเผยให้เห็นค่ำกอดัรในคืนคี่ โดยขณะนั้นฉันกำลังกราบในตอนเช้าของคืนนั้น ในดินและน้ำ ครั้นแล้วท่านนบีก็ได้เข้าสู่เวลาเช้าของค่ำคืนที่ 21 เพื่อทำการละหมาดฟัจรี พลันฟ้าก็หลั่งน้ำฝนลงมา แล้วฉันก็มองไปที่ดินและน้ำนั้น จากนั้นท่านก็ออก เมื่อท่านเสร็จจากละหมาดฟัจรี โดยที่หน้าผากและดั้งจมูกของท่านมีดินและน้ำชโลมติดต่อ(เนื่องจากท่านได้ก้มกราบในละหมาดดังกล่าว) และในคืนนั้นเป็นคืนที่ 21 จาก สิบวันสุดท้ายของเราะมะฎอน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

และระบุในกระแสรายงานหนึ่งว่า ฉันถูกเปิดให้เห็นค่ำอัลกอดัร แต่แล้วฉันก็ลืมมันเสียแล้ว(ว่าเป็นวันใด) และฉันได้มองเห็นในตอนเช้าตรู่ของมัน โดยฉันกำลังกราบลงในน้ำและดิน

ผู้รายงานเล่าว่า แล้วพวกเราก็ถูกฝนกันในค่ำวันที่ 23

ที่แพร่หลาย ค่ำอัลกอดัรจะตรงกับค่ำวันที่ 27

จากซัรร์ บินหุบัยซ์ ร.ฎ. กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามอุบัย บินกะอับว่า แท้จริงพี่น้องชองท่านชื่อ อิบนิ มัสอูด ได้กล่าวว่า ผู้ใดตื่นกลางคืนตลอดเดือน เขาก็ต้องประจวบกับค่ำอัลกอดัรเป็นแน่ แล้วท่านนบีก็กล่าวต่อไปว่า ขอให้อัลลอฮ์ประทานความเมตตาแก่เขา(ผู้ประสบค่ำอัลกอดัร) ท่านนบีปรารถนาที่จะไม่ให้มนุษย์เกิดความประมาท ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงตัวท่านเองนั้นทราบเป็นอันดีว่าค่ำอัลกอดัรมีอยู่ในเดือนเราะมะฎอน และมันอยู่ในระยะสิบวันสุดท้ายของเดือน และมันตรงกับคืนที่ 27 หลังจากนั้นท่านได้สาบานว่า ท่านไม่ยกเว้นว่ามันคือ คืนวันที่ 27 ฉันถามว่า โอ้อะบัลมุนซิร(คนเดียวกับอุบัย บินกะอับ) ที่ท่านพูดเช่นนั้น ท่านมือะไรเป็นหลักฐาน อะบัลมุนซิร ตอบว่า ด้วยเครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์ซึ่งท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้แจ้งไว้ นั่นคือ ดวงตะวันจะขึ้นมาในวัน(ที่มีค่ำอัลกอดัร)นั้น  โดยปราศจากลำแสงจัดจ้า (แต่จะมีความสว่างสีขาว มีแสงเพียงเล็กน้อย เพราะมะลาอิกะห์อันมากมายที่ลงมานั่นเอง

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และคำรายงานของอบูดาวูดว่า ฉันถามว่าอะไรคือเครื่องหมาย เขาตอบว่า ดวงตะวันจะขึ้นในตอนเช้าตรู่ของคืนนั้น มีสภาพเหมือนกับภาชนะซักผ้าโดยไร้ลำแสงจัดจ้า จนกระทั่งมันขึ้นมาสูง

จากมุอาวิยะห์ บิน อะบีซุฟยาน ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คืนอัลกอดัร คือคืนที่ 27 (ของเดือนเราะมะฎอน)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอะห์มัด

วันที่ห้ามถือศีลอด วันอีดและวันตัชรีก 292

เล่าจาก อบูฮุร็อยเราะห์ ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ห้ามมิให้ถือศีลอดใน 2 วันคือ วันอีดิลอัฎฎะฮา และวันอีดิลฟิตริ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากนุบัยชะห์ อัลฮุซะลี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า วันตัชรีก (اَيَامُ التَّشْرِيْقِ) เป็นวันแห่งการกินดื่ม และการกล่าวระลึกถึงอัลลอฮ์

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะห์มัด

จากอุกบะห์ บินอามีร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า วันอะรอฟาต วันอีดเชือดสัตว์กุรบาน และวันตัชรีกนั้น เป็นวันอีดของพวกชาวอิสลาม มันเป็นวันแห่งการกินดื่ม

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ห้ามถือศีลอดครึ่งสุดท้ายเดือนชะอ์บาน

เล่าจาก อบูฮุร็อยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านอย่าถือศีลอดล่วงหน้าก่อนเราะมะฎอนหนึ่งหรือสองวัน ยกเว้นในกรณีที่ชายคนหนึ่งเขาเคยถือศีลอดเป็นปกติมาแต่เดิม เขาจงถือต่อไป

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และรายงานของ อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี ระบุว่า เมื่อย่างเข้าสู่ครึ่งเดือนชะอ์บาน ท่านทั้งหลาย

(จงอย่าถือศีลอด) วันสงสัย

จากศิละห์ ร.ฎ ขณะที่พวกเราอยู่ร่วมกับอัมมาร บินยะซีร ก็มีผู้นำแพะย่างตัวหนึ่งมาให้ อัมมารจึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงรับประทานเถิด แต่มีบางคนในกลุ่มนั้นผละออกไปพร้อมกล่าวว่า ข้าพเจ้าถือศีลอด อัมมารจึงกล่าวว่า ใครถือศีลอดในวันซึ่งผู้คนยังสงสัย (ว่าจะเป็นเดือนเราะมะฎอนหรือปลายชะอ์บานกันแน่) แน่นอนเขาได้ทรยศต่อ อะบัลกอซิม(ท่านนบี ซ.ล.)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ห้ามถือศีลอดเฉพาะวันศุกร์หรือวันเสาร์เพียงวันเดียว

เล่าจาก อบูฮุร็อยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า คนใดในหมู่พวกท่านจงอย่าถือศีลอดในวันศุกร์ นอกจากเขาจะต้องถือก่อนหน้านั้น หรือถือศีลอดหลังจากนั้นควบด้วย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอับดุลลอฮ์ บินบุซริ จากพี่สาวของเขา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า พวกท่านจงอย่าถือศีลอดในวันเสาร์ ยกเว้นกรณีที่ถูกบัญญัติแก่พวกท่าน (เช่น การบนบานเอาไว้ว่าจะถือชดเชยวันที่ขาด) และหากคนในหมู่พวกท่านไม่พบอะไรเลย นอกจากเปลือกของต้นองุ่นหรือไม้จากต้นไม้ เขาก็จงเคี้ยวมันเถิด(เพื่อแสดงถึงว่างดถือศีลอด)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี นะซาอี และฮากีม

บทที่ 8

ศีลอดอาสา

จากอะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดถือศีลอดเพียงวันเดียวในหนทางของอัลลอฮ์ อัลลอฮ์จักทรงห่างใยหน้าของเขาจากไฟนรกถึงเจ็ดสอบปี

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

การถือศีลอดในเดือนมุฮัรรอม

เล่าจาก อบูฮุร็อยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า การถือศีลอดที่เลอเลิศรองลงมาจากศีลเราะมะฎอน ก็ได้แก่เดือนมุฮัรรอมของอัลลอฮ์ และการละหมาดที่เลอเลิศรองลงมาจากละหมาดฟัรฎู คือละหมาดตะฮัจญุด(กิยามุลลัยล์)

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอะลี ร.ฎ. เล่าว่า มีชายคนหนึ่งมาถามท่านนบี ซ.ล. เดือนใดบ้างที่ท่านจะให้ข้าพเจ้าทำการถือศีลอด หลังจากเราะมะฎอน ท่านนบีตอบว่า หากท่านต้องการถือศีลอดหลังจากเราะมะฎอน ท่านจงถือศีลอดในเดือนมุฮัรรอม เพราะมันเป็นเดือนของอัลลอฮ์ ในนั้นมีอยู่วันหนึ่ง ซึ่งพระองค์ลุแก่โทษให้แก่คนกลุ่มหนึ่ง(เมื่อในอดีต) และจะทำการลุแก่โทษให้แก่คนกลุ่มให้แก่คนกลุ่มอื่นๆ อีกด้วย

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

วันอาชุรอ (10 มุฮัรรอม)

จากอัลฮากัม บิน อัลอะอ์ร็อจ  ร.ฎ. กล่าวว่า ฉันได้มาหาท่านอิบนิ อับบาส โดยขณะนั้นเขากำลังนอนหนุนผ้าห่มของเขาที่บ่อน้ำซัมซัม ฉันพูดกับเขาว่า ขอท่านได้แจ้งแก่ข้าพเจ้าถึงเรื่องการถือศีลอดในวันที่สิบเดือนมุฮัรรอม เขาตอบว่า เมื่อท่านเห็นดวงจันทร์ของเดือนมุฮัรรอม ท่านจงนับมัน(ไปให้ถึงวันที่สิบจึงเริ่มถือสีลอด)

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. เคยถือศีลอดในวันที่สิบเดือนมุฮัรรอม และท่านใช้ให้ทุกคนถือด้วย พวกเศาะฮาบะห์ถามว่า โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ความจริงวันนี้เป็นวันที่พวกยิวและคริสต์ยกย่องกัน ท่านตอบว่า ถ้าอย่างนั้น เมื่อถึงปีหน้า อินชาอัลลอฮ์เราจะถือศีลอดวันที่เก้าด้วย แต่ไม่ทันถึงปีหน้าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้เสียชีวิตไปก่อน

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด

จากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ให้ทำการถือศีลอดอาชูรอในวันทีสิบเดือนมุฮัรรอม

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

ภาคผลของการถือศีลอดอาชูรอ (عَاشُوْرَاء)

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. กล่าวว่า ในวันอาชูรอเป็นวันที่พวกกุเรชในยุคญาฮิละห์เคยทำการถือศีลกัน และในยุคญาฮิละห์นั้น ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ก็ถือศีลอดอาชูรอด้วย ครั้นเมื่อท่านเดินทางมามะดินะห์ ท่านก็ยังถืออยู่ และใช้ให้ทุกคนถือ ต่อมา(ในปีที่สองของการอพยพ) เมื่อศีลเราะมะฎอนได้ถูกบัญญัติมา ท่านก็ละเว้นวันอาชูรอ ดังนั้นผู้ใดประสงค์ก็ละเว้นได้(ไม่บังคับเหมือนเดิม)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

จากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้มาถึงมะดินะห์ ท่านก็เห็นชาวยิวถือศีลอดอาชูรอกัน ท่านจึงถามว่า นี่อะไรกัน พวกชาวยิงตอบว่า วันนี้เป็นวันมงคล วันนี้เป็นวันที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานความปลอดภัยแก่ลูกหลานอิสรออีล จากศัตรู(คือฟิรอูน) ดังนั้น นบีมูซา อ.ล. จึงได้ถือถือศีลในสันนั้น ท่านเราะซูลจึงกล่าวว่า ความจริงฉันทรงสิทธิ์ต่อ มูซา อ.ล. มากกว่าพวกท่านเสียอีก ดังนั้น ท่านจึงถือถือศีลอดอาชูรอนั้น และใช้ให้ทุกคนถือด้วย

 รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

จากอะบีมูซา ร.ฎ. กล่าวว่า ปรากฏว่าพวกยิงคอยบัรถือศีลอดอาชูรอกัน พวกเขายึดถือเอาวันนั้นเป็นวันอีด พวกเขาจะให้ผู้หญิงสวมเครื่องประดับ และแต่งกายอย่างสวยงาม แล้วท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า ดังนั้นท่านทั้งหลายจงถือศีลอดอาชูรอเถิด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

จากสะละมะห์ บินอักวะห์ ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่ชายคนหนึ่งจากคนในตระกูลอัสลัม ให้เขาทำการประกาศในหมู่ประชาชนว่า ผู้ใดรับประทานสิ่งใดมาแล้วเขาก็จงถือศีลอดในช่วงเวลาที่เหลือ และผู้ใดที่ยังไม่ได้รับประทานอาหารใดๆ ก็ให้เขาถือศีลอดต่อไปเลย เพราะวันนี้เป็นวันอาชูรอ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และนะซาอี

จากรุบัยยิอ์ บินติ มุอาวิซ  ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ส่งตัวแทนตอนเช้าของวันอาชูรอไปยังหมู่บ้านต่างๆ ของชาวอันศอรซึ่งอยู่รอบๆ มะดินะห์ให้ประกาศว่า ผู้ใดสู่ยามเช้าด้วยเจตนาถือศีลอด เขาจงถือศีลไปให้ครบวัน และผู้ใดสู่ยามเช้าด้วยไม่เจตนาถือศีลอด เขาจงงดอาหารส่วนเวลาที่เหลือของวัน แท้จริงพวกเราภายหลังจากนั้นไปแล้ว พวกเราบังคับเด็กๆ ของเราบางคนทำการถือศีลด้วย อินชาอัลลอฮ์ และพวกเราพากันไปมัสญิด แล้วพวกเราจัดเตรียมเอาผ้าชนไว้เด็กๆ เฟล่านั้นเล่นกัน ครั้นเมื่อมีเด็กคนใดร้องไห้ต้องการอาหาร เราก็ให้เครื่องเล่นนั้นไปจนถึงเวลาแก้ศีลอด

จากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. กล่าวว่า ฉันไม่เห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. จะเอาใจใส่กับการถือศีลอดในวันใดที่ท่านให้ความสำคัญเหนือกว่าวันอื่นๆ นอกจากวันนี้ คือ วันอาชูรอ และเดือนนี้ คือเราะมะฎอน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

การถือศีลอดเดือนรอญับ

จากอุษมาน บินหะกีม ร.ฎ. กล่าวว่า ฉันได้ถามสะอีด บินยุบัยร์ เกี่ยวกับเรื่องการถือศีลอดเดือนรอญับ พวกเราในวันนี้อยู่ในเดือนรอญับ และพวกเราในวันนี้อยู่ในเดือนรอญับ เขาตอบ ฉันได้ยิน อิบนิ อับบาส ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ทำการถือศีลอด จนพวกเราพูดกันว่า ท่านคงจะไม่เลิกถือศีลอดอีกแล้ว และท่านงดถือศีลอด จนกระทั่งพวกเราพูดกันว่า ท่านคงไม่ถือศีลอดอีกแล้ว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

จากมุยีบะห์ อัลบาฮิลิยะห์ ร.ฎ. จากพ่อของนางหรือจากน้องชายของนาง เขาได้เคยเข้าพบท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. หลังจากนั้นก็ได้เข้าพบอีกในปีถัดไป ปรากฏว่าสภาพและบุคลิกภาพของเขาเปลี่ยนแปลงไปมาก เขาถามว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านรู้จักฉันไหม และท่านนบีถามกลับไปว่า แล้วท่านเป็นใคร เขาตอบว่า ข้าพเจ้าบาฮิลี ซึ่งเคยมาพบกับท่านเมื่อปีที่แล้ว แล้วท่านนบีถามง่า แล้วอะไรเล่าที่ทำให้ท่านเปลี่ยนไป ทั้งๆ ที่ท่านเคยมีบุคลิกภาพที่สวยงามเป็นเยี่ยม เขาตอบว่า ข้าพเจ้ามิได้รับประทานอาหารเลย นับจากวันที่จากท่านไป ยกเว้นในเวลากลางคืนเท่านั้น ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. กล่าวว่า ทำไมท่านจึงทำโทษตนเองอย่างนั้นเล่า หลังจากนั้นท่านนบีก็สั่งว่าท่านจงถือศีลอดในเดือนอดทน(เราะมะฎอน) และสักวันหนึ่งจากแต่ละเดือน เขากล่าวว่า โปรดเพิ่มให้แก่ข้าพเจ้าอีก เพราะข้าพเจ้ามีความแข็งแรงที่จะทำมัน ท่านนบีตอบว่า ท่านจงถือศีลอดสองวัน เขาบอกว่า ท่านได้โปรดเพิ่มให้แก่ข้าพเจ้าอีก ท่านนบีตอบว่า ท่านจงถือศีลอดสามวัน เขากล่าวว่า ท่านได้โปรดเพิ่มให้แก่ข้าพเจ้าอีก ท่านนบีตอบว่า ท่านจงถือศีลอดเดือนมุฮัรรอม รอญับ ซุลกออิดะห์ ซุลฮิจญะห์ และท่านจงเว้น ท่านจงถือจากเดือนฮารอม และจงเว้น และท่านนบีได้กล่าวพร้อมกับประกอบท่าทางด้วยยกนิ้วมือทั้งสองข้าง แล้วกำมันไว้ หลังจากนั้นท่านก็ปล่อยมันออก

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด นะซาอี และอะห์มัด

การถือศีลอดเดือนชะอ์บาน

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. กล่าวว่า ฉันไม่เคยเห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ถือศีลอดครบเดือนเลยนอกจากเราะมะฎอน เพียงเดือนเดียว และฉันไม่เคยเห็นท่านถือศีลอดในเดือนใด ที่จะมากมายที่สุด เท่ากันเดือนชะอ์บาน ซึ่งปรากฏว่าท่านถือทั้งเดือน ยกเว้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ที่จริงท่านเคยถือมันตลอดทั้งเดือนด้วยซ้ำ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

จากอุมมุ สะลามะห์ ร.ฎ. กล่าวว่า ฉันไม่เคยเห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ถือศีลอดติดต่อกันสองเดือน นอกจากชะอ์บานและเราะมะฎอน

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

จากอิมรอน บินฮุซัยน์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวกับชายคนหนึ่งว่า ท่านถือศีลอดช่วงกลางๆเดือนนี้(ชะอ์บาน)  สักเล็กน้อยไหม เขาตอบว่า ไม่ ท่านนบีจึงสั่งเขาว่า ดังนั้นเมื่อจบจากเราะมะฎอนแล้ว ท่านจงถือศีลอดสักสองสามวันทดแทนมัน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

วันนิสฟูชะอ์บาน

จากอะลี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อถึงค่ำนิสฟูชะอ์บาน(นุสฟุแปลว่าครึ่ง) ท่านทั้งหลายจงตื่นทำอิบาดะห์ในยามกลางคืน และจงถือศีลอดในเวลากลางวัน เพราะอัลลอฮ์ทรงประทานความเมตตาลงมาให้ในวันนั้นสู่ฟ้าชั้นโลกนี้ เมื่อตอนตะวันตกดิน แล้วพระองค์ดำรัสว่า มีไหม ผู้ที่ทำการขออภัย ข้าจะได้ให้อภัย มีไหม ผู้ขอปัจจัยยังชีพ ข้าจะได้ให้ มีไหม ผู้ประสบภัย ข้าจะได้บำบัด พึงสังวร เป็นเช่นนี้ จนกระทั่งแสงอรุณขึ้น

รายงานหะดีษโดย อิบนุมายะห์

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. กล่าวว่า ฉันไม่พบท่านนบี ซ.ล.  ในคืนหนึ่ง ดังนั้นฉันจึงออกค้นหาท่าน แล้วฉันก็พบว่าท่านอยู่ที่กุบูร บะกีอ์ กำลังเงยหน้าสู่ฟากฟ้า แล้วท่านก็กล่าวว่า  อาอิชะห์เอ๋ยเธอกลัวว่าอัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์ จะฉ้อฉลละเมิดต่อเธอกระนั้นหรือ ฉันเรียนกับท่านว่า ข้าพเจ้าคิดว่าท่านจะออกไปหาภริยาบางคนของท่านเสียอีก(จึงออกมาตามหา) ท่านนบีกล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงลงเมตตามาสู่ฟากฟ้า ดุนยา ในคืนนิสฟุชะอ์บาน แล้วพระองค์ทรงให้อภัยแก่ผู้ทำผิดมากยิ่งกว่าจำนวนขนแพะของกะลับเสียอีก

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี อิบนุมายะห์ และอะห์มัด

การถือศีลอดหกวัน ของเดือนเชาวาล

จากอะบี อัยยูบ อันซอรี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ใครถือศีลอดเราะมะฎอนหลังจากนั้น เขาถือติดต่อไปอีกหกวันจากเดือนเชาวาล เขาจะได้รับกุศลประหนึ่งเขาถือศีลอดตลอดปี

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การถือศีลอดสิบวันของเดือนซุลฮิจญะห์

จากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีวันใดๆ อีกแล้ว ที่การปฏิบัติความดีงามถูกปฏิบัติขึ้น ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของอัลลอฮ์ ยิ่งไปกว่าวันทั้งสิบนี้ พวกเศาะฮาบะห์ถามว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ และแม้กรทั้งทำสงครามในทางของอัลลอฮ์กระนั้นหรือ ท่านตอบว่า และแม้กระทั่งการรบในทางของอัลลอฮ์ก็เทียบไม่ได้ ยกเว้นชายคนหนึ่งเขาได้ออกไปรบโดยพาชีวิตและทรัพย์สินของเขาออกไป แล้วเขาไม่ได้กลับมาเลยสักสิ่งหนึ่งจากที่กล่าวนั้น (ไม่ว่าจะเป็นชีวิตหรือทรัพย์สินก็ตาม คนนี้เท่านั้นก็จะมีฐานะเหนือกว่า)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด และติรมิซี

จากอุมมุ สะลามะห์ ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ทำการถือศีลอดในเก้าวันของเดือนซุลฮิจญะห์ และวันที่สิบมุฮัรรอม(วันอาชูรอ)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด นะซาอี และอะห์มัด

เล่าจาก อบูฮุร็อยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ไม่มีวันใดๆ อีกแล้วที่มีการนมัสการต่อพระองค์ ที่จะทรงโปรดยิ่งไปกว่าสิบวันของเดือนซุลฮิจญะห์ คือการถือศีลอดทุกๆวันจากจำนวนนั้น เทียบกับการถือศีลอดตลอดปี และการตื่นทำอิบาดะห์ทุกๆ คืนจากจำนวนนั้น เทียบเท่ากับการตื่นทำอิบาดะห์ในค่ำอัลกอดัร

รายงานหะดีษโดย นะซาอี

การถือศีลอดวันอะรอฟาต สำหรับผู้ไม่ได้ทำฮัจญ์ 298

จากอะบีกอตะดะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า การถือศีลอดวันอะรอฟาตนั้น ฉันมั่นใจว่าอัลลอฮ์จักทรงไถ่ถอนความผิดในปีที่ผ่านมาแล้ว และปีที่อยุ่ข้างหลังนั้นด้วย

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. งดการถือศีลอด ณ ทุ่ง อะรอฟาต และอุมมุลฟิฏลิได้ส่งนมมาให้ท่าน ท่านก็ดื่มนมนั้น(เพื่อแสดงว่าท่านไม่ได้ถือศีลอดจริง)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ถูกถามถึงเรื่องการถือศีลอดวันอะรอฟาต ท่านตอบว่า ฉันได้ทำฮัจญ์พร้อมกับท่านนบี ซ.ล. พร้อมกับอบีบักร อุมัร อุษมาน ไม่เคยปรากฏว่าพวกท่านเหล่านั้นทำการถือศีลอดวันอะรอฟาตเลย ฉันเองก็ไม่ได้ถือ และฉันไม่ได้ใช้ให้ถือ แต่ก็ไม่ได้ห้าม(ถ้าใครจะถือ)

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และนะซาอี

การถือศีลอดเดือนละสามวัน

เล่าจาก อับดิลลาฮ์ บินอัมริน ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวกับฉันว่า ท่านจงถือศีลอดเดือนหนึ่งสามวัน เพราะความดีงาม จะได้รับกุศลสิบเท่า และการถือศีลอดเช่นนั้นจึงเท่ากับถือศีลอดทั้งปี

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

และรายงานของ มุสลิม และอะบูดาวูด ว่า การถือศีลอดสามวันในทุกเดือน และถือศีลอดเราะมะฎอนสู่เราะมะฎอน เท่ากับถือศีลอดหนึ่งปี

จากอะบี ซัรริน ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ใครถือศีลอดทุกๆเดือน สามวันนั้นเท่ากับถือศีลอดตลอดทั้งปี แท้จริงอัลลอฮ์ทรงโองการลงมารับรองไว้ในคัมภีร์ คือ ผู้ใดนำมาซึ่งความดี เขาย่อมได้รับผลทวีขึ้นเป็นสิบเท่าของมัน วันหนึ่งเท่ากับสิบวัน

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

จากมุดาซะห์ อัลอะดะลี ร.ฎ. กล่าวกับอาอิชะห์ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ถือศีลอดเดือนละสามวันทุกๆเดือนหรือ นางตอบว่า ท่านไม่สนใจหรอกว่า จะเป็นวันใดของเดือนที่ท่านถือศีลอด

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี

การถือศีลอดในวันเดือนกระจ่าง 13 14 15 ค่ำ

จากมิลฮาน อัลกอยซี ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่เราให้ทำการถือศีลอดในคืนขาว คือ 13 14 และ15 ค่ำ ท่านได้พูด และพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า การถือศีลอดในวันเหล่านี้ ได้กุศลเท่าเท่ากับถือศีลอดตลอดปี

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และรายงานของติรมิซี ว่า เมื่อท่านประสงค์จะถือศีลอดในเดือนหนึ่งสามวัน ท่านก็จงถือศีลอดในค่ำ 13 14 และ15 เถิด

การถือศีลอดในวันจันทร์และพฤหัสฯ

จากอะบีกอตะดะห์ ได้กล่าวว่า มีผู้ถามท่านนบี ซ.ล. เกี่ยวกับการถือศีลอดในวันจันทร์และพฤหัสฯ ท่านตอบว่า ในวันนั้น(จันทร์) ฉันกำเนิดมา และในวันนั้นอัลกุรอานถูกประทานแก่ฉัน

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด

จากอุซามะห์ บิน ซัยด์ ได้ออกไปสู่วาดิลกุรอ เพื่อแสวงหาทรัพย์ของเขา ซึ่งปรากฏว่าเขาถือศีลอดในวันจันทร์และพฤหัสฯ มีคนใช้ของเขาถามเขาว่า เพราะอะไร ท่านจึงตอบว่าถือศีลอดในวันจันทร์และพฤหัสฯ ทั้งๆ ที่ท่านชราภาพแล้ว เขาตอบว่า เพราะท่านนบี ซ.ล. ทำการถือศีลอดในสองวันนั้น และท่านถูกถามถึงเรื่องนั้น ท่านก็ตอบว่า แท้จริงการกระทำของมวลบ่าวทั้งหลาย จะถูกนำเสนอในวันจันทร์และพฤหัสฯ ฉันจึงชอบที่จะให้การกระทำของฉันถูกเสมอ ในขณะที่ฉันทำการถือศีลอด

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอุมมุ สะลามะห์ ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. มีคำสั่งแก่ฉันให้ทำการถือศีลอดสามวัน ในแต่ละเดือน วันแรกของมันคือวันจันทร์ หรือวันพฤหัสฯ

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

จากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ถือศีลอดในเดือนหนึ่งสามวัน คือวันเสาร์ อาทิตย์ และจันทร์ และในเดือนอื่น ท่านถือวันอังคาร พุธ และพฤหัสฯ

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

การถือศีลอดวันเว้นวัน

เล่าจาก อับดิลลาฮ์ บินอัมริน ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวกับฉันว่า การถือศีลอด อัลลอฮ์ทรงโปรดที่สุด คือการถือศีลอดของนบีดาวูด อ.ล. เขาถือศีลอดวันเว้นวัน และละหมาดที่อัลลอฮ์ทรงโปรดที่สุด คือ การละหมาดของนบีดาวูด อ.ล. เขานอนตื่นเที่ยงคืน และตื่นตอน 1/3 ของคืน และนอนตอน 1/6 ของคืน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การถือศีลอดตลอดปี

เล่าจาก อับดิลลาฮ์ บินอัมริน ร.ฎ. กล่าวว่า มีผู้ไปแจ้งให้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ทราบว่า ฉันปรารภว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า จะทำการตื่นทำอิบาดะห์ในตอนกลางคืน จะถือศีลอดในตอนกลางวันตลอดชีวิตของฉัน ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. จึงถามว่า ท่านพูดเช่นนั้นหรือ ฉันตอบว่า ใช่ครับ ข้าพเจ้าพูดเช่นนั้นจริง โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านจึงสอนฉันว่า ท่านไม่สามารถทำเช่นนั้นได้หรอก ดังนั้น ท่านจงถือศีลอดและจงงดถือ ท่านจงนอน และจงตื่นทำอิบาดะห์ และท่านจงถือศีลอดเดือนละสามวันก็พอ เพราะที่แท้จริงแล้วความดีจะถูกทวีขึ้นเป็นสิบเท่าของมัน และนั่นจึงเท่ากับถือศีลอดตลอดทั้งปี เขาเล่าต่อไปว่าฉันจึงเรียนกับท่านว่า ที่จริงข้าพเจ้าทำได้เกินกว่านั้น ท่านกล่าวว่า ท่านจงถือศีลอดหนึ่งวัน งดสองวัน เขาเล่าต่อไปว่า ฉันกล่าวว่า ที่จริงข้าพเจ้าทำได้เกินกว่านั้นอีก โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านกล่าวว่า ท่านจงถือศีลอดวันเว้นวัน แบะนั่นเป็นการถือศีลอดของนบีดาวูด อ.ล. เป็นศีลอดที่เที่ยงตรงที่สุดแล้ว ฉันกล่าวว่า ที่จริงข้าพเจ้าทำได้เกินกว่านั้น ท่านกล่าวว่า ไม่มีเกินกว่านี้อีกแล้ว อับดิลลาฮ์กล่าวว่า ขอสาบาน ฉันได้รับเอาสามวันที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. กล่าวว่าเป็นที่รักยิ่งกว่าครอบครัวของฉัน และทรัพย์สินของฉันเสียอีก

และในสายรายงานหนึ่งว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่เขาว่า ท่านอย่าทำเช่นนั้น ท่านจงถือศีลอดและจงงดถือ ท่านจงตื่นทำอิบาดะห์และท่านจงนอน เพราะว่าร่างกายของท่าน ท่านมีหน้าที่ต่อมัน ตาทั้งสองของท่าน ท่านมีหน้าที่ต่อมัน คู่ครองของท่าน ท่านมีหน้าที่ต่อนาง แขกของท่าน ท่านก็มีหน้าที่ต่อเขา และเป็นการเพียงพอสำหรับท่านแล้ว เพียงท่านจะถือศีลอดเดือนละสามวัน

และในบางกระแสรายงาน ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. กล่าวแก่ฉันว่า ท่านหรือที่จะศีลอดตลอดทั้งปี และตื่นทำอิบาดะห์ทั้งคืน ฉันตอบว่า ใช่ครับ ท่านกล่าวว่า ตัวท่านเมื่อกระทำเช่นนั้น ดวงตาจะอ่อนแอต่อมัน และจิตใจก็จะเบื่อหน่ายต่อมัน ผู้ที่ถือศีลอดตลอดปีย่อมไม่ได้กุศลสมบูรณ์ การถือศีลอดเดือนละสามวัน เท่ากับถือศีลอดทั้งปีแล้ว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

จากอะบีกอตะดะห์ เล่าว่า อุมัร ร.ฎ. ได้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.ว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ จะเป็นผลอย่างไรกับผู้ถือศีลอดตลอดปี ท่านตอบว่า เขามิได้ถือศีลอด และเขามิได้งดถือ เขาถามต่อไปว่า ผู้ถือศีลอดสองวัน และงดหนึ่งวันจะเป็นอย่างไร ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ถามกลับไปว่า มีใครสักคนทำเช่นนั้นไหวหรือ เขาถามอีกว่า ผู้ถือศีลอดหนึ่งวัน เว้นหนึ่งวันจะเป็นอย่างไร ท่านตอบว่า นั่นเป็นการถือศีลอดของนบีดาวูด อ.ล.

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ส่งคนไปตามอุษมาน บิน มัซอูน เขาก็เข้ามาหาท่าน ท่านจึงถามเขาว่า อุษมานเอ๋ย ท่านชิงชังแบบฉบับของฉันแล้วหรือ(ท่านจึงปลีกตัวทำแต่ อิบาดะห์โดยไม่สนใจโลกภายนอก) เขาตอบว่า ไม่ครับ ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ แต่ข้าพเจ้าแสวงหาแบบฉบับของท่าน ท่านจึงสอนเขาว่า ที่จริงฉันเอง นอน ละหมาด ถือศีลอด งดถือศีลอด แต่งงานกับผู้หญิง ดังนั้นท่านจงยำเกรงต่ออัลลอฮ์เถิด อุษมานเอ๋ย เพราะท่านมีหน้าที่ต่อครอบครัวท่าน ท่านมีหน้าที่ต่อแขกของท่าน และท่านมีหน้าที่ต่อตัวท่านเอง ดังนั้น ท่านจงถือศีลอดด้วย และงดถือด้วยสลับกันไป ล่านจงละหมาดและจงนอน(อย่าเฝ้าละหมาดจนไม่หลับไม่นอน)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

ผู้ถือศีลอดอาสา มีอำนาจเป็นของตัวเอง 301

จากอุมมิ ฮานิอ์ ร.ฎ. กล่าวว่า เมื่อวันยึดมักกะห์ได้นั้น ฟาติมะห์ได้มาหาและนั่งอยู่ข้างซ้ายท่านนบี ซ.ล. โดยมีอุมมิ ฮานิอ์ นั่งอยู่ข้างขวาของท่าน ต่อมาได้มีหญิงรับใช้ได้นำภาชนะใส่เครื่องดื่มมา แล้วยื่นมาให้ท่านนบี ท่านก็ดื่มเครื่องดื่มนั้น หลังจากนั้นท่านก็ยื่นต่อให้อุมมิ ฮานิอ์ ซึ่งนางก็ดื่มด้วยเช่นกัน และนางได้เรียนต่อท่านนบีว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ข้าพเจ้าได้แก้ศีลอดเสียแล้ว ทั้งๆที่ข้าพเจ้าถือศีลอด ท่านจึงกล่าวกับนางว่า เธอถือศีลอดชดใช้สิ่งใดบ้างหรือ นางตอบว่า ไม่ได้ชดใช้สิ่งใด ท่านกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นการแก้ศีลอดนั้น ก็ไม่เป็นบาปต่อเธอ หากเธอโดยอาสาสมัคร

และในบางกระแสรายงาน ว่า ผู้ถือศีลอดอาสา ย่อมเป็นผู้ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง หรือเป็นผู้มีอำนาจในตัวเอง หากประสงค์จะถือศีลอด หรือประสงค์จะแก้ศีลอดก็ได้

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี นะซาอี และอะห์มัด

จากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีผู้นำอาหารมาให้ฉัน และฮัฟเซาะห์ ในขณะที่เราทั้งสองกำลังถือศีลอด เราทั้งสองแก้ศีลอด หลังจากนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้เข้ามา เราจึงเรียนถามท่าน โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ผู้นำอาหารมาให้เรา และเราก็ต้องการมัน เราจึงแก้ศีลอด ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. จึงกล่าวว่า เธอทั้งสองไม่มีบาป เธอทั้งสองจงถือศีลอดแทนมันในวันอื่น

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ผู้ถือศีลอดตอบคำเชิญ

เล่าจาก อบูฮุร็อยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อคนใดในหมู่พวกท่านถูกเชิญไปรับประทานอาหาร ในขณะที่กำลังถือศีลอดอาสา เขาจงกล่าวกับผู้เชิญว่า “ฉันกำลังถือศีลอด”

และในบางกระแสรายงาน ว่า เมื่อคนใดในหมู่พวกท่านถูกเชิญไปรับประทานอาหาร จงตอบรับคำเชิญนั้น หากเขาไม้ได้ถือศีลอด เขาจงรับประทาน แต่ถ้าเขากำลังถือศีลอด ก็จงขอพรให้แก่ผู้เชิญ

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

บทสุดท้าย

การอิอ์ติกาฟ (عِتِكَافُ)

   อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และเจ้าจงชำระบ้านของข้า(บัยตุลลอฮ์)ให้สะอาด เพื่อมวลผู้ฏอวาฟ และบรรดาผู้พักพิง ตลอดจนบรรดาผู้ทำการก้มกราบ(สุญูด)”

อัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า “และเจ้าทั้งหลายอย่าสัมผัสพวกนาง ในขณะพวกเจ้ากำลังนั่งสงบอยู่ในมัสญิด”

จากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ทำการอิอ์ติกาฟ ในสิบวันสุดท้ายของเดือนเราะมะฎอน จนกระทั่งอัลลอฮ์ทรงดลความตายแก่ท่าน หลังจากนั้น บรรดาภริยาของท่านก็ทำการอิอ์ติกาฟ หลังจากท่านได้ตายแล้ว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อบูฮุร็อยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ทำการอิอ์ติกาฟในสิบวันสุดท้ายของเดือนเราะมะฎอน แต่เมื่อถึงปีที่ท่านเสียชีวิต ท่านทำการอิอ์ติกาฟยี่สิบวัน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

จากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. เมื่อมีความประสงค์ทำการอิอ์ติกาฟ ท่านก็จะละหมาดฟัจรีด้วย หลังจากนั้นท่านจึงเข้าสู่ที่ทำการอิอ์ติกาฟของท่าน(คือกระโจมสองเสา) และท่านได้มีคำสั่งให้กางกระโจมของท่าน แล้วมีผู้กางกระโจมให้ ท่านมุ่งทำการอิอ์ติกาฟในสิบวันสุดท้ายของเดือนเราะมะฎอน จากนั้นซัยนับก็สั่งให้คนกางกระโจมของนางบ้าง และยังมีภริยาท่านอื่นของท่านนบี ซ.ล. กางกระโจม ครั้นเมื่อท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ทำละหมาดซุบฮิ(ฟัจริ)เสร็จแล้ว ท่านก็มองสังเกตรอบๆ มัสญิด ท่านก็เห็นกระโจมหลายหลังกางอยู่ ท่านจึงถามว่า พวกเธอทั้งหลายประสงค์จะทำการภักดีด้วยการกางกระโจมเหล่านี้หรือ จากนั้นท่านจึงสั่งให้รื้อถอนกระโจมของท่านออก[271] และท่านเว้นทำการอิอ์ติกาฟของเดือนเราะมะฎอน (เลื่อนไป)จนทำการอิอ์ติกาฟในสิบวันแรกของเดือนเชาวาล

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

จากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. เมื่อทำการอิอ์ติกาฟ จะมีคนทิ้งที่นอนไว้ให้ท่าน หรือมีคนกางเตียงไว้ให้ท่านข้างเสา “อัสตุวานะติตเตาบะห์”[272]

ผู้ทำการอิอ์ติกาฟจะออกไปนอก มัสญิดได้เมื่อมีธุระจำเป็น

จากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. เมื่อทำการอิอ์ติกาฟ ท่านยื่นศีรษะของท่านมายังข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าอยู่ในห้องที่ติดกับมัสญิด แล้วข้าพเจ้าก็จัดการหวีผมให้แก่ท่าน และท่านจะไม่เข้าไปในบ้าน นอกจากทำธุระส่วนตัว เช่น การถ่ายปัสสาวะ อุจจาระ ส่วนการรับประทานอาหารนั้น ท่านไม่ออกจาก มัสญิด เพราะอนุมัติให้กินดื่มในมัสญิดได้)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากท่านหญิงซอฟิยะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. เมื่อทำการอิอ์ติกาฟ ลัวฉันก็เข้าไปเยี่ยมท่านในตอนกลางคืน แล้วฉันก็คุยกับท่าน หลังจากนั้นฉันก็กลับบ้านของฉัน โดยที่นบีก็ลุกตามไปด้วย เพื่อตอบสนองฉัน และนางอาศัยอยู่ในบ้านของอุซามะห์ บิน ซัยด์ ต่อมามีชายชาวอันศอรสองคนเดินผ่านมา ครั้งเมื่อทั้งสองเห็น นบี ซ.ล. ทั้งสองก็รีบเดิน(หลบออกไป) อย่างรวดเร็ว ท่านนบี ซ.ล.จึงกล่าวว่า ท่านทั้งสองไม่ต้องรีบร้อนหรอก เพราะนางคือซอฟิยะห์ บินติ ฮุยัยย์ ซึ่งเป็นภรรยาของฉันเอง มิใช่หญิงอื่นที่ฉันต้องอายในการอยู่สองต่อสองกับนาง ทั้งสองจึงอุทานว่า ซุบฮานัลลอฮ์ โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านนบีกล่าวว่า แท้จริงมารร้าย มันวิ่งวนในกระแสเลือดของมนุษย์ทุกคน ฉันจึงกลัวว่ามันจะขว้างความเข้าใจผิด บางประการลงไปในจิตใจท่านทั้งสอง หรือท่านกล่าวว่า ความเลวร้าย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

การอิอ์ติกาฟมีเงื่อนไขต้องถือศีลอดหรือไม่

จากอุมัร บิน ค็อตต็อบ ร.ฎ. กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ แท้จริงข้าพเจ้าได้บนบานเอาไว้ในสมัยญาฮิลิยะห์ว่า ข้าพเจ้าจะทำการอิอ์ติกาฟ สักคืนหนึ่งในมัสญิดอัลหะรอม ท่านนบี ซ.ล. จึงกล่าวแก่เขาว่า ท่านจงทำการอิอ์ติกาฟหนึ่งคืนในมัสญิดอัลหะรอม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า แบบฉบับที่ดีสำหรับผู้อิอ์ติกาฟ คือเขาจะต้องไม่ออกไปเยี่ยมคนไข้ ไม่ออกไปส่งศพ ไม่กระทบผู้หญิง ไม่สัมผัสหญิง และเขาต้องไม่ออกไปเพื่อทำ ธุระใดๆ นอกจากที่เลี่ยงไม่ได้เท่านั้น และไม่ถือเป็นอิอ์ติกาฟ นอกจากต้องทำในมัสญิดส่วนกลาง(ไม่ใช่มัสญิดครอบครัว)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

ภาคผลของอิอ์ติกาฟ

จาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับผู้ทำอิอ์ติกาฟว่า เขาสามารถหยุดบาปทั้งมวล และจะมีความดีงามต่างๆ ไหลบ่ามาสู่เขา ประดุจเดียวกับผู้ประพฤติความดีทั้งหมด

รายงานหะดีษโดย อิบนุมายะห์

จาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ผู้ใดดำเนินการในธุระของพี่น้องของเขา และทำให้บรรลุผลของธุระนั้น เขาจะได้รับความดีเท่ากับการอิอ์ติกาฟสิบปี และผู้ใดทำการอิอ์ติกาฟเพียงหนึ่งวัน โดยความบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮ์ พระองค์จะทรงบันดาลคูขวางระหว่างตัวเขากับนรกถึงสามร่องด้วยกัน คูนั้นๆ ห่างกันยิ่งกว่าความห่างระหว่างสองฉากฟ้า(ทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตก)เสียอีก

รายงานหะดีษโดย ฏอบรอนี บัยหะกี และฮากีม

จากหุเซ็น บินอะลี ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ใดอิอ์ติกาฟสิบวันในเดือนเราะมะฎอน เขาจะได้กุศลเท่ากับทำฮัจญ์สองครั้ง และอุมเราะห์สองครั้ง

รายงานหะดีษโดย บัยหะกี

 

หมวดฮัจญ์และอุมเราะฮฺ มีรวมทั้งหมด 7 บท และบทสรุป บทที่ 1 

ภาคผลของฮัจญ์  304

จากอะบีอุรอยเราะห์  ร.ฎ.   จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า ใครทำฮัจญ์เพื่อ อัลลอฮ์แล้วเขา มิพูดหยาบคาย และไม่ประพฤติชั่ว เขาจักกลับ (สภาพของเขาหมดบาปหมดโทษ) ประดุจเดียวกับวันแรกที่แม่ของเขาให้กำเนิดแก่เขา

จาก อะบี ฮุรอยเราะห์  ร.ฎ.   จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า อุมเราะฮฺนึ่งสู่อุมเราะฮฺหนึ่ง เป็นผู้ไถ่บาปที่มีอยู่ระหว่างทั้งสองนั้น และฮัจญ์ที่ปฏิบัติอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องนั้น ไม่มีสิ่งตอบแทนใดๆ อีกแล้ว นอกจากสวรรค์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

อาอิชะห์  ร.ฎ.   กล่าวกับท่านรอซูล ซ.ล. ว่า โอ้ท่านรอซูลุลเลาะห์เราเห็นว่าการต่อสู้ ศัตรูเป็นความประพฤติที่ยอดเยี่ยมที่สุด แล้วพวกเราทำไมไม่ออกต่อสู้ในสิ่งคราม ท่านตอบ ว่า ไม่ แต่ว่าการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมทีสุด ก็คือฮัจญ์ที่ปฏิบัติอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง

รายงานโดย บุคอรี นะซาอี

และสำนวนของนะซาอีคือ แต่ทว่า การต่อสู้ที่สวยและงามที่สุดนั้น คือการทำฮัจญ์ที่ บัยติลลาฮฺ

จาก อาอิชะห์  ร.ฎ.   จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่าไม่มีวันใดที่อัลลอฮ์จะทรงปลดปล่อย ข้าทาสให้พ้นจากนรกมากไปกว่าวันอารอฟะฮฺ และแท้จริงพระองค์ทรงเปิดเผยอย่างใกล้ชิด (ต่อมวลข้าทาสของพระองค์) หลังจากนั้นพระองค์ก็นำพวกเขามาอวดกับบรรดามลาอิกะฮฺ โดยพระองค์ทรงดำรัสว่า อะไรทีพวกเหล่านี้ปรารถนา รายงานโดย มุสลิม นะซาอี

จาก อับดิลลาฮฺ  ร.ฎ.   จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงให้ต่อเนื่องระหว่างฮัจญ์ กับอุมเราะฮฺ เพราะทั้งสองพิธีนั้นจะทำลายความยากจนและมวลบาป ประดุจดังเตาหลอมเหล็ก ทำลายเนื้อร้ายของเหล็ก และทองและเงิน และสำหรับฮัจญ์ที่ปฏิบัติอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องนั้น ไม่มี ผลตอบแทนใดๆ อีกแล้วนอกจากสวรรค์

รายงานโดย ติรมิซี และนะซาอี 

จาก อะบี สะอีด  ร.ฎ.   จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺต้องมีผู้มาทำฮัจญ์ และมีผู้มาทำอุมเราะฮฺ (อยู่ตลอดเวลา แม้จะเป็นเวลาใกล้กาลอวสานของโลก) ภายหลังจาก ยะอ์ญูจ และมะอ์ญูจ ได้ออกมาแล้ว

รายงานโดย บุคอรี

จาก อุมมิ สะละมะฮ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า ใครเริ่มพิธีฮัจญ์หรือุมเราะฮฺจาก มัสยิดอักซอสู่มัสยิดหะรอม เขาจักได้รับการอภัยโทษทั้งที่ผ่านมาแล้ว และที่ยังอยู่ข้างหลัง (ยังไม่ได้กระทำ) หรือเขาจักได้สวรรค์อย่างแน่นอน

รายงานโดย อะบูดาวูด อะห์มัด อิบนุมายะห์

และสายคนหนึ่งของนะชาอีระบุว่าอาคันตุกะของอัลลอฮ์มีสามพวกคือ ผู้ออกรบ ผู้ทำฮัจญ์ และผู้ทำอุมเราะฮฺ

จากยาบิร  ร.ฎ.   ท่านนบี ซ.ล. ได้ประกอบพิธีฮัจญ์สามครั้ง สองครั้งท่านทำก่อนที่จะอพยพมามาดีนะฮ์ และอีกครั้งท่านทำหลังจากอพยพมาแล้ว และพร้อมกับการทำฮัจญ์ครั้งสุดท้าย มีการท่าอุมเราะฮฺด้วย แล้วท่านก็ไล่อูฐจำนวน 63 ตัวมา และอะลีได้ไล่จำนวนที่เหลือ มาจากยะมัน(ให้ครบจำนวน 100 ตัว) ในอูฐจำนวนดังกล่าว มีอูฐตัวผู้ของอะบี ญะฮัลด้วย ซึ่งอูฐตัวนั้นมีห่วงเงินคล้องอยู่ที่จมูก แล้วท่านรอชูล ซ.ล. ก็จัดการเชือดมัน และท่านได้มีคำสั่งให้ หั่นอูฐทุกตัวเป็นก้อน แล้วจัดการต้มมัน และท่านได้ดื่มน้ำต้มของมัน

รายงานโดย ติรมิซี

บทที่ 2 

การบัญญัติให้ทำฮัจญ์

อัลลอฮ์ทรงโองการว่า และอัลลอฮ์ได้บัญญัติแก่มวลมนุษย์ให้ทำฮัจญ์ที่บัยตุลเลาะฮฺ เฉพาะผู้ที่มีความสามารถจะเดินทางไปได้ และผู้ใดทรยศ แน่นอนอัลลอฮ์ย่อมรวยกว่าโลกทั้งหลาย

จากอะบี ฮุรอยเราะฮฺ  ร.ฎ. กล่าวว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้แสดงธรรมเทศนาแก่ พวกเราว่ามนุษย์ทั้งหลาย แท้-จริงอัลลอฮ์ ได้ทรงบัญญัติการทำฮัจญ์แก่พวกท่าน ตังนั้น ท่านทั้งหลายจงทำฮัจญ์เถิดท้นใดนั้นเองก็มีชายผู้หนึ่งถามว่าทุกปีหรือ โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านศาสดาหยุดไป จนชายผู้นั้นทวนคำถามของเขาถึงสามครั้ง ท่านจึงกล่าวตอบว่าหากฉัน ตอบว่า ใช่แน่นอนการทำ ฮัจญ์ก็จะกลายเป็นสิ่งบังคับ และแน่นอนพวกท่านก็ไม่สามารถจะ ทำได้ทุกปีหลังจากนั้นท่านก็กล่าวต่อไปว่าท่านทั้งหลายจงละฉันไว้กับสิ่งที่ฉันได้ละไว้ แก่พวกท่าน เพราะความเป็นจริงประชาชาติในยุคก่อนพวกท่านได้ประสบความหายนะ เพราะ คำถามอันมากมายของพวกนั้น ที่มีต่อบรรดาศาสดาของพวกเขาเองดังนั้นเมื่อฉันใช้พวกท่าน ให้กระทำสิ่งหนึ่ง พวกท่านก็จงนำสิ่งนั้น มาปฏิบัติเท่าที่พวกท่านสามารถ และเมื่อฉันห้ามพวก ท่าน มิให้กระทำสิ่งหนึ่ง พวกท่านก็จงละเว้นมันเถิด

รายงานโดย มุตลม นXซาร พรมี®

จากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ.   เล่าว่าอักเราะอ์ บิน ฮาบิส ร.ฎ. กล่าวว่าโอ้เราะซูลุลลอฮ์การทำฮัจญ์มีในทุกปีหรือ  หรือเพียงครั้งเดียวหรือ ท่านตอบว่าถูกแล้ว เพียงครั้งเดียว ส่วนผู้ใดทำเพิม นันเป็นกิจอาสาสมัคร

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

จากอิบนิ อับบาส จากท่านนบี ซ ล.กล่าวว่า ใครประ สงค์ทำฮัจญ์ เขาจงรีบทำเถิด

รายงานโดย อะบูดาวูด อะห์มัด

และอะห์มัดได้เล่าเพิ่มเติมว่าเพราะว่าบางทีผู้ป่วยอาจจะป่วย(เสียก่อน) และพาหนะ สูญหายและมีความจำเป็นอุบัติขึ้นมาเป็นอุปสรรค(จนไม่สามารถจะทำได้)

จากอะลี  ร.ฎ.   จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่าผู้ใดมีเสบียงและพาหนะ ทำให้เขาเดินทาง ไปถึงบัยติลลาฮฺได้ แต่เขาไม่ยอมเดินทางไปทำฮัจญ์(จนกระทั่งถึงแก่ความตาย) ก็เป็นที่แน่นอน ว่า ไม่มีอุปสรรคอันใดสำหรับเขา ที่เขาจะตายในฐานะเป็นยิวหรือเป็นคริสต์ และนั่นก็เป็น เพราะอัลลอฮ์ได้ทรงดำรัสไวในคัมภีร์ของพระองค์ว่า และเป็นหน้าที่ของมนุษย์พึงมีต่ออัลลอฮ์ จักต้องทำฮัจญ์ที่บัยติลลาฮฺ เฉพาะแก่ผู้ที่สามารถจะเดินทางไปได้

จากอิบนิอุมัร  ร.ฎ.   กล่าวว่ามีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วเขาถามท่านว่าโอ้ เราะซูลุลลอฮ์  อะไรที่ทำให้เกิดการบังคับในการทำฮัจญ์ ท่านตอบว่าเสบียงและพาหนะ

รายงานโดย ติรมิซี และอะห์มัด

จากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ. กล่าวว่าชาวยะมันมาทำฮัจญ์(ทุกปีเหมือนกัน) แต่พวกเขาไม่ เตรียมเสบียงไป และพวกเขาจะพูดว่า“พวกเราเป็นผู้มอบหมายตัวเองต่ออัลลอฮ์” ครั้น เมื่อพวกเขามาถึงมักกะห์ พวกเขาก็เที่ยวขอมนุษย์ดังนั้นอัลลอฮ์ จึงลงอัลกุรอานความว่า “ท่านทั้งหลายจงเตรียมเสบียงเถิด ที่จริงเสบียงที่ดีที่สุดคือ การตักวา”

รายงานโดย บุคอรี และอะบูดาวุด

จากอิบนิ อับบาส กล่าวว่ามีหญิงคนหนึ่งได้มาจากคอซอัม นางถามท่านนบี ซ.ล. ว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ แท้จริงบทบัญญัติที่อัลลอฮ์กำหนดแก่บ่าวของพระองค์ในเรื่องฮัจญ์ ได้ประสบกับบิดาของข้าพเจ้าที่ชรามากแล้ว เขาไม่สามารถจะนั่งบนพาหนะอย่างแน่นแฟ้นได้ แล้วข้าพเจ้าจะทำฮัจญ์แทนเขาได้หรือไม่ ท่านตอบว่าได้และเหตุการณ์เช่นนั้นอุบัติขึ้นในการทำฮัจญ์อำลา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอิบนิ อับบาส กล่าวว่าท่านนบี ซ.ล. ได้ยินชายผู้หนึ่งกล่าวว่า ลับบัยกะ จากชุบรุมะอุท่านจึงถามว่า ใครคือชุบรุมะอุ เขาตอบว่าเขาเป็นพี่น้องผู้ชายของข้าพเจ้าเอง หรือเป็นญาติของข้าพเจ้าเองท่านนบีกล่าวแก่เขาว่า  ท่านทำฮัจญ์ให้แก่ตัวของท่านเองแล้วหรือ เขาตอบว่ายัง ท่านจึงสอนว่าท่านจงทำฮัจญ์ให้แก่ตัวของท่านเองก่อน หลังจาก นั้นท่านจงทำให้ชุบรุมะอุ

รายงานโดย อะบูดาวูด อิบนุฮิบบาน บัยหะกี

จากอิบนิ อับบาส กล่าวว่าฉันได้ยินท่านนบี ซ ล.แสดงธรรมเทศนาว่าชายอย่า อยู่สองต่อสองกับหญิง ยกเว้นเมื่อหญิงนั้นมีญาติใกล้'เดที่ห้ามแต่งงานอยู่ร่วมด้วย และหญิง อย่าเดินทาง นอกจากต้องมีญาติใกล้เดทีห้ามแต่งงานร่วมเดินทางด้วยจากนั้นจึงมีชายคน หนึ่งลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวว่าโอ้เราะซูลุลลอฮ์ แท้จริงภริยาของข้าพเจ้าได้(ตั้งใจ)ออกไปทำฮัจญ์ และฉันได้รับการกำหนดที่จะออกทำสงครามท่านนบีจึงกล่าวว่าท่านจงไปเถิด แล้วจงทำ ฮัจญ์ร่วมกับภริยาของท่าน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

ชดใช้ศีลอดแก่คนตายได้เช่นเดียวกับทำแทนเด็ก

จากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ.   เล่าว่ามีหญิงคนหนึ่งจากตระกูลยุฮัยนะฮ์ ได้มาหาท่านนบี ซ.ล.  แล้วนางถามว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์แท้จริงมารดาของข้าพเจ้าได้บนไว้ว่าจะทำฮัจญ์ แต่ท่านยังไม่ได้ทำ จนกระทั่งท่านเสียชีวิตลง แล้วข้าพเจ้าจะทำแทนท่านได้ไหม ท่านตอบว่าได้ เธอจงทำฮัจญ์แทนนางเถิด เธอจะว่าอย่างไร หากนางมีหนี้ แล้วเธอจะจัดการชำระหนี้ ของนางไหม (นางตอบว่า ใช่ ) ท่านทั้งหลายจงชำระ(หนี้ )ต่ออัลลอฮ์เถิด ที่จริง(หนี้ของ) อัลลอฮ์ทรงสิทธิ์ที่สุดต่อการชำระ

รายงานโดย บุคอรี และนะซาอี

จากบุรอยดะฮฺ  ร.ฎ.   กล่าวว่ามีหญิงคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วนางก็กล่าวว่ามารดาของข้าพเจ้าได้เสียชีวิตโดยท่านมิทันได้ทำฮัจญ์ แล้วข้าพเจ้าจะทำฮัจญ์แทนท่านได้ไหม ท่านกล่าวว่าได้ เธอจงทำฮัจญ์แทนท่านเถิด

รายงานโดย มุสลิม และติรมิซี 

จากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ.   เล่าว่ามีชายคนหนึ่งได้เข้าพบท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่าบิดา ของข้าพเจ้าได้เสียชีวิตลง โดยเขามีหน้าที่ต้องทำฮัจญ์(แต่ยังไม่ได้ทำ) แล้วฉันจะทำฮัจญ์แทน เขาได้ไหม ท่านกล่าวว่าท่านเห็นเป็นประการใด หากบิดาของท่านได้เสียชีวิตลงโดยมีหนี้สินติดตัวอยู่ แล้วท่านจะชำระแทนท่านไหม  เขาตอบว่าครับ ท่านจึงกล่าวต่อไปว่า ดังนั้นท่านจงทำฮัจญ์แทนบิดาของท่านเถิด

รายงานโดย นะซาอี ชาฟิอี

และจากอิบนิ อับบาสกล่าวว่าหญิงคนหนึ่งได้ยกเด็กชายคนหนึ่งของนางชูขึ้น แล้วถาม ว่าโอ้รอชูลุลเลาะฮฺเด็กคนนั้นได้ฮัจญ์ไหม(เมื่อฉันทำให้เขา) ท่านตอบว่าได้ และเธอก็ได้กุศลด้วย

รายงานโดย มุสลิม ติรมิซี

และซาอิบ บินยะซีด กล่าวว่าฉันถูกทำฮัจญ์ให้พร้อมกับเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.ในการ ทำฮัจญ์อำลา โดยขณะนั้นฉันอายุได้ 7 ขวบ

รายงานโดย ติรมิซี

การประกอบอาชีพขณะทำฮัจญ์ไม่เป็นไร

อิบนิ อับบาส  ร.ฎ. กล่าวว่าประชาชนในยุคต้นอิสลามล้วนทำการค้ากัน ที่มีนา ที่อารอฟาต ตลาดชีลมะยาซ และสถานที่ชุมนุมทำฮัจญ์ แต่พวกเขาเกิดความกลัวที่จะทำการขาย ในขณะที่ยังครองอิหรอมอยู่ อัลลอฮ์จึงลงโองการว่าย่อมไม่เป็นบาปใดๆ สำหรับท่านทั้งหลาย ที่พวกท่านจะแสวงหาความโปรดปรานจากองค์อภิบาลแห่งพวกท่าน(ด้วยการค้าขาย) ในสถานชุมนุมทำฮัจญ์

รายงานโดย บุคอรี และนะซาอี

จากอะบีอุมามะฮฺ อัตตัยมี ร.ฎ. กล่าวว่าฉันเป็นชายคนหนึ่ง ซึ่งให้เช่าในด้านนั้น(แก่ผู้ ทำฮัจญ์ได้มีพาหนะชี) มนุษย์จึงพากันกล่าวสบประมาทฉันว่าแท้จริงท่านนั้นไม่มีโอกาสทำฮัจญ์ฉันจึงเข้าพบท่านอิบนุอุมัร และถามท่านถึงเรื่องนั้น ท่านถามกลับว่าท่านมิได้ครอง อิหรอม มิได้กล่าวตัลบียะฮฺ มิได้ฏอวาฟบัยติลลาฮฺ มิได้ออกจากอะรอฟาต และมิได้ขว้าง เสาหินหรือ ฉันตอบว่าที่จริงข้าพเจ้าทำสิ่งเหล่านั้นอิบนุ อุมัรจึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านก็ได้ฮัจญ์แล้วและมีชายผู้หนึ่งถามเราะซูลุลลอฮ์ ซ ล.  ถึงเรื่องนั้น ท่านก็หยุดต่อคำถาม ดังกล่าว จนกระทั่งมีโองการนี้ลงมาคือ “ย่อมไม่เป็นบาปแก่พวกท่าน ต่อการที่พวกท่านจักพึงแสวงหาความโปรดปรานจากองค์อภิบาลของพวกท่าน (ด้วยการประกอบอาชีพในเทศกาลฮัจญ์) แล้วท่านนบีก็ส่งคนไปหาชายผู้นั้น และอ่านให้เขาฟัง พร้อมทั้งกล่าวสำทับว่า ท่านได้ฮัจญ์

รายงานโดย อะบูดาวูด

กำหนดเวลาฮัจญ์และอุมเราะฮฺ

อัลลอฮ์โองการว่า “พิธีฮัจญ์มีกำหนดเวลาที่แน่ชัด”

อิบนุอุมัร   ร.ฎ. กล่าวว่าเดือนแห่งเทศกาลฮัจญ์คือ เชาวาล ซุลกออิดะฮฺ และสิบวันของซุลฮิจยะฮฺ

รายงานโดย บุคอรี

จากอิบนิ อับบาส   ร.ฎ. เล่าว่าท่านนบี ซ.ล. ได้กำหนดแก่ชาวมาดีนะฮฺ (ให้เริมต้น ครองอิหรอมที่) ซุลหุลัยฟะฮฺ และสำหรับชาว1 ชามกำหนดเอายุฮุฟะฮฺ และชาวนัจดิกำหนด เอากอรนัลมะนาซิล และชาวยะมันกำหนดเอายะลัมลัม และท่านยังสอนว่าสถานที่เหล่านั้น เป็นของพวกของเขา(อันมาจากเมืองต่าง ๆ) และสำหรับผู้อื่นจากพวกนั้นทั้งหมดที่มาผ่านพวก เขา จากมวลผู้มุ่งทำฮัจญ์และอุมเราะฮฺ และผู้ใดทีมาจากท้องที่ใกล้กว่านั้น ก็ให้เขาครองอิหรอม มาจากสถานที่ที่เขาออกมา จนกระทั่งชาวมักกะห์ก็ครองอิหรอมจากมักกะห์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอิบนุอุมัร  ร.ฎ. กล่าวว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ ล. กำหนดอัลละกีกเป็นมีกอตสำหรับ ชาว(อีรักซึ่งอยู่ทาง)ตะวันออก

รายงานโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

และรายงานของอะห์มัด และอะบีดาวุด และนะซาอีระบุว่าท่านนบี ซ.ล. ได้กำหนด เอาซาตอิรก์เป็นมีกอตสำหรับชาวอีรัค

จากอิบนิอุมัร ร.ฎ. กล่าวว่าเมื่อเมืองสองเมือง(คือกุฟะอุ และบัซเราะอุ) ถูกยึดมาเป็น เมืองอิสลาม พวกชาวเมืองก็มาหาอุมัรแล้วถามว่าโอ้อะมีรอลมุมินีน แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะฮฺ ซ.ล. ได้กำหนดเขตแก่ชาวนัจดิ ให้ถือกอร์นเป็นมีกอต และมันอยู่ห่างออกไปจากทาง ของเรา และถ้าเรามุ่งไปทางนั้น ก็จะเป็นความลำบากแก่พวกเรามาก อุมัรจึงกล่าวว่าท่าน ทั้งหลายจงพิจารณาพื้นที่ที่ตรงกับมัน จากทางเดินของพวกท่านดังนั้นอุมัรจึงกำหนดเอา ซาตอิรก์เป็นมีกอตให้แก่พวกเขา

รายงานโดย บุคอรี

บทที่ 3

ข้อห้ามสำหรับผู้ครองอิหรอม ห้ามสวมผ้า และใส่เครื่องหอม

จากอิบนุอุมัร   ร.ฎ. เล่าว่าชายคนหนึ่งได้ถามท่านรอซูลว่าโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ผ้าอะไรบ้างที่ผู้ครองอิหรอมสวมใส ได้ ท่านตอบว่าเขาสวมไม่ได้ทั้งนั้นจะเป็น เสื้อ สะระบั่น กางเกง ผ้าคลุมศีรษะ รองเท้าหุ้มส้น ยกเว้นคนใดคนหนึ่งซึ่งเขาหารองเท้าแตะ ไม่ได้ ก็ให้สวมรองเท้าหุ้มส้นได้ แต่เขาจงตัดส่วนที่ต่ำกว่าตาตุ่มออกเสียและท่านทั้งหลาย อย่าสวมเสื้อผ้าใดๆ ที่อบหรือย้อมด้วยหญ้าฝรั่นหรือด้วยวัรซ์[273]

และในกระแสรายงานหนึ่งระบุว่าผู้ใดไม่มีรองเท้าแตะ ก็ให้เขาสวมรองเท้าหุ้มส้น และผู้ใดไม่มีผ้านุ่ง ก็ให้เขาสวมกางเกง

จากยะอ์ลา บิน อุมัยยะอุ   ร.ฎ. เล่าว่ามีชายคนหนึ่งเข้าพบท่านนบี ซ ล. ในขณะนั้น ท่านอยู่ที่ญะอ์รอนะห์ เขาได้เข้าสู่พิธีอุมเราะฮฺแล้ว แต่ปรากฏว่าเคราและศีรษะของเขายังเหลือง ด้วยการย้อมหญ้าฝรั่น และเขาสวมเสื้อคลุม(ยุบบะฮฺ) เขาจึงถามท่านว่าโอ้เราะซูลุลลอฮ์ ข้าพเจ้าได้ครองอิหรอมทำอุมเราะฮฺแล้ว และข้าพเจ้าเป็นอย่างที่ท่านเห็นนี่แหละ (ท่านจะว่า อย่างไร )ท่านจึงสั่งว่าท่านจงถอดยุบบะฮฺออกจากตัวท่าน และท่านจงล้างสีเหลืองออก ให้หมด และสิ่งใดทีท่านกระทำในพิธีฮัจญ์ของท่าน ท่านก็จงกระทำสิ่งนั้นในพิธีอุมเราะฮด้วย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอิบนิ อับบาส   ร.ฎ. เล่าว่ามีชายคนหนึ่งได้อยู่ร่วมกับท่านนบี ซ ล. ต่อมาอูฐของ เขาได้พยศ ทำให้เขาตกลงมาเสียชีวิต ในขณะนั้นเขาอยู่ในฐานะผู้ครองอิหรอม ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. จึงสั่งว่าท่านทั้งหลายจงอาบน้ำเขาด้วยน้ำใบพุทรา และจงห่อเขาไว้ในผ้าที่เขาสวมใส่อยู่ทั้งสองผืน และท่านทั้งหลายอย่าให้เขาสัมผัสกับเครื่องหอมใดๆ และอย่าคลุมศีรษะ ของเขาด้วยผ้าคลุมเพราะเมื่อถึงวันกิยามะห์ เขาจะถูกให้ฟื้นขึ้น โดยกล่าวตัลบียะห์

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี

จากอิบนิอุมัร ร.ฎ. กล่าวว่าฉันได้ยินท่านนบี ซ.ล. ห้ามผู้หญิงในขณะครองอิหรอม มิให้ใส่ถุงมือ และผ้าคลุมหน้า และห้ามใช้วัรส์และหญ้าฝรั่นสัมผัสกับผ้าที่นางสวมใส่และ หลังจากนั้นนางจงสวมใส่เสื้อผ้าสีต่างๆ ที่นางประสงค์ จะเป็นผ้าย้อมสีเหลือง หรือผ้าไหม หรือเครื่องประดับ หรือเสื้อ หรือรองเท้าหุ้มน่องก็ตาม

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี นะซาอี และอะห์มัด

จากอาอิชะห์  ร.ฎ. กล่าวว่ากองคาราวานได้ผ่านพวกเราไป ขณะนั้นพวกเราอยู่กับ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ซึ่งทุกคนกำลังครองอิหรอมอยู่ครั้นเมื่อกองคาราวานนั้นอยู่ตรงกับพวก เรา แต่ละคนของพวกเราก็ปล่อยผ้าคลุมศีรษะของนางให้เลยจากศีรษะลงมาปิดใบหน้าไว้ ครั้นเมื่อพวกนั้นได้ผ่านเลยไปแล้วพวกเราก็เปิดหน้าต่อไป

รายงานโดย อะบูดาวูด และอิบนุมายะห์

หามฆ่าสัตว์ นอกจากสัตว์อันตราย

อัลลอฮ์โองการว่า “เป็นที่อนุมัติสำหรับสูเจ้าทั้งหลาย ในการล่าสัตว์ทะเล และ อาหารจากทะเล ทั้งนี้เพื่อเป็นเครื่องอำนวยสุขแก่พวกเจ้า และแก่ผู้เดินทางและต้องห้าม ลำหรับพวกเจ้าในการล่าสัตว์บก ตลอดเวลาที่พวกเจ้าอยู่ในช่วงอิหรอม และจงยำเกรงอัลลอฮ์ ซึ่งพวกเจ้าจะถูกรวมไปสู่พระองค์”

จากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ. กล่าวว่าซ๊ออ์ยบิน ยัซซามะฮฺ ได้นำลาป่ามามอบให้ท่านนบี ซ.ล. โดยท่านยังอิหรอมอยู่ ท่านจึงส่งลานั้นคืนไป และกล่าวว่า หากเราไม่อิหรอม เราก็จะรับลานั้นจากท่านเป็นแน่

และในรายงานหนื่งระบุว่ามีผู้น่าเนื้อจากสัตว์ที่ล่ามาได้มามอบแก่ท่านนบี ซ ล. แต่ท่าน คืนมันแก่ผู้มอบ พร้อมทั้งกล่าวว่าเราไม่บริโภคมัน เพราะเรากำลังอิหรอม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากญาบิร  ร.ฎ. จากท่านนบี ซ ล. กล่าวว่าสัตว์บกอนุมัติสำหรับพวกท่าน ขณะพวก ท่านอิหรอม ตราบใดที่พวกท่านมิได้ล่ามันเอง หรือมีผู้อื่นล่ามาให้พวกท่าน

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และชาฟิอีกล่าวว่าหะดิษนี้เป็นหะดิษที่สวยงามที่สุดในบทนี้

จากอะบีฮุรอยเราะฮฺ  ร.ฎ. กล่าวว่าพวกเราได้ออกไปกับท่านนบี ซ.ล. ในฮัจญ์หรืออุมเราะฮฺครั้งหนึ่ง ต่อมามีตั๊กแตนฝูงหนึ่งได้บินมาปะทะกับพวกเรา พวกเราจึงตีมันด้วยกับแช่ และไม้เท้าของเราท่านนบี ซ ล. จึงกล่าวว่าท่านทั้งหลายจงบริโภคมันเถิด เพราะมันเป็นสัตว์ทะเล

รานงานโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

จากฮัฟเซาะฮฺ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ ล. กล่าวว่ามีสัตว์ 5 ชนิด ซึ่งไม่มีความผิดสำหรับ ผู้ที่ฆ่ามันได้แก่ อีกา เหยี่ยว หนู แมลงป่อง สุนัข

และในรายงานหนึ่งระบุว่าห้าอันธพาล ซึ่งต้องถูกฆ่าทิ้งในยามปกติ และยามอิหรอม นั่นคือ งู อีกา หนู สุนัข และเหยี่ยว

ห้ามการแต่งงาน 310

จากอะบาน บิน อุสมาน  ร.ฎ.  กล่าวว่า  ฉันได้ยินบิดาของฉันกล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. กล่าวว่า  ผู้อิหรอมต้องไม่แต่งงาน และไม่ถูกแต่งงาน และไม่หมั้นหมาย

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอิบนิ อับบาส ร.ฎ.  กล่าวว่า  ท่านนบี ซ.ล.  ได้แต่งงานกับมัยมูนะฮฺ ในขณะท่าน อิหรอม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

สะอิด บิน มุซัยยับ ร.ฎ.  กล่าวว่า  เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนของอิบนิ อับบาสใน เรื่องนั้น (ที่ว่านบีแต่งงานกับมัยมูนะฮฺช่วงอิหรอม) ทั้งนี้เพราะเขาเล่ามาเพียงคนเดียว โดยไม่มีคนอื่นเล่าด้วย ซึ่งบรรดานักเล่าหะดีษก็มือะบู รอฟิอ์ และมัยมูนะฮฺเอง แต่ตัวนางเองกลับราย งานว่า  ท่านนบี ซ.ล.  ได้แต่งงานกับฉัน โดยเราทั้งสองอยู่ในเวลาปกติไม่ได้อิหรอม โดยแต่ง ที่สะริฟ (สถานที่ห่างจากมักกะอุประมาณ 6  ไมล์)

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี 

คำรายงานของติรมิซีมีเนื้อความว่า  ท่านบี ซ.ล.  ได้แต่งงานกับนาง โดยท่านมิได้ อิหรอม และท่านได้ร่วมเพศกับนาง โดยท่านมิได้อิหรอม และนางได้เสียชีวิตที่สะริฟ และ นางถูกฝังไว้ ณ สถานที่ ท่านนบีร่วมหลับนอนกับนาง

อนุญาตให้ผู้อิหรอม อาบน้ำ กรอกเลือด และใส่ยาตา

จากอะบีอัยยูบ ร.ฎ.  กล่าวว่า  ฉันเห็นท่านนบี ซ.ล.  อาบน้ำ โดยท่านยังครองอิหรอมอยู่ ท่านได้สั่นศีรษะของท่านด้วยมือทั้งสองของท่านเอง จนท่านหันหน้าและหันหลังด้วยมือทั้งสองนั้น (หมายถึงท่านใช้มือถูศีรษะจากด้านหน้ามาด้านหลังและกลับกัน) และเขากล่าวว่า  ฉันเห็นท่านนบี ซ.ล.  ทำเช่นนี้แหละ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

จากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ.  กล่าวว่า  ท่านนบี ซ.ล. กรอกเลือดตรงกลางศีรษะของท่านโดย ท่านยังครองอิหรอม (ขณะนั้นท่านอยู่) ณ ตำบลละฮฺยิญะมัล

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และอะบูดาวุดเพิ่มเติมว่า  เนื่องมาจากโรคชนิดหนึ่งซึ่งท่านเป็นอยู่ จากอุษมาน ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  เกี่ยวกับชายผู้หนึ่ง เมื่อตาทั้งสองข้างของเขาเจ็บ ขณะที่เขาอิหรอมอยู่ โดยเขาใช้ยาดำแปะพันไว้ด้วยผ้าพันแผล

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

ในการเริ่มครองอิหรอมตั้งแต่มีกอต

จากซัยด์ บิน ซาบิต ร.ฎ.  กล่าวว่า  ฉันเห็นท่านนบี ซ.ล.  เลิกสวมเสื้อผ้าปกติเมื่อ เริ่มครองอิหรอมของท่าน และท่านอาบน้ำ

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

จากอาอิชะห์ ร.ฎ.  กล่าวว่า  ฉันได้ใส่เครื่องหอมแก่เราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เมื่อการอิหรอมของท่าน ก่อนหน้าที่ท่านจะทำการอิหรอม และ (ฉันทำอย่างนั้น) ในยามปกติของท่าน ก่อนหน้าที่ท่านจะทำการฏอวาฟ ณ บัยติลลาห์

และในรายงานหนึ่งระบุว่า  คล้ายกับว่าฉันมองเห็นรอยประกายชมดเชียง อยู่ตรงกลาง ศีรษะของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  (ซึ่งท่านได้ใส มันก่อนการครองอิหรอม) โดยขณะนั้นท่านอิหรอม

อะนัส ร.ฎ.  กล่าวว่า  ท่านนบี ซ.ล.  ท่าละหมาดบ่ายที่มาดีนะอุ 4 รอกะอัต และ ละหมาดอัศริที่ซิลหุลัยฟะห์ สองรอกะอัต หลังจากนั้นท่านก็ค้างแรมที่นั่น จนกระทั่งถึงเวลาเช้า ครั้นเมื่อท่านขี่พาหนะของท่าน และท่านนั่งอยู่บนนั้นเรียบร้อยแล้ว ท่านก็เปล่งเสียงกล่าว ตัลบียะฮฺ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ออกเดินทางจากมะดีนะห์ หลังจากท่านได้หวีผมของท่าน และใส่เครื่องหอม และสวมผ้านุ่ง และผ้าห่มตัวของท่าน ทั้งตัวท่านเองและบรรดาสหายของท่าน ซึ่งท่านมิได้ห้ามสิ่งใดๆ จากเหล่านี้ ที่จะสวมใส่ผ้าห่ม หรือผ้านุ่งตามแบบของมะดีนะห์ ยกเว้นที่ถูกย้อมสี ซึ่งมันลอกติดบนผิวหนัง(ของผู้สวมใส่) ต่อมาท่านได้เริ่มเวลาเช้าที่ซิลหุลัยฟะห์ ท่านขี่พาหนะของท่าน จนกระทั่งท่านได้ขึ้นมาอยู่บนภูเขาบัยดาอ์ ท่านและสหายของท่านเปล่งเสียงกล่าวตัลบียะห์ และท่านได้สนสะพายอูฐกุรบานของท่านไว้ ซึ่งวันนั้นตรงกับวันที่ห้า ที่เหลืออยู่จากเดือนซุลกออิดะห์(คือวันที่ยี่สิบห้าซุลกออิดะห์) จากนั้นท่านก็มุ่งมาที่มักกะห์ ในสี่คืนที่ผ่านมาของเดือนซุลฮิจญะห์ แล้วท่านก็ทำการฏอวาฟที่บัยติลลาฮ์ และทำการสะอาอ์(สะแอ) ระหว่างซอฟากับมัรวะห์ โดยท่านมิได้ตะฮัลลุล (การปลดชุดอิหรอมออก) ทั้งนี้เพราะท่านจูงอูฐกุรบานมาด้วย หลังจากนั้นท่านได้พักอยู่ที่ด้านบนของมักกะห์ ณ ตำบล หะยูน โดยท่านเปล่งเสียงตัลบียะห์ฮัจญ์ และท่านไม่เข้าใกล้กะอ์บะห์เลย หลังจากทำการฏอวาฟของท่าน(ครั้งนั้น) จนกระทั่งท่านกลับจากอะรอฟาต และท่านได้ใช้ให้สหายของท่านทำการฏอวาฟบัยติลลาฮ์ และสะอาอ์ ระหว่างซอฟากับมัรวะห์ หลังจากนั้นท่านได้ขลิบผม หลังจากนั้นจึงตะฮัลลุล(ปลดอิหรอม) และการกระทำดังกล่าวนั้น สำหรับบุคคลที่มิได้มีอูฐกุรบานที่ตัวเองได้สนสะพายไว้แล้ว ส่วนผู้ใดที่มีภรรยามาด้วยก็อนุมัติให้เขาร่วมหลับนอนกับนางได้ และอนุมัติให้ใช้เครื่องหอมและเสื้อผ้าธรรมดาได้

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

จากอาอิชะห์ ร.ฎ.  กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้เข้ามาหาฎุบาอะห์ บินติ ซุบีร บิน อับดุลมุตตอลิบ นางจึงถามท่านว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ข้าพเจ้าปรารถนาทำฮัจญ์ แต่ข้าพเจ้ารู้สึกป่วย ท่านจึงกล่าวว่า เธอจงทำฮัจญ์เถิด และเธอจงตั้งเงื่อนไข(ว่าจะตะฮัลลุลถ้าป่วยหนัก) และจงกล่าวว่า โอ้อัลลอฮ์ โปรดให้ข้าพเจ้าตะฮัลลุลเถิด เมื่อพระองค์กักขังข้าพเจ้า(ด้วยความเจ็บป่วย) และขณะนั้นนางเป็นภรรยาของมักดาด บิน อัสวัด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การกล่าวตัลบียะห์

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  เมื่อพาหนะของท่านได้มายืนเสมอ ณ มัสญิดซุลหุซัยฟะห์ ท่านจะเปล่งเสียงตัลบียะห์ว่า โอ้อัลลอฮ์ ข้าพเจ้าขอสนองตอบพระองค์ ข้าพเจ้าขอสนองตอบพระองค์(แต่พระองค์เดียว) ไม่มีภาคีใดๆ สำหรับพระองค์ ข้าพเจ้าขอสนองตอบพระองค์ แท้จริงการสรรเสริญและความโปรดปราน และอำนาจปกครองเป็นของพระองค์ ไม่มีภาคีใดๆ สำหรับพระองค์

 لَبَّيْكَ اللَّهُمَّ لَبَّيْكَ   لَبَّيْكَ لَا شَرِيْكَ لَكَ لَبَّيْكَ إِنَّ الْحَمْدَ وَالنَّعْمَةَ لَكَ وَالمُلْكَ لاَ شَرِيْكَ لَكَ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และบุคอรีได้เพิ่มเติมว่า และปรากฏว่า อิบนุ อุมัร ร.ฎ. กล่าวว่า อุมัรได้เปล่งเสียงกล่าวตัลบียะห์ ตามการตัลบียะห์ของท่านเราะซูลลุลลอฮ์ จากถ้อยคำเหล่านี้ทั้งหมด และเขายังเพิ่มเติมอีกว่า ข้าพเจ้าสนองตอบพระองค์ โอ้อัลลอฮ์ ข้าพเจ้าสนองตอบพระองค์ ข้าพเจ้าสนองตอบพระองค์ และข้าพเจ้าขอความอนุเคราะห์ต่อพระองค์ และความดีอยู่ในอำนาจของพระองค์ ข้าพเจ้าขอสนองตอบพระองค์ และข้าพเจ้าขอรักและปฏิบัติการต่อพระองค์

จากซาอิบ อันซอรี ร.ฎ.  เล่าว่า  ท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  ญิบรีลได้มาพบฉันแล้ว บัญชาให้ฉันออกคำสั่งแก่สหายของฉัน และผู้อยู่ร่วมกับฉัน ให้เปล่งเสียงกล่าวตัลบียะฮฺดังๆ หรือด้วยการกล่าวตัลบียะฮฺ

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอะบีบักรฺ อัสซิดดีก ร.ฎ.  เล่าว่า  ท่านนบี ซ.ล.  ได้รับคำถามว่า  ฮัจญ์ใดที่ประเสริฐสุด ท่านตอบว่า  การเปล่งเสียงกล่าวตัลยียะฮฺ และการเชือดสัตว์กุรบาน

จากสะฮัล ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  ไม่ว่ามุสลิมคนใดก็ตามที่ท่าการกล่าวตัลบียะฮฺ นอกจากสิ่งที่อยู่ข้างขวา และข้างซ้ายของเขา จะร่วมกล่าวพร้อมกับเขาด้วย ไม่ว่าจะเป็น หินหรือต้นไม้ หรือก้อนดิน จนกระทั่งแผ่นดินขาดตอนจากตรงนี้และตรงนี้

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

จากอิบนิ อับบาส ร.ฎ.  ท่านนบี ซ.ล.  ได้ให้ฟะฮฺดอลซ้อนท้ายอูฐจากมุซดะลิฟะฮฺจน ถึงมีนา  และฟะดอลได้แจ้งแก่ฉันว่า ท่านนบี ซ.ล.  กล่าวตัลบียะฮฺตลอดเวลา จนกระทั่งท่าน ได้ขว้างญุมเราะฮฺอะกอบะฮฺ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

จากอิบนิ อับบาส จากท่านนบี ซ ล.  กล่าวว่า  ให้ผู้ทำอุมเราะฮฺกล่าวตัลบียะฮฺจนกระทั่งเขาทำการสัมผู้สหินดำ

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี 

บทที่ 4  ฮัจญ์แบบต่างๆ แบบที่ 1 อิฟรอด[274]

จากอาอิชะอุ ร.ฎ.  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ทำฮัจญ์ในแบบอิฟรอด

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และรายงานของมุสลิมใช้ถ้อยคำว่า  ท่านเปล่งเสียงกล่าวตัลยียะฮฺฮัจญ์ แบบอิฟรอด จากอาอิชะฮฺ ร.ฎ.  กล่าวว่า  เราได้ออกไปพร้อมกับท่านนบี ซ.ล.  ในปีฮัจญ์ยีวะดาอ์ ซึ่งพวกเราบางคนก็กล่าวตัลบียะฮฺทำอุมเราะฮฺ และบางคนตัลบียะฮฺฮัจญ์และอุมเราะฮฺ และ บางคนตัลบียะฮฺฮัจญ์อย่างเดียว ส่วนท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ทำการตัลบียะฮฺฮัจญ์อย่างเดียว  อนึ่ง ผู้ที่ตัลบียะฮฺฮัจญ์หรือรวมฮัจญ์กับอุมเราะฮฺ เขาก็จะไม่ตะฮัลลุล จนกว่าจะถึงวันเชือด(คือวันอีด)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี 

และในรายงานหนึ่งของญาบิร ระบุว่า  ท่านนบี ซ.ล.  และสหายของท่านได้ตัลบียะฮฺฮัจญ์ แบบอิฟรอด

แบบที่ 2 ฅะมัตตุอ์[275]

จากอิบนิ อับบาส ร.ฎ.  มีผู้ถามเขาถึงเรื่อง ฮัจญ์ฅะมัตตุอ์ เขาก็ตอบว่า  บรรดาชาวมุฮาญิรินและชาวอันซอร และบรรดาภริยาของท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวตัลบียะฮฺในฮัจญ์วาดาอ์ และ พวกเราก็ทำการกล่าวตัลบียะฮฺด้วย ครั้นเมื่อเรามาถึงมักกะห์ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  จึงกล่าวว่า   พวกท่านจงเปลี่ยนตัลบียะฮฺฮัจญ์ของพวกท่านเป็นอุมเราะฮฺ ยกเวนผู้ที่สนสะพายอูฐกุรบานแล้ว จากนั้นพวกเราก็ทำการฏอวาฟบัยติลลาฮฺ และสะอาอ์ระหว่างซอฟากับมัรวะฮฺ และเราได้ เข้าหาภริยา และสวมเสื้อผ้าปกติ  และท่านนบีกล่าวว่า  ใครก็ตามที่สนสะพายอูฐกุรบานไว้แล้ว ก็จะไม่ฮาลาลสำหรับเขา จนกว่าอูฐกุรบานนั้นจะถึงที่เชือดของมัน  หลังจากนั้นท่านได้ ออกคำสั่งให้เราในตอนค่ำของวันติรวิยะฮฺ (วันที่ 8 ซุลฮิจญะฮฺ) ให้พวกเราทำการกล่าวตัลบียะฮฺ ฮัจญ์ ครั้นเมื่อพวกเราได้เสร็จสิ้นจากศาสนกิจฮัจญ์แล้ว เราก็มาทำการฏอวาฟที่บัยติลลาฮฺ และที่ซอฟากับมัรวะฮฺ ก็เป็นอันสมบูรณ์ฮัจญ์ของเรา และเรามีหน้าที่ต้องทำกุรบาน  อัลลอฮ์ โองการว่า  ดังนั้นผู้ใดทำอุมเราะฮฺให้ล้ำเข้าสู่ฮัจญ์(ฅะมัตตุอ์) ก็ให้เขาทำกุรบานเท่าที่เขาจะสะดวก แต่ถ้าใครไม่มีจะทำก็ให้ถือดีลอดสามวันในฮัจญ์ และอีกเจ็ดวันเมื่อท่านทั้งหลายกลับเมืองของพวกท่าน เพียงแพะหนึ่งตัวก็เป็นการเพียงพอ (โดยเชือดหลังจากอิหรอมทำฮัจญ์ในมักกะห์ หรือเชือดในวันนะฮัรหลังจากขว้างญุมเราะฮฺอากอบะฮฺ) แล้วพวกนั้นก็รวมทั้งสอง ศาสนพิธีในปีเดียวระหว่างฮัจญ์และอุมเราะฮฺ แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงประทานเรื่องนั้นลงในคำภีร์ของพระองค์ และนบีของพระองค์ได้วางแบบฉบับเอาไว้และได้อนุมัติให้ทำเช่นนั้นได้ สำหรับผู้มิใช่ชาวมักกะอุด้วย  อัลลอฮ์ทรงโองการว่า  นั้นเป็นการอนุมัติสำหรับผู้ที่มิได้อยู่บริเวณมณฑลแห่งมัสยิดหะรอม (คือชาวมักกะอุ)                     

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

จากอะบี ยัมเราะฮฺ อัคคุบะอี ร.ฎ. กล่าวว่าข้าพเจ้าทำฮัจญ์ตะมัตตุอ์ แต่มีผู้คนได้ห้ามข้าพเจ้า มิให้ทำเช่นนั้น ข้าพเจ้าจึงถามอิบนิ อับบาส เขาก็ใช้ให้ข้าพเจ้าทำหลังจากนั้น ข้าพเจ้าได้ออกมา ยังบัยติลลาฮฺ แล้วข้าพเจ้าก็นอนหลับ ข้าพเจ้าฝันว่ามีคนมาหาข้าพเจ้าแล้วสั่งว่า  เป็นอุมเราะฮฺ ที่ถูกตอบรับ และเป็นฮัจญ์ที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง  เขาเล่าต่อไปว่า จากนั้นข้าพเจ้าก็เข้าหาอิบนิ อับบาส แล้วบอกให้เขาทราบในสิ่งที่ข้าพเจ้าฝันเห็น เขาจึงกล่าวว่า  อัลลอฮุอักบัร  อัลลอฮุอักบัร นั้นเป็นแบบฉบับแห่งท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

บุคอรีได้เพิ่มเติมว่า  แล้วอิบนิ อับบาสก็กล่าวกับข้าพเจ้าว่า  ท่านจงอยู่กับฉันเถิด ฉันจะจัดทรัพย์สินบางส่วนของฉันให้แก่ท่าน  ข้าพเจ้าถามว่า  เพราะอะไร   เข้าตอบว่า เพราะ ความฝันทีท่านได้ฝันเห็นนั้นแหละ

จากอิมรอน บิน หุซอยน์ ร.ฎ.  กล่าวว่า  อายะฮฺเกี่ยวกับเรื่องพิธีฮัจญ์ตะมัตตุอ์ ถูกประทานในคัมภีร์แห่งอัลลอฮ์แล้วพวกเราก็ปฏิบัติพิธีนั้นร่วมกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  และกุรอานก็มิได้ออกกฎห้ามไว้ และท่านนบีก็มิได้ห้าม จนกระทั่งท่านสิ้นชีวิต

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

แบบที่ 3 อัลกิรอน[276]

จากอะนัส ร.ฎ.  กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ท่าละหมาดดุฮ์ริสี่รอกะอัต ที่มะดินะฮฺ และละหมาดอัศริ และสองรอกะอัตที่ซุลฮุลัยฟะฮฺ หลังจากนั้นท่านก็ค้างคืนที่นั้นจนกระทั่งถึงเช้า จากนั้นท่านก็ขึ้นขี่พาหนะ(ออกเดินทาง) จนกระทั่งอูฐของท่านได้นำท่านมาถึง อัลบัยดาอ์ ท่านจึงทำการสรรเสริญอัลลอฮ์ ท่านกล่าวตัสบีฮฺ และท่านกล่าวตักบีร หลังจากนั้นท่านก็เปล่งเสียงตัลบียะฮฺฮัจญ์และอุมเราะฮฺ โดยประชาชนก็ร่วมเปล่งเสียงตัลบียะฮฺฮัจญ์และอุมเราะฮฺด้วยครั้นเมื่อเราถึง(มักกะห์) ท่านรอซูลก็ใช้ให้ประชาชนท่าการตะฮัลลุล(ละจากพิธี) จนกระทั่งถึง วันตัรวิยะฮฺ พวกเขาก็ท่าการเปล่งเสียงตัลบียะฮฺฮัจญ์  ผู้รายงานเล่าว่า  และท่านนบี ซ.ล.  ได้ทำการเชือดอูฐกุรบาน ด้วยมือของท่านเองหลายตัว โดยพลางยืน และท่านเชือดแกะสองตัว ที่มะดินะห์ (หลังจากท่านกลับจากมักกะห์ เป็นการฉลองต้อนรับการมาถึง)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด และอะห์มัด

จากอะนัส ร.ฎ.  กล่าวว่า  ฉันไค้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ท่าการกล่าวตัลบียะฮฺฮัจญ์และอุมเราะฮฺรวมกัน โดยท่านกล่าวว่า  ข้าพเจ้าขอสนองตอบคำบัญชาของพระองค์ ทั่ง อุมเราะฮฺและฮัจญ์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

จากอุมัร ร.ฎ.  กล่าวว่า  ฉันไค้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ ล.  กล่าวขณะที่ท่านอยู่ที่วาดิล อะกีก ว่า  เมื่อคืนนั้นมีทูตจากพระเจ้าของฉันได้มาหาฉัน แล้วเขาได้บอกแก่ฉันว่า  ท่านจงทำละหมาดที่หุบเขานั้น และจงกล่าว(ตัลบียะฮฺ)อุมเราะฮฺในฮัจญ์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด และอะห์มัด

จากอาอีชะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  ผู้ใดมีสัตว์กุรบาน เขาก็จงกล่าวตัลบียะฮฺฮัจญ์และอุมเราะฮฺ หลังจากนั้นเขาไม่ต้องตะฮัลลุล จนกว่าจะตะฮัลลุล ออกจากทั้งสองนั้น พร้อมกัน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

จากมุตอรริฟ ร.ฎ.  กล่าวว่า  อิมรอน บิน หุซอยน์ ได้กล่าวว่า  ฉันจะบอกท่านสัก เรื่องหนึ่งหวังว่าอัลลอฮ์คงจะประทานคุณอนันต์แก่ท่านจากเรื่องนั้น นั้นคือ  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  รวมฮัจญ์กับอุมเราะฮฺเข้าด้วยกัน หลังจากนั้นท่านก็มิได้ห้ามการกระทำเช่นนั้น ตราบถึงท่านเสียชีวิต และไม่มีกุรอานโองการใดลงมาห้ามเลย  และฉันเองเคยได้รับการประสาทพร (จากมะลาอิกะห์ ขณะที่ฉันกำลังป่วยเป็นริดสีดวง) จนกระทั่งฉันไค้ใช้เหล็กไฟนาบ รักษาให้หาย ฉันก็ถูกทอดทิ้ง หลังจากนั้นฉันเว้นการนาบเหล็กไฟ เขาก็กลับมาหาอีก

จากญาบิร  ร.ฎ.  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ทำฮัจญ์พร้อมกับอุมเราะฮฺ โดยท่านทำฏอวาฟเดียว เพื่อทั้งสองพิธีนี้(พร้อมกัน)

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

การนำพิธีฮัจญ์เข้าสู่พิธีอุมเราะฮฺ

จากอาอิชะห์ ร.ฎ.  กล่าวว่า  พวกเราได้ออกเดินทางร่วมกับท่านนบี ซ.ล.  ในฮัจญ์วะ ดาอ์ (ฮัจญ์อำลา เป็นฮัจญ์ครั้งสุดท้ายก่อนท่านเสียชีวิต) ท่านได้กล่าวว่า  ผู้ใดปรารถนาจะเริ่มทำฮัจญ์กับอุมเราะฮฺควบกัน เขาก็จงทำเถิด  และผู้ใดปรารถนาจะเริ่มทำฮัจญ์อย่างเดียว เขาก็จงเริ่มทำเถิด  และผู้ใดปรารถนาจะเริ่มทำอุมเราะฮฺอย่างเดียว เขาก็จงเริ่มทำเถิดและท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้เริ่มทำฮัจญ์ และประชาชนก็เริ่มทำร่วมกับท่านด้วย และประชาชนบางส่วนทำพิธีทั้งสองพร้อมกัน และประชาชนบางส่วนก็ทำอุมเราะฮฺอย่างเดียว          และฉันเองเป็นหนึ่งในจำนวนที่เปล่งเสียงตัลบียะฮฺทำอุมเราะฮฺอย่างเดียว หลังจากนั้น (เมื่อเข้าสู่มักกะห์) ท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  ผู้ใดมีสัตว์กุรบาน เขาก็จงเริ่มกล่าวตัลบียะฮฺพิธีฮัจญ์พร้อมกับอุมเราะฮฺหลังจากนั้นเขาจะไม่ตะฮัลลุล จนกว่าเขาจะตะฮัลลุล ออกจากทั้งสองนั้นพร้อมกัน  ต่อมาฉันได้มาถึงมักกะห์ โดยฉันบังเอิญมีประจำเดือนพอดี ฉันจึงไม่ทำฏอวาฟบัยติลลาฮฺและไม่สะแอระหว่างซอฟากับมัรวะฮฺ จากนั้นฉันได้ร้องเรียนให้ท่านนบี ซ.ล.  ทราบเกี่ยวกับเรื่องนั้น ท่านจึงกล่าวว่า  เธอจงแก้ (ผมบน) ศีรษะของเธอ เธอจงหวีผม และจงเริ่ม อิหรอมฮัจญ์ โดยทิ้งอุมเราะฮฺเสีย  แล้วฉันก็กระทำ ตามคำสั่งนั้น ครั้นเมื่อพวกเราเสร็จพิธีฮัจญ์แล้ว ท่านนบี ซ ล. ก็ส่งตัวฉันพร้อมกับอับดุรเราะห์มาน บินอะบูบักร ไปยังตำบลตันอีม แล้วฉันก็ (ครองอิหรอม) ทำอุมเราะฮฺ จากนั้นท่านนบี กล่าวว่า  นี่แหละ สถานที่เริ่มทำอุมเราะฮฺของเธอ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

การค้างแรมที่ ซีฏุวา และเข้ามักกะฮฺตอนกลางวัน

จากนาฟิอ์ ร.ฎ.  เล่าว่า  อิบนิอุมัรจะไม่เข้าสู่มักกะห์ นอกจากเขาด้างแรมที่ซีฏุวา จนกระทั้งถึงเวลาเข้า และเขาอาบน้ำ หลังจากนั้นจึงจะเข้ามักกะห์ในเวลากลางวัน

และในกระแสรายงานหนึ่งระบุว่า  และเมื่อเขาออกจากมักกะห์ เขาจะผ่านที่ซีฏุวา และค้างคืนที่นั่นจนกระทั้งถึงเช้า และเขาระบุว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้กระทาเช่นนั้น

มีเพิ่มเติมในกระแสรายงานหนึ่งว่า และสถานที่ทำละหมาดของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  คือ บนเนินดินใหญ่ ซึ่งอยู่ต่ำกว่ามัสญิดที่ถูกสร้าง ณ ที่นั้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

จากอิบนิอุมัร ร.ฎ.  เล่าว่า  ท่านนบี ซ.ล.  ได้เข้า(มักกะห์) จากท่านด้านกะดาอ์จากทางด้านกะดาก็ จากช่องทางสูง ซึ่งอยู่ที่บัตทำอ์ และท่านจะออก(จากมักกะห์) จากช่องทางต่ำ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การฏอวาฟบัยติลลาฮฺ

อัลลอฮ์โองการว่า  และเราได้สัญญา(บัญชา) แก่อิบรอฮีม และอิสมาอีล ให้คนทั้งสองจงทำความสะอาดบ้านของเรา เพื่อบรรดาผู้มา ฏอวาฟ และบรรดาผู้อยู่อาศัย และบรรดา ผู้ทำรุกุอฺ ทำสุญูด

จากอาอิชะห์ ร.ฎ.  เล่าว่า  สิ่งแรกที่ท่านนบี ซ.ล.  กระทำเมื่อมาถึงมักกะห์ คือ การ อาบน้ำละหมาด หลังจากนั้นท่านก็ทำการฏอวาฟ บัยติลลาฮฺ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

จากอิบนิ อุมัร ร.ฎ.  กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  เมื่อทำการฏอวาฟในพิธีฮัจญ์ และอุมเราะฮฺ เป็นกิจวัตรแรกที่ท่านเดินทางมาถึงมักกะห์ ท่านจะทำการฏอวาฟ บัยติลลาฮฺแบบ วิ่งเหยาะสามรอบ หลังจากนั้น ท่านจะเดินฏอวาฟ ธรรมดาสี่รอบ เสร็จแล้วท่านจึงจะละหมาดสองรอกะอะฮฺ หลังจากนั้นท่านเดินวนระหว่างซอฟากับมัรวะฮฺ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และติรมิซีระบุว่า  เมื่อท่านนบี ซ.ล.  เดินทางมาถึงมักกะห์ ท่านก็เข้าไปในมัสญิด แล้ว ทำการทาบฝ่ามือทั้งสองไว้ที่หินดำ(อิสติลาม) หลังจากนั้นท่านจะเดินฏอวาฟต่อไปจากด้านขวาของท่าน (บัยตุลเลาะฮฺ อยู่ด้านซ้ายของท่าน) โดยท่านวิ่งเหยาะสามรอบและเดินธรรมดาสี่รอบ เสร็จแล้วท่านก็มาหยุดที่มะกอมอิบรอฮีม แล้วท่านก็กล่าวว่า  และท่านทั้งหลายจงยึดจากมะกอมอิบรอฮีมเป็นที่ละหมาดเถิด แล้วท่านก็ทำละหมาดสองรอกะอัต โดยมะกอมนั้นอยู่ระหว่างท่านกับบัยติลลาฮฺ หลังจากนั้นท่านก็มาที่หินดำ แล้วท่านก็อิสติลาม หลังจากนั้นท่าน จึงออกไปที่ซอฟา ฉันเข้าใจเอาว่า ท่านได้พูด (ถึงอัลกุรอานโองการที่ว่า ) แท้จริงซอฟาและ มัรวะฮฺ เป็นส่วนหนึ่งจากเอกลักษณ์แห่งอัลลอฮ์

และในกระแสรายงานหนึ่งระบุว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ ล.  เมื่อทำการฏอวาฟแรกมา ถึง ท่านจะวิ่งเหยาะสามรอบและเดินธรรมดาสี่รอบ

จากอิบนิ อับบาส ร.ฎ.  เล่าว่า  ท่านนบี ซ ล.  และสหายของท่านได้มาถึงมักกะห์ พวก มุชริกีนก็พูดกันว่า  เวลานี้มีคนกลุ่มหนึ่งเดินทางมาถึงพวกท่าน เพราะความป่วยไข้ของเมือง ยัธริฟได้ทำความบอบช้ำแก่พวกเขา ดังนั้นท่านนบี ซ.ล.  จึงได้ให้พวกซอฮาบะฮฺวิ่งเหยาะสามรอบ และให้เดินธรรมดาในช่วงระหว่างรูก่นทั้งสอง(ของบัยติลลาฮฺ) และมิได้ห้ามท่านไว้ต่อการที่ท่านจะใช้ให้พวกเขาวิ่งเหยาะในทุกๆ รอบ (เพราะเหตุอื่นใดเลย) นอกจากเพราะความ สงสารพวกเขา

และมีเพิ่มเติมในกระแสรายงานหนึ่ง  แล้วพวกมุชริกีนก็กล่าวว่า  นั่นแหละคือพวกที่ท่านทั้งหลายคิดว่าอาการไข้ได้ทำความบอบช้ำแก่พวกเขา ความจริงพวกเขาแข็งแรงยิ่งเสียกว่า ใครๆ เสียอีก

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอุมมิ สะละมะฮฺ ร.ฎ. เล่าว่า  ฉันได้ร้องทุกข์ต่อท่านนบี ซ ล.  ว่า ฉันกำลังป่วย  ท่านจึง กล่าวว่า เธอจงท่าการฏอวาฟโดยอยู่ข้างหลังผู้คนอื่นและให้เธอขี่พาหนะ  ดังนั้นฉันจึงทำการฏอวาฟ(ตามวิธีดังกล่าว) โดยมีท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ท่าละหมาด ณ จุดใกล้ขีดกับบัยติลลาฮฺ และ ท่านอ่าน วัตตูริ วะกิตาบินมัสตูรฺ

การอิสติลามหินดำและรูก่นทั้งสองและมุลตะซัม

จากอิบนิ อับบาส ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. กล่าวว่า  หินดำได้ลงมาจากสวรรค์ โดยที่มัน เป็นสีขาวจัดยิ่งกว่าน้ำนม แต่ต่อมาความผิดของมนุษย์ก็ไดัทำให้มันดำ

จากอิบนิ อับบาส  จากท่านนบี ซ.ล.  ท่านได้พูดไว้เกี่ยวกับเรื่องหินดำว่า  ข้าแต่อัลลอฮ์ อัลลอฮ์จะทรง ให้มันเกิดขึ้นมาอีกในโลกหน้า โดยให้มันมีดวงตาสองข้างที่มันใช้สมอง และมีลิ้นที่มันใช้พูดมันจะเป็นสักขีพยานให้แก่ผู้ที่เข้ามาอิสติลามกับมันตามความเป็นจริง

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

จากอุมัร[277] ร.ฎ.  เขาได้มาที่หินดำ แล้วท่านก็จูบมัน พร้อมกับพูดว่า  ข้ารู้ดีว่า เจ้าเป็น เพียงหินที่ไม่ให้โทษและไม่ให้คุณ และมาดแม้นข้าไม่เห็นท่านนบี ซ.ล.  จูบเจ้าแล้ว ข้าก็จะไม่จูบเจ้าอย่างเด็ดขาด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และอิบนิ อุมัรกล่าวว่า  ฉันไม่เคยเห็นท่านนบี ซ.ล.  ท่าการอิสติลามกับส่วนใดๆ จากบัยติลลาฮฺเลย นอกจากกับรูก่นทั้งสองที่อยู่ด้านยะมัน (คือมุมที่มีหินดำและมุมก่อนหน้านั้น เพราะทั้งสองมุมอยู่ตรงกับทิศไปเมืองยะมัน จึงเรียกว่า รูก่นยะมะนี)

ในกระแสรายงานหนึ่งระบุว่า  ท่านนบี ซ.ล.  ท่าการฏอวาฟในช่วงท่าฮัจญ์อำลาบนอูฐ ท่านทำการอิสติลามรูก่น ด้วยกับไม้เท้าหัวงอ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และในกระแสรายงานหนึ่งระบุว่าทุกครั้งที่ท่านนบีได้มาสูรูก่น(หินดำ) ท่านจะใช้สิ่งที่ มีอยู่ในมือของท่านชี้ไปทางนั้น และกล่าวตักบิร

จากอัมริบนิ ซุอัยบ์ ร.ฎ.  จากบิดาของเขากล่าวว่า  ฉันท่าการฏอวาฟพร้อมกับอับดุลเลาะฮฺ เขาได้ทำเรื่อยไป จนกระทั่งทำการอิสติลามหินดำ และเขาหยุดยืนอยู่ระหว่างรู่ก่นกับ ประตู โดยแนบ อก ใบหน้าแขน และฝ่ามือ ทั้งสองข้างไว้แบบนี้ และเขาได้กางมันทั้งสองออกเต็มที่ แล้วเขากล่าวว่า  ฉันเห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กระทำเช่นนี่แหละ

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอิบนุมายะห์

จากอับดิรเราะห์มาน บิน ซอฟวาน ร.ฎ.  กล่าวว่า  เมื่อคราวยึดมักกะห์ได้นั้น ฉันได้พูดว่า  ขอสาบาน ข้าพเจ้าจะสวมใสเสื้อผ้าของฉัน แล้วข้าพเจ้าจะคอยสังเกตว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ทำอย่างไรบ้าง จากนั้นฉันก็ไป จึงได้เห็นว่าท่านออกไปจากกะอ์บะฮฺแล้ว พร้อมกับบรรดาสหายของท่านและพวกเหล่านั้นได้ทำการอิสติลามบัยติลลาฮฺ จากด้านประตูจนถึงมุมหินดำ และพวกเขาได้แนบแก้มไว้บนบัยติลลาฮฺ โดยที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  อยู่ ท่ามกลางพวกเขา

รายงานโดย อะบูดาวุด

จากญาบิร  ร.ฎ.  กล่าวว่า  ท่านนบี ซ ล.  ได้อ่านในละหมาดฏอวาฟสองรอกะอัด ด้วย รอซูเราะฮฺอิคลาส กุลยาอัยยุฮัลกาฟิรูน และกุลฮุว้ลลอฮุอะหัด

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ติรมิซี และอะห์มัด

เงื่อนไขในการฏอวาฟ

จากอาอิชะห์ ร.ฎ.  กล่าวว่า  ฉันมาถึงมักกะห์ขณะที่ฉันกำลังมีระดูประจำเดือน และฉันไม่ได้ฏอวาฟที่บัยติลลาฮฺ และไม่ได้สะแอระหว่างซอฟากับมัรวะฮฺ ฉันจึงเรียนให้ท่าน นบี ซ.ล.  ทราบถึงเรื่องนั้น ท่านจึงกล่าวว่า  เธอจงกระทำทุกอย่างเหมือนที่ผู้ประกอบพิธี ฮัจญ์กระทำนั้นแหละ นอกจากเธออย่าทำการฏอวาฟบัยติลลาฮฺ จนกว่าเธอจะมีความสะอาด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

จากอะบี ฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ.  กล่าวว่า  อะบูบักรได้แต่งตั้งฉันในการประกอบพิธีฮัจญ์ ซึ่งท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้มอบให้เขามีอำนาจเต็ม(ในการทำขบวนฮุจญาจ) ก่อนถึงปีฮัจญ์ อำลาในวันเชือดกุรบาน ในคนกลุ่มหนึ่ง เขาประกาศให้ประชาชนทราบว่า หลังจากปีนี้ไปแล้ว ผู้ตั้งภาคีกับอัลลอฮ์จะไม่ได้มาทำฮัจญ์ และผู้เปลือยกาย จะไม่ได้มาฏอวาฟที่บัยติลลาฮฺ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี

อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  การฏอวาฟให้ทำรอบบัยติลลาฮฺ(มีเงื่อนไข) เหมือนการละหมาด ยกเว้นเพียงท่านทั้งหลายสามารถคุยกันได้ขณะทำพิธีนั้น ดังนั้นผู้ใด ปรารถนาจะคุย เขาก็อย่าคุยในเรื่องอื่นใด นอกจากเป็นเรื่องดีเท่านั้น

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และฮากีม

การสะอาระหว่างซอฟากับมัรวะฮฺ

จากอาซิม ร.ฎ.  กล่าวว่า  ฉันถามอะนัสว่า ท่านทั้งหลายชิงชังการสะแอระหว่าง ซอฟากับมัรวะฮฺหรือ   เขาตอบว่า ถูกแล้ว เพราะมันเป็นกิจกรรมอันเป็นเอกลักษณ์หนึ่ง ของพวกญาฮิลียะห์ จนกระทั่งอัลลอฮ์ได้ประทานโองการกุรอานลงมา ความว่า  แท้จริง ซอฟา และมัรวะฮฺเป็นหนึ่งจากเอกลักษณ์แห่งอัลลอฮ์ดังนั้นผู้ใดทำฮัจญ์ที่บัยตุลเลาะฮฺ หรือ ทำอุมเราะฮฺก็ตาม เขาย่อมไม่รับโทษ ในการที่เขาจะเดินวนกับมันทั้งสอง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

อุรวะฮฺ ร.ฎ.  เล่าว่า ฉันพูดกับอาอิชะห์ว่า  ตัวฉันเองคิดว่า ชายคนหนึ่งหากเขาไม่ได้ ทำการเดินจนรอบระหว่างซอฟาและมัรวะฮฺ ก็คงจะไม่เป็นโทษแก่เขา  นางจึงถามว่า  เพราะ อะไรเล่า ฉันตอบว่า  เพราะอัลลอฮ์ทรงโองการไว้ว่า  แท้จริงซอฟาและมัรวะฮฺเป็นหนึ่ง จากบรรดาเอกลักษณ์แห่งอัลลอฮ์ ดังนั้นผู้ใดประกอบพิธีฮัจญ์หรืออุมเราะฮฺ ก็ไม่เป็นโทษ แก่เขาที่เขาจะทำการเดินวนระหว่างสถานที่ทั้งสอง  อาอิชะห์กล่าวต่อไปว่า  อัลลอฮ์ไม่ให้ ฮัจญ์และอุมเราะฮฺของบุคคลหนึ่ง ที่ไม่เดินวนระหว่างซอฟากับมัรวะฮฺสมบูรณ์ได้ และหากเป็น เช่นที่ท่านพูด แน่นอนก็ไม่เป็นโทษแก่ชายผู้นั้น ที่เขาจะไม่ทำการเดินวนกับสถานที่ทั้งสอง และทำนทราบบ้างไหมในสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ทั้งนี้เพราะชาวอันซอรฺในยุคญาฮิลียะฮฺนั้น จะเริ่มพิธีฮัจญ์ด้วยการเปล่งเสียงถึงเทวรูปสองเทวรูปที่อยู่บนหาดชายทะเล ซึ่งเรียกเทวรูปทั้งสองว่า อีซาฟ และนาอิละฮฺ หลังจากนั้นพวกเขาจะออกมาจากเทวรูปทั้งสอง แล้วทำการเดิน (สะแอ-سَعَى) วนรอบระหว่างซอฟาและมัรวะฮฺ หลังจากนั้นพวกเขาก็โกนศีรษะ  ครั้นต่อมาเมื่อ อิสลามมาสู่พวกเขา พวกเขาจึงรังเกียจการเดินวนระหว่างสถานที่ทั้งสอง ดั่งที่พวกเขาเคยประพฤติ ในสมัยญาฮิลียะฮฺ  ต่อมาอัลลอฮ์จึงลงโองการมาว่า  แท้จริงซอฟาและมัรวะฮฺ เป็นหนึ่งจาก เอกลักษณ์แห่งอัลลอฮ์ จนจบอายะห์ ดังนั้น พวกเขาจึงหวนกลับไปเดินวนอีก

และในกระแสรายงานหนึ่งระบุว่า  อาอิชะห์ได้กล่าวกับเขา (อุรวะฮฺ) ว่า  ที่ท่านพูด นั้นช่างเลวร้ายนัก โอบุตรแห่งพี่น้องของฉัน เพราะท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เองทำการเดินวนระหว่างซอฟา มัรวะฮฺ และบรรดามุสลิมีนทั้งหลายก็เดินวนเช่นเดียวกัน ฉะนั้นมันจึงเป็นซุนนะห์ (แบบฉบับ)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และคำรายงานของบุคอรีระบุว่า  ที่จริง (อัลกุรอานโองการเรื่องซอฟา มัรวะฮฺตังกล่าว นั้น) ได้ถูกประทานมาให้ในพวกอันซอร ซึ่งพวกเขาใ นยุคก่อนอิสลามนั้น จะเริ่มพิธีฮัจญ์ด้วย การเปล่งเสียงเรียกเทวรูปมานาฮฺ อัตตอฆียะฮฺ ซึงพวกเขาเคยทำการกราบไหว้กันที่มุซัลลัล ผู้ใดทำการเริ่มพิธีด้วยการเปล่งเสียงเรียกเทวรูปนั้น เขาก็กลัวจะเกิดโทษในการเดินวนซอฟากับมัรวะฮฺ ครั้นเมื่อพวกเขาเป็นมุสลิม พวกเขาก็ซักถามท่านนบี ซ.ล.  ถึงกรณีเช่นนั้น อายะอุ ดังกล่าวจึงถูกประทานลงมา

อะบูบักรฺกล่าวว่า  ฉันได้ยินโองการนี้ลงมาในคนสองกลุ่ม ซึ่งทั้งสองกลุ่มนั้นอยู่ใน พวกญาฮิลียะฮฺ พวกเขารู้สึกเป็นโทษในการเดินวนที่ซอฟากับมัรวะฮฺ และอีกกลุ่มหนึ่งได้แก่ พวกที่เคยเดินวนรอบกับสถานที่ทั้งสองนั้นในสมัยญาฮิลิยะฮฺ แล้วต่อมาพวกเขาก็รูสึกเป็นโทษ ในการกระทำเช่นนั้นในยุคอิสลาม

จากอิบนิ อุมัร ร.ฎ.  กล่าวว่า  ท่านนบี ซ.ล.  ได้มาถึง (มักกะห์) แล้วท่านก็ทำการฏอวาฟบัยตลเลาะฮฺเจ็ดรอบ และทำนละหมาดเบื้องหลังของมะกอมอิบรอฮีมสองรอกะอัด และได้ ทำการฏอวาฟที่ซอฟา และมัรวะฮฺเจ็ดเที่ยว  และโดยแท้จริงในศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ย่อม มีแบบฉบับอันงดงามยิ่ง

ในกระแสรายงานหนึ่งระบุว่า  และทำนนบีได้ทำการสะแอที่บัดนิลซีล (สถานที่น้ำไหลมารวมกัน ซึ่งอยู่ติดกับมัสญิดฮะรอม) เมื่อท่านทำการฏอวาฟที่ซอฟาและมัรวะฮฺ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี 

และญาบิร  ร.ฎ.  กล่าวว่า  ท่านนบี ซ ล.  ได้มาถึงมักกะห์ แล้วท่านก็ทำการฏอวาฟบัยตุลเลาะฮฺเจ็ดรอบ และทำนกล่าวว่า  และพวกท่านทั้งหลายจงยึดเอามะกอมอิบรอฮีมเป็นที่ละหมาดเถิด แล้วท่านก็ทำการละหมาด ณ เบื้องหลังของมะกอมอิบรอฮีม หลังจากนั้นท่าน ก็มาที่หินดำ แล้วอิสติลาม แล้วท่านกล่าวอีกว่า  เราเริ่มกับสิ่งที่อัลเลาะฮฺทรงเริ่ม  จากนั้นท่านก็เริ่มการสะแอที่ซอฟา และทำนอ่านกุรอานว่า แท้จริงซอฟาและมัรวะฮฺ เป็นหนึ่งจากบรรดา สัญลักษณ์แห่งอัลลอฮ์

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และนะซาอี

บทรำลึกและขอพรในการฏอวาฟและสะอา

จากอาอิชะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ ล.  กล่าวว่า  แท้จริงการฏอวาฟได้ถูกบัญญัติให้กระทำ ที่บัยตุลเลาะฮฺและระหว่างซอฟาและมัรวะฮฺ และการขว้างเสาหิน เพื่อการกล่าวรำลึกถึง อัลลอฮ์ให้มากมาย

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และอะห์มัด

จากอับดุลเลาะฮฺ บินซาอิบ ร.ฎ.  กล่าวว่า  ฉันได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. กล่าวว่า ระหว่างรูก่นยะมานิ และหินดำความว่า โอ้องค์อภิบาลของเราโปรดประทานความดีงามแก่เราทั้ง ในโลกนี้และโลกหน้าด้วยเถิด

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด อะห์มัด และฮากีม

และรายงานของชาฟิอีระบุว่า  มีผู้ถามว่า โอ้เราะซูลุลลอฮ์   เราจะกล่าวอย่างไร เมื่อ เราอิสติลามบัยตุลเลาะฮฺ   ท่านตอบว่า  ท่านทั้งหลายจงกล่าวความว่า  ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ โดยศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเลื่อมใส แท้จริง ต่อสิ่งที่มุฮัมมัดนำมาประกาศ

และรายงานของมัซซาร ระบุว่า  ท่านนบี ซ ล.  กล่าวว่า  โอ้อัลลอฮ์ ข้าพเจ้าขอคุ้มครองต่อพระองค์ให้พ้นจากความสงสัย การตั้งภาคี การสับปลับ การแตกแยก และมารยาทอันเลวร้าย

และรายงานของอิบนิมายะห์ จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  ที่รูก่นยะมานิ มีมะลาอิกัต จำนวนเจ็ดสิบ ถูกมอบหมายให้รักษา ผู้ใดกล่าวความว่า  โอ้อัลลอฮ์ ข้าพเจ้าขอต่อพระองค์ ให้อภัย และให้มีความปลอดภัยทั้งในโลกนี้และโลกหน้า โอ้องค์อภิบาลของเรา โปรดประทาน ความดีงามแก่เรา ทั้งในโลกนี้และโลกหน้าและโปรดปกป้องข้าพเจ้าให้พ้นจากไฟนรกด้วยเถิด พวกมะลาอิกะห์เหล่านั้นจะตอบว่า  อามีน (โปรดสนองตอบเถิด)

และกระแสรายงานของอิบนิมายะฮฺเช่นกันระบุว่า  ผู้ใดทำการฏอวาฟบัยตุลเลาะฮุโดยรอบ โดยเขาไม่พูดว่าอะไรเลย นอกจากกล่าว ซุบฮานัลเลาะฮฺ อัลฮัมดุลิลลาฮุ ลาลิลาฮะอิลลัลเลาะฮฺ อัลลอฮุอักบัร วะลาเฮาละ วะลา กูวะตะ อิลลา บิลลาฮิลอะลียิลอะซีม  แน่นอนที่สุด เขา จะได้รับการลบล้างถึงสิบความเลวร้าย และได้รับการบันทึกให้ถึงสิบความดี พร้อมทั้งเขาได้รับการ ยกย่องถึงสิบตำแหน่ง

ผู้ประกอบฮัจญ์แบบกิรอน พอเพียงด้วยการฏอวาฟเดียว และสะอาเดียว

จากอิบนิอุมัร ร.ฎ.  กล่าวว่า  ฉันปฏิบัติเหมือนที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ปฏิบัติ ฉันขอยืนยันกับท่านทั้งหลายว่า ฉันได้เคยตั้งปณิธานไว้ว่าจะประกอบพิธีอุมเราะฮฺ  หลังจากฉัน เขา ก็ออกเดินทางจนกระทั่งเมื่อมาถึงบัยดาอ์ เขาก็กล่าวว่า  ฐานะของฮัจญ์และอุมเราะฮฺมิใช่แตก ต่างกัน นอกจากเป็นสิ่งเดียวกัน ฉันขอยืนยันกับท่านทั้งหลายว่า ฉันได้ตั้งปณิธานจะประกอบพิธี ฮัจญ์พร้อมกับอุมเราะฮฺของฉันครั้งนี้  และเขาได้เตรียมสัตว์พลีทาน ซึ่งเขาได้ซื้อมาจากกุคัยด์ เขาไม่ได้เชือดและไม่หะลาลจากสิ่งใดที่เป็นสิ่งหะรอม (กระทำ) และเขาไม่โกนศีรษะและไม่ ขลิบผม จนกระทั่งถึงวันเชือด แล้วเขาก็เชือดและโกนศีรษะ และเขามีความเห็นว่า เขาได้ปฏิบัติ ฮัจญ์และอุมเราะฮฺสมบูรณ์แล้ว เพียงด้วยการฏอวาฟครั้งแรกของเขา และเขายังกล่าวด้วยว่า  เช่นนี้แหละ ที่เราะซูลุลลอฮ์ ซ ล.  กระทำ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม 

ญาบิร  ร.ฎ.  กล่าวว่า  นบี ซ ล.  และบรรดาสหายของท่านจะไม่ทำการฏอวาฟระหว่าง ซอฟาและมัรวะฮฺ นอกจากทำเพียงฏอวาฟเดียวเท่านั้นคือ ฏอวาฟครั้งแรกของท่าน

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

จากอาอิชะห์ ร.ฎ.  กล่าวว่า  แล้วบรรดาพวกที่เคยเริ่มพิธีอุมเราะฮฺที่บัยตุลเลาะฮฺและระหว่างซอฟากับมัรวะฮฺ หลังจากนั้นก็ลาจากพิธี (ตะฮัลลุล) หลังจากนั้น พวกเขาก็ฏอวาฟอีก ครั้งหนึ่ง ภายหลังจากกลับจากมีนา และส่วนบรรดาพวกที่รวมฮัจญ์กับอุมเราะฮฺเข้าด้วยกัน ก็ ท่าฏอวาฟเพียงฏอวาฟเดียว

รายงานโดย บุคอรี

จากอาอิชะห์ ร.ฎ.  ท่านนบี ซ ล.  กล่าวกับนางว่า  การฏอวาฟของเธอที่บัยตุลเลาะฮฺและระหว่างซอฟากับมัรวะฮฺ ก็ทำความพอเพียงแก่เธอสำหรับพิธี ฮัจญ์และอุมเราะฮฺของเธอ

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

หญิงมีระดูและมีเลือดหลังคลอดบุตรให้ ปฏิบัติพิธีฮัจญ์ได้ทุกข้อ ยกเว้นการฏอวาฟ

จากอาอิชะห์ ร.ฎ.  กล่าวว่า  พวกเราได้ออกไปพร้อมกับท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  พวก เราไม่นึกถึงอะไรทั้งสิ้น นอกจากการทำฮัจญ์จนกระทั่งพวกเรามาถึงตำบล “สะริฟ” ฉันก็เกิด มีระดูประจำเดือนขึ้น ต่อมาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้เข้ามาหาฉัน ในขณะที่ฉันกำลังร้องไห้ ท่านจึงถามว่า  อะไรทำให้เธอร้องไห้    ฉันตอบว่า ข้าแต่อัลลอฮ์  ข้าพเจ้ารักที่จะไม่ออก (มาทำฮัจญ์) ในบีนี้อยู่แล้วเชียว (เมื่อออกมาก็ต้องประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน) ท่านนบีถามว่า  เธอคงมีระดูประจำเดือนกระมัง    ฉันตอบว่า  ถูกแล้ว   ท่านกล่าวต่อไปว่า สิ่งนี้เป็นสิ่ง ที่อัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดไว้แล้วแก่บรรดาเพศหญิงทุกคน เธอจงทำเถิด ในสิ่งที่ผู้ประกอบ ฮัจญ์กระทำโดยปกติ ยกเว้นเธออย่าได้ฏอวาฟที่บัยติลลาฮฺ จนกว่าเธอจะสะอาด  อาอิชะห์ เล่าต่อไปว่า  ครั้นเมื่อเรามาถึงมักกะห์ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ก็กล่าวกับบรรดาสหายของท่านว่า  ท่านทั้งหลายทำมันเป็นอุมเราะฮฺเสียเถิด ดังนั้นผู้คนก็พากันเลิกพิธี (ตะฮัลลุล หลังจากท่า อุมเราะฮฺแล้ว) ยกเว้นผู้ที่มีสัตว์กุรบาน  อาอิชะห์แจ้งว่า สัตว์กุรบานนั้นมีอยู่ที่ นบี ซ ล.  อะบีบักรฺ อุมัร และบรรดาคนมีฐานะดี ๆ (เช่น ตอลฮะห์ บิน อุบัย ติลลาห์ เป็นต้น) หลัง จากนั้นพวกเขาก็เริ่มต้นพิธีฮัจญ์ เมื่อพวกเขาออกเดินทาง (ไปสู่อะระฟาต) อาอิชะห์เล่าว่า ครั้นเมื่อถึงวันเชือดกุรบาน ฉันก็สะอาดหมดประจำเดือน ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  จึงใช้ให้ ฉันทำการฏอวาฟอิฟาเดาะห์  นางเล่าว่า  ได้มีผู้นำเนื้อวัวมามอบให้เรา  ฉันจึงถามว่า นี้อะไร   พวกเขาตอบว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ทำการเชือดกุรบานวัวแผ่กุศลให้แก่บรรดาภริยา ของท่าน ครั้นเมื่อถึงคืนที่นอนค้างที่ฮัซบะห์ ฉันก็ถามว่า  โอท่านเราะซูลุลลอฮ์ คนอื่นๆ เขากลับบ้านโดยได้ทั้งฮัจญ์และอุมเราะฮฺ แต่ข้าพเจ้าได้แต่ฮัจญ์อย่างเดียว    นางเล่าว่า  ดังนั้นท่าน นบีจึงมีคำสั่งแก่อับดุรเราะหมาน บินอะบีบักร นำฉันนั่งซ้อนท้ายบนอูฐของเขา จนมาถึงตันอีม แล้วฉันก็เริ่มพิธีอุมเราะฮฺที่นั้น เพื่อจะได้เท่าเทียมกันกับอุมเราะฮฺของคนอื่นๆ ที่ได้ประกอบกัน (และตันอีม เป็นสถานที่หนึ่งที่ใกล้ที่สุด ซึ่งอยู่ในแผ่นดินหะลาลอันใกล้กับแผ่นดินหะรอมที่สุด)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การเดินทางสู่อะระฟาต และทุกส่วนของมันเป็นที่วุกุฟทั้งสิ้น

จากอะนัส ร.ฎ.  เล่าว่า  เขาถูกถามในขณะที่เขาเดินทางจากมีนาไปยังอะระฟาตว่า พวกท่านทำอย่างไรบ้างในวันนี้พร้อมกับท่านนบี ซ.ล.  เขาตอบว่า  พวกเราบางคนกล่าว ตะฮฺลีล ก็ไม่มีใครคัดค้าน และบางคนกล่าวตักบีร ก็ไม่มีใครคัดค้านเช่นเดียวกัน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี 

จากญาบิร  ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  ฉันทำการเชือด ณ ที่นี้ และสถานที่มีนาทั้งหมด เป็นที่เชือด ดังนั้นท่านทั้งหลายจงเชือดกุรบาน ในขบวนเดินทางของพวกท่านเถิด แล้วฉันวุกุฟ ณ ที่นี้ และอะระฟาตทุกส่วน เป็นที่วุกุฟทั้งหมด และฉันวุกุฟ ณ ที่นี้ และ มุชดะลิฟะห์ทั้งหมด ก็เป็นที่วุกุฟเช่นเดียวกัน

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

จากยะซีด บิน ซัยบาน ร.ฎ.  กล่าวว่า. อิบนุ มุรฟิอ์ อันซอรี ได้มาหาเรา ในขณะนั้น เรากำลังวุกุฟที่อะระฟาต ในสถานที่ซึ่งห่างไกลจากอีหม่าม (คือท่านนบี ซ.ล.  ในสมัยหลังได้แก่ผู้นำฮัจญ์) แล้วเขาได้กล่าวว่า  ฉันเป็นตัวแทนจากท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ ล.  มายังพวกท่าน ท่านได้สั่งมายังท่านทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายจงวุกุฟ ณ ที่อันแสดงเอกลักษณ์ดั้งเดิมของพวกท่าน เพราะพวกท่านต้องเจริญรอยตามบิดาแห่งพวกท่าน คือ นบีอิบรอฮีม

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอาอิชะฮฺ ร.ฎ.  กล่าวว่า  ชาวกุรอยช์และผู้ที่นับถือศาสนาของพวกเขา ต่างก็ทำ การวุกุฟที่มุซดะลิฟะฮฺ และบรรดาพวกเหล่านั้นต่างได้รับการลือนามในความกล้าหาญ ส่วน อาหรับอื่นๆ ทั้งหลายพากันวุกุฟที่มุซดะลิฟะฮฺ ครั้นเมื่ออิสลามได้มาแล้ว อัลลอฮ์ ซ.บ. ก็มีบัญชาแก่นบีของพระองค์ให้มาที่อะระฟาต แล้วให้วุกุฟที่นั่น ต่อจากนั้นให้ถอนตัวออกไป นั่นเป็นพระบัญญัติของอัลลอฮ์ที่ว่า  หลังจากนั้นท่านทั้งหลายจงถอนตัวออก (จากอะระฟาตไป ยังมุชตะลิฟะฮฺ มัชอะริลฮะรอม และมีนา) ตามที่ผู้คนทั้งหลายได้ออกกันไป

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

บทขอพรในวันอะระฟาต

จากอัมริน บิน ซุอัยบี จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า บทขอพรที่ดีเลิศที่สุด คือบทขอพรที่อ่านในวันอะระฟาต

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และอะห์มัด

อุซามะฮฺ บิน ซัยด์ ร.ฎ.  กล่าวว่า  ฉันนั่งอยู่ข้างหลังซ้อนท้ายพาหนะท่านนบี ซ ล.  ที่อะระฟาต แล้วท่านนบีก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเพื่อขอพร ฝ่ายอูฐของท่านมันได้นำท่านเอนตัว ไม่ตรง จนบังเหียนของมันได้ร่วงตกลงไป ท่านจึงใช้มือข้างหนึ่งคว้ามันไว้ โดยมืออีกข้างหนึ่ง ท่านก็ยกมันไว้ (อย่างเดิม)

รายงานหะดีษโดย นะซาอี

ฮัจญ์จะไร้ ผล หากไม่วุกุฟอะระฟาต

จากอับดุรเราะห์มาน บิน ยะอ์มัร อัตตัยลี ร.ฎ.  เล่าว่า  ฉันได้มาหาท่านนบี ซ.ล.  ในขณะที่ท่านอยู่ที่อะระฟาต ต่อมามีคนกลุ่มหนึ่งจากชาวฉัจดิได้มา แล้วพวกเขาได้ใช้ให้ชายคนหนึ่ง ทำการร้องเรียนต่อท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ว่า  ฮัจญ์นั้นคืออย่างไร   ท่านนบี ซ.ล.  จึงใช้ชายผู้หนึ่งให้ทำการประกาศในหมู่ประชาชนว่า  ฮัจญ์นั้น ฮัจญ์นั้น คือ วันอะระฟาต ผู้ ใดมาก่อนการละหมาดซุบฮิของคำแห่งการชุมนุม ฮัจญ์ของเขาก็สมบูรณ์  วันวุกุฟที่มีนา มีสาม ผู้ใดรีบ (ผละ) ในสองวัน ก็ไม่เป็นบาปแก่เขา และผู้ใดล่า (จนครบทั้งสามวัน) ก็ไม่เป็นบาปแก่เขา

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอุรวะฮฺ บิน มุด๊อรฺริส อัตตออี ร.ฎ.  กล่าวว่า  ฉันได้มาหาท่านนบี ซ ล.  ที่มุชดะลิฟะฮฺ ฉันถามว่า  โอ้เราะซูลุลลอฮ์ ข้าพเจ้ามาจากสองภูเขาตอยยิอ์ ข้าพเจ้าเหน็ดเหนื่อยและอ่อนเพลียอย่างยิ่ง ขอสาบานกับอัลลอฮ์ ข้าพเจ้าไม่ทิ้งเนินทรายใดๆ ไว้ นอกจากข้าพเจ้าได้ หยุดพักอยู่กับมัน แล้วข้าพเจ้าจะได้ฮัจญ์หรือ    ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ตอบว่า ผู้ใดมาทันกับพวกเราในการละหมาด (ซุบฮ์) นี้ และมาที่อะระฟาตก่อนเวลาละหมาดนั้น ในตอนกลางคืนหรือตอนกลางวันก็ตาม ฮัจญีของเขาสมบูรณ์ และเขาได้ปฏิบัติสำเร็จลุล่วงแน่นอน

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การเคลื่อนขบวนจากอะระฟาตไปที่มุสดะลิฟะฮฺและให้ค้างแรมที่นั่น

อัลลอฮ์ทรงบัญญัติไว้ว่า  ครั้นเมื่อท่านทั้งหลายได้เคลื่อนย้ายออกจากอะรอฟาตแล้ว ท่านทั้งหลายก็จงกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮ์ ณ มัชอะริลฮะรอมเถิด

จากอุรวะฮฺ ร.ฎ.  กล่าวว่า  มีผู้ถามอะนัสโดยฉันนั่งอยู่ด้วยว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ ล. เดินทางอย่างไรในการท่าฮัจญีอำลา เมื่อท่านเคลื่อนจากอะระฟาต เขาตอบว่า ท่านนบี เดินอย่างปานกลาง ครั้นเมื่อท่านพบกับทางเรียบโล่ง ท่านก็สั่งให้เดินเร็ว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

จากอิบบิ อับบาส  ร.ฎ.  เขาได้เคลื่อนย้ายจากอะระฟาตมาพร้อมกับท่านนบี ซ.ล.  ใน วันอะระฟาต และท่านนบี ซ.ล.  ก็ได้ยินเสียงการขับไล่อย่างรุนแรง เสียงตี และเสียงร้องของอูฐ ท่านนบีจึงใช้แส้ของท่านชี้ไปยังพวกเขา และสอนว่า ประชาชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงเดินอย่างสงบ เพราะกุศลธรรมมิใช่เถิดขึ้นด้วยความรีบร้อน

รายงานโดย มุคอรี อะบูดาวูด

อุซามะฮฺ บิน ซัยด์ กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคลื่อนออกจากอะระฟาต จน เมื่อท่านมาถึงทางช่องเขา ท่านก็หยุดลงพัก แล้วท่านก็ปัสสาวะ หลังจากนั้นท่านอาบน้ำละหมาด แต่ท่านไม่ได้ทำอย่างสมบูรณ์ (คงกระทำเท่าที่เป็นรูก่นเท่านั้น)  ฉันจึงถามท่านว่า  ท่านจะละหมาดหรือ    ท่านตอบว่า  การละหมาดยังอยู่ข้างหน้าท่าน  จากนั้นท่านก็ขี่พาหนะ (เดิน ทางต่อ) ครั้นเมื่อท่านมาถึงมุซดะลิฟะฮฺ ท่านก็ลงจากพาหนะ แล้วอาบน้ำละหมาดโดยทำอย่างครบ สมบูรณ์ จากนั้นได้มีผู้อิกกอมะฮฺละหมาด แล้วท่านก็ทำละหมาดมักริบ  หลังจากนั้นทุกคน (ที่ร่วมในขบวนฮัจญ์) ต่างก็บังคับอูฐให้หมอบลงในที่พักของแต่ละคน หลังจากนั้นก็มีการอิกอมะฮฺ ละหมาดอิชาอ์ ซึ่งท่านนบีก็ทำละหมาดนั้น โดยท่านมิได้ทำละหมาดอื่นใดระหว่างทั้งสอง ละหมาดนั้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

อิบนุ มัสอูดกล่าวว่า  ฉันไม่เคยเห็นท่านรอซูลุลเลาะฮฺ ซ ล.  ทำละหมาดใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากท่านต้องท่าตามเวลาของมันเสมอ ยกเว้นสองละหมาด คือ ละหมาดมักริบกับอิชาอ์ และทำนได้ท่าละหมาดซุบฮิในวันนั้นก่อนถึงเวลาของมัน (ที่ท่านเคยทำเป็นประจำ โดยท่าน จะเริ่มทำทันทีเมื่อเข้าเวลา)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

อะลี ร.ฎ.  กล่าวว่า  ท่านนบี ซ.ล.  ได้เวลาเช้าโดยที่ท่านได้วุกุฟที่กุชะฮ์ (ซึ่งเป็นภูเขา ลูกหนึ่งในเขตมุชดะลิฟะฮฺ) แล้วท่านก็กล่าวว่า นี่คือกุซะฮ์ มันเป็นที่วุกุฟเหมือนกัน และมุซดะลิฟะฮฺทุกส่วนที่วุกุฟได้ทั้งสิ้น

รานงานโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

อับรุบ นุมัยมูน กล่าวว่า  ฉันได้เห็นอุมัร ร.ฎ.  ทำการละหมาดซุบฮ์ที่มุซดะลิฟะฮฺ หลัง จากฉันทำนก็กล่าวว่า  แท้จริงพวกมุชริกีนนั้น จะไม่เคลื่อนออกจากมุซดะลิฟะฮฺจนกว่าตะวันจะขึ้น และพวกเขาพูดว่า  โอ้ภูเขาสะบีร จงว่างเถิด   แต่ท่านนบี ซ.ล.  ได้กระทำผิดแผก ไปจากพวกนั้น หลังจากฉันทำนก็เคลื่อนออกจากมุซดะลิฟะฮฺก่อนตะวันจะขึ้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด

ผู้ไร้สมรรถภาพมาที่มีนา

จากอาอิชะห์ ร.ฎ.  กล่าวว่า  เซาดะฮฺเป็นหญิงที่มีร่างกายอ้วนท้วนและอุ้ยอ้าย (เดินช้า) นางจงขออนุญาตต่อท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ ล.  เพื่อขอเคลื่อนจากมุซดะลิฟะฮฺในตอนกลางคืน ท่านก็อนุญาตให้แก่นาง  อาอิชะห์เล่าว่า  ที่จริงฉันเองก็น่าจะขออนุญาตต่อท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  เหมือนเช่นเซาดะฮฺได้ขออนุญาตไว้

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

อิบนุ อับบาส  ร.ฎ.  กล่าวว่า  ฉันเป็นคนหนึ่งจากพวกที่ท่านนบี ซ ล.  ได้อนุญาตให้ ล่วงหน้าไปก่อน ในคืนมุซดะลิฟะฮฺ ในกลุ่มผู้อ่อนแอของครอบครัวของท่าน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และติรมิซีและอะบูดาวูดเพิ่มเติมว่า และทำนนบีได้สั่งพวกฉันไว้ว่า  พวกท่านอย่าเพิ่งขว้างเสาหินจนกว่าตะวันจะขึ้นเสียก่อน

การค้างแรมที่มีนา ในวันอีดและวันตัชรีก

จากอาอิซะอฺ ร.ฎ.  กล่าวว่า  พวกเราได้ถามว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ พวกเราจะก่อบ้าน ให้ท่านสักหลังเพื่อกำบังร่มให้แก่ท่านที่มีนาได้ไหม ท่านตอบว่า ไม่  มีนาเป็นที่สำหรับการพักของคนที่มาถึงก่อน

รายทนโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

และมีชายคนหนึ่งจากซอฮาบะฮฺกล่าวว่า  ท่านนบี ซ.ล.  ได้แสดงสุนทโรวาทแก่ประชาชน ที่มีนา    และทำนได้กำหนดที่พักให้แก่พวกเขาโดยท่านพูดว่า  พวกมุฮาญิรีนให้ลงพักตรงนี้ และทำนก็ชี้ไปทางด้านขวาของกิบละห์ และพวกอันซอรให้ลงพักตรงนี้ และทำนได้ชี้ไปทางซ้ายของกิบละห์ หลังจากฉันประชาชนก็ลงพักกันรอบพวกเขา

จากอับดิลลาฮฺ บิน กุลดิน  ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ ล.  กล่าวว่า  วันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ณ อัลลอฮ์ ได้แก่วันเชือดกุรบาน ถัดไปได้แก่วันถัดจากวันนั้น

รายทนโดย อะบูดาวูด

จากอิบนิ อุมัร ร.ฎ.  เล่าว่า อับบาส ร.ฎ.  ได้ขออนุญาตต่อท่านนบี ซ ล.  เพื่อค้างคืน (มะเบต- مَبَيْت) ที่มักกะห์ ในช่วงกลางคืนที่ต้องพักที่มีนา ทั้งนี้เนื่องจากเขาต้องทำหน้าที่บริการน้ำ ซึ่งท่านนบีก็อนุญาตให้เขา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี 

การขว้างเสา อัลอะกอบะฮ (ต้นใหญ่ ต้นที่สาม)

จากอับดิรเราะห์มาน บินยะซีด ร.ฎ.  เขาได้ทำฮัจญ์พร้อมกับอิบนิ มัสอูด แล้วเขาสิเห็น อิบนิ มัสอูดขว้าง “ยัมเราะฮุ อะกอบะฮฺ” เจ็ดก้อนลูกหิน โดยเขาหันซ้ายให้บัยติลลาฮฺ และมีนาอยู่ ทางขวามือของเขา หลังจากนั้นเขาก็กล่าวว่า  นี่เป็นสถานที่ยืน (ขว้างลูกกรวด) ของผู้ที่อัลกุรอาน โองการอัลบะกอเราะฮุถูกลงมาใหัเขา (ได้แก่นบีมุฮัมมัด)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

ญาบิร  ร.ฎ.  กล่าวว่า  ฉันได้เห็นท่านนบี ซ.ล.  ขว้างในวันเชือดกุรบาน โดยท่านอยู่ บนพาหนะของท่าน และทำนกล่าวว่า “ท่านทั้งหลาย จงเอาแบบพิธีฮัจญ์ของพวกท่าน (จากฉันให้ ตรงกับที่ท่าแบบไว้) เพราะตัวฉันเองไม่รู้หรอก บางที่ฉันอาจไม่มี โอกาสมาทำฮัจญ์ได้อีก หลังจาก การทำฮัจญ์ครั้งนี้ของฉัน

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด และอะห์มัด

จากญาบิร  ร.ฎ. เล่าว่า    ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ ล.  ได้ขว้างเสาหินในวันเชือดกุรบาน ในตอนสาย และส่วน (การขว้างเสาอื่นๆ) หลังจากนั้น ท่านขว้างเมื่อตะวันบ่ายไปแล้ว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และกุดามะฮฺ บินอับดุลเลาะฮฺ กล่าวว่า  ฉันเห็นท่านนบี ซ ล.  ขว้างเสาหินบนอูฐ โดยมิได้ตีมิได้ไล่ (ผู้คนออกให้พ้นทางของท่าน) และมิได้ส่งให้คนอื่นหลีกทางให้ท่าน (ท่าน คงเข้าร่วมกับผู้คนอื่นๆ แบบคนธรรมดาทั่วไปนั้นเอง)

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และนะซาอี

ตะฮัลลุลแรก

จากอาอิชะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  เมื่อคนใดของท่านทั้งหลายได้ขว้าง “ยัมเราะฮฺอะกอบะฮฺ” ก็เป็นที่อนุมัติแก่เขาในทุกๆ สิ่ง (ที่เคยห้ามไว้ขณะประกอบพิธีฮัจญ์) ยกเว้นเรื่องผู้หญิงอย่างเดียว (ที่คงห้ามอยู่)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

จากอะนัส ร.ฎ.  เล่าว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้มามีนา แล้วท่านก็มาที่เสาหินแล้วขว้างมัน หลังจากนั้นท่านก็มาที่ที่พักของท่าน ณ ที่มีนา และทำนได้เชือดกุรบาน หลังจากนั้นท่านได้ กล่าวแก่ช่างโกนผมว่า จงเอา (คือสั่งให้โกน)  และทำนชี้มาที่ซีกขวาของท่าน (ให้โกน) ก่อน หลังจากนั้นก็ซีกซ้าย หลังจากนั้นท่านก็จัดการแบ่งปันเส้นผมของท่านให้แก่ผู้คนทั้งหลาย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

จากอาอิชะห์ ร.ฎ.  กล่าวว่า  ฉันประพรมเครื่องหอมให้แก่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ ล.  ก่อนหน้าที่ ท่านจะครองอิหรอม และ (ประพรม) ในวันเชือดกุรบาน ก่อนที่ท่านจะทำการฏอวาฟที่บัยติลลาฮฺ ด้วยเครื่องหอมที่เจือด้วยชมดเชียง

รายงานโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี 

การเชือดกุรบาน

อัลลอฮ์โองการว่า  “เพื่อพวกเขาจะได้ประจักษ์ถึงคุณานุคุณอันพึงบังเกิดแก่พวกเขาเอง และพวกเขาจะได้รำลึกถึงพระนามแห่งอัลลอฮ์ในวันที่ถูกกำหนดไว้ตายตัว (ในช่วงทำฮัจญ์) เนื่องเพราะโชคผลที่พระองค์ได้ทรงประทานแก่พวกเขา อันได้แก่ปศุสัตว์ (ที่นำมาเชือดกุรบาน) ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงบริโภคบางส่วนของมันเถิด และจงให้ทานเป็นอาหารแก่ผู้เดือดร้อนผู้ยากจน หลังจากนั้นพวกเขาก็จงขจัดความสกปรกให้สิ้น และจงทำไปตามที่บนไว้ และจงฏอวาฟบัยตุลเลาะฮฺ

จากญาบิร  ร.ฎ.  กล่าวว่า  เราได้เชือดกุรบานพร้อมกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ ล.  ในปี “หุดัยบียะฮฺ” อูฐหนึ่งตัวต่อเจ็ดคนและวัวหนึ่งตัวต่อเจ็ดคนเช่นเดียวกัน

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

และในกระแสรายงานหนึ่งเล่าว่า  พวกเราได้ออกไปพร้อมกับเราะซูลุลลอฮ์ ซ ล.  โดยเปล่งเสียงเริ่มพิธีฮัจญ์ โดยท่านได้ใช้พวกเราให้หุ้นกันในอูฐและวัว พวกเราเจ็ดคนต่ออูฐ 1 ตัว

และในกระแสรายงานอื่นระบุว่า  พวกเราร่วมหุ้นกันกับท่านนบี ซ ล.  ในการทำฮัจญ์ และอุมเราะฮฺเจ็ดคนในอูฐหนึ่งตัว

อิบนุอับบาส  ร.ฎ. กล่าวว่า  พวกเราได้ร่วมกับท่านนบี ซ.ล.  ในการเดินทางครั้งหนึ่ง ต่อมาถึงเวลาสาย (ซึ่งเช้าเวลาเชือดกุรบาน) พวกเราจึงร่วมหุ้นกันในวัวตัวหนึ่งต่อเจ็ดคน และ ในอูฐหนึ่งตัวต่อสิบคน

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และนะซาอี

จากอิบนิ อุมัร ร.ฎ.  เล่าว่า เขาได้เห็นชายคนหนึ่งเชือดอูฐของเขาโดยมันคู้เข่าลง เขาจึงบอกว่า ท่านจงให้มันลุกขึ้นยืน โดยมัดเท้าข้างซ้ายไว้ นี้เป็นแบบฉบับของมุฮัมมัด ซ.ล.  

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี 

และรายงานของบุคอรีระบุว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้เชือดอูฐเจ็ดตัวด้วยมือ ของท่านเอง โดยให้มันยืน

เนื้อกุรบานให้ทำทานบางส่วนและให้บริโภคบางส่วน

จากอะลี ร.ฎ.  กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้มีคำสั่งให้ฉันยืนอูฐขึ้น (ขณะทำการเชือด) และให้ฉันทำเนื้อของมัน หนังของมัน และอุปกรณ์บนหลังของมัน และห้ามมิให้ฉันมอบส่วนใดของมันแก่ช่างเชือด ท่านกล่าวว่า  เราจะให้เขาจากที่มีอยู่ที่เราเอง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี 

ญาบิร  ร.ฎ.  กล่าวว่า  พวกเราไม่บริโภคเนื้อกุรบานของเราเกินกว่าสามวันที่มีนา ครั้น ต่อมาท่านนบี ซ ล.  ก็ผ่อนผันให้พวกเรา (บริโภคได้) โดยท่านสั่งว่า  ท่านทั้งหลายจงบริโภค และจงทำเสบียง พวกเราจึงบริโภค และทำเสบียง

อิบนุ อุมัร ร.ฎ.  กล่าวว่า  ไม่มีใครรับประทานสัตว์เชือดทดแทนการล่าสัตว์ และที่บนไว้ แต่สิ่งนอกจากนั้นมีการบริโภคกัน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

การโกนผมหรือขลิบผม

อัลเลาะห์ทรงโองการว่า  “สูเจ้าทั้งหลายจะได้เข้าสู่มัสญิดหะรอมอย่างแน่นอน หากอัลเลาะห์ทรงประสงค์อย่างปลอดภัย โดยโกนผมและขลิบสั้น โดยพวกเจ้าไม่รู้สึกหวาดกลัวใดๆ ที่จริงพระองค์ทรงรอบรู้ ในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้  แล้วพระองค์ทรงบันดาลผลสำเร็จในการยึด มักกะห์ได้ในเวลาต่อมา”

จากอิบนิ อุมัร ร.ฎ.  เล่าว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ ล.  กล่าวว่า. โอ้อัลเลาะห์ โปรดเมตตา แก่บรรดาผู้โกนผมเถิด  พวกซอฮาบะห์กล่าวถามว่า และบรรดาผู้ขลิบผมเล่า โอ้เราะซูลุลลอฮ์   ท่านตอบว่า  โอ้อัลเลาะห์ โปรดเมตตาบรรดาผู้โกนผมเถิด  พวกเขาถามว่า และบรรดาผู้ขลิบผม เล่า โอ้เราะซูลุลลอฮ์ ท่านกล่าวว่า  ใช่ และบรรดาผู้ขลิบผมด้วย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

อะนัส ร.ฎ.  กล่าวว่า  เมื่อท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ขว้างเสาหินและเชือดกุรบานแล้ว ท่านก็ยื่นศีรษะต้านขวาแก่ช่างโกนผม เขาก็จัดการโกนผมท่าน แล้วท่านได้มอบเส้นผมให้แก่ อะบูตอลฮะห์ หลังจากนั้น ท่านก็ยื่นศีรษะด้านซ้ายแก่ช่างโกนผม เขาก็จัดการโกนผมของท่าน แล้วท่านก็ให้เส้นผมแก่อะบูตอลฮะห์ พร้อมทั้งท่านได้สั่งว่า  ท่านจงเอาไปแบ่งกันในระหว่าง ประชาชนทั้งหลาย

และในกระแสรายงานหนึ่งระบุว่า แล้วอะบูตอลฮะห์ก็จัดการแจกจ่ายเส้นผมนั้นคนละเส้นสองเส้น ระหว่างผู้คนทั้งหลาย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

จากอิบนิ อับบาส ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  ไม่เป็นการบังคับแก่สตรีในการ โกนผม ความจริงสตรีให้กระทำเพียงขลิบผมก็พอ

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และดารอกุตนี

จากอิบนิ อับบาส ร.ฎ.  กล่าวว่า  มีชายคนหนึ่งรายงานต่อท่านนบี ซ ล.  ว่า ข้าพเจ้า ได้ทำการฏอวาฟก่อนที่ข้าพเจ้าจะขว้างเสาหิน (จะเป็นอย่างไร)  ท่านตอบว่า  ไม่เป็นไร

และในกระแสรายงานหนึ่งระบุว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ยืนอยู่ ณ มีนา ในช่วงพิธีฮัจญ์อำลา เพื่อให้ประชาชนซักถามท่าน ก็มีชายผู้หนึ่งพูดขึ้นว่า  ข้าพเจ้าไม่ทราบ ข้าพเจ้าจึงเชือดกุรบานก่อนขว้างเสาหิน  ท่านจึงสั่งว่า  ท่านจงขว้างเสาหิน (ใหม่) และไม่เป็นบาป ในวันนั้นไม่ว่ามีปัญหาใดก็ตามที่ท่านถูกถาม เรื่องทำก่อนทำหลัง นอกจากท่านตอบว่า  ท่านจงทำเถิด และไม่เป็นบาป

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

ธรรมเทศนาในวันเชือดกุรบาน

จากรอฟิอ์ บินอัมริน อัลมุซะนี  ร.ฎ.  กล่าวว่า ฉันเห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  แสดง ธรรมเทศนาแก่ประชาชนที่มีนา เมื่อเวลาดุฮา (สาย) ได้สูงขึ้นแล้ว โดยท่านยังอยู่บนล่อตัวหนึ่งมีสีคล้ำดำขาว และอะลี ร.ฎ.  คอยพูดทบทวนคำพูดของท่าน (เพื่อให้ได้ยินกันทั่วๆ โดย อะลียืน อยู่ตรงจุดเกือบลดเสียงของท่าน) โดยประชาชนมีทั้งยืนและนั่ง

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี 

จากอิบหิอับบาล ร.ฎ.  เล่าว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  แสดงธรรมเทศนาแก่ประชาชน ในวันเชือดกุรบาน โดยท่านกล่าวว่า  ประชาชนทั้งหลาย  วันนี้วันอะไร    พวกเขาตอบว่า เป็นวันต้องห้าม  ท่านกล่าวอีกว่า  ประชาชนทั้งหลาย  วันนี้วันอะไร  . พวกเขาตอบว่า เป็นวันต้องห้าม  ท่านกล่าวอีกว่า  เมืองนี้เมืองอะไร    พวกเขาตอบว่า เป็นเมืองต้องห้าม  ท่านกล่าวต่อไปว่า  เดือนนี้เดือนอะไร    พวกเขาตอบว่า  เป็นเดือนต้องห้าม  ท่านจึงกล่าวว่า  แท้จริงโลหิตของท่านทั้งหลาย ทรัพย์สินของท่านทั้งหลาย และเกียรติยศของท่านทั้งหลายนั้น เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับท่านทั้งหลาย (ที่จะล่วงเกินกัน) ประดุจเดียวกับวันนี้ที่ต้องห้าม ในเมืองนี้ที่ ต้องห้าม ในเดือนนี้ที่ต้องห้าม  ท่านได้กล่าวซํ้าอย่างนั้นหลายครั้ง หลังจากนั้นท่านก็เงยศีรษะของท่านขึ้นแล้วพูดว่า  โอ้อัลลอฮ์  ข้าพเจ้าได้เผยแพร่แล้ว โอ้อัลลอฮ์ข้าพเจ้าได้เผยแพร่แล้ว อิบนุอับบาส กล่าวว่า  สาบานต่ออัลลอฮ์ ซึ่งชีวิดของข้าพเจ้าอยู่ในอำนาจของพระองค์ คำ เทศนาของท่านนบีครั้งที่ เป็นคำสั่งเสียที่ท่านมอบแก่ประชากรของท่าน  ดังนั้นผู้ที่มาร่วมใน วันนั้นก็จงจำไปเผยแพร่แก่ผู้ไม่ได้มาด้วย ท่านทั้งหลายอย่ากลับค์นไปสู่สภาพเนรคุณอัลเลาะฮฺ คอยหํ้าหั่นฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ภายหลังจากฉันได้จากพวกท่านไปแล้ว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม  และอะห์มัด

และในรายงานหนึ่งระบุว่า  ท่านนบี ซ ล.  ได้หยุดยืนในวันเชือดกุรบาน ระหว่างบรรดา เสาหินในพิธีฮัจญ์ของท่าน ซึ่งท่านได้ทำฮัจญ์กับสิ่งที่ และท่านกล่าวว่า  ที่เป็นวันทำฮัจญ์อันยิ่งใหญ่ และท่านพูดต่อไปว่า  โอ้อัลลอฮ์ โปรดเป็นสักขีพยานด้วย  และท่านได้อำลา ประชาชนทั้งหลาย พวกเขาจึงพูดว่า  ที่เป็นฮัจญ์อำลา

จากอะบูบักเราะฮฺ ร.ฎ.  กล่าวว่า  ท่านนบี ซ ล.  ได้แสดงธรรมเทศนาในพิธีฮัจญ์ของท่านโดย ท่านกล่าวว่า  แท้จริงกาลเวลามันหมุนเวียนตามธรรมชาติของมัน ในวันที่อัลลอฮ์ทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน ปีหนึ่งมี 12 เดือน จากจำนวนนั้นมี 4 เดือน อันเป็นเดือนต้องห้าม สามเดือน ต่อเนื่องกัน ค์อ ซุลกออิดะฮฺ ซุลฮิจยาฮฺ และมุฮัรรอม และอีกเดือนหนึ่งค์อ รอยับมุดอร์ ซึ่งอยู่ ระหว่างเดือนยะมาดีและเดือนชะอ์บาน

ฏอวาฟอิฟาเฎาะฮฺ

อัลลอฮ์ทรงโองการว่า “หลังจากนั้นพวกเขาจงเปลื้องมลทินของพวกเขาให้สะอาด และจงทำตามที่พวกเขาได้บนไว้เถิด และจงทำการฏอวาฟ ณ บัยติลลาฮฺอันดั้งเดิม”

อาอิชะห์ ร.ฎ.  กล่าวว่า  เราได้ทำฮัจญ์พร้อมกับท่านนบี ซ.ล.  แล้วเราก็ได้มาเยือน (ยับดุลเลาะฮฺด้วยการฏอวาฟ) ในวันเชือดกุรบาน

รายงานโดย บุคอรี

จากอิบนิ ฮฺมัร ร.ฎ. ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ทำการฏอวาฟอิฟาเฎาะฮ์ในวันเชือดกุรบาน หลังจากนั้นท่านก็กลับ แล้วทำการละหมาดดุฮริที่มีนา และอิบนิ ฮฺมัรได้กระทำเช่นนั้น เพื่อเลียนแบบการกระทำของท่านนบี ซ.ล.  

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

และรายงานของบุคอรีระบุว่า  ท่านนบี ซ.ล.  ได้เยือนบัยตุลเลาะฮฺ ในวันที่ท่านยังอยู่มีนา

การขว้างเสาหินในวันตัชรีก

อัลลอฮ์โองการว่า  “และท่านทั้งหลายจงกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮ์ ในจำนวนวันที่ถูกนับไว้แล้ว ส่วนผู้ใดรีบในสองวันก็ไม่เป็นโทษแก่เขา และผู้ใดล่า (ถึงวันที่สาม) ก็ไม่เป็นโทษแก่ เขาเช่นกัน สำหรับผู้มีความยำเกรง และท่านทั้งหลายจงยําเกรงอัลลอฮ์ และจงทราบเถิดว่า พวกท่านจะถูกรวมกลับไปหาพระองค์ (ในโลกหน้า)

จากอิบนิ ฮฺมัร  ร.ฎ.  เล่าว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ ล.  นั้น เมื่อท่านขว้างเสาหินต้นที่อยู่ มัสญิดมีนา ท่านก็จะขว้างมันด้วยลูกหินเจ็ดก้อน โดยท่านกล่าวตักบีรทุกครั้งที่ท่านขว้างกับลูกหินก้อนหนึ่งๆ หลังจากนั้น ท่านก็เลื่อนไปอยู่ข้างหน้าเสาหินนั้น แล้วท่านยืนหันหน้าตรงไป ทางกิบละฮฺ พร้อมกับยกมือทั้งสองของท่านขึ้นขอดุอา และท่านจะยืนอย่างนั้นอย่างยาวนาน หลังจากนั้นท่านก็จะมาที่เสาหินที่สอง แล้วท่านก็ขว้างมันด้วยลูกหินเจ็ดก้อน โดยกล่าวตักบีรทุกครั้งที่ท่านขว้างด้วยลูกหินแต่ละก้อน หลังจากนั้นท่านจะหันไปทางด้านซ้ายซึ่งอยู่ถัดวาดี แล้วท่านก็หยุดยืนหันหน้าตรงกับกิบละฮฺ ยกมือขึ้นขอดุอา หลังจากนั้น ท่านมาที่เสาหินซึ่งอยู่ที่อัลอะกอบะฮฺแล้ว ท่านก็ขว้างเสาหินนั้นด้วยลูกหินเจ็ดก้อน โดยกล่าวตักบีรในทุกลูกหินที่ท่านขว้าง หลังจากนั้นท่านก็ หันออกโดยไม่หยุดยืน ณ ที่นั้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด

จากอิบนิ ฮฺมัร ร.ฎ.  เขาเล่าว่า  เขาได้มาที่เสาหินต่างๆ ในวันทั้งสองหลังจากวันเชือดกุรบาน พลางเดินทั้งขาไปและขากลับ และเขาแจ้งว่าท่านนบี ซ ล.  กระทำเช่นนั้น

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

จากอะบิล บัดดาห์ จากบิดาของเขาเล่าว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ผ่อนผันให้พวก เลี้ยงลูฐ (ไม่ต้อง) ค้างแรม (มะบิต) โดยให้พวกเขาทำการขว้างเสาหินในวันเชือดกุรบาน หลัง จากนั้นให้พวกเขารวมการขว้างของสองวัน หลังจากวันเชือด โดยให้พวกเขาขว้างเสาหินในวัน ใดวันหนึ่ง

ในกระแสรายงานหนึ่งระบุว่า  ท่านนบิ ซ.ล.  ได้ผ่อนผันให้พวกเลี้ยงสัตว์ ทำการขว้าง เสาหินในวันเดียว และให้ทำการขอดุอาในวันหนึ่ง

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การเดินจากมีนาสู่อัลอับเฏาะฮฺและพักแรมที่นั่น

จากอับดิลอะซีซ บินรุฟัยอ์ ร.ฎ.  เล่าว่า  ฉันถามอะนัส บินมาลิกว่า  ท่านช่วยแจ้งให้ ฉันทราบถึงสิ่งหนึ่งที่ท่านได้เข้าใจมาจากท่านนบี ซ.ล.  ท่านทำละหมาด ที่ไหนในวันตัรวียะฮฺ    เขาตอบว่า  (ท่านนบีละหมาด) ที่มีนา  ฉันถามเขาอีกว่า แล้วท่านนบีละหมาดอัศริที่ไหน ในวันที่เคลื่อนจากมีนาสู่มักกะห์   เขาตอบว่าที่อับเตาะห์  ท่านจงทำเช่นบรรดาผู้นำของท่าน กระทำเถิด  

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

อะนัส ร.ฎ.  กล่าวว่า  ท่านนบี ซ ล.  ทำการละหมาดฮฺดุฮริ อัสริ มักริบ และอิชาอ์ และท่านได้นอนไปงีบหนึ่งที่มุฮัซชอบ หลังจากนั้นท่านก็ขี่พาหนะเข้าสู่บัยตุลเลาะฮฺ แล้วท่า การฏอวาฟ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด

ท่านนบี ซ.ล.  อะบูบักรฺ และอุมัร ลงจากพาหนะพักที่อับเตาะฮฺ

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และติรมิซี

อะบูรอฟิอ์  ร.ฎ.  กล่าวว่า  ความจริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ไม่ได้ใช้ให้ฉันลงพักที่ อับเตาะฮฺ ขณะที่ท่านออกมาจากมีนา แต่ฉันได้มา (ก่อน) แล้วฉันก็จัดการกางกระโจมของท่านในนั้น จากนั้นท่านก็ตามมา แล้วท่านก็ลงพัก

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

จากอะบี ฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ.  กล่าวว่า  ท่านรอซูลุลเลาะฮฺ ซ ล.  ได้กล่าวกับพวกเรา ในขณะที่พวกเราอยู่กันที่มีนาว่า  พวกเราจะลงพักกันในวันพรุ่งนี้ อินชาอัลลอฮ์ ที่ลานบ้าน ของพวกบะนิ กินานะฮฺ เมื่อพวกเขาต่างสาบานตนว่าจะคงสภาพกาพีรเรื่อยไป ฉันก็เพราะชาว กุรอยซ์ และบะนิ กินานะฮฺ ได้สาบานตนต่อพวกบะนิ ฮาชิม และบะนิลมุตตอลิบ ว่าจะไม่แต่งงาน กัน และไม่ร่วมสนธิสัญญาต่อกัน จนกว่าพวกนั้น (บะนิฮาชิม บานิลมุตตอลิบ) จะส่งด้วนบี ซ ล.  ให้พวกเขา (กุรอยช์ บะนิกินานะฮฺ) (เพื่อจัดการกับท่านนบิตามที่เขาประสงค์) รายงานโดย มุดอร มุตลม

จากอาอิชะฮฺ ร.ฎ.  กล่าวว่า  ซอพียะฮฺได้มีระดุประจำเดือนในการเคลื่อนจากมีนา นางจึงพูดขึ้นว่า  ฉันมองไม่เห็นทางอื่น นอกจากต้องกักพวกท่านไว้ (มิให้เดินทางต่อ เพราะการมีประจำเดือนของฉัน อันเป็นอุปสรรคในการฏอวาฟ) ท่านนบี ซ.ล.  จึงกล่าวว่า  อัลลอฮ์ลงโทษนาง อัลลอฮ์โกนผมนาง (เป็นการแสดงตำหนินางที่พูดเช่นนั้น) นางทำการฏอวาฟในวันเชือดกุรบานหรือ    มีผู้ตอบท่านว่า  ใช่แล้ว   ท่านจึงกล่าวว่า ดังนั้นนางจงเคลื่อนออก จากมีนาเถิด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

หะดิษเกี่ยวกับฮัจญ์อำลา 332

จากยะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด ร.ฎ.  จากบิดาของเขากล่าวว่า  พวกเราได้เข้าพบญาบีรบินอับ ดิลลาฮฺ แล้วเขาได้ถามคณะ (ที่เข้าพบนั้นที่ละคนๆ) จนระทั้งมาสุดที่ฉัน ฉันตอบว่า  ฉันตอบว่ามุฮัมมัด บินอะลี บินหุซัยนิ  เขาจึงวางมือของเขาลงบนศีรษะของฉัน แล้วเขาก็ถอดกระดุมเสื้อ เม็ดบนของฉัน หลังจากนั้นก็ถอดกระดุมเสื้อเม็ดล่าง จากนั้นเขาวางฝ่ามือตรงระหว่างนมของฉัน ขณะนั้นฉันยังเป็นเด็กหนุ่ม เขาพูดว่า  ขอต้อนรับท่านด้วยความยินดี โอ้ผู้เป็นบุตรแห่งที่น้อง ของฉัน ท่านจงถามเถิดในสิ่งที่ท่านประสงค์ฉันจึงถามเขาโดยที่เขานั้นเป็นคนตาบอด และขณะ นั้นเข้าเวลาละหมาดแล้ว เขาก็ยืนขึ้นในชุดเสื้อคลุมสิเขียว ซึ่งเขาสวมใส่มันทุกครั้งที่เขาวางมัน ลงบนไหล่ทังสองข้างของเขา ปลายทั้งสองข้างของมันก็ตลบกลับมายังเขา เพราะเสื้อตัวนั้นเล็ก และผ้าคลุมไหล่ของเขาอยู่บนไม้พาดผ้าซึ่งอยู่ใกล้ตัวเขา แล้วเขาก็ทำละหมาดกับพวกเรา  เสร็จ แล้วฉันได้ถามเขาว่า  ขอท่านได้โปรดแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบเกี่ยวกับการทำฮัจญ์ของท่านรอชูลุล เลาะฮฺ ซ. ล. เขาจึงตอบด้วยการยกมือเป็นสัญญาณแทนทำพูด โดยเขานับจำนวนเก้า พร้อมทั้งพูด ว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ว่างเว้นไปเก้าปีมิได้ทำฮัจญ์ หลังจากนั้นในปีที่สิบ ท่านได้ ประกาศในหมู่ประชาชนให้ทราบว่า “เราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  จะออกไปบำเพ็ญฮัจญ์ (ในปีนี้)” จากนั้น ผู้คนจำนวนมากก็มุ่งมาที่มะดีนะห์ ทุก 1 คนปรารถนาที่จะแสวงหาความครบบริบูรณ์ กับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ ล.  และปฏิบัติเหมือนเช่นการปฏิบัติของท่าน ต่อมาพวกเราก็เริ่มออก. เดินทาง (จากมะดีนะห์) พร้อมกับท่าน จนกระทั้งพวกเรามาถึง “ซุลหุลัยฟะฮฺ” ก็ปรากฏว่า อัสมาอ์ บินติ อุมัยส์ได้คลอดบุตร ชื่อมุฮัมมัด บิน อะบีบักรฺ  จากนั้นนางได้ส่งคนไปถามท่าน เราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ว่า  จะให้ข้าพเจ้าทำอย่างไร    ท่านก็สั่งมาว่า  เธอจงอาบน้ำ เธอจงป้องกัน (เลือดหลั่ง) ด้วยผ้า และเธอจงครองอิหรอม ครั้นแล้วท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ก็ทำละหมาดในมัสญิด หลังจากนั้น ท่านก็ขี่อูฐกอซวาอ์(قصوى) ของท่าน จนกระทั้งเมื่ออูฐของท่านได้นำท่านมาจนถึงบัยดาอ์ ฉันก็มองไปจนสุดสายตาของฉัน ปรากฏว่าข้างหน้า มีประชาชนทั้งขี่พาหนะและ เดินเท้า จากด้านขวาของท่านก็เช่นเดียวกัน ด้านซ้ายของท่านก็เหมือนกัน และด้านหลังของท่านก็ ประดุจเดียวกัน โดยมีท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ ล.  อยู่ท่ามกลางพวกนั่่นเอง และอัลกุรอานถูก ลงมายังท่าน โดยท่านรู้การตีความกุรอานเป็นอย่างดี และสิ่งใดก็ตามที่ท่านปฏิบัติ เราก็ปฏิบัติ สิ่งนั้นเหมือนกับท่าน  ท่านนบีได้เริ่มเปล่งเสียงกล่าวถึงความเป็นหนึ่งของอัลลอฮ์ เพื่อเริ่ม พิธีโดยกล่าวความว่า  โอ้อัลลอฮ์ ข้าพเจ้าสนองตอบ (ทำเรียกร้องของ) พระองค์แล้ว ข้าพเจ้า สนองตอบพระองค์แล้ว ไม่มีภาคีใดๆ สำหรับพระองค์ ข้าพเจ้าสนองตอบพระองค์แล้ว แท้ จริงการสรรเสริญและความโปรดปรานเป็นของพระองค์ และอำนาจปกครองก็เช่นกัน ไม่มีสิ่งใด เป็นภาคีกับพระองค์  และประชาชนก็เปล่งเสียงพร้อมๆ กันกับข้อความที่ท่านนบีได้เปล่งเสียง ดังกล่าว โดยท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  มิได้ขัดขวางพวกเขาสิ่งใดๆ จากท่านเลย และท่านท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวตัลบียะฮฺเป็นประจำ 

ญาบิร  ร.ฎ.  กล่าวว่า  เรามิได้เจตนาทำอื่นนอกจากฮัจญ์ เรายังไม่รู้จักอุมเราะฮฺด้วยซ้ำ จนกระทั้งเมื่อเราได้มาถึงบัยตุลเลาะฮฺพร้อมกับท่าน ท่านก็อิสติลามรู่ก่น (หินดำ) แล้วท่านก็ วิ่งเหยาะๆ สามรอบและเดินธรรมดาสี่รอบ หลังจากนั้นท่านก็มาหยุดยืนที่มะกอมอิบรอเม แล้ว อ่านอัลกุรอานความว่า  และท่านทั้งหลายจงเอาที่ยืนของอิบรอเมเป็นที่ละหมาดเถิด  ท่าน ยืนโดยมีมะกอมอยู่ตรงกลางระหว่างตัวท่านกับบัยติลลาฮฺ และท่านอ่านในสองรอกะอะฮฺ กุลยาอัยยุฮัลกาฟิรูน และกุลฮุ วัลลอฮุอะหัด หลังจากนั้นท่านก็กลับไปที่รูก่น (หินดำ) แล้วทำอิสติลาม ต่อมาท่านก็ออกจากประตูไปสู่ซอฟา ครั้นเมื่อใกล้กับซอฟา ท่านก็อ่านความว่า  _แท้จริงซอฟา และมัรวะฮฺ เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์แห่งอัลลอฮ์ ท่านทั้งหลายจงเริ่มต้นกับสิ่งที่อัลลอฮ์นำ มาโองการเริ่มต้น (คือซอฟา) แล้วท่านก็เริ่ม (สะแอ”สะอาอ์-سَعَى) จากซอฟา โดยท่านขึ้นไปบนมันจนมอง เห็นบัยตุลเลาะฮฺแล้วท่านหันหน้าไปทางกิบละฮฺ และท่านก็กล่าวแสดงความเชื่อในความเป็น หนึ่ง ของอัลลอฮ์และกล่าวแสดงการสรรเสริญพระองค์และท่านกล่าวความว่า  ไม่มีพระเจ้า นอกจากอัลเลาะฮฺเพียงพระองค์เดียว ไม่มีภาคีใดๆ สำหรับพระองค์อำนาจปกครองทรงเป็น สิทธิของพระองค์การสรรเสริญดีเป็นของพระองค์และพระองค์ทรงเดชานุภาพเหนือทุกๆ สิ่งไม่มีพระเจ้านอกจากพระองค์เพียงพระองค์เดียว พระองค์ทรงทำตามสัญญา พระองค์ทรงช่วยเหลือบ่าวของพระองค์และทรงบันดาลให้ข้าศึกทั้งหลายพ่ายแพ้โดยพระองค์เพียงพระองค์เดียว  หลังจากนั้น ท่านขอพรระหว่างซอฟานั้น ท่านกล่าวเช่นนั้นสามครั้ง  หลังจากนั้นท่านเดินลงมาที่มัรวะฮฺ จนเมื่อเท้าทั้งสองของท่านยืนตรงในบัดนิลวาดี ท่านก็ออกเดินจนเมื่อเท้าทั้งสองขึ้นพ้น ท่านก็ออกเดินต่อจนถึงมัรวะฮฺ แล้วท่านได้กระทำบนเนินมัรวะฮฺนั้น เหมือนเช่นที่ ท่าน กระทำบนซอฟา จนเมื่อถึงรอบสุดท้ายของการเดินวนบนมัรวะฮฺ ท่านจึงพูดว่า  ถ้าหากฉันมุ่งหน้าในการงานใดๆ ของฉัน ฉันก็จะไม่หันหลังกลับอย่างแน่นอน ฉันจะไม่ต้อนสัตว์กุรบานมา และฉันต้องทำอุมเราะฮฺเสียก่อน (แบบฅะมัตตุอ์) ดังนั้นในหมู่พวกท่านนั้น ผู้ใดที่ไม่มีสัตว์กุรบานมา เขาก็จงเลิกพิธี(ตะฮัลลุล)ได้ และเปลี่ยนมันเป็นอุมเราะฮ์ ทันใดนั้น ซุรอเกาะฮฺ บินมาลิกได้ยืนขึ้นถามท่านว่าโอ้เราะซูลุลลอฮ์  เฉพาะปีนั้นของพวกเราหรือตลอดไปครับ   ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ประสานนิ้วมือของท่านทั้งหมด ข้างหนึ่งในอีกข้างหนึ่ง พร้อมทั้งตอบว่า  อุมเราะฮฺได้เข้า มาในฮัจญีสองครั้ง มิใช่ ความจริง ได้ตลอดไป  และอะลีได้นำอูฐกุรบานของ ท่านนบี ซ.ล.  มาจาก เมืองยะมัน แล้วเขาได้พบว่าฟาติมะฮฺ ร.ฎ.  เป็นผู้หนึ่งที่เลิก (ตะฮัลลุล) พิธีแล้ว และนางได้ สวมใสเสื้อผ้าย้อมสี และนางใส่ยาตา เขาจึงคัดค้านการกระทำของนาง แต่นางแย้งว่า ที่จริง บิดาของฉันได้ใช้ให้ฉันทำเช่นนี้  ผู้รายงานเล่าต่อไปว่า  ส่วนอะลีเขาเคยพูดไว้ที่อิรักว่า  แล้ว ฉันก็ไปหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ ล.  เพื่อโต้แย้งคำพูดของฟาติมะฮฺในสิ่งที่นางกระทำ พร้อม ทั้งขอคำชี้ขาดจากท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ในกรณีที่นางได้ระบุไว้นั้น แล้วฉันก็เล่าให้ท่าน เราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ทราบว่า ฉันได้คัดค้านการกระทำดังกล่าวที่ นางได้อ้างไว้ ท่านรอซูลฯ ก็ตอบว่า  นางพูดถูกแล้ว นางพูดถูกแล้ว แล้วท่านพูดอะไร ขณะที่ท่านตั้งเจตนาทำฮัจญ์  ฉันพูดว่า  โอ้ อัลเลาะฮฺ แท้จริงข้าพเจ้าทำการเปล่งเสียงเริ่มพิธี กับสิ่งที่รอซูลของพระองค์ทำการเปล่งเสียง เริ่มพิธี  ท่านรอซูลกล่าวว่า  ที่จริงฉันมีสัตว์กุรบาน ท่านอย่าเพิ่งเลิกพิธี  ผู้รายงานเล่าว่า  ฝูงสัตว์กุรบานทั้งหมด ซึ่งอะลีนำมาจากยะมัน และที่ท่านนบี ซ.ล.  นำมานั้นมีจำนวน 100 ตัว  ผู้รายงานเล่าต่อไปว่า  แล้วประชาชนทั้งหมดก็เลิกพิธี และทำการขลิบผม ยกเว้นท่านนบี ซ ล.  และผู้ที่มีสัตว์กุรบาน ครั้นเมื่อเข้าสู่วันตัรวียะฮฺ พวกเขาก็มุ่งหน้าสู่มีนา แล้วเปล่งเสียงเริ่มพิธีฮัจญ์ และท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ขี่พาหนะ แล้วท่านทำละหมาดฮฺดุฮริ อัสริ มักริบ อิซา ซุบฮ์ ที่มีนา หลังจากนั้นท่านหยุดชั่วครู่หนึ่ง จนกระทั้งตะวันขึ้น และท่านได้ใช้ให้กางกระโจมที่ห้ามาจากขนสัตว์ ณ นะมิเราะฮฺ (สถานที่ตรงกับอะรอฟาต แต่ไม่ใช่อะรอฟาต อยู่ระหว่าง แผ่นดินฮะรอมกับฮาลาล) จากนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ไค้เดินทางต่อไป ส่วนพวกกุร๊อยชไม่ สงสัยอะไรทั้งสิ้น นอกจากคิดแต่เพียงว่าท่านนบีต้องหยุดวุกุฟที่มัชอะริลฮะรอม เหมือนพวก กุรอยซ์เคยกระทำกันมาในยุคยาฮิลียะฮฺ แต่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ ล.  ก็เดินทางเลยไปจนใกล้ อะระฟาต ท่านได้พบกระโจมถูกกางไว้ให้ท่านแล้ว ท่านจึงลงพัก ณ.ที่นั้น จนเมื่อตะวันได้บ่ายไป แล้ว ท่านก็ออกคำสั่งให้นำอูฐกอซวาอ์มา ก็มีผู้นำมันมาให้ท่าน แล้วท่านก็ขี่มันออกเดินทาง จนกระทั่งถึงหุบเขา(อุรนะฮฺ)  ท่านก็กล่าวธรรมเทศนา(คุตบะห์) ว่า แท้จริงโลหิตของท่านทั้งหลาย และทรัพย์สินของท่านทั้งหลาย เป็นที่ต้องห้ามสำหรับท่านทั้งหลายเช่นเดียวกับความต้องห้ามแห่งวันของท่านทั้งหลายนี้ ในเดือนนี้ของท่านทั้งหลายนี้ ในเดือนนี้ของท่านทั้งหลายนี้ พึงสังวร ทุกสิ่งที่เป็นกิจกรรมของยุคญาฮิลิยะห์นั้นถูกวางไว้ใต้ฝ่าเท้าของฉัน และโลหิตที่เคยหลั่งกันของยุคญาฮิลิยะห์เป็นอันยกเลิก (ไม่มีการแก้แค้นและตอบสนองใดๆ) และโลหิตแรกที่ฉันขอประกาศยกเลิกจากบรรดาโลหิตของพวกเรา ก็คือโลหิตของอิบนิ รอบิอะห์ อิบนิลฮาริษ ซึ่งเขาเป็นญาติเพราะดื่มนมแม่เดียวกันมา ในตระกูลบะนี สะอัด ต่อมา ฮุซัยล์ได้ฆ่าเขาตาย และดอกเบี้ยในยุคญาฮิลิยะห์ก็ต้องลกเลิกด้วย ดอกเบี้ยแรกที่ฉันขอประกาศยกเลิกจากบรรดาดอกเบี้ยของเรา ได้แก่ดอกเบี้ยของอับบาส บิน อับดุล มุตตอลิบ ที่จริงมันถูกยกเลิกทั้งหมดโดยสิ้นเชิง

ท่านทั้งหลายจงยำเกรงต่ออัลลอฮ์ในเรื่องผู้หญิง เพราะท่านทั้งหลายได้ยึดครองพวกนางไว้ด้วยความซื่อสัตย์ต่ออัลลอฮ์ และท่านทั้งหลายได้ถือสิทธิ์อนุมัติในพรหมจรรย์ของพวกนาง โดยพระบัญญัติของอัลลอฮ์ ท่านทั้งหลายมีสิทธิ์เหนือพวกนาง ที่พวกนางจะต้องไม่ยอมให้ผู้หนึ่งที่ท่านทั้งหลายรังเกียจ ล่วงล้ำเข้าไปสู่ที่นอนของพวกท่าน แต่ถ้าหากนางขืนกระทำเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจงเฆี่ยนพวกนางเถิด โดยไม่เกิดบาดแผล ท่านทั้งหลายมีหน้าที่ต้องให้ปัจจัยยังชีพ และเครื่องนุ่งห่มแก่พวกนางโดยคุณธรรม และฉันได้ทิ้งไว้หมู่ท่านทั้งหลาย แก่สิ่งซึ่งพวกท่านจะไม่หลงผิดหลังจากนั้นอย่างแน่นอน หากท่านทั้งหลายยึดมั่นกับสิ่งนั้น สิ่งนั้นคือคัมภีร์ของอัลลอฮ์

และท่านทั้งหลายจะถูกถามแก่ตัวฉัน แล้วพวกท่านจะกล่าว่าอย่างไร พวกนั้นตอบว่า เราขอปฏิญาณตนว่า ที่จริงท่านเป็นผู้เผยแผ่แล้ว ท่านได้ทำตามหน้าที่แล้วและท่านได้แนะนำแล้วจากนั้นท่านนบีได้ทำสัญญาณด้วยนิ้วชี้ของท่าน ชี้ขึ้นไปบนฟากฟ้า และลดลงมาสู่ประชาชนพร้องทั้งรำพึงว่า โอ้อัลลอฮ์ ขอพระองค์ได้โปรดเป็นสักขีพยานเถิด (กล่าวสามครั้ง) หลังจากนั้นท่านได้สั่งให้อะซานและอิกอมะห์แล้วก็ละหมาดดุห์รี หลังจากนั้นท่านได้ใช้ให้ทำการอิกอมะห์ (โดยไม่ต้องอะซานอีก) แล้วก็ละหมาดอัศรี โดยท่านไม่ได้ทำอะไรอื่นระหว่างทั้งสองละหมาดนั้น

ต่อจากนั้น ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ก็ขี่พาหนะเดินทางต่อมาจนถึงที่วุกุฟ แล้วท่านก็ปล่อยอูฐก็อซวะฮ์ของท่านให้แนบท้องกับก้อนหิน (หมอบลงเพื่อพักผ่อน)และท่านได้ให้คณะเดินเท้าอยู่ข้างหน้าที่ และท่าหันหน้าไปทางกิบลัต ท่านวุกุฟเรื่องไปจนกระทั่งตะวันตกดิน ท่านได้ให้อุซามะห์นั่งซ้อนท้ายอูฐของท่าน และท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ก็เคลื่อนออกจากอะรอฟาตมุ่งหน้ามุซดาลิฟะห์ โดยท่านรั้งบังเหียนไว้(ให้มันเดินช้าๆ) จนกระทั่งหัวของมันมาชนอยู่กับที่วางเท้าของท่านและท่านได้ให้สัญญาณมือว่า ประชาชนทั้งหลาย จงสงบ จงสงบ ทุกครั้งที่เดินมาถึงเนินทราย ท่านจะผ่อนบังเหียนลงบ้างเล็กน้อยจนกระทั้งมันขึ้นบนเนินทรายที่มุซดาลิฟะห์ท่านก็ทำละหมาดมักริบสามเราะกะอัต และละหมาดอิชาอ์สองเราะกะอัต โดยอะซานมักริบครั้งเดียว ส่วนอิกอมะห์นั้นทำสองครั้งก่อนละหมาดแต่ละวักตู และท่านไม่ได้ทำการตัสบีหะสิ่งใดๆ ระหว่างละหมาดทั้งสองนั้น หลังจากนั้น ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ก็เอนกายพักผ่อน จนกระทั่งแสงอรุณขึ้น แล้วท่านก็ทำการละหมาดฟัจรีได้ปรากฏชัดเจนแล้ว โดยอะซานและอิกอมะห์ หลังจากนั้นท่านก็ขี่ก็อซวะอ์เดินทางต่อไปจนกระทั่ง ท่านมาถึง มัชอะริลฮะรอม ท่านก็หันหน้าไปทางกิบลัต ขอพรจากอัลลอฮ์ กล่าวตักบีร กล่าวตะห์ลีล กล่าวเตาฮีด และท่านก็หยุดพักผ่อนอย่างนั้นเรื่อยไป จนกระทั่งแสงอรุณได้กระจายจัดจ้า ท่านก็เคลื่อนออกก่อนตะวันขึ้น และได้ให้ฟะฎอล บินอับบาสซ้อนท้ายอูฐ และเขาเป็นชายคนหนึ่งที่มีผมสวยงดงาม ผิวขาว รูปร่างดี ครั้นเมื่อท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.เคลื่อนออกจากนั้น ก็มีกลุ่มสตรีที่นั่งมาในประทุนเดินผ่านมาทางท่าน ฟะฎอลก็จ้องพวกนาง แต่ท่านนบีได้วางมือ (ปิดหน้า) ดังนั้นฟะฎอลก็พลันหันขวาไปจ้องมองอีก ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ก็จับใบหน้าฟะฎอล กลับมา(ไม่ให้ไปจ้องมองสาวๆ) จนกระทั่งมาถึงบัฏนี มุฮัซซีริ

ซึ่งท่านก็สั่นสะท้าต่อจากนั้นเล็กน้อย หลังจากนั้นท่านก็เดินทางสายกลาง ซึ่งออกไปทะลุเสาหินต้นใหญ่ จนกระทั่งมาถึงเสาหินต้นที่ตั้งอยู่ ณ ต้นไม้(ใกล้มัสญิดคัยฟ์) และท่านได้ขว้างหินเจ็ดก้อน แต่ละก้อนท่านจะตักบีร )ก้อนกรวดทั้งเจ็ดมีขนาดเท่าถั่วฟูล ท่านขว้างไปจาก บัฏนีวาดี หลังจากนั้นท่านก็ได้ไปสู่ลานที่เชือด แล้วจัดการเชือดด้วยมือของท่านเองจำนวน63ตัว หลังจากนั้นท่านมอบให้อะลีเชือดที่เหลือจาก100ตัว และเขาได้ร่วมส่วนกับท่าน(ที่อะลีต้อนมาจากเยเมน) หลังจากนั้นท่านนบีใช้ให้จัดการกับอูฐทุกๆตัว ให้เป็นก้อนๆ แล้วใส่ลงในหม้อ จากนั้นก็จัดการต้มมัน แล้วคนทั้งสองก็รับประทานเนื้อของมัน และดื่มน้ำซุบของมัน ต่อจากนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ขี่อูฐเดินทางต่อไปมักกะห์ ทำการฏอวาฟอิฟาเฎาะห์ และละหมาดดุฮรีที่มักกะห์ จากนั้นท่านก็มาหา บะนีอับดุลมุฏฏอลิบ ซึ่งทำหน้าที่บริการน้ำซัมซัม แล้วท่านก็สั่งว่า ท่านทั้งหลายจงสาวน้ำขึ้นมาเถิด โอ้ บะนีอับดุลมุฏฏอลิบ ถ้าหากผู้คนทั้งหลายยังไม่ชนะพวกท่าน ในการบริการน้ำของพวกท่าน ฉันจะเข้าไปช่วยสาวน้ำพร้อมกับพวกท่านด้วย จากนั้นพวกเขาก็ได้นำกระป๋องใส่น้ำมามอบให้ท่าน แล้วท่านก็ดื่มน้ำซัมซัมจากกระป๋องนั้น

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด

บทที่ 5

เรื่องอุมเราะฮฺ

อิบนิ อับบาส ร.ฎ. กล่าวว่า ที่จริงอุมเราะฮฺเป็นพิธีที่ถูกสั่งมาคู่กับพิธีฮัจญ์ ในคัมภีร์ของอัลลอฮ์ นั่นคือ  และท่านทั้งหลายจงประกอบพิธีฮัจญ์ให้สมบูรณ์ เพื่ออัลลอฮ์เถิด

อิบนิ อุมัรเล่าว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม นอกจากว่าเขาจะต้องมีหน้าที่ทำฮัจญ์และอุมเราะห์ให้สมบูรณ์เพื่ออัลลอฮ์เถิด

จากอะบี รอซีน อัลอุกอยลี ร.ฎ. ฉันพูดว่า โอ้เราะซูลุลลอฮ์ ที่จริงบิดาของข้าพเจ้าชราภาพมากแล้ว เขาไม่สามารถจะทำฮัจญ์และอุมเราะห์ได้ และไม่สามารถจะเดินทางขี่พาหนะ ท่านนบี ตอบว่า ท่านอะบี รอซีนจงทำฮัจญ์และอุมเราะห์แทนบิดของท่าน

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากญาบีร ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ถูกถามถึงเรื่องอุมเราะห์ว่า เป็นข้อบังคับ(วาญิบ)หรือ ท่านตอบว่าไม่ แต่ท่านทั้งหลายควรทำอุมเราะห์ นั่นเป็นที่เลิศเลอยิ่งนัก

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี อะห์มัด บัยฮะกี

อิบนิ อับบาส ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวกับหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวอัซอร ซึ่งนางถูกเรียกขานว่า อุมมุ สินาน อะไรเป็นเหตุอุปสรรคให้เธอไม่ออกไปทำฮัจญ์ร่วมกับเรา นางตอบว่าอูฐสองตัวที่เป็นกรรมสิทธิ์ของอะบีฟุลาน(สามีของเธอ) เขาและบุตรีของเขาได้ทำฮัจญ์บนอูฐตัวหนึ่ง และอูฐอีกตัวหนึ่งนั้น คนรับใช้ของเราได้บรรทุกน้ำเพื่อบริการ ท่านนบีจึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นจงทำอุมเราะห์ในเดือนเราะมะฎอน ซึ่งเธอจะได้ภาคผลเท่ากับฮัจญ์นั่นเอง หรือเธอได้ฮัจญ์พร้อมกับฉันแล้ว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

รายงานของบุคอรีว่า เมื่อถึงเดือนเราะมะฎอนเธอจงทำอุมเราะห์เถิด เพราะการทำอุมเราะห์ในเดือนเราะมะฎอน จะได้ภาคผลเท่ากับฮัจญ์

และอีกหะดีษหนึ่งว่า อุมเราะห์หนึ่งถึงอุมเราะห์หนึ่ง จะไถ่ถอนบาปที่มีอยู่ระหว่างทั้งสอง

เล่าจาก อบูฮุร็อยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ซึ่งชีวิตของฉันอยู่ในอำนาจของพระองค์ ที่จริงอีซา บิน มัรยัม ทำการเปล่งเสียงเริ่มพิธี ณ ฟัจยิรเราฮาอิ (อยู่ระหว่างมะดินะห์และมักกะห์ เพื่อทำฮัจญ์และอุมเราะห์ หรือทำควบกันทั้งสอง

ท่านนบี ซ.ล. ทำอุมเราะห์กี่ครั้ง

จากกอตะดะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฉันถามอะนัสว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ทำฮัจญ์กี่ครั้ง (หลังจากได้ลงบัญญัติให้ทำฮัจญ์ในปีฮิจเราะห์ที่สิบ อะนัสตอบว่า ครั้งเดียว (ส่วนก่อนบัญญัติดังกล่าวท่านทำมาแล้วสองครั้ง) และทำอุมเราะห์สี่ครั้ง ซึ่งทำในเดือนซุลกออ์ดะห์ ยกเว้นอุมเราะห์ที่ควบคู่กับฮัจญ์ของท่าน อุมเราะห์ทั้งสี่ครั้งที่ท่านทำนั้น ได้แก่ อุมเราะห์ที่ทำจากหุดัยบิยะห์ หรือในเวลาของหุดัยบิยะห์ในเดือนซิลกอฮ์ดะห์ และอุมเราะห์ในปีต่อมาในเดือนซิลกอฮ์ดะห์ อุมเราะห์จากญิอ์รอนะห์ซึ่งเคยเป็นที่แบ่งปันทรัพย์สงครามหุนัยน์ในเดือนซิลกอฮ์ดะห์ อุมเราะห์ที่ควบคู่กับฮัจญ์(ในปีฮัจญ์อำลา)

กิจกรรมอุมเราะห์

จากมัรวาน ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.ได้ออกไปจากมะดินะห์ในช่วงสงครามหุดัยบิยะห์ ในปีที่สิบกว่า พร้อมสหายของท่านจำนวน หนึ่งร้อยคน จนกระทั่งเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงซุลฮุลัยฟะห์ ท่านก็แขวนรองเทำไว้ที่คอสัตว์กุรบาน และทำเครื่องหมายที่ตัวมัน(เพื่อให้รู้ว่าเป็นสัตว์กุรบาน และท่านได้ครองอิหรอมเริ่มพิธีอุมเราะห์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด และอะห์มัด

เล่าจากยะอ์ลา บินอุมัยยะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. ในขณะที่ท่านอยู่ที่ญิอ์รอนะห์ เขาได้เปล่งเสียงอุมเราะห์แล้ว ในขณะที่หนวดเคราเส้นผมของเขายังมีสีเหลืองที่ย้อมด้วยหญ้าฝรั่น และเขาเสื้อญุบบะห์ เขาจึงถามว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ข้าพเจ้าได้อิหรอมอุมเราะห์ โดยที่ข้าพเจ้ามีสภาพดั่งที่ท่านเห็นนี้ ท่านนบีสั่งว่า ท่านจงถอดเสื้อคลุมออกเสีย และท่านจงล้างสีเหลืองออก และอะไรที่ท่านเคยกระทำในพิธีฮัจญ์ ท่านก็จงทำในพิธีอุมเราะห์ด้วย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ถูกถามถึงชายคนหนึ่งที่ทำการตอวาฟบัยตุลลอฮ์ ในพิธีอุมเราะห์ของเขา แต่เขาไม่ได้เดินสะอาระหว่างซอฟากับมัรวะห์ เขาจะมีเพศสัมพันธ์กันได้หรือไม่ อิบนิ อุมัรตอบว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้มาถึงมักกะห์ แล้วท่านก็ตอวาฟเจ็ดรอบ และละหมาดหลังมะกอมอิบรอฮีมสองเราะกะอัต และสะอาระหว่างซอฟากับมัรวะห์เจ็ดเที่ยว ที่จริงแบบฉบับอันดีงามได้ปรากฏอยู่แล้ว สำหรับท่านทั้งหลายในศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

จากอิบนุ อะบูเอาฟา ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ทำอุมเราะห์ และพวกเราก็ทำอุมเราะห์พร้อมกับท่านด้วย ครั้นเมื่อท่านเข้าสู่มักกะห์ ท่านก็ทำการตอวาฟ และพวกเราก็ทำการตอวาฟพร้อมกับท่านด้วย แล้วท่านก็มาซอฟากับมัรวะห์ และพวกเราก็มาพร้อมกับท่านด้วย พวกเรานั้นเอาร่างกายปกป้องท่านไว้ไม่ให้มุชริกีนมักกะห์ขว้างปาหินใส่ท่านได้ เพื่อนคนหนึ่งถามฉันว่า แล้วท่านนบีเข้าไปในกะอะบะห์หรือ ฉันตอบว่า ไม่ แล้วเราก็บอกเล่าสิ่งที่ท่านนบีได้สั่งแก่ เคาะดิญะห์ นั่นคือท่านสั่งว่า พวกท่านจงแจ้วข่าวแก่เคาะดิญะห์ว่านางได้บ้านหนึ่งหลังในสวรรค์ ทำด้วยอัญมณี ในบ้านนั้นไม่มีเสียงรบกวน และไม่มีความเหน็ดเหนื่อยใดๆ เลย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด และนะซาอี

จากญาบีร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้ทำการเชือดกุรบานพร้อมกับท่านนบี ซ.ล. ในปีหุดัยบิยะห์ อูฐตัวหนึ่งต่อเจ็ดคน วัวตัวหนึ่งต่อเจ็ดคน

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด

อุมเราะห์ไม่มีกำหนดเวลาตายตัว 339

จากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกกุร็อยช์และพวกนับถือลัทธิศาสนาของพวกนั้นต่างมีความเห็นว่า การทำอุมเราะห์ในเดือนฮัจญ์มาจากคนโฉดที่สุดในแผ่นดิน และพวกเขาเปลี่ยนเอาเดือนซอฟัรมาเป็นเดือนมุฮัรรอม (กำหนดเดือนซอฟัรเป็นเดือนฮะรอม แต่เว้นเดือนมุฮัรรอมไว้ไม่เห็นเดือนฮะรอม) และพวกเขากล่าวว่า เมื่ออูฐมีบาดแผลทรมาน (จากการเดินทาง) ร่องรอยการเดินทางอันกระเซิง และเดือนซอฟัรผ่านพ้นไปแล้ว อุมเราะห์ก็เป็นที่อนุมัติสำหรับผู้ประสงค์ทำอุมเราะห์ ครั้นท่านนบี ซ.ล. และบรรดาเศาะฮาบะห์ของท่านได้มาถึงในเวลาเช้าของวันที่สี่ โดยทุกคนเปล่งเสียงการทำฮัจญ์ ท่านนบีก็สั่งให้เปลี่ยนเป็นอุมเราะห์ ซึ่งคำสั่งนั้นเป็นเรื่องใหญ่โตสำหรับพวกเขา พวกเขาจึงพูดว่า โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ จะเลิกพิธีที่ใด ท่านตอบว่าเลิกพิธีได้ทั้งหมด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า นี่คืออุมเราะห์ ซึ่งพวกเราได้ทำมันควบคู่กับฮัจญ์(แบบตะมัตตุอ์) ดังนั้นผู้ใดไม่มีสัตว์กุรบานมาด้วย ให้เขาเลิกพิธีได้ทั้งหมด เพราะอุมเราะห์ได้เข้าไปในพิธีฮัจญ์แล้ว ตราบถึงวันก็ยามะฮฺ  

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และติรมิซี

จากมุหัรรอช อัลกะอ์บี เล่าว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ออกจากญิอ์รอนะห์ในเวลากลางคืน โดยทำพิธีอุมเราะห์ จากนั้นท่านก็เข้ามักกะห์ในเวลากลางคืนเหมีอนกัน แล้วท่านก็ปฏิบัติอุมเราะห์จนเสร็จสิ้นเรียบร้อย หลังจากนั้น ท่านได้เดินทางออกจากมักกะห์ในคืนนั้นเลย แล้วมารุ่งสางที่ญิอ์รอนะห์ คล้ายกับท่านค้างแรมที่นั่น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

พักที่มักกะห์หลังจบพิธี การตอวาฟอำลา

จากอุมัร บินอับดุลอะซีซ ได้กล่าวถามแก่ซาอิบ บินยะซีด ว่า ท่านได้ยินบ้างไหมเกี่ยวกับการการพักในมักกะห์ เขา(ซาอิบ)ตอบว่า ฉันได้ยินอะลาอ์ บิน หะดอรอมี ร.ฎ. กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.กล่าวว่า ชาวมุฮาญิรีนจะพักอยู่ในมักกะห์อีกสามวัน หลังจากเสร็จพิธีแล้ว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ผู้คนทั้งหลายหันกลับกันคนละด้าน (หลังจากเสร็จพิธีแล้ว) แต่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้สั่งว่า ประชาชนทั้งหลายอย่าเพิ่งกลับจนกว่าสัญญาสุดท้ายของเขาต่อบัยตุลลอฮ์จะมีขึ้นก่อน(หมายถึงให้ตอวาฟอำลา)

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และรายงายของติรมิซีระบุว่า ผู้ใดทำฮัจญ์ที่บัยตุลลอฮ์นี้ หรือทำอุมเราะห์ก็ตาม จงให้มีสัญญาสุดท้ายกับบัยตุลลอฮ์เสียก่อน ต่อมาอุมัรได้กล่าวกับท่านว่า ท่านได้ตกหล่นจากมีอทั้งสองของท่าน ท่านได้ยินสิ่งนี้จากท่านนบี ซ.ล. แต่ท่านไม่ได้บอกเล่าให้พวกเรารู้

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ประชาชนทั้งหลายได้รับคำสั่งให้มีสัญญาสุดท้ายกับบัยตุลลอฮ์ ยกเว้นได้รับการผ่อนผันสำหรับผู้หญิงที่มีประจำเดือน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และนะซาอี

บทที่ 6

อิหซอร กอดอ ฟิดยะฮฺ

การอิฮซอร ฮัจญ์ (คือทำไม่ครบเพราะมึเหตุอุปสรรค)

อัลลอฮ์ตรัสว่า  “และท่านทั้งหลายจงทำฮัจญ์และอุมเราะฮฺให้ครบถ้วนเพื่ออัลลอฮ์ ครั้นหากพวกท่านถูกปิดล้อมก็ให้ทำกุรบานเท่าที่ (หาได้โดย) สะดวก และท่านทั้งหลายอย่าเพิ่ง โกนศีรษะ จนกว่าสัตว์กุรบานจะมาถึงที่ของมันก่อน”

จากอิบนิ อุมัร ร.ฎ.  กล่าวว่า  พวกท่านยังไม่พออีกหรือ ในแบบฉบับของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.     หากคนใดของพวกท่านถูกกักกันไว้มิให้ทำฮัจญ์ (จนครบถ้วน) ก็ให้เขาทำการ ตอวาฟบัยติลลาฮฺ และสะอาที่ซอฟา-มัรวะฮฺ หลังจากนั้นเขาเลิกพิธีจากทุกสิ่งที่ลูกห้ามได้ จนกระทั่งเขามาทำ (แก้ตัว)ในปีหน้า แล้วเขาเชือดสัตว์กุรบาน หรือถือศีลอดหากเขาไม่มีสัตว์กุรบาน

รายงานโดย บุคอรี

จากฮัจญาจ บินอัมริน ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  ผู้ใดถูกประทุษร้ายหรือป่วย เจ็บ เขาก็เลิกพิธีฮัจญ์ได้ และเขาต้องทำฮัจญ์ใหม่ในบีหน้า

อิกริมะฮฺกล่าวว่า  แล้วฉันได้ถามอิบนิ อับบาส และอะบี ฮุรอยเราะฮฺถึงเรื่องนั้น ทั้งสองตอบว่า  ถูกต้องแล้ว   

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากสุลัยมาน บินยะซาริ ร.ฎ.  เล่าว่า  ฮัมบาริบินอัสวัดได้มาในวันเชือดกุรบาน ขณะที่ อุมัรกำลังเชือดกุรบานของตนเอง เขาจึงพูดว่า  โอ้ผู้ปกครองมุอฺมินีน พวกเรานับจำนวนวันผิด พลาด พวกเราถูกทำให้มองเห็นไปว่า วันนี้คือวันอะระฟาต  อุมัรจึงบอกเขาว่า  ท่านจงไป ที่มักกะห์ แล้วจงทำฏอวาฟพร้อมกับผู้ที่ไปด้วยทุกคน และท่านทั้งหลายจงเชือดกุรบาน หากว่าพวกท่านมี หลังจากนั้นพวกท่านก็จงโกนผมหรือขลิบผมและจงกลับ ครั้นเมื่อถึงปีหน้า ท่าน ทั้งหลายก็จงทำฮัจญ์และจงเชือดกุรบาน แต่ผู้ใดไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ก็ให้เขาถือศีลอดสามวัน ในพิธีฮัจญ์และอีกเจ็ดวัน เมื่อกลับ (มาถึงบ้าน)

จากสุลัยมานเล่าว่า  อะบูอัยยูบ อันซอรี ร.ฎ.  ได้ออกไปทำฮัจญ์ จนเมื่อมาถึงพื้นที่โล่ง กว้าง จากทางมักกะห์ เขาก็พจัดหลงจากสัตว์พาหนะของเขา (และค้นหาจนกระทั่งพ้นวันอะระฟาต) จากนั้นเขาได้มาถึงอุมัร ร.ฎ.  ในวันเชือด แล้วเขาก็เล่าเรื่องราวให้อุมัรฟัง อุมัรจึงสั่งแก่เขาว่า ท่านจงทำแบบผู้ทำอุมเราะฮฺกระทำ หลังจากนั้นท่านก็เลิกพิธี ครั้นเมื่อถึง ฮัจญ์ในบีหน้า ท่าน ก็จงทำฮัจญ์ใหม่ และจงเชือดกุรบานตามแต่ท่านสะดวก

รายงานโดย อิหม่ามมาลิก

และอิมามมาลิกกล่าวว่า  และผู้ใดควบฮัจญ์อับอุมเราะฮฺหลังจากนั้นเขามีเหตุให้พิธีฮัจญ์ เลยพ้นเขาไป (โดยทำไม่ครบสมบูรณ์) เขาก็จะด้องทำฮัจญ์ใหม่ในปีหน้า และให้เขาควบระหว่าง ฮัจญ์และอุมเราะฮฺและให้เขาเชือดกุรบานสองตัว คือตัวหนึ่งสำหรับการควบของเขา และอีก ตัวหนึ่งสำหรับพิธีฮัจญ์ที่เลยพ้นเขาไปนั้น

อิหซอรในอุมเราะฮฺ

จากอิบนิ อุมัร ร.ฎ.  กล่าวว่า  พวกเราได้ออกไปพร้อมกับท่านนบี ซ.ล.  เพื่อทำอุมเราะฮฺ ครั้นแล้วพวกกุรอยช์ก็ขัดขวางพวกเรามิให้เข้ามาถึงบัยตุลเลาะฮฺ (โดยให้พวกเราอยู่ได้แต่หุดัยบียะฮฺ) ท่านรอซูลุลเลาะฮฺ ซ ล.  จึงเชือดอูฐกุรบานของท่าน และโกนศีรษะ

และในกระแสรายงานหนึ่งระบุว่า  ท่านรอซูลุลเลาะฮฺ ซ.ล.  ถูกจำจัดเขต (มิให้เข้ามาสู่บัยติลลาฮฺ) ท่านจึงโกนศีรษะของท่าน และท่านได้ประเวณีอับภริยาของท่าน และทำการเชือดกุรบานของท่าน จนกระทั่งท่านได้ทำอุมเราะฮฺในบีต่อไป

รายงานโดย บุคอรี

การประเวณีในพิธีส์จย์

อัลลอฮ์โองการว่า “ ผู้ใดตั้งเจตนาทำฮัจญ์ในช่วงเวลาเหล่านั้น เขาจะต้องไม่เกี้ยวพาราสีหญิง เขาต้องไม่เสเพล และไม่วิวาทในขณะทำฮัจญ์”

อุมัร บินคอตตอบ อะลี บินอะบีตอลิบ และอะบู ฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ.  ถูกถามถึงเรื่องที่ ชายคนหนึ่งได้ทำการประเวณีภริยาของเขา ขณะที่เขายังครองอิหรอมทำฮัจญ์อยู่ พวกเขากล่าว

ตอบเหมีอนกันว่า  คนทั้งสองบรรลุผลตามเจตนาของทั้งสอง จนกระทั่งทั้งสองทำฮัจญ์ให้ ครบถ้วนสมบูรณ์ หลังจากนั้นทั้งสองจะต้องทำฮัจญ์ในบีหน้า และต้องเชือดกุรบาน

รายงานโดย อิหม่ามมาลิก

ฟิดยะฮฺและสาเหตุ

อัลลอฮ์โองการว่า  “ผู้ใดปฏิบิติอุมเราะฮฺสืบต่อเข้าสู่พิธีฮัจญ์ ก็ให้เขาเชือดสัตว์เท่าที่ เขาหาได้โดยสะดวก แต่ถ้าใครไม่มีความสามารถก็ให้เขาถือศีลอดสามวันในช่วงทำฮัจญ์และอีก เจ็ดวัน เมื่อท่านทั้งหลายคืน (สู่บ้าน) นั้นเป็นจำนวนสิบวันครบถ้วน ข้อกำหนดนั้นสำหรับผู้ซึ่งมิได้ตั้ง ถิ่นฐานในปริมณฑลแห่งมัสญิดฮะรอม (คือมักกะห์)”

และอัลลอฮ์โองการว่า  “ดังนั้นผู้ใดในพวกท่านป่วยไข้ หรือมีความเดือดร้อนเก็ดขึ้น ที่ศีรษะของเขา (จนต้องโกนศีรษะ) ก็ให้เขาเสียฟิดยะฮฺ (ด้วยการเชือดแพะ) หรือทำทานหรือ ถือศีลอด

จากกะอับ บิน ฮุจเราะฮฺ ร.ฎ.  เล่าว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ ล.  ได้ผ่านมาที่เขาในเวลา (ที่ถูกจำจัดเขต ณ ตำบล) หุดัยบียะฮฺ โดยขณะนั้นเขากำลังนอนหนุนหม้อของเขา และเหา กำลังไต่ตอมบนใบหน้าของเขา ท่านจึงสั่งเขาว่า  ตัวสร้างปัญหาแก่ศีรษะของท่าน ทำให้ท่าน เดือดร้อนหรือ    เขาตอบว่า  ครับ  ท่านนบี ซ.ล.  จึงสั่งแก่เขาว่า  ท่านจงโกนศีรษะเสีย เถิด หลังจากนั้นท่านจงเชือดแพะหนึ่งตัว โดยถือเป็นพิธีกรรมส่วนหนึ่ง หรือจงถือศีลอดสามวัน หรือจงทำทานอินทผลัมสามซออํ เป็นอาหารแก่คนยากจนหกคน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และไนกระแสรายงานหนึ่งระบุว่า  เขากล่าวว่า  สำหรับฉันเป็นการเฉพาะเจาะจง ที่อัลกุรอานโองการนี้ลงมานั้นคือ  ผู้ใดจากพวกท่านป่วยไข้ (จนจบ) แต่สำหรับท่านทั้งหลาย โดยทั่วไป

การตอบแทนสัตว์ป่า

อัลลอฮ์โองการว่า  “โอ้ศรัทธาชน จงอย่าฆ่าสัตว์ป่าในขณะที่ท่านครองหิรอม และผู้ ใดฆ่าสัตว์ดังกล่าวโดยเจตนา เขาก็ต้องตอบแทนโดยเท่ากันกับที่เขาได้ฆ่า ด้วยการเชือดปศุสัตว์ โดยให้มีผู้ทรงคุณธรรมสองคนทำการขี้ขาดในการนั้น เป็นการเชือดพลีทาน เมื่อถึงกะอฺบะฮฺ (หมายถึงแผ่นดินหะรอมทั้งหมด) หรือให้เขาเสียกัฟฺฟาเราะฮฺ ด้วยอาหารที่ให้แก่คนยากจน หรือโดยเท่าเทียมกันนั้นด้วยการถือศีลอด ทั้งนี้เพื่อเขาจะได้สำนึกถึงความทุกข์แห่งการงาน ของเขาเอง อัลลอฮ์ทรงอโหสิให้แล้วในความผิดที่ได้กระทำล่วงพ้นมา แต่ผู้ใดหวนกลับคืน (ไปประพฤติอีก) อัลลอฮ์ก็จะลงโทษเขา และอัลลอฮ์ทรงอำนาจยิ่งนัก อีกทั้งทรงลงโทษ(ผู้กระทำผิด)”

จากอะบี ซุบัยร์เล่าว่า อุมัร ร.ฎ.  ได้จัดการตัดสินในการฆ่าตัว “หมาใน” ตาย ด้วย การเสียแกะหนึ่งตัว ในการฆ่า “เสียงผา” ด้วยการเสีย “แพะ” ในการฆ่ากระต่ายด้วยการเสีย “แมวป่า” และในการฆ่า “ยัรบูอฺ” ด้วยการเสีย “ลูกแพะ”

และสะอีด บิน มุรยับ ร.ฎ.  กล่าวไว้ในกรณีนกพิราบในมักกะห์ว่า เมื่อมันถูกฆ่าก็ต้อง เสียแพะ

เลียและชาฟิอีเพิ่มเติมว่า  และในกรณีอื่นจากนกพิราบมักกะห์และนกอื่น ๆ ให้ติดตามราคา

ของมัน

และอุมัร อุษมาน อาลี ซัยดี และอิบนุ อับบาส ร.ฎ.  ได้ตัดสินไว้ในการฆ่านกกระจอกเทศ ด้วยการเสียอูฐ

รายงานโดย ชาฟิอี

และท่านกล่าวไว้ในกรณี วัวป่าหรือลาป่า จะต้องเสียวัวบ้าน มีรายงานจากอะตออ์ ร.ฎ.  ในกรณีสุนัขจิ้งจอก ให้ชดใช้ด้วยแพะ ในกรณีอะบีร (สัตว์ ตัวเล็กๆ คล้ายแมวอาศัยตามคบไม้ก็นพืช) หากก็นมันได้ ก็ต้องชดใช้ด้วยแพะ และในตัวด๊อบ (ตัวเล็กๆ คล้ายแย้) ก็ต้องด้วยแพะเช่นเดียวกัน

อีมามชาฟิอี ร.ฎ.  กล่าวว่า หากเขามุ่งหมายถึงแพะตัวเล็กๆ เราก็เห็นด้วยกับคำพูดนั้น และถ้าเขาหมายถึงแพะครบขวบปีแล้ว เรามีความเห็นแตกต่างกับเขา

การบริจาคสัตว์พลึทานแก่ (คนจนใน) แผ่นดินหะรอม

อัลลอฮ์โองการว่า  “และอูฐที่ทำกุรบาน เราได้บันดาลมันให้เป็นหนึ่งจากบรรดาเอกลักษณ์แห่งอัลลอฮ์แด่พวกเจ้า ในนั้นมีความประเสริฐ ดังนั้นเจ้าทั้งหลายจงกล่าวถึงพระนามของอัลลอฮ์ ขณะเชือดมันเถิดขณะมันยืน ครั้นเมื่อสี่ข้างของมันล้มลงแล้ว (และตายสนิท) พวกเจ้าก็จงบริโภคมันเถิดในบางส่วน และจงให้ทานเป็นอาหารแก่คน (ยากเข็ญที่) มักน้อย และคน (ยากจนที่) เสนอตัว (มาขอ) เช่นนั้น เราได้อำนวยมันแก่พวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้กตัญญู

จากอิบนิอุมัร ร.ฎ.  กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ทำฮัจญ์แบบฅะมัตตุอ์อุมเราะฮฺเข้าสู่ ฮัจญ์ในการประกอบ ฮัจญ์อำลา และท่านได้เชือดกุรบาน โดยท่านต้อนสัตว์นั้นมาพร้อมกับท่าน จากหุลัยฟะฮฺ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

อะลีกล่าวว่า ท่านนบี ซ ล.  ได้ทำการเชือดกุรบานถึง 100 ตัว ต่อมาท่านได้ใช้ให้ฉัน จัดการแบ่งเนื้อของมัน และใช้ให้ฉันทำการแบ่งเครื่องหลังของมัน หลังจากนั้นก็ใช้ให้ฉันแบ่ง หนังของมัน

รายงานโตย บุคอรี

จากมัรวาน ร.ฎ.  กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ออกไปจากมะดีนะห์ในช่วงเหตุการณ์หุดัยบียะฮฺพร้อมกับสหายของท่านจำนวน 100 คนเศษ จนเมื่อท่านมาถึงหุลัยฟะฮฺ ท่านนบี ซ ล.  ก็ทำการผูกเกือกกับคอสัตว์กุรบาน และทำเครื่องหมาย (เป็นที่สังเกตว่าเป็นสัตว์กุรบาน) และ ท่านก็ครองอิหรอมทำอุมเราะฮฺ (มีรายงานข่าวระบุว่าท่านเชือดกุรบาน 70 ตัว ต่อสหายของท่าน 700 คน)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด และอะห์มัด

ท่านนบี ซ.ล.  ทำการละหมาดดุฮฺรที่ชุลหุลัยฟะฮฺ หลังจากนั้นท่านได้เรียกเอาอูฐมาตัว หนึ่ง แล้วท่านทำเครื่องหมายมันตรงแผ่นดะโหงกข้างขวาของมัน หลังจากนั้นท่านได้ปาดเลือด ออกจากตัวมัน และท่านนำเกือกเทำของมันขนมาแขวนไว้ที่ต้นคอของมัน

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี 

อาอิชะห์ ร.ฎ. กล่าวว่า  ฉันได้ถอดเชือกผูกคอของอูฐท่านนบี ซ ล.  ด้วยมีอของฉันเอง หลังจากนั้นท่านก็เอาไปแขวนไว้ที่คอของมัน และท่านทำเครื่องหมายแก่มัน และจัดการแจกจ่ายมันไป จากนั้นอะไรที่เคยต้องห้ามสำหรับท่าน (ขณะประกอบพิธีฮัจญ์) ก็เป็นที่อนุมัดแก่ท่าน

และในรายงานหนึ่งระบุว่า  ฉันเป็นผู้ถอดเชือกผูกคอแพะแกะของท่านนบี ซ ล.  แล้ว ท่านก็สั่งแพะเหล่านั้นไป หลังจากนั้นท่านก็อยู่แบบผู้เลิกพิธีแล้ว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

ในยามจำเป็นให้ขี่อูฐ (ที่จะเชือด) ได้

จากอะบีฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ.  เล่าว่า  ท่านนบี ซ ล.  มองเห็นชายคนหนึ่งกำลังไล่ต้อนอูฐ ตัวหนึ่ง ท่านจึงบอกกับเขาว่า  ท่านจงขี่มันสิ   เขากล่าวว่า  แต่มันเป็นอูฐกุรบาน  ท่านก็ยํ้าแก่ เขาว่า  ท่านจงขี่มันเถิด   ผู้รายงานเล่าว่า  ที่จริงฉันเห็นเขาขี่อูฐตัวนั้นร่วมเดินทางไปกับท่านนบี ซ.ล.  โดยเกือกของอูฐนั้นถูกแขวนไว้ที่ด้นคอของมัน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

อะบุ ซุบัยร์เล่าว่า ฉันได้ถามญาบิร ถึงเรื่องการขี่สัตว์กุรบาน เขาตอบว่า  ฉันได้ยินท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  ท่านจงขี่มันเถิดโดยคุณธรรม จนกว่าท่านจะได้สัตว์ตัวอื่นขี่ (ก็ให้ปล่อยมันเดินตัว เปล่า)

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด

ถ้าสัตว์กุรบานเก็ดล้มเจ็บกลางทาง ก็ให้เชือดเสีย

จากดุอัยบิอะ บีกอบีเซาะฮฺ โดยท่านยังอยู่ที่มาดินะฮฺ ในบางรายงานระบุจำนวน 18 ตัว หลังจากนั้นท่านกล่าวว่า ถ้าอูฐตัวใดเก็ดล้มเจ็บลง จนท่านกลัวมันจะตาย ท่านก็จงเชือดมันเถิด หลังจากนั้นท่านกล่าวว่า  ถ้าอูฐตัวใดเก็ดล้มเจ็บลง จนท่านกลัวมันจะตาย ท่านก็จงเชือดมันเถิด หลังจากนั้นท่านจงจุ่มเกือกของมันในเลือดของมันให้จม หลังจากนั้นก็น้ำมันมาประทับไว้ที่แผ่น ตะโหงกของมัน ส่วนท่านและคนที่ท่านสนิทสนมอย่ารับประทานมัน

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

บทที่ 7

แผ่นดินหะรอมทั้งสอง

บทนี้มี 5 บทย่อยและ 1 บทส่งท้าย

บทย่อยที่ 1 ความประเสริฐของมักกะฮฺ

อัลลอฮ์โองการว่า  “และเมื่ออิบรอฮีมได้กล่าวว่า  โอ้องคือภิบาลโปรดดลบันดาล เมืองนี้ให้เป็นเมืองที่มีสวัสดิภาพเถิด และโปรดประทานปัจจัยยังชีพแก่ชาวเมืองนั้น ด้วยผลไม้ หลากหลาย เฉพาะผู้ที่มีศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันสุดท้ายจากพวกเขา”

และเขา(อิบรอฮีม) กล่าวอีกว่า  แท้จริงฉันถูกบัญชาให้ทำการนมัสการต่อพระเจ้าแห่งเมืองนี้ ซึ่งพระองค์ทรงกำหนดฐานะต้องห้ามแก่มัน และทุกสิ่งเป็นสิทธิอำนาจของพระองค์ และฉันถูกบัญชาให้เป็นหนึ่งในบรรดาผู้สวามิภักดิ์

และอัลลอฮ์ทรงโองการว่า  “เรามิได้ให้พวกเขาได้มีอำนาจถิ่นฐานอยู่ในแผ่นดินต้องห้ามที่มีความปลอดภัยกระนั้นหรือ ซึ่งแผ่นดินนั้น บรรดาผลไม้ทุกชที่ถูกขนย้ายเข้ามา เพื่อเป็น ปัจจัยยังชีพจากเรา แต่ทว่าส่วนมากของพวกนั้นหารู้ไม่

จากอะบี ฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ.  กล่าวว่า  ชาวคุซาอะฮฺได้ฆ่าชายคนหนึ่งจากพวกบะนีลัยส์ ในปียึดมักกะห์ ด้วยสาเหตุมีผู้ถูกฆ่าคนหนึ่งจากพวกนั้น พวกเขาจึงฆ่าชายผู้นั้นเสีย (เพื่อแก้ แค้นให้เพื่อนของเขา) จากนั้นมีผู้นำข่าวดังกล่าวไปรายงานให้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ทราบ ท่านจึงขี่พาหนะของท่าน แล้วกล่าวแสดงเทศนาว่า  แท้จริงอัลลอฮ์ทรงกักช้าง (ในกองทัพ ที่มุ่งทำลายกะอฺบะฮฺในปีเก็ดของท่าน) มิให้เข้ามาถึงมักกะห์ และพระองค์ทรงประทานอำนาจแก่ รอซูลของพระองค์และมวลมุอฺมินีน ให้ปกครองเมืองนั้น  พึงสังวร  เมืองนั้นไม่อนุมัติแก่ผู้ใด ก่อนหน้าฉัน และจะไม่อนุมัติแก่ผู้ใดหลังจากฉัน  พึงสังวร  แท้จริงเมืองนั้นเป็นที่อนุมัติแก่ฉันเพียงหนึ่งชั่วโมงในตอนกลางวัน (และจะไม่อนุมัติให้ทำการรบในนั้นตลอดกาล )พึงสังวร   และแห้จริง ชั่วโมงของฉันนี้เป็นที่ต้องห้าม จะไม่มีการริหนามของมัน และไม่มีการตัดต้นไม้ ของมัน

มีเพิ่มในรายงานหนึ่งว่า  และไม่มีการขับไล่สัตว์ล่าของมัน และไม่มีการเก็บของตกในมัน นอกจากผู้ที่เก็บมาประกาศหาเจ้าของ และผู้ใดมีทายาทถูกฆ่าตาย ก็ให้เขาเลือกพิจารณาได้ลองแนว ทางคือ เขาเป็นฝ่ายถูกให้ (ค่าทำขวัญ) และถูกให้สิทธิฆ่าแทน  จากนั้นมีชายคนหนึ่งจากชาว ยะมันใต้ยืนขึ้น ซึ่งชายผู้นี้ถูกเรียกว่า อะบู ซาฮฺ แล้วเขาก็กล่าวว่า  โอ้เราะซูลุลลอฮ์ โปรด ปันทึกให้แก่ฉัน (ซึ่งคำสอนนี้ด้วย)  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. จึงสั่งว่า  ท่านทั้งหลายจงบันทึกให้แก่ อะบีซาฮฺเถิด  จากนั้นมีชายคนหนึ่งจากชาวกุรอยช์ได้พูดชื้นว่า  ยกเว้นต้นอิชคิร (เป็นต้นไม้ ชนิดหนึ่งมีกลิ่นหอม) เพราะพวกเราจะปลูกไว้ในบ้านของเรา และในสุสานของเรา ท่านรอซูลุลเลาะฮฺ ซ.ล.  จึงกล่าวว่า  ยกเว้นต้นอิซคิร

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอิบนิ อับบาส ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ ล.  กล่าวในวันยึดมักกะห์ว่า  ไม่มีการอพยพ อีกแล้ว แต่จะมีเพียงการต่อสู้และเจตนา (ในการต่อสู้) และเมื่อท่านทั้งหลายถูกสั่งให้ออกรบ พวกท่านก็จงออกรบเถิด  แท้จริงเมืองนี้อัลลอฮ์ได้ทรงบัญญัติให้เป็นเมืองต้องห้าม (ตั้งแต่) ในวันที่พระองค์ทรงสร้างน้ำและแผ่นดิน ดังนั้นมันจึงเป็นเมืองต้องห้าม ด้วยข้อห้ามของอัลลอฮ์ ตราบถึงวันก็ยามะห์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

และในรายงานหนึ่งระบุว่า  ไม่อนุมัติแก่คนใดจากพวกท่าน ที่จะถืออาวุธที่ มักกะห์

จากอะบี ซุรอยหฺ อัลอะดะลี ร.ฎ.  เขากล่าวกับอัมรินบินสะอีด (ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่ง ผู้นำมุสลิมปกครองมะดินะฮฺ ก่อนจากยะซีด บินมุอาวิยะฮฺ และเขาได้ชื้นแสดงคุตบะฮฺ ชักชวนให้ ประชาชนรบกับอิบนิ ซุบัยรุซึ่งไม่ยอมรับยะซีด) ซึ่งส่งกองกำลังไปยังมักกะห์ (เขากล่าว) ว่า  โอ้อัลอะมีร  โปรดให้อนุญาตแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอพูดกับท่านสักเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้เคยพูดไว้ในวันรุ่งขึ้นจากวันยึดมักกะห์ได้ ข้าพเจ้าได้ยินมากับหูของข้าพเจ้าเอง และข้าพเจ้าจำฝังใจมาจนบัดนี้ และข้าพเจ้าได้เห็นกับตาของข้าพเจ้าเอง ขณะที่ท่านรอซูลพูด เรื่องนี้ นั้นคือ  ท่านได้สรรเสริญอัลเลฺาะฮฺและสดุดีพระองค์ ท่านก็กล่าวว่า  ที่จริงมักกะห์ อัลลอฮ์ทรงหวงห้ามมันไว้ แต่มนุษย์ไม่หวงห้ามมัน ดังนั้นจึงไม่อนุมัติแก่บุคคลใดที่มีศรัทธา กับอัลลอฮ์และวันสุดท้าย ที่เขาจะหลั่งเลือด ณ ที่นั้น และไม่อนุมัติให้ตัดต้นไม้ที่นั้น แต่ถ้า จะมีใครสักคนหนึ่งคิดว่าเขาได้รับการผ่อนผัน โดยอ้างอิงถึงการรบของเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ในนั้น ท่านทั้งหลายก็จงแจ้งแก่เขาเถิดว่า  แห้จริงอัลลอฮ์ทรงอนุมัติให้แก่รอชูลของพระองค์ แต่ไม่อนุมัติ แก่พวกท่าน และที่อนุมัติแก่ฉันในนั้น ก็เพียงชั่วโมงในตอนกลางวัน และสถานะหวงห้ามและ มันได้กลับคืนมาแล้วในวันนี้ ประดุจเดียวกับสถานะหวงห้ามของมันเมื่อวันวาน และผู้ที่มาจงเผยแพร่ แก่ผู้ไม่ได้มาต่อไป  จากนั้นมีผู้ถามอะบี ซุรอยห์ว่า  อัมรฺได้กล่าวอะไรกับท่าน    เขากล่าวว่า  ฉันรู้เรื่องนี้จากท่านนี้เอง โอ้ อะบุชุรอยห์ แท้จริงแผ่นดินต้องห้าม ย่อมไม่ปกป้องผู้กระทำผิด และไม่ปกป้องผู้หลบหนีข้อหาฆ่าผู้อื่น และไม่ปกป้องผู้หลบหนีในข้อหาบิดพริ้ว

รายงานโดย บุคอรี ติรมิซี

อับดุลเลาะฮฺ บินอะดี อิบนิฮัมร๊ออ์ เล่าว่า  ฉันได้เห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ ล.  ยืนอยู่ บนฮัซวะเราะฮฺ (สถานที่แห่งหนึ่งในมักกะห์) แล้วท่านก็กล่าวว่า  ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ นั้น (แผ่นดินหะรอม) เป็นแผ่นดินแห่งอัลลอฮ์ที่ประเสริฐสุด เจ้าเป็นแผ่นดินแห่งอัลลอฮ์ ที่อัลลอฮ์ทรงโปรดเป็นที่สุด และมาดแม้นข้ามิได้ถูกบังคับให้ออกไปจากนั้น ข้าก็จะไม่ออกไป อย่างแน่นอน

จากอิบนิ อับบาส  ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวกับเมืองมักกะห์ว่า  อะไรหนอที่ทำให้เจ้าดีกว่าเมืองใดๆ และเจ้าเป็นที่รักต่อข้ายิ่งนัก มาดแม้นหมู่ชนของข้ามิได้ขับไล่ให้ออกไปจากเจ้า ข้าก็จะไม่ไปพำนักอยู่ ณ แผ่นดินอื่นจากเจ้าเป็นอันขาด

รายงานโดย ติรมิซี

เข้ามักกะห์ไม่ต้องครองอิหรอม

จากอนัส ร.ฎ.  เล่าว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้เข้าสู่มักกะห์ในปียึดมักกะห์ โดย ศีรษะของท่านมีหมวกเหล็กครอบกันอาวุธสวมอยู่ ครั้นเมื่อท่านได้ถอดมันออก ก็มีชายผู้หนึ่ง มาหาแล้วรายงานว่า  อิบนุคอตอล (ซึ่งเคยเข้าอิสลาม แล้วก็เลิกกลับไปนับถือคาสนาเดิม พร้อม ทั้งฆ่ามุสลิมคนหนึ่งตาย และจ้องจะทำร้ายท่านนบีตลอดเวลา เมื่อถึงวันที่ท่านนบีได้รับชัยชนะ เด็ดขาดยึดมักกะห์ได้ เขาก็กลัวตาย และเขาไปโอบกอดกะอฺบะฮฺไว้ เพื่อขอให้กะอฺบะฮฺคุ้มครอง เขากำลังโอบกอดผ้าคลุมกะอฺบะฮฺอยู่  ท่านนบีจึงสั่งว่า ท่านทั้งหลายจงฆ่าเขาเสีย (ก็มีนัดละฮฺ กับสะอีดบินหะรีษจัดการฆ่าเขาตามคำสั่ง)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากญาบิร  ร.ฎ.  เล่าว่า  ท่านนบี ซ.ล.  เข้ามักกะห์ โดยบนศีรษะของท่านมีสะระบั่น (ผ้าพ้นศีรษะ) สีดำ โดยท่านมิได้ครองอิหรอม

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การดื่มและเคลื่อนย้ายน้ำซัมซัม

จากอิบนิ อับบาส ร.ฎ.  กล่าวว่า ฉันได้บริการน้ำซัมซัมแก่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ท่านก็ดื่มในขณะที่ท่านกำลังยืน  อาชิมกล่าวว่า แต่อิกริมะฮฺรายงานว่า วันนั้นท่านนบีมิได้ยืน แต่ท่านนั่งบนอูฐ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

และสำนวนของบุคอรีคือ  ท่านนบี ซ.ล.  ได้ดื่มน้ำซัมซัมจากถังที่บรรจุมัน โดยท่าน กำลังยืนอยู่

จากอาอิชะฮฺ ร.ฎ.  เล่าว่า นางได้แบกน้ำซัมซัม และนางเล่าให้ฟังว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ก็เคยแบกมัน (ไปจากมักกะห์สู่มะดีนะห์)

รายงานโดย ติรมิซี

จากญาบิร  ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  น้ำซัมซัม (จะให้ผล) ตามที่มันถูกเจตนาดื่ม (ผู้ดื่มเจตนาขอจากอัลลอฮ์อย่างไร ก็จะได้ผลอย่างนั้น)

รายงานโดย อิบนุมายะฮฺ อะห์มัด อิบนุฮิบบาน

ภาคผลในการบริการน้ำแก่ผู้ทำฮัจญ์

จากอิบนิ อับบาส ร.ฎ.  เล่าว่า  ท่านนบี ซ.ล.  ได้มาที่จัดบริการน้ำ และท่านได้ขอน้ำ อับบาสจึงกล่าว (กับลูกชายของเขาชื่อฟะดอล) ว่า  ฟะดอลเอ๋ย ลูกจงไปหาแม่ แล้วจงนำน้ำที่มีอยู่ที่เขามาให้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ ล.  เถิด แต่ท่านนบีก็พูดว่า  จงให้น้ำดื่มแก่ฉัน  อับบาล ตอบว่า  โอ้เราะซูลุลลอฮ์  แท้จริงพวกเขาได้จุ่มมีอลงไปในที่นี้แล้วครับ  ท่านก็ยังกล่าวว่า  ท่านจงให้น้ำดื่มแก่ฉัน  จากนั้นท่านก็ดื่มน้ำ (ที่คนอื่นได้ดื่มจากที่เดียวกัน) หลังจากนั้นได้มาที่ บ่อซัมซัม ในขณะที่ผู้คนกำลังดื่มนํ้า และกำลังทำงานในนั้น (คือตักน้ำจากบ่อ) ท่านนบีก็กล่าวว่า  พวกท่านจงทำกันไปเถิด เพราะพวกท่านกำลังทำงานที่ดี  หลังจากนั้นท่านกล่าวต่อไปว่า  หากแม้นพวกท่านไม่ชนะ ฉันก็จะลงไปช่วย จนกระทั่งฉันวางเชือกลงบนนี้ และท่านได้ชี้มาที่ช่วง ไหล่ของท่าน

รายงานโดย บุคอรี

ขณะที่ อิบนุอับบาส ร.ฎ.  นั่งอยู่ที่กะอฺบะฮฺ มีอาหรับบ้านนอกคนหนึ่งได้เข้ามาหาเขา แล้วถามว่า  ฉันยังไม่เคยเห็นตระกูลของน้าชายพวกท่านดื่มน้ำผึ้งและนม พวกท่านได้แต่ดื่มุแช่ องุ่น เป็นเพราะความคับแค้นของพวกท่านหรือเป็นเพราะความตระหนี้    อิบนุอับบาสจึงตอบว่า  การสรรเลริญเป็นของอัลลอฮ์ มิใช่เพราะพวกเราคับแค้น และมิใช่เพราะพวกเราตระหนี้หรอก ท่านนบี ซ.ล. ได้มาถึงมักกะห์ โดยท่านอยู่บนพาหนะของท่าน และมีอุซามะฮฺนั่งอยู่ข้างหลัง ของท่าน แล้วท่านก็ขอน้ำดื่ม พวกเราจึงนำภาชนะบรรจุน้ำแช่องุ่นมาให้ท่าน ท่านก็ดื่มมัน และให้ส่วนเหลือดื่มแก่อุซามะฮฺ และท่านกล่าวว่า  พวกท่านทำดีแล้ว และพวกท่านทำงดงามมาก ดั่งนี้แหละพวกท่านจงทำเถิด ดังนั้นพวกเราจึงไม่ปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด

บทที่ 2

เรื่องกะอฺบะฮฺ อัลลอฮ์ทรงพิทักษ์

อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า  “แท้จริงบ้านหลังแรกที่ถูกสร้างไว้สำหรับมนุษยชาติ ได้แก่บ้าน ที่อยู่ ณ มักกะห์ เป็นบ้านที่มีความมงคลยิ่ง และเป็นสิ่งนำทางสำหรับชาวโลกทั่งมวล ในนั้น มีสัญลักษณ์อันแจ้งชัด เป็นที่ยืนของอิบรอฮีม และผู้ที่เข้าไปในนั้นเขาย่อมเป็นผู้ปลอดภัย”

และอัลลอฮ์ทรงตรัสอีกว่า “และเมื่ออิบรอฮีมยกรากฐานของบัยตุลเลาะฮฺร่วมกับอิสมาอีล (พร้อมทั่งขอพรว่า) โอ้องค์อภิบาลของเรา ขอได้โปรดตอบรับจากเราด้วยเถิด แท้จริง พระองค์ทรงไค้ยินพระองค์ทรงรอบรู้”

และอัลลอฮ์ทรงตรัสว่า  “อัลลอฮ์ทรงบันดาลกะอฺบะฮฺให้เป็นบ้านต้องห้าม เป็นที่ ดำรง (การอิบาดะฮฺ) สำหรับมวลมนุษย์”

จากญาบิร  ร.ฎ.  กล่าวว่า  เมื่อกะอฺบะฮฺถูกก่อสร้าง ท่านนบี ซ.ล.  และอับบาสได้ ออกไปเคลื่อนย้ายหินด้วยตนเอง จากนั้นอับบาสได้กล่าวกับท่านนบี ซ.ล. ว่า  ท่านจงรั้งผ้านุ่ง ของท่านขึ้นมาบนหัวเข่า (จะได้ยกหินได้สะดวก) ท่านถึงกับล้มลงบนพื้นดิน (ด้วยความตกใจ กับคำแนะนำของอับบาส เพราะท่านไม่เคยเปิดเผยร่างกายถึงขนาดนั้น) ตาของท่านทั้งสองข้าง เหลือกขึ้นไปยังเบื้องหน้า (ด้วยความกลัวอัลลอฮ์) แล้วท่านได้กล่าวว่า ท่านจงให้ฉันเห็นผ้านุ่ง ของฉัน  แล้วท่านก็ผูกมันไว้กับตัวท่านจนแน่น

มีบางรายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากวันนั้น ไม่มี ผู้ใดเห็นท่านเปิดเผยร่างกายอีกเลย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

อนุมัติให้ละหมาดในกะอฺบะฮฺ

จากอิบนิ อับบาส ร.ฎ.  เล่าว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เมื่อมาถึงมักกะห์ ท่านก็ปฏิเสธ ที่จะเข้าในบัยตุลเลาะฮฺ เพราะในนั้นมี (รูปปั้นที่พวกอาหรับนับถือเป็น) พระเจ้าต่างๆ ดังนั้น ท่านจึงใช้ให้เคลื่อนย้ายมันออกไปให้พ้น แล้วพวกซอฮาบะฮฺก็จัดการเคลื่อนย้ายรูปปั้นเหล่านั้น ซึ่มีรูปปั้นของอิบรอฮีมและอิสมาอีล ซึ่งในมีอของรูปปั้นทั้งสองนั้นมีถ้วยเสียงทาย (ตามคตินิยมของพวกอาหรับสมัยก่อน เมื่อจะเสียงทายก็ใช้ถ้วยนั้นเสียงทาย โดยทำก้อนไม้เล็กๆ อันหนึ่งเขียนว่า จงทำ อีกอัน อย่าทำ อีกอัน ว่างไว้ ต่อมาเมื่อจะเริ่มทำก็จกรรมใดๆ ก็จะโยนก้อนไม้ทั้ง 3 นั้นลงในภาชนะ คือ ถ้วยดังกล่าว เพื่อสังเกตว่าจะมีไม้ก้อนใดกระเด็นออกมาจาก ถ้วย แล้วก็จะทำตามที่เขียนไว้ แต่ถ้าออกก้อนที่ 3 จะต้องเสียงทายใหม่ การกระทำเช่นนี้เป็น การกระทำที่ผิดต่อบัญญัติอิสลาม ผู้คิดวิธีการเสียงทายเช่นนี้ขึ้นได้แก่ “อัมรฺ บิน ละฮุย์” ในสมัย โบราณ) ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ ล.  จึงกล่าวว่า  อัลลอฮ์ได้พิฆาตพวกเขาอย่างแน่นอน ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ที่จริงพวกเขาก็รู้ว่า นบี (อิบรอฮีมและอิสมาอีล) ทั้งสองนั้น ไม่เคยเสียงทาย กับถ้วยแบบนั้นอย่างเด็ดขาด จากนั้นท่านก็เข้าไปในบัยตุลเลาะฮฺ แล้วท่านก็ทำการกล่าวตักบีร ในรอบด้านของบัยตุลเลาะฮุ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด

จากอิบนิ อุมัร ร.ฎ.  กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ ล.  ได้เข้าไปในบัยตุลเลาะฮฺพร้อม กับอุซามะฮฺ บิลาล และฮฺษมาน อิบนุตอลฮะฮฺ จากนั้นทั้งหมดก็ปิดประตูใส่สลักไว้เลย ครั้นเมื่อ พวกเขาเปิดประตู ฉันก็เป็นคนแรกที่เข้าไป แล้วฉันได้พบกับบีลาล ฉันจึงถามเขาว่า  ท่าน เราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ทำการละหมาดในนั้นหรือเปล่า    บีลาลตอบว่า  ถูกต้อง ท่านทำละหมาด ระหว่างสองเสาที่อยู่ทางด้านยะมัน

และในกระแสรายงานหนึ่งระบุว่า  ท่านนบีหันให้เสาหนึ่งอยู่ด้านซ้ายของท่าน และ สองเสาให้อยู่ทางขวามีอของท่าน และอีกสามเสาอยู่ด้านหลังของท่าน บัยตุลเลาะฮฺในสมัยนั้น มีหกเสา หลังจากนั้น ท่านก็ทำละหมาด

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

จากอาอิชะห์ ร.ฎ.  กล่าวว่า  ท่านนบี ซ.ล.  ได้ออกไปจากฉันอย่างเป็นสุข หลังจาก นั้นท่านกลับมาหาฉันอีกอย่างทุกข์ตรม แล้วท่านกล่าวว่า  ฉันได้เข้าไปในกะอฺบะฮฺ และหากฉันทำ ให้ภารก็จของฉันที่ล่วงพ้นไปแล้ว ได้มาปรากฏข้างหน้าได้ ฉันก็ไม่เข้าไปในนั้นหรอก ฉันกลัว ว่าฉันจะเป็นต้นเหตุให้เก็ดความลำบากแก่ประชาชนของฉัน (ด้วยความเข้าใจว่า การเข้าไปนั้น เป็นข้อบังคับให้ต้องกระทำ)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

จากอาอิชะฮฺกล่าวว่า  ฉันชอบเข้าไปในบัยตุลเลาะฮฺ และทำการละหมาดในนั้น ต่อมา ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้จับมีอของฉัน แล้วจูงฉันเข้าไปตรงหินโค้ง แล้วท่านก็กล่าวว่า  เธอ จงละหมาดในบริเวณหินโค้งนี่แหละ หากเธอประสงค์จะเข้าไปในบัยตุลเลาะฮฺ ที่จริงบริเวณ หินโค้งก็เป็นส่วนหนึ่งจากบัยตุลเลาะฮฺ ทั้งนี้เพราะพวกของเธอ (ในสมัยโบราณ)ได้ลด (ส่วน ของกะอฺบะฮฺให้น้อยกว่าที่เป็นฐานจริง เพราะขาดทุนทรัพย์สุจริตที่จะต่อเติมให้ครบรูปแบบเดิมได้) ในขณะที่พวกเขาทำการก่อสร้างกะอฺบะฮฺ ดังนั้น พวกเขาจึงจัดให้มันออกนอกไปจากตัวบัยตุล เลาะฮฺ (โดยก่อเป็นหินโค้งตามรูปบัยตุลเลาะฮฺ กันให้รู้ว่า บริเวณส่วนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของบัย ตุลเลาะฮฺ)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอาอิชะห์ กล่าวว่า  ฉันได้ถามเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ถึงส่วนหินโค้งนั้น ว่าเป็นส่วน หนึ่งของบัยตุลเลาะฮฺหรือไม่   ท่านตอบว่า  ใช่   ฉันถามอีกว่า เพราะอะไรพวกเขา (ชาว อาหรับยุคโบราณที่ทำการสร้างซ่อม) จึงไม่ทำมันเข้าไปอยู่ในส่วนบัยตุลเลาะฮฺ  ท่านตอบว่า  เพราะพวกของเธอ (ในสมัยนั้น) มีค่าใช้จ่ายอันจ่าจัด ฉันถามต่อไปว่า แล้วเพราะเหตุใดประตูของบัยตุลเลาะฮฺจึงสูง    ท่านตอบว่า  พวกของเธอทำไว้อย่างนั้น ก็เพื่อพวกเขาจะได้ให้ใครเข้า ตามที่พวกเขาประสงค์ และห้ามมิให้เข้า แก่ผู้ที่พวกเขาประสงค์ และหากพวกของเธออยู่ใน สมัยใกล้เคียงกับยุคญาฮิลยะฮฺ แล้วฉันก็เกรงว่า หัวใจของพวกเขาจะคัดค้าน แน่นอนฉันมีความเห็น ว่า ฉันจะต้องจัดให้ส่วนหินโค้งนี้เข้าไปอยู่ในส่วนของบัยตุลเลาะฮฺด้วยเป็นแน่ และฉันจะต้อง ลดประตูลงมาติดกับพื้นอย่างแน่นอน

และในกระแสรายงานหนึ่งระบุว่า หากแม้นพวกของเธอไม่อยู่ใกล้เคียงกับสมัยของการ ทำชิริก แน่นอนฉันจะจัดการทำลายกะอฺบะฮฺ แล้วจัดการให้มันอยู่ติดกับพื้นดิน และทำประตู ให้มันสองประตู คือ ประตูทางทิศตะวันออก กับประตูทางทิศตะวันตก เพื่อประตูหนึ่งพวก เขาได้เข้า และอีกประตูหนึ่งพวกเขาได้ออกกัน และฉันจะเพิ่มเข้าไปอีกหกคอกจากบริเวณหินโค้ง เพราะพวกกุรอยช์ (สมัยเก่า) ได้ลดส่วนของมันลง ขณะพวกเขาทำการสร้างกะอฺบะฮฺ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

คลังแห่งกะอฺบะห์

จากอาอิชะห์ ร.ฎ.  เล่าว่า  ฉันไค้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า  ทากแม้นพวก ของเธอมิใช่มีสมัยใกล้เคียงกับสมัยญาฮีลิยะฮฺ หรือท่านกล่าวว่า กับสภาพกาฟิร แน่นอนฉันจะ นำคลังแห่งกะอฺบะฮฺมาใช้จ่ายไปในทางของอัลลอฮ์ และจะเปลี่ยนประตูของมันให้อยู่ติดกับ พื้น และจัดการให้ส่วนหินโค้งเข้าไปอยู่ภายในตัวอาคารของบัยตุลเลาะฮฺด้วย

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

ซะกีก  ร.ฎ.  กล่าวว่า  ฉันได้อยู่ร่วมกับชัยบะฮฺ บิน อุษมาน แล้วเขากล่าวว่า  อุมัรได้นั่งอยู่ในที่นั่งที่ท่านกำลังนั่งนี่แหละ (ทั้งสะกีกและอุษมาน ล้วนเป็นผู้รับใช้กะอฺบะฮฺ ซึ่งนั่งประจำอยู่ในนั้น)  แล้วเขาก็กล่าวต่อไปอีกว่า  ฉันจะไม่ออก (ไปจากที่นี่) จนกว่าฉันจะแบ่งปันทรัพย์สินแห่งกะอฺบะฮฺ  ฉันจึงพูดกับเขาว่า  ท่านทำไม่ได้หรอก เขากล่าวว่า  ที่จริง ขอสาบานฉันจะต้องทำ  ฉันกล่าวว่า  ท่านทำไม่ได้หรอก  เขาถามว่า  เพราะอะไร    ฉัน ตอบว่า  เพราะท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เอง ไค้เคยเห็นสถานที่ของท่าน (ตรงนี้) รวมทั้ง อะบูบักรฺด้วย และทั้งสองก็มีความปรารถนาแรงกล้าต่อทรัพย์ฉันยิ่งกว่าท่านเสียอีก แต่ทั้งสองยัง ไม่เคลื่อนไหวมันได้ จากนั้นเขาจึงยืนขึ้นแล้วก็ออก (ไปจากบัยตุลเลาะฮฺ)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด

และคำรายงานของบุคอรีระบุว่า  ฉันครุ่นคิดว่า ฉันจะ (เอาให้หมดเลย) ไม่ทิ้งไว้ในนั้น ไม่ว่าทรัพย์สินสีเหลือง (ทองคำ) และไม่ว่าทรัพย์สินสีขาว (เงิน) ก็ตาม นอกจากฉันจะเอามา แบ่งปันมันทั้งหมด  ฉันจึงบอกว่า  มิตรทั้งสองของท่าน ยังทำไม่ไค้  เขาพูดว่า  ทั้งสองนั้น เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ที่ฉันต้องถือเป็นแบบฉบับปฏิบัติตามร่องรอย

ผู้คิดร้ายต่อกะอฺบะฮฺถูกธรณีสูบ

จากอาอีชะฮฺ ร.ฎ.  กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ ล.  กล่าวว่า มีกองทัพหนึ่งมุ่งมา โจมตีกะอฺบะฮฺ ครั้นเมื่อพวกนั้นมาถึงแผ่นดินทุ่งราบก็ปรากฏว่า คนแรกจนสุดท้ายของพวกเขา ถูกธรณีสูบลงจนหมดสิ้น  ฉันถามว่า  โอ้เราะซูลุลลอฮ์ เป็นไปได้อย่างไร ทั้งๆ ในพวกเขามี ทั้งมวลชนของพวกเขา และที่มิใช่พวกเขา (มิได้มีเจตนาแบบเดียวกัน)  ท่านนบีตอบว่า  คน แรกจนคนสุดท้ายของพวกเขาถูกธรณีสูบจมหายไป แล้วหลังจากนั้น (เมื่อถึงวันกิยามะห์) พวกเขา ก็จะถูกฟื้นมาตามเจตนาของพวกเขา (ในแต่ละราย)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

จากอะบี ฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  กะอฺบะฮฺจะถูก (ยกกองทัพมา) ทำลายโดยคนเชื้อชาติที่มีขาเล็กทั้งสองขา เป็นพวกอับซะฮฺ

และในรายงานหนึ่งระบุว่า  คล้ายกับว่าฉันรู้สึกถึงความต่ำที่สุดของเขา และปลายเทำ ของเขาเรียวลีบชิดกัน แต่ตาตุ่มเขาห่างกัน เขามารื้อถอนบัยตุลเลาะฮฺ โดยถอดหินที่ละก้อนทีละก้อน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม 

บทที่ 3

ความประเสริฐของมะดีนะห์

เล่าจาก ญาบีร บิน สะมุเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าว่า  แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงตั้งชื่อ มะดินะห์ว่า ตอบะฮฺ (ที่ดี - طَابَةٌ)

จากอะบี ฮุรอยเราะฮฺ  ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  ฉันได้รับบัญชาให้ไปสู่เมืองหนึ่ง ซึ่งจะควบคุมบรรดาเมืองอื่นๆ เมืองฉันพวกเขาเรียกว่า ยัธริบ และมันคือ มะดีนะห์ มันละลาย (ความชั่วของ) มนุษย์ ประดุจดังเตาหลอมละลายเนื้อร้ายของเหล็กกระนั้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

จากญาบีร ร.ฎ.  กล่าวว่า  มีอาหรับชนบทคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล.  แล้วทำสัญญาเข้า อิลลามต่อท่านนบี ต่อมาวันพรุ่งนี้เขาก็มาอีก แต่อยู่ในอาการไข้ เขาจึงกล่าว (กับท่านนบี) ว่า  ท่านจงยกเลิกสัญญาแก่ข้าพเจ้าเถิด   ท่านนบีปฏิเสธถึงสามครั้ง  แล้วอาหรับชนบทคนนั้นก็ ออกไป (จากมะดีนะห์) ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ ล.  จึงกล่าวว่า  มะดีนะห์ เปรียบดังเตาหลอม ซึ่งชะส่วนที่เลวร้ายของมันออก และทำให้ส่วนดีของมันสะอาดหมดจด

จากอะบี ฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า แท้จริงศรัทธาจะชุมนุมอยู่ที่มะดีนะห์ ประดุจดังงูที่อยู่ประจำรูของมัน

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี และติรมิซี

จากอะบี ฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ.  กล่าวว่า  เมืองอิสลามสุดท้ายที่จะพังทลาย คือ มะดีนะห์

รายงานโดย ติรมิซี

บทที่ 4

มะดีนะห์เป็นเมืองต้องห้าม

จากอับดุลเลาะฮฺ บินซัยด์ บิน อาชิม ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ ล.  กล่าวว่า  นบีอิบรอฮีมได้ กำหนดให้มักกะห์เป็นเขตหวงห้าม และเขาได้ขอพรให้แก่ชาวเมืองมักกะห์ และตัวฉันได้กำหนด ให้มะดีนะห์เป็นเขตหวงห้าม ประดุจเดียวกับนบีอิบรอฮีม ได้กำหนดมักกะห์เป็นเขตหวงห้าม และฉันขอพรให้ซออี (อัตรา 4 ทะนาน) ของมัน และมุด (ทะนาน) ของมัน ให้เป็นสองเท่ากับที่ นบีอิบรอฮีมได้ขอไว้แก่ชาวมักกะห์

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และติรมิซี

จากอะลี ร.ฎ.  กล่าวว่า  ใครที่คิดว่าเรามีสิ่งใดที่เราอ่านมัน นอกจากคัมภีร์แห่งอัลเลาะฮฺ และกระดานแผ่นที่ (ที่แขวนที่ฝักดาบ) แน่นอนเขาได้พูดเท็จแล้ว ในกระ ดาษแผ่นนั้นมี (ระบุ เที่ยวกับเรื่อง) ฟันอูฐ (อันแสดงถึงขนาดที่จะใช้ในภารชำระค่าทำขวัญฆาตกรรม) และเรื่อง อื่นๆ อีก  และในกระดาษนั้นบันทึกคำกล่าวของท่านนบี ซ.ล.  ที่ว่า  มะดีนะห์เป็นเขตหวงห้ามระหว่าง (ภูเขาสองลูก ลูกหนึ่งอยู่ด้านใต้ของมะดีนะห์คือ เขา) อัยร์ และ (อีกลูกหนึ่งอยู่ ด้านซ้ายของมะดีนะห์ คือ เขา) เซาว์ ดังนั้นผู้ใดได้ประดิษฐ์อุตริกรรมขึ้นในนั้น หรือให้การ สนับสนุนแก่ผู้ประดิษฐ์อุตริกรรม แน่นอนเขาย่อมได้รับการสาปแช่งของอัลเลาะฮฺ ของมลาอิกะฮฺ และของมนุษย์ทั้งมวล อัลลอฮ์ไม่รับรองเขาในวันกิยามะฮฺ ทั้งกิจกรรมอาสา และกิจกรรม บังคับก็ตาม และผู้ใดอ้าง (สืบตระกูลตัวเอง) ถึงผู้ที่ ไม่ใช่บิดาของเขา หรือเขายอมรับผู้อื่นมา เป็นผู้ปกครอง(โดยปฏิเสธผู้ปกครองที่แท้จริงของเขา) แน่นอนเขาย่อมได้รับการสาปแช่งจาก อัลเลาะฮฺจากมะลาอิกะห์ และมนุษย์ทั้งมวล อัลลอฮ์ไม่รับจากเขา ทั้งกิจกรรมอาสาและกิจกรรมบังคับ

และอะบุ ฮุรอยเราะรุ  ร.ฎ.  กล่าวว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กำหนดเขตหวงห้าม ไว้ระหว่างพื้นที่ที่มีหินเป็นพื้นสี่ดำสองด้าน (คือด้านตะวันออกและด้านตะวันตก) ดังนั้นหาก ฉันพบเนื้อสมันในระหว่างสองพื้นที่ดังกล่าวนั้น แน่นอนฉันไม่ไล่จับมัน และท่านนบีได้กำหนด ระยะทางไว้ 12 ไมล์ รวมมาดีนะห์เป็นเขตสงวน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี

และในรายงานหนึ่งของมุสลิมระบุว่า  โอ้อัลลอฮ์ แท้จริงนบีอิบรอฮีมได้หวงห้าม มักกะห์ โดยกำหนดให้มันเป็นเขตหวงห้าม และฉันได้กำหนดให้มาดีนะห์เป็นเขตหวังห้ามใน พื้นที่ระหว่างภูเขาสองลูก เพื่อมิให้มีการหลั่งเลือด และมิให้พกพาอาวุธเพื่อการรบในพื้นที่นั้น และมิให้ตัดโค่นต้นไม้ นอกจากเพื่อเป็นอาหารของสัตว์

และรายงานของอะบูดาวุด  หญ้าของมันจะต้องไม่ถอน สัตว์ป่าของมันจะต้องไม่ไล่ต้อน และสิ่งของตกหล่น เก็บตกของมันก็ไม่มีการเก็บเอาไว้ นอกจากสำหรับผู้ประกาศหาเจ้าของ

ผู้ใดทำลายต้นไม้ในเขตหวงห้าม หรือสัตว์ป่าของมัน จะต้องถูกยึดเสื้อผ้าของเขา

สะอัด บิน อะบีวักกอส ได้ขี่พาหนะเดินทางไปยังบ้านของเขาที่อะกีก แล้วเขาได้พบทาสคนหนึ่งตัดไม้ หรือโค่นไม้ ดังนั้นเขาจึงสั่งยึดสิ่งติดตัวของทาสดังกล่าวไว้ ต่อมามีครอบครัวของทาสนั้นมาแล้วพวกเขาได้เจรจากับสะอัด เพื่อให้เขาส่งคืนสิ่งที่เขาได้ยึดไปจากเด็กผู้นั้น แต่เขากล่าวว่า  ขอให้อัลลอฮ์คุ้มครอง ฉันจะไม่ส่งคืนสิ่งใดก็ตามที่ท่านรอชูลุลเลาะฮฺ ซ.ล.  ได้บัญญัติให้เป็นของแถมแก่ฉัน และเขาปฏิเสธที่จะส่งคืนแก่พวกนั้น

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด

และสำนวนของมุสลิมระบุว่า  ฉันได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า  ใครตัด ต้นไม้จากมาดีนะรุ ที่จริงสำหรับผู้ที่เอามันไว้นั้น จะต้องยึดสิ่งติดตัวของเขาไว้(โดยเว้นเสื้อผ้า พอปิดเอาเราะห์)

จากสะอัด บินอะบีวักกอส  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กำหนดเขตหวงห้ามไว้แก่ แผ่นดินหวงห้ามนี้(คือมะดีนะห์) และท่านกล่าวว่า ผู้ใดพบเห็นใครทำการล่าสัตว์ในนั้น ท่านจงยึดเสื้อผ้าของผู้นั้นไว้

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

มาดีนะห์ได้ริบการพิทักษ์ไว้โดยการสงเคราะห์ของอัลเลาะฮฺ

จากอะบีฮุรอยเราะฮุ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  บนเส้นทางของมะดีนะห์มี มลาอิกะฮฺคอยรักษา โรคกาฬโรคและดัจญาล จะไม่เข้าไปในนั้นได้

ในรายงานหนึ่งระบุว่า  ดัจญาลจะสามารถเข้ามะดีนะห์ได้ ในวันนั้นมะดีนะห์จะมีประตู ถึงเจ็ดประตูแต่ละประตูมีมลาอิกะฮฺถึงสองท่านดูแล

จากอะนัส ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ ล.  กล่าวว่า  ไม่ว่าเมืองใดก็ตาม(ในโลกนี้) นอกจาก ดัจญาลจะต้องเหยียบย่างเข้าไปทั้งสิ้น ยกเว้นมักกะห์และมะดีนะห์ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางส่วนใดก็ตามของเมืองทั้งสอง นอกจากจะต้องมีมลาอิกะห์ตั้งแถวคอยระวังรักษา หลังจากนั้น มะดีนะห์จะสั่นสะท้านแก่ผู้อยู่อาศัยในมันสามครั้ง แล้วจะมีคนกาฟิรและคนมุนาฟิกออกมา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

และรายงานของมุสลิมระบุว่า  ดัจญาลจะมาทางด้านตะวันออก ความมุ่งมาดของมัน คือมะดีนะห์ จนกระทั้งมันลงพักอยู่เบื้องหลังภูเขาฮฺหุด หลังจากนั้นมลาอิกะฮฺจะหันใบหน้าไป ทางเมืองชาม และที่ นั้นเองมันก็สิ้นฤทธิ์

จากสะอัด ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  ไม่ว่าผู้หนึ่งผู้ใดก็ตามที่วางแผนทำลาย มะดีนะห์ นอกจาก เขาต้องประสบกับความล้มเหลว เหมือนเช่นเกลือที่ละลายตัวในน้ำ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

และสายคนหนึ่งของมุสลิมว่า  ผู้ใดปรารถนาร้ายต่อชาวมะดีนะห์ อัลลอฮ์จักละลาย เขา เหมือนเช่นเกลือละลาย(เมื่ออยู่)ในน้ำ

บทที่ 5

ท่านนบี ซ.ล.  ขอพรให้มะดีนะห์

จากอาอิชะห์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ ล.  กล่าวว่า  โอ้อัลลอฮ์ โปรดบันดาลให้พวกเรา มีความรักต่อมะดีนะห์ ประดุจดังความรักของเราที่มีต่อมักกะห์หรือให้รุนแรงกว่า  โอ้อัลลอฮ์ โปรดประทานความเจริญรุ่งเรืองแก่พวกเรา ในจำนวนซออ์(4 ทะนาน) ของเรา และในทะนานของเรา และโปรดประทานสุขภาพพลานามัยแก่พวกเรา  และโปรดเคลื่อนย้ายความป่วยไข้ ของมันไปยังหมู่บ้านยุฮฟะฮฺ(ซึ่งเป็นหมู่บ้านของพวกกาฟิรในสมัยนั้น) อาอิชะห์กล่าวว่า และพวกเราได้มาถึงมะดีนะห์ โดยที่มะดีนะห์เป็นแผ่นดินที่มีโรคระบาดมากที่สุด เฉพาะอย่างยิ่งห้วยบุตฮานน้ำ (ซึ่งเป็นพาหนะน้ำโรคระบาด) ไหลเอ่อพันพื้นดิน  นางกล่าวว่า เมื่อท่าน เราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  ได้มาถึงมะดีนะห์ อะบูบักรฺกับบิลาลก็ล้มป่วยลง ส่วนอะบูบักรฺนั้น เมื่อมีพิษไข้จับท่าน ท่านก็กล่าวว่า คนทุกคนอยู่ยามเช้าในครอบครัว และความตายใกล้ตัวเขายิ่งเสียกว่าคู่รองเท้า และบิลาลเมื่อพิษไข้หายไปจากเขา เขาก็พูดขึ้นด้วยเสียงอันตังว่า พึงสังวร ฉันหวังเหลือเกิน ว่าฉันคงจะได้ค้างคืนสักคืนหนึ่ง ณ ท้องทุ่ง และ รอบตัวฉันมีพืชอิซคิร และยะลีล และในวันหนึ่ง ฉันคงจะได้ผ่านมายังสายน้ำแห่งมะยินนะฮฺ และภูเขาซามะฮฺ และตอพิล ก็คงได้ปรากฏให้ฉัน (ได้เห็น)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

และรายงานของมุสลิมระบุว่า  พวกเราได้มาถึงมะดีนะห์ ในขณะที่กำลังมีโรคระบาด อะบุบักรฺและบิลาลก็ป่วยด้วย  ครั้นเมื่อท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ ล.  ได้เห็นอาการป่วยของสหาย ท่านก็กล่าวว่า  โอ้อัลลอฮ์ โปรดบันดาลให้พวกเรามีความรักมะดีนะห์ เหมือนที่ พระองค์ทรง บันดาลให้รักมักกะห์หรือมากกว่า ขอพระองค์ได้โปรดทำให้มะดีนะห์ปลอดโรคเถิด และโปรด ประทานความเจริญแก่พวกเราในซออ์ของมัน และทะนานของมัน และโปรดย้ายความป่วยไข้ ของมันไปยัง ยุฮฺฟะฮฺ

และในรายงานหนึ่งระบุว่า  โอ้อัลลอฮ์ โปรดบันดาลความเจริญให้เกิดขึ้นในมะดีนะห์ เป็นสองเท่าที่บันดาลแก่มักกะห์

และรายงานของมุสลิมระบุว่า  โอ้อัลลอฮ์ โปรดประทานความเจริญแก่เรา ในเมือง มะดีนะฮฺของเรา

และในรายงานหนึ่งระบุว่า  โอ้อัลลอฮ์ โปรดประทานความเจริญแก่พวกเราในซออ์ ของเรา  โอ้อัลลอฮ์ โปรดประทานความเจริญแก่พวกเราในทะนานของเรา โอ้อัลลอฮ์ โปรดบันดาลพร้อมความเจริญให้เป็นสองเท่า

จากอะนัส ร.ฎ.  กล่าวว่า  ท่านนบี ซ.ล.  เมื่อกลับมาจากการเดินทาง ท่านก็จะมอง ไปยังมะดีนะห์ ท่านเร่งพาหนะของท่าน และหากท่านอยู่บนสัตว์พาหนะ ท่านก็กระตุ้นมันให้เดินเร็วๆ ทั้งนี้เพราะท่านมีความรักในมะดีนะห์ (ต้องการกลับมาถึงอย่างรวดเร็ว)

จากอะนัส กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ ล.  มองไปที่ภูเขาอุหุด แล้วกล่าวว่า  แท้จริงอุหุดเป็นภูเขาลูกหนึ่ง มันรักเราและเรากรักมัน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

บทส่งท้าย

เรื่องส่งเสริมให้อาศัยในมะดีนะห์

จากชุฟยาน บินอะบีซัฮัยร์ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ ล.  กล่าวว่า  ต่อไปเมืองยะมันจะถูกยึดแล้วมีคนกลุ่มหนึ่งรีบเดินทางเข้ามาอาศัย แล้วพวกเขาก็จะรับผิดชอบต่อชาวคณะของพวกเขา และผู้ที่ภักดีต่อพวกเขา แต่มะดินะฮฺประเสริฐที่สุดสำหรับพวกเขา หากพวกเขารู้  ต่อไป เมืองชามก็จะลูกยึด แล้วมีคนกลุ่มหนึ่งรีบเดินทางเข้ามา แล้วพวกเขาก็รับผิดชอบต่อชาวคณะ ของพวกเขา และผู้ที่ภักดีต่อพวกเขา แต่มะดีนะห์ประเสริฐที่สุดสำหรับพวกเขา หากพวกเขา รู้  และต่อไปอิรักก็จะถูกยึด แล้วมีคนกลุ่มหนึ่งรีบเดินทางเข้ามา แล้วพวกเขาก็รับผิดชอบ ต่อชาวคณะของพวกเขา และผู้ที่ภักดีต่อพวกเขา แต่มะดีนะห์ประเสริฐที่สุดสำหรับพวกเขา หากพวกเขารู้

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

จากอะบี ฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  พวกเขาทอดทิ้งมะดีนะห์ไว้ ตามสภาพของมัน (ซึ่งเจริญและมีระเบียบอย่างดี) ในเมืองปัน ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่เลย นอกจาก สัตว์หาอาหารกิน และคนสุดท้ายที่เข้าไปนั้นคือ ชายเลี้ยงสัตว์สองคนที่มาจากมุซัยนะฮฺ คนทั้งสองมุ่งหน้ามาสู่มะดีนะห์ เพื่อเลี้ยงฝูงแพะของทั้งสอง แต่แล้วทั้งสองก็พบว่ามะดีนะห์ได้ร้าง ผู้คนเสียแล้ว จนกระทั้งทั้งสองมาถึง “สะนียะติลวะดาอ์ (สถานที่อำลาสำหรับคนเดินทาง)” ทั้งสองก็ควํ่าหน้าลง (เสียชีวิต)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

จากอะบีฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ ล.  กล่าวว่า  ต่อไปจะมียุคหนึ่งมาสู่มวลมนุษย์ เป็นยุคซึ่งชายผู้หนึ่งร้องเรียกบุตรของน้าชายของเขา และญาติสนิทของเขาว่า ท่านจง มาสู่สถานที่อันอุดมสมบูรณ์เถิด แต่มะดีนะฮฺนั้นแหละดีที่สุดสำหรับพวกเขา หากพวกเขารู้  ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ซึ่งชีวิตของฉันอยู่ในอำนาจของพระองค์ ไม่ว่าใครก็ตามที่ออกไปจากมาดีนะฮฺด้วยความเกลียดชัง นอกจากอัลลอฮ์จะทรงให้มีผู้ที่ดีกว่าเขาสืบแทนเขาในนั้น  พึง สังวร มะดีนะห์นั้นเปรียบประดุจดังเตาหลอมเหล็กซึ่งขจัดเนื้อร้าย วันอวสานแห่งโลกจะไม่อุบัติจนกว่ามะดีนะฮฺจะขจัดคนเลวของมัน ประดุจดังเตาหลอมเหล็กที่ขจัดเนื้อร้ายของเหล็ก กระนั้น

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

จากอิบนิ อุมัร ร.ฎ.  เล่าว่า  มีทาสหญิงที่เขาปล่อยเป็นอิสระแล้วได้มาหาเขา แล้วนางก็กล่าวว่า  กาลเวลาได้บังเกิดความคับแค้นแสนสาหัสแก่ข้าพเจ้า  และข้าพเจ้าประสงค์จะ ออกไปสู่อีรัค  อิบนิ อุมัรกล่าวว่า  ไฉนจึงไม่ไปเมืองชาม อันเป็นแผ่นดินที่ถูกกำหนดเป็นที่รวมมนุษยชาติ และเธอจงอดทนเถิด โอ้หญิงผู้โง่เขลา เพราะฉันได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า  ผู้ใดอดทนต่อความคับแค้นและความยากเข็ญของมะดีนะห์ได้ ฉันจะเป็นสักขีพยาน ให้แก่เขา หรือเป็นผู้สงเคราะห์แก่เขาในวันก็ยามะห์

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และติรมิซี

และในรายงานหนึ่งระบุว่า  ไม่ว่าผู้ใดก็ตามจากประชาชาติของฉัน ที่อดทนต่อความคับแค้นและความยากเข็ญของมะดีนะห์ได้ นอกจากว่าฉันจะเป็นผู้สงเคราะห์แก่เขาในวันก็ยามะห์อย่างแน่นอน

จากอิบนิ อุมัร จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  ผู้ใดสามารถจะตายที่มะดีนะห์ได้ เขาก็จงตาย ณ ที่นั้นเถิด เพราะแท้จริงฉันจะสงเคราะห์แก่ผู้ที่ตาย ณ ที่นั้น

จากยะรีร บินอับดิลลาฮฺ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ ล.  กล่าวว่า  แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรง ประทานโองการแก่ฉันว่า  บรรดาเมืองทั้งสาม เมืองใดก็ตามที่เจ้าพักพิง นั้นเป็นเมืองแห่ง การอพยพของเจ้า นั้นคือ มะดีนะห์หรือบะฮฺรอยน์ หรือกินนิสรีน

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

และอุมัรกล่าวว่า  โอ้อัลลอฮ์ โปรดบันดาลให้ข้าพเจ้าได้รับโชคเช่นผู้ตายอย่างเสียสละในการของพระองค์เถิด และโปรดดลบันดาลให้ข้าพเจ้าได้ตายในเมืองแห่งศาสนทูตของพระองค์ ซ.ล.  

รายงานโดย บุคอรี

การเยี่ยมสุสานของท่านนบี ซ.ล.

จากอะบีฮุรอยเราะฮฺ ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ให้สล่ามแก่ ฉันนอกจากอัลลอฮ์ทรงส่งสัญญานของฉันคืนแก่เขา เพื่อฉันจะได้ตอบรับสล่ามนั้นแก่เขา

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และบัยหะกี

จากอะบี ฮุรอยเราะฮฺ จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  ท่านทั้งหลายอย่าทำบ้านของพวก ท่านให้เป็นหลุมศพ และท่านทั้งหลายอย่าทำหลุมศพของฉันให้เป็น(เทศกาลชุมนุม)วันอีด และท่านทั้งหลายจงซอลาวาตแก่ฉัน เพราะว่าการซอลาวาตของพวกท่านนั้น จะถึงฉันอย่าง แน่นอน ไม่ว่าพวกท่านจะอยู่ที่ไหนก็ตาม

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอัตตียะอ์

จากอิบนิ อุมัร ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ ล.  กล่าวว่า  ใครเยี่ยมหลุมศพของฉัน เขาจักได้ รับการสงเคราะห์ของฉันอย่างแน่แท้

จากอะนัส ร.ฎ.  จากท่านนบี ซ.ล.  กล่าวว่า  ใครเยี่ยมฉันในมะดีนะห์ โดยใครครวญ (ถึงกุศลด้วยบริสุทธิ์ใจ) แน่นอนเขาจะได้อยู่แนบชิดฉัน(ในสวรรค์) และฉันจะสงเคราะห์เขา ในวันก็ยามะฮฺ

และในรายงานหนึ่งระบุว่า  ใครเยี่ยมฉันภายหลังจากฉันได้เสียชีวิตไปแล้ว ก็ประหนึ่ง เขาได้เยี่ยมฉัน ขณะฉันยังมีชิวิตอยู่นั่นเอง

รายงานโดย คอดิอิยาด 

 

 
 

 

[1] กับคนบางคน

[2] จากฮาดีษนี้ชี้ว่า การที่คอเตบพูดระหว่างคุตบะห์กับละหมาดไม่ถือว่ามักโระห์ ตามทรรศนะของมาลิก ชาฟิอีและนักวิชาการส่วนใหญ่

[3] โดยเนียตละหมาดตะอียะตุ้ลมัสยิด พร้อมกับละหมาดสุนัตก่อนละหมาดวันศุกร์

[4] ใกล้อิหม่าม

[5] คือฟังคุตบะห์อย่างตั้งใจ

[6] โดยไม่ได้ตั้งใจฟังคุตบะห์

[7] เพราะในที่นั่งเดิมของเขามีชัยตอน อาการง่วงนอน เลือดกำเดา การจาม และการหาวนอนในมัสยิดมาจากวัยตอน

[8] หมายถึงการขอพระพรให้แก่ท่านนบี

[9] เป้าหมายถึงป่าเขาซึ่งเป็นสัญญาณของวันกิยามะห์ และเสียงกึกก้องกัมปนาทจะติดตามมา

[10] คือผืนแผ่นดินจะไม่ทำให้เรือนร่างของบรรดานบีเสียหาย และความจริงบรรดานบีทั้งหลายนั้นยังมีชีวิตอยู่ภายในหลุมฝังศพของพวกเขา

[11]คือคืนวันศุกร์และวันศุกร์

[12]คือให้ท่านแบ่งสาวกออกเป็นสองพวก

[13] ให้พวกหนึ่งทำละหมาดพร้อมกับท่าน และให้อีกพวกหนึ่งคอยเฝ้าศัตรู

[14] คือพวกที่ละหมาดกับท่านนบี

[15]คือวันที่เผชิญกับศัตรู

[16] ทั้งสองพวกละหมาดเราะกะอัตที่สองตามลำพัง

[17] ขณะรุกัวะอฺและสุญูด

[18] ชื่อสถานที่แห่งหนึ่งในแผ่นดินนัจดิ

[19] จากละหมาดของท่านนบีเป็นที่รู้ว่า พวกเขาอยู่ระหว่างเดินทางจึงย่อละหมาดเข้าใจจากหะดีษนี้ว่า ท่านได้แบ่งสาวกออกเป็นสองพวก พวกหนึ่งคอยรักษาการณ์ อีกพวกหนึ่งละหมาดพร้อมกับท่านหนึ่งเราะกะอัตแล้วแยกกันออกไปละหมาดเราะกะอัตที่สองตามลำพัง เมื่อเสร็จแล้วได้ออกไปรักษาการณ์แทน อีกพวกหนึ่งเข้ามาละหมาดตามท่านนบีในเราะกะอัตที่สองของท่าน เมื่อท่านนั่งตะซะฮ์ฮุดพวกเขาลุกขึ้นยืนละหมาดอีหนึ่งเราะกะอัตและท่านนบีได้ให้สล่ามพร้อมพวกเขาเหมือนหะดีษแรก นอกจากว่าพวกหลังได้รับภาคผลของการให้สล่าพร้อมกับนบี เหมือนพวกเราได้รับภาคผลการตักบีรอตุลเอียะห์รอมพร้อมกับท่าน

[20] และพวกเขาได้ให้สลามพร้อมกับท่าน โดยท่านได้ละหมาดพร้อมกับพวกโดยตลอด

[21] ท่านนบีได้ละหมาดใหม่อีกครั้งหนึ่งพร้อมกับพวกที่สอง พวกเขานี้เป็นพวกที่ละหมาดฟัรฎูข้างหลังผู้ละหมาดสุนัต

[22] เพราะท่านนบีได้ละหมาดสองครั้ง ครั้งละสองเราะกะอัต

[23] คือตักบีรอตุ้ลเอี้ยะห์รอม

[24]ในเราะกะอัตที่สอง โดยพวกเขาอยู่ประจำที่ตามเดิมหรือหลังจากพวกที่สองได้ขึ้นไปอยู่ข้างหน้าและยืนแทนที่พวกแรก และพวกแรกที่ละหมาดเราะกะอัตที่สอง หลังจากท่านนบี และพวกที่อยู่พร้อมกับท่านได้นั่งลงเพื่ออ่านตะซะฮุดได้ถอยไปอยู่ข้างหลัง

[25] เพื่อละหมาดเราะกะอัตที่สอง

[26] คือเราะกะอัตที่หนึ่งของพวกเขา

[27]คือพวกที่ก้าวขึ้นไปข้างหน้า

[28] คือเราะกะอัตที่สองของท่านและพวกเขา

[29] พร้อมกันทั้งหมด เข้าใจจากสองฮาดีษที่กล่าวมาว่า พวกเขาได้ละหมาดตามท่านนบี ต่อมาภายหลังพวกที่อยู่แถวแรกได้ละหมาดตามท่านในเราะกะอัตที่หนึ่ง แล้วท่านก็หยุดนิ่งอยู่ หลังจากนั้นได้ลุกขึ้นเพื่อทำเราะกะอัตที่สอง จนกระทั่งพวกที่อยู่ในแถวหลังได้ละหมาดเราะกะอัตแรก จากนั้นพวกที่อยู่ในแถวหลังได้ก้าวขึ้นไปอยู่ข้างหน้า และได้ละหมาดพร้อมกับท่านในเราะกะอัตที่สอง ส่วนพวกที่สองได้ถอยไปอยู่ข้างหลัง และท่านได้ละหมาดเราะกะอัตที่สองของท่านตามลำพัง และได้ตามไปทันพวกเขในขณะนิ่งและได้ให้สลามพร้อมกันทั้งหมด ดังนั้นอนุญาตแก่ผู้นำของเหล่านักรบให้ละหมาดกับพวกเขา ตามแบบใดแบบหนึ่งที่กล่าวมานี้

[30] คือละหมาดชนิดที่มีสี่เราะกะอัตย่อเหลือสองเราะกะอัตส่วนละมาดซุบฮฺและละหมาดมักริบไม่อนุญาตให้ย่อ

[31]จึงไม่มีข้อผ่อนผันให้ย่อละหมาด เพราะคำว่า กลัว ที่กล่าวอยู่ในอายะห์นั้นบ่งว่าเป็นเงื่อนไข

[32] ในละหมาดชนิดที่มีสี่เราะกะอัตเท่านั้น ดังปรากฏตามหะดีษ อิบนิอุมารในตอนท้าย

[33] แสดงว่าการพักอยู่สิบวันไม่ทำให้การเดินทางขาดตอน

[34] คือสถานที่ๆผุ้บำเพ็ญฮัจญ์พักแรมเพื่อขว้างเสาหินเป็นเวลาสามวัน

[35] เพราะต้องการผลบุญมากๆทั้งนี้เพราะผลบุญนั้นจะถูกพิจารณาให้ตามความยากลำบาก และหะดีษนี้เป็นหลักฐานยืนยันให้ทรรศนะของนักปราชญ์ส่วนมากที่กล่าวว่า การย่อละหมาดนั้นเป็นข้อผ่อนผัน เพราะถ้าเป็นหลักตายตัวแล้ว อุสมานก็ตงจะไม่ละหมาดเต็ม

[36] หนึ่งบะรีดมีสี่ฟัรซัค หนึ่งฟัรซัคมีสามไมล์ หนึ่งไมล์มีหนึ่งพันวาโดยประมาณ

[37] ถามถึงระยะเริ่มต้นเดินทางเท่าไร จึงจะเริ่มละหมาดย่อได้

[38] คือถามถึงระยะทางที่อนุญาต ให้ย่อละหมาด

[39]คือเดินทางตั้งแต่ตะวันคล้อยจนถึงเวลาละหมาดอัสร์

[40] ในเวลาละหมาดอัสร์ โดยละหมาดดุหร์ก่อนละหมาดอัสร์ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องตั้งใจเนียตเอาละหมาดดุหร์ไปรวมกับละหมาดอัสร์ และเช่นเดียวกันเมื่อหน่วงละหมาดมัฆริบ

[41] เมื่อเดินทางในช่วงเวลามัฆริบ

[42] โดยเอามารวมในเวลาดุหร์  (4)โดยเอาไปรวมในเวลาอัสร์

[43]เพื่อละหมาดตะฮัจญุด

[44] คือถามถึงระยะเดินทางที่อนุญาตให้ย่อละหมาด       

[45] คืออีดิลฟิตรและอิดิลอัฎฮา

[46] หมายถึงละหมาดอีด คำสั่งนี้นักวิชาการมีทรรศนะดังนี้ กลุ่มของฮานาพีถือว่าละหมาดอีดเป็นวายิบ กลุ่มของ อะห์มัด อิบนุฮัมบัล ถือว่าเป็นฟัรฎูกิฟายะห์สำหรับบุคคลที่จำเป็นต้องละหมาดวันศุกร์ กลุ่มของมาลิกและชาฟีอีถือว่าเป็นสุนัตที่แข็งแรง

[47] กุรบาน

[48] นี่หมายถึงอีดิลฟิตร

[49] เพื่อให้เส้นทางทั้งสองและผู้คนที่อยู่ในเส้นทางทั้งสองนั้นเป็นพยาน

[50] เพื่อแสดงให้รู้ว่าการห้ามรับประทานก่อนละหมาดนั้นได้ถูกยกเลิกไป

[51]แล้วจึงจะรับประทานเนื้อสัตว์ที่เชือดทำกุรบาน

[52] คือละหมาดอีด

[53]เชือดสัตว์กุรบาน

[54] ตามปรกติท่านนบีจะไม่ละหมาดอีดในมัสยิด นอกจากเพราะเกิดฝนตก ส่วนมากแล้วท่านจะละหมาดในที่โล่ง

[55] ที่บรรลุนิติภาวะแล้วหรือเกือบบรรลุนิติภาวะ

[56] นี่คือเคล็ดที่ให้ผู้หญิงออกไป

[57] คือให้ขอยืม

[58] ท่านอับดุลเลาะห์ บุตรบุสร์ ได้เห็นความล่าช้าจากบรรดาอิหม่ามในการละหมาดอีด ท่านจึงปฏิเสธการการะทำดังกล่าว และกล่าวว่า พวกเราเคยละหมาดเสร็จแล้วขณะนี้ในสมัยท่านนบี

[59] คือเวลาที่ตะวันขึ้นสูงเท่าด้ามหอกแล้ว

[60] เพื่อให้เห็นความแตกต่างระหว่างละหมาดอีดกับละหมาดฟัรฎู

[61] เพราะคุตบะห์ของละหมาดอีดเป็นสุนัต จึงไม่เกิดผลเสียในการที่พวกเขาแยกย้ายกลับบ้านโดยไม่รับฟังตุตบะห์ ซึ่งต่างกับคุตบะห์วันศุกร์

[62] แสดงให้เห็นว่า ไม่มีละหมาดสุนัตก่อนและหลังละหมาดอีด

62นอกจากการอ่าตักบีรอตุ้ลเอียะห์รอม

[64] นอกจากตักบีรขณะลุกขึ้นยืน ตามทรรศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่อันได้แก่ มาลิกชาฟิอีและอะห์มัด ถือว่าการกล่าวคำตักบีรในละหมาดอีดนั้น ในร่อกาอัดแรกเจ็ดครั้งก่อนร่อกาอัดที่สองห้าครั้ง แต่มาลิกและอะห์หมัดกล่าวว่า เจ็ดครั้งในร่อกาอัตแรกนั้นรวมทั้งตักบีรอตุ้ลเอียะห์รอมด้วย

[65] เพื่อแสดงตุตบะห์

[66] และให้การเป็นพยาน

[67] เนื่องจากปรากฏแล้วว่าวันนี้อยู่ในเดือนเซาวาล

[68] เพื่อละหมาดอีด ฮะดีษนี้แสดงให้เห็นว่าจะไม่ละหมาดอีดหลังตะวันคล้อย เมื่อปรากฏว่าเห็นเดือนในวันนั้น แต่ให้ละหมาดในวันรุ่งขึ้น และถือว่าเป็นละหมาดในเวลาไม่ใช่ละหมาดชดใช้(ก่อดอ)

[69] ในสวรรค์

[70] ในฮาดีษดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า สุนัตให้มีการตกแต่งด้วยเสื้อผ้าที่มีราคาแพงในวันอีด เพราะเป็นวันรื่นเริงและตบแต่ง

[71] อนุญาตให้ฟังและชมการละเล่นโดยมีเงื่อนไขว่า จะต้องไม่มีสิ่งที่ศาสนาห้ามมาเกี่ยวข้อง และต้องไม่ทำให้เสียเวลาในการปฏิบัติฟัรฎู

[72] ในวันอีด

[73] ที่ยังไม่บรรลุศาสนภาทั้งสองได้แก่ ฮะมามะห์และเพื่อนของหล่อน

[74] เป็นชื่อสถานที่แห่งหนึ่งอยู่ห่างนครมาดีนะห์ใช้เวลาเดินทางประมาณสองค์น ได้เกิดรบกัน ณ สถานที่แห่งนี้ระหว่างพวกเอาส์และค็อซรอจเป็นเวลาสองปี โดยพวกเอาส์เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ ทั้งสองฝ่ายตั้งตัวเป็นศัตรูกันจนจนถึงยุคของอิสลาม จนในที่สุดอิสลามได้ผูกมัดหัวใจของทั้งสองพวกไว้ได้อย่างแน่นเหนียว

[75] ที่เรียกอย่างนั้นเพราะมันทำให้จิตใจลืมระลึกถึงอัลลอฮ์  ท่านอบูบักรจึงปฏิเสธเพราะเข้าใจว่าเป็นสิ่งต้องห้าม

[76] และเป็นวันสนุกสนานของพวกเรา

[77] คือขอชมการแสดงของพวกเขา

[78]ชื่อของบรรพบุรุษของชาว อะบิสิเนีย 

[79] คือเต้นระบำโดยมีอาวุธประกอบ

[80]ยุคก่อนอิสลาม

[81] บุตรของท่านนบี

[82]ที่บ่งถึงเอกภาพของพระองค์ 

[83]หรืออย่างหนึ่งอย่างใดจับคราส

[84] ด้วยการละหมาด บริจาคทาน และพึ่งพิงไปยังอัลลอฮ์

[85] ในสภาพรีบร้อน

[86] เพราะอ่านยาว

[87] ด้วยการกล่าวคำตัสเบียะห์มากเท่ากับการอ่าน 100 โองการ จากซูเราะห์บากอเราะห์

[88] ด้วยการอ่าน

[89] คือนานขนาดอ่าน80โองการ

[90]เช่นเดียวกับรุกัวะครั้งที่หนึ่งเหมือนครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สองเหมือนครั้งที่สอง

[91] แต่เป็นการขู่บรรดาบ่าวของพระองค์ให้เกิดความหวาดกลัวเพื่อจะได้รับคำตักเตือนและสั่งสอน

[92] จากรุกัวะอฺ

[93] คำอธิบายอยู่ในรายงานทีสอง

[94] นี่เป็นรูปแบบหนึ่งของการละหมาดคราส

[95]นี่ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการละหมาดคราส

[96] การกระทำทั้งสองอย่างเป็นสุนัต

[97]เพราะเกิดขึ้นในเวลากลางคืน กลางคืนเป็นเวลาที่อ่านดัง

[98]เพราะเกิดขึ้นในเวลากลางวัน กลางวันเป็นเวลาที่อ่านค่อย

[99] คือซูเราะห์บะกอเราะห์ ดังปรากฎในซอเฮียะห์บุคอรีและมุสลิม

[100] จากละหมาดเพราะเกิดสุริยะคราส

 [101] เหมือนคนที่อยู่ในสภาพกลัว

[102]เพราะผลไม้สวรรค์นั้นเมื่อเด็ดออกจะมีผลอื่นเกิดขึ้นมาแทนที่ และเพราะความจริงอาหารในสวรรค์นั้นจะไม่มีเสียหาย

[103] ปฏิเสธความดี

[104] ที่หล่อนไม่พอใจ

[105] อยู่ข้างหน้าข้าพเจ้า

[106] เป็นเครื่องมือในการลักขโมย

[107] อยู่ข้างหน้าข้าพเจ้า

[108] สุนัตให้สุหยุดเมื่อมีปรากฏการณต่างๆ ที่น่าสะพรึงกลัว เช่น เกิดสุริยะคราส จันทรคราส แผ่นดินไหว ลมพายุ ความมืดมิด และความตายของญาติใกล้ชิด

[109] คือฮัฟเซาะห์ หรือซอฟียะห์

[110] คำว่าสุญูดในที่นี้ อาจถือได้ว่าคือละหมาดเหมือนเช่นละหมาดในขณะเกิดสุริยะคราสหรือจันทรคราส

[111] เพราะภรรยาของท่านนบีนั้นมีศิริมงคล ด้วยการมีชีวิตของพวกเชาจะช่วยป้องกันมวลมนุษย์จากภัยพิบัติ

[112] การวิงวอนขอให้ฝนตก

[113] แท่นที่ยืนแสดงธรรม

[114] ในเรื่องการอ่านดัง  การตักบีรในเราะกะอัตแรกเจ็ดครั้งและในเราะกะอัตที่สองห้าครั้ง

[115] ตามตัวบทของหะดีษนี้  รวมถึงหะดีษก่อนและหลังจากนี้  ปรากฏว่าการทำละหมาดนั้นอยู่หลังคุตบะห์  แต่นักปราชญ์ส่วนใหญ่ถือว่าการละหมาดอยู่หลังคุตบะห์เหมือนในละหมาดอีด  เพราะปรากฏหลักฐานในฮาดีษที่รายงานโดยอะห์มัด  บัยหะกีและอิบนุมายะ  โดยนักปราชญ์ส่วใหญ่ถือว่าหะดีษต่างๆที่ว่าละหมาดอยู่หลังคุตบะห์นั้น  ใช้คำเชื่อมประโยคด้วยคำว่า  ซุมมะ  (ภายหลัง)  คำๆนี้มีความหมายเพียงการลำดับเหตุการณ์ในการบอกเล่าเท่านั้น

[116] แสดงถึงการวิงวอนขออย่างจริงจัง  มิได้หมายความว่าท่านนบีไม่เคยยกมือขอดุอาในเรรื่องอื่น

[117] เพื่อวิงวอนขอดุอา

[118] เพราะดีใจที่อัลลอฮ์ รับคำวิงวอน  และชอบใจที่ประชาชนขอฝน  แต่พอฝนตกกลับเผ่นหนี

[119] เป็นการเจริญรอยตามท่านนบี (ซ.ล.)

[120] เพราะไม่มีอาหารเนื่องจากขาดฝน

[121] เพราะไม่มีการเดินทางของสัตว์ที่ใช้เป็นพาหนะ

[122] คำวิงวอนขอให้ฝนตก

[123]  คือตกในที่มีการทำกสิกรรม

[124] อย่าตกในบริเวณที่เป็นที่อยู่อาศัย

[125] คือตกอยู่ในวงล้อมของเมฆฝนที่ตกลงมารอบๆนครมดีนะห์

[126] คือไม่เชื่อว่าดวงดาวมีอิทธิพลทำให้ฝนตก

127 คือไม่เชื่อว่าดวงดาวมีอิทธิพลทำให้ฝนตก

[128] คือเชื่อว่าดวงดาวมีอิทธิพลทำให้ฝนตก

[129] ดวงดาวทำให้ฝนตก  ด้วยดวงดาวที่นำฝนมาให้เรา

129 คือพวกของนบีฮูด (อ.ล.)

130 คือท่านได้ถลกแขนรั้งผ้าขึ้นและเปิดศีรษะ

131 ท่านถลกแขน รั้งผ้าขึ้น และเปิดศีรษะ

[132] มันเป็นมงคลที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า  สมควรที่เราจะเอาความเป็นศิริมงคลจากมัน

[133] คือลุงของท่านนบี (ซ.ล.)   ซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดที่ท่านนบีใช้ให้พวกเรารัก

[134] คือมีเกียรติยิ่งกว่าคนที่อ่อนแอ  เนื่องจากเขามีผลงานดีเด่นมากมายในอิสลาม

[135] สมควรที่จะได้ใช้พวกที่อ่อนแอ  เป็นสื่อเชื่อมโยงไปหาอัลลอฮ์ในการขอป้องกันจากสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาและขอให้ได้รับสิ่งที่ปรารถนา

[136] คืออย่าลืมขอดุอาอฺให้แก่พวกเราด้วย

[137] หะดีษที่มีมาเกี่ยวกับเวลาจำนวนเราะกะอัต และคุณค่าของการละหมาดดุฮา  ซึ่งเป็นสุนัตให้กระทำทุกๆวัน

[138] คนกลุ่มนั้นคือชาวกุบาอฺ

[139] เวลาที่ดีเยี่ยมในการละหมาดดุฮา  คือในขณะที่แดดจ้าถึงแม้ว่าเข้าเวลาละหมาดดุฮาตั้งแต่วันขึ้นสูงชั่วด้ามหอก  และคงอยู่จนกระทั่งตะวันคล้อยก็ตาม

[140]คือวันข้างขึ้น  คือวันข้างขึ้น  13 14 และ 15ค่ำ

[141] ทุกวัน  ดังปรากฏตามรายงานของอะห์มัด

[142] คือเกินกว่าสี่เราะกะอัต แต่จำไม่ได้ว่าเท่าใด

[143] ข้อต่อในร่างกายมีทั้งหมด 360 ชิ้นดังนั้นสมควรที่มุสลิมจะได้บริจาคทานให้เท่ากับจำนวนข้อต่อที่มีอยู่ในร่างกายทุกวัน  เพื่อเป็นการรำลึกถึงบุญคุณของอัลลอฮ์เจ้าที่ได้ให้มีชีวิตขึ้นมาอีกหลังจากตายไปแล้ว(คือนอนหลับ)  และส่วนหนึ่งจากการบริจาคทานก็คือสิ่งที่กล่าวอยู่ในหะดีษนี้

[144] ถ้าหากตั้งเจตนาเป็นการรักษาตัวจากความชั่ว(ซินา)  หรือตั้งเจตนาเพื่อให้มีบุตร

[145] เพราะในการทำละหมาดเป็นการเคลื่อนไหวของข้อต่อทุกข้อ

[146]สี่เราะกะอัตในที่นี้หมายถึงละหมาดดุฮา

[147] คือผู้ที่ละหมาดจะได้รับความคุ้มครองจากอัลลอฮ์ตลอดทั้งวัน

[148]หมายถึงบาปเล็กๆน้อย

[149]คือละหมาดติดต่อกัน  ไม่ว่าจะเป็นละหมาดฟัรฎูทั้งสองหรือฟัรฎูกับสุนัตโดยไม่มีคำพูดไร้สาระระหว่างนั้น

[150] สวรรค์ชั้นสูงสุด

[151]โดยมีตะชะฮุดเดียวหนึ่งสลามในเราะกะอัตสุดท้าย  ตั้งเจตนาว่าเป็นละหมาดหลังตะวันคล้อยไม่ใช่ละหมาดสุนัตดุห์รี

[152] เป็นการเปรียบเปรยว่า  ละหมาดนั้นได้รับการต้อนรับอย่างดี

[153] คือตำแหน่งที่สามารถให้ความช่วยเหลือแก่ประชากรได้

[154] คือเริ่มลงมาตั้งแต่ช่วงนี้เป็นต้นไป

[155] คือบรรดาภรรยาของท่าน

[156] โดยไม่มีความดีติดตัวไปโลกหน้า

[157] คือท่านนบี (ซ.ล.) โกรธและกลับออกไปพร้อมกับอ่านโองการดังกล่าว  เพราะท่านแปลกใจที่ได้รับคำตอบเช่นนั้นจากอะลี

[158] เพื่อละหมาดตะฮัจญุด

[159]เพื่อเป็นการทำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย

[160]คือละหมาดสองเราะกะอัตให้สล่ามครั้งหนึ่ง 

[161]เป็นบางครั้ง

[162] คือละหมาดกางคืรสิบเราะกะอัต

[163] คือละหมาดสี่เราะกะอัตให้สล่ามครั้งหนึ่ง

[164] ติดต่อกันโดยให้สล่าครั้งหนึ่ง

[165] คือบางครั้งอ่านดังบางครั้งอ่านค่อย

[166]หมายถึงอัลลอฮ์

[167] คือข้อพิพาทระหว่างระหว่างข้าพเจ้าและผู้ปฏิเสธสัจธรรม

[168] คือละหมาดสุนัตที่มีเวลาที่เป็นเอกเทศ  เช่นละหมาดอีดทั้งสองและละหมาดดุฮา  หรือขึ้นอยู่กับละหมาดฟัรฎู  เช่น  ละหมาดร่อวาติบและละหมาดวิตร์

[169] คือสิ่งที่ทำอยู่เป็นประจำ  เช่น  ละหมาด  การอ่านกุรอาน

[170] คือท่านจะนำมาชดใช้ในเวลากลางวัน

[171] เป็นบางครั้งแต่ผลบุญไม่น้อยกว่าการยืนละหมาด

[172] จากหลักฐานเหล่านี้  อนุญาตให้นั่งละหมาดสุนัต  เป็นความเมตตาจากอัลลอฮ์เจ้า

[173]การละหมาดสุนัตทั้งหมด  ภายในบ้านได้ผลบุญยอดเยี่ยมกว่า  เพราะไกลจากการอวโอ้างและเพื่อให้เกิดศิริมงคลแก่บ้าน

[174] การละหมาดฟัรฎูที่มัสยิดดีกว่าที่บ้าน

[175] คือละหมาดเพื่อเฟ้นสิ่งที่ดีที่สุด

[176] คือละหมาดเพื่อเฟ้นสิ่งที่ดีที่สุด

[177] คือละหมาดทีมีการกล่าวตัสบีฮะมี 300 ครั้ง

[178] คือลักษณะของบาปที่จะกล่าวต่อไปนี้

[179] ว่าเขาได้ยินมาจากท่านนบี(ซ.ล)

[180] ข้าพเจ้าจึงไม่ขอให้เขาสาบาน

[181] ส่วนที่เหลือจากโองการนั้นคือ  และไม่มีผู้ใดจะให้อภัยนอกจากอัลลฮ์  และพวกเขาไม่ดันทุรังอยู่บนสิ่งที่พวกเขากระทำโดยที่พวกเขารู้ดี(ว่ามันเป็นความชั่ว)  ผลตอบแทนของเขาคือ  การอภัยจากพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาและสวรรค์  ทีมีแม่น้ำไหลอยู่เบื่องล่าง  พวกเขาจะคงอยู่ในสวรรค์ตล      อดไป  นั่นแหละคือผลบุญของผู้ทำความดี

[182] เพราะมันคล้ายกับอัลลอฮ์จะเกลียดเรา

[183] ไม่ใช่เหมือนอย่างที่เธอเข้าใจ

[184] สองสิ่งนั้นคือความกลัวและความหวัง

[185] เพื่อที่ว่าจะได้เป็นคำสุดท้ายที่อำลาโลกไป

[186] และให้ขอพรที่ดีแก่เขาเพราะขณะนั้นการขอพรจะถูกรับ

[187] เมื่ออุมมุซาลามะห์ได้กล่าวดุอาอฺนี้  อัลลอฮ์ได้ตอบรับดุอานั้น  และต่อท่านนบี (ซ.ล.) ก็ได้มาสู่ขอนางและให้แต่งงานกับนาง

[188] การอ่านอัลกุรอานเป็นบัญญัติเฉพาะคนใกล้ตายเท่านั้น  ไม่เป็นบัญญัติแก่คนที่ตายไปแล้ว  นี่เป็นทัศนะของนักวิชาการกลุ่มหนึ่ง  และเป็นทัศนะภายนอกของมาลิกและชาฟิอี  ส่วนทัศนะของอะห์มัด  และนักวิชาการบางคนจากมัซฮับมาลิก  อบูฮะนิฟะห์และชาฟิอีถือว่า  การอ่านอัลกุรอานเป็นบัญญัติแก่คนตายด้วยเช่นกัน  เพราะพิจารณาตามความหมายกว้างๆของหะดีษ  และเพราะประชาชนส่วนใหญ่ได้กระทำกันในปัจจุบัน  นี่เป็นสิงที่ควรยึดถือปฏิบัติโดยอาศัยสิ่งต่างๆต่อไปนี้

หนึ่ง  คำว่า  เมาตากุม  ในหะดีษนี้ได้ชี้ชัดว่าเป็นคนตายจริงๆ  และมีความหมายโดยอนุโลมถึงคนเป็นที่ใกล้ตาย  และตามความหมายโดยอนุโลมนี้จะใช้ไม่ได้เมื่อไม่มีสิ่งชี้บอก  และปรากฏว่าไม่มีสิ่งชี้บอกในที่นี้  ตามที่ท่านเซากานีได้กล่าวไว้

สอง  เคล็ดลับประการหนึ่งของการอ่านกุรอานก็คือทำให้บรรเทาความทุรนทุรายให้เบาบาง    ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นแก่คนใกล้จะตายและเช่นเดียวกันก็เป็นสิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นแก่คนตาย

สาม  กิยาส (เทียบ)  กับการอ่านอัลฟาติฮะห์  ในละหมาดคนตาย

สี่  กิยาส(เทียบ)กับการให้สล่ามแก่คนตายในขณะที่เยี่ยมกุโบร์  เมื่อคนตายได้รับความสนิทสนมด้วยสลาม  ซึ่งเป็นคำพูดของมนุษย์  แล้วทำไม  จึงจะไม่ได้รับความสนิทสนม  และความดีใจ  ด้วยอัลกุรอานซึ่งเป็นคำพูดของพระเจ้า

ห้า  ความสงบ  ความเมตตา  จะถูกประทานลงมา ณ สถานที่ๆมีการอ่านกุรอาน  คนตายและคนใกล้ตาย  แม้แต่มนุษย์ชาติทั้งหลายต่างก็มีความต้องการความเมตตาของอัลลอฮ์คาอาลาด้วยกันทั้งนั้น

หก  กิยาส(เทียบ)กับการซอลาวาตให้แก่ท่านนบี (ซ.ล.)   เมื่อท่านนบี (ซ.ล.) ซึ่งเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐที่สุด  ยังได้รับการเลื่อนตำแหน่ง  ด้วยการซอลาวาตจากประชากรของท่าน  แล้วทำไมคนตายจึงจะไม่ได้รับประโยชน์จากการอ่านอัลกุรอาน

[189] นี่เป็นเครื่องหมายที่ดีของความตาย

[190] การตายอย่างกะทันหันของกาเฟรคือความกริ้ว  ของมุอฺมิน คือความเมตตา

[191] คือเกินเจ็ดสิบหรือต่ำกว่าหกสิบปี

[192] โดยกล่าวว่าฝนตกด้วยอิทธิพลของดวงดาวนั้นดวงนี้

[193] เมื่อผู้ตายสั่งให้ผู้อื่นรำพึงรำพันถึงตน

[194]พร้อมกับชี้ไปที่ลิ้นของท่าน

[195] ในสงครามมุอฺตะห์

[196] คือผู้ใดประสพกับภัยพิบัติและเขามีความอดทน  พร้อมทั้งอ่านโองการนี้จากอัลกุรอาน  เขาก็จะได้รับความเมตตาและพรจากอัลลอฮ์  ส่วนของแถมก็คือ  เขาจะเป็นคนหนึ่งจากพวกที่ได้รับทางนำที่ถูกต้อง

[197] คืออัลลอฮ์จะให้ผลบุญอย่างมากมายจากความอดทนนั้น

[198] คือศพลูกของนางที่เสียชีวิต

[199] ถ้าหากเขามีความอดทน

[200] คือต่อลูกๆของเขาที่เสียชีวิต

[201] คือสองคนบิดามารดา

[202] คือมะลาอิกะห์ได้กล่าวแก่เด็กทั้งสาม

[203] คือชั่วเวลาประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น

[204] คือบิดามารดาของเด็กมีความอดทนขณะเริมประสพกับเคราะห์กรรม

[205] สุนัตให้คนที่จามกล่าวว่า  อัลฮัมดูลิลลาฮิ  คนที่ได้ยินต้องตอบว่า  ยัรฮัมกุมุ้ลลอฮ์

[206] ระยะเดินทาง1ปี

[207] สถานที่ทางที่ราบสูงของนครมะดินะห์

[208] เพราะท่านนบี (ซ.ล.) เสียชีวิตในบ้านท่านหญิงอาอีชะห์

[209] เพราะท่านหญิงอาอีชะห์นึกขึ้นได้ในภายหลังถึงคำพูดของท่านนบี (ซ.ล.) ที่กล่าวว่า  ถ้าหากเธอเสียชีวิตก่อนฉัน  ฉันจะอาบน้ำเธอ  ห่อเธอ  ละหมาดให้เธอและฝังเธอ  รายงานโดย  อิบนุมายะห์

[210] ซึ่งปรากฏอยู่ในบ้านของท่านหญิงอาอิชะห์  ศพของท่านจึงถูกฝังอยู่ที่นั่น

[211] คือการอาบน้ำศพ  ห่อศพ  ละหมาดให้แก่ศพ  และฝังศพ

[212] คือไซหนับ

[213] สุนัตให้ผู้อาบน้ำศพพันมือของเขาด้วยเศษผ้า  และให้ชำระล้างทวารหนักและทวารเบา  จากนั้นให้อาบน้ำละหมาดให้แก่ศพโดยเนียตว่าเป็นการอาบน้ำละหมาดเริ่มด้วยการบ้วนปาก  เอาน้ำใส่จมูก  โดยมีการขัดแย้งกับทรรศนะของบุคคลที่ว่าทั้งสองประการนั้นไม่สุนัตให้กระทำจากนั้นให้เริ่มอาบน้ำศพ  โดยเริ่มตั้งแต่ศรีษะ  ต่อมาก็ด้านขวาของศพทุกครั้ง  โดยมีการขัดแย้งกับทรรศนะของบุคคลที่ว่า  การอาบด้านขวาก่อนไม่สุนัตให้ทำ

[214] คือนอกจากเสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่

[215] กาห่อศพอย่างน้อยด้วยผ้าหนึ่งผืนที่ปิดอวัยวะที่สงวน  อย่างสมบูรณ์ด้วยผ้าสามผืนที่ปิดร่างนอกจากเสื้อและผ้าโพกหัว  นี่เป็นทรรศนะของนักวิชาการส่วนมาก

[216] ที่คลุมทั่วร่าง

[217] คือเอี้ยะห์รอมฮัจญ์หรืออุมเราะห์  หรือทั้งสองพร้อมกัน  การห่อศพผู้ครองเอี้ยะห์รอมก็เหมือนกับผู้อื่น  นอกจากไม่ให้ถูกของหอม  และไม่ให้คลุมศรีษะศพผู้ครองเอี้ยะห์รอมที่เป็นชาย

[218]คือในสภาพของผู้ครองเอี้ยะห์รอมที่กล่าวตัลบียะห์

[219] คือยกมือพร้อมกับตักบีรครั้งแรกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น  เป็นทรรศนะของอัครสาวกบางท่านและมาลิก  ส่วนทรรศนะของ๙ฟีอีมีว่า  ให้ยกมือพร้อมกับตักบีรทุกครั้ง

[220]คือให้เดินข้างหลัง  ข้างหน้า  ข้างขวาและข้างซ้ายศพ

[221] ด้วยการจามหรือส่งเสียงร้อง  หรือการเคลื่อนไหวที่รู้ว่ามีชีวิต  การไม่ละหมาดให้แก่ศพ  ทารก  นอกจากรู้ว่ามีชีวิตขณะคลอกนี้เป็นทรรศนะของนักวิชาการส่วนมากและผู้นำมัซฮับทั้งสาม  ส่วนทรรศนะของอิหม่ามอะห์มัด  เมื่อครบ4เดือน10วันและเป่าวิญญาณแล้วต้องละหมาดให้

[222] ภูเขาลุกหนึ่งอยู่ในนครมาดีนะห์

 

[223] ตามซุนนะห์ให้ผู้ละหมาดยืนตรงสะโพกของศพผู้หญิง  และตรงศีรษะผู้ชาย  ที่ตามทรรศนะของชาฟิอีและอะห์มัดตามทรรศนะของมาลิก ตรงกับกลางลำตัวศพผู้ชาย  ตรงสองบ่าศพผู้หญิง  โดยให้ศีรษะของผู้ตายหันไปทางขวามือเสมอ  ทรรศนะของอบูฮานีฟะห์ให้ยืนตรงหน้าอกของศพผู้ชายและผู้หญิง  และในบางรายงานว่าให้ยืนตรงกลางลำตัว  การขัดแย้งทั้งหมดนี้เป็นการขัดแย้งในเรื่องความสมบูรณ์เท่านั้น

[224] ทรรศนะของนักวิชาการเกี่ยวกับการละหมาดให้ศพในมัสยิด  นักวิชาการส่วนใหญ่รวมทั้งชาฟีอีและอะห์มัด  ถือว่าอนุญาตให้ละหมาดแก่ศพในมัสยิด  และถือว่าเป็นสุนัตเพราะมีผู้ละหมาดมาก  ทรรศนะของอบูฮานีฟะห์และและมาลิก ถือว่าว่ามักโระห์ เพราะยึดถือฮาดีษที่รายงานโดย อบูดาวูดและอิบนุมายะห์ว่า  ผู้ใดได้ละหมาดให้ศพในมัสยิด  ศพจะไม่ได้อะไรเลยและเพราะศพเป็นนายิส  นักวิชาการส่วนใหญ่ได้โต้หลักฐานของฝ่ายนี้ว่า  หะดีษที่อ้างนั้นเป็นหะดีษฎออิฟ(ใช้เป็นหลักฐานไม่ได้และสามรถแก้ไขคำที่ว่า  ศพจะไม่ได้อะไรเลยนั้น  เป็นว่าผู้ใดได้ละหมาดให้ศพในมัสยิด  ถือว่าไม่มีความผิดอะไรเหนือเขา  และที่อ้างว่าศพเป็นนายิสนั้นก็ถูกยืนยันด้วยหะดีษที่ว่า  มุสลิมไม่เป็นนะยิสไม่ว่าเป็นหรือตาย

[225] ทรรศนะของนักวิชาการเกี่ยวกับการละหมาดศพบนหลุมฝังศพ  นักวิชาการส่วนใหญ่รวมทั้งชาฟิอีและอะห์มัด  ถือว่าอนุญาตให้ละหมาดศพบนหลุมฝังศพโดยไม่มีข้อแม้  ทรรศนะของมาลิกและอบูฮานีฟะห์ว่า  ไม่อนุญาตให้ละหมาดนอกจากนอกจากศพที่ถูกฝังโดยไม่ได้ละหมาดให้

[226] คือกษัตริย์นัจยาซี

[227] ทรรศนะของนักวิชาการเกี่ยวกับการละหมาดศพที่อยู่ที่อื่นๆ(ฆออิบ)นักวิชาการส่วนมากรวมถึงชาฟิอีและอะห์มัดมีทรรศนะว่าอนุญาตให้ละหมาดเพราะละหมาดคือการขอดุอาอ์แล้วทำไมจึงจะไม่อนุญาตให้ขอดุอาอ์ให้แก่ศพที่อยู่ที่อื่น  และศพที่อยู่ในหลุมฝังศพ  มาลิกและอบูฮานีฟะห์มีทรรศนะว่า  ไม่อนุญาตให้ละหมาดโดยไม่มีข้อแม้  และมีนักวิชาการบางท่านว่าอนุญาตให้ละหมาดในวันที่ศพนั้นเสียชีวิต  หรือศพที่อยู่ใกล้เคียงกับเขา  และบางท่านว่าอนุญาตให้ละหมาดให้แก่ศพที่อยู่ทางกิบลัตเท่านั้น

[228] การห้ามผู้หญิงติดตามศพนี้ เป็นการห้ามเพราะไม่สมควร ตามทรรศนะของนักวิชาการส่วนมาก ท่านอิหม่ามมาลิกยอมผ่อนผันให้ผู้หญิงติดตามศพ นอกจากผู้หญิงสาว ที่กล่าวนี้ถ้าหากหญิงนั้นไม่ได้ไปทำของต้องห้าม เช่น  การรำพัน แต่ถ้าหากไม่เช่นนั้นก็ถือว่า ฮารอม

[229] ถึงการกระทำดังกล่าว

[230] หลุมฝังศพชนิดเซาะข้างด้านกิบลัตกว้างพอที่จะเอาศพนอนตะแคงเข้าไปฝังได้

[231] คือพวกคริสต์และยิว  แต่นักวิชาการได้มีมติว่าหลุมทั้งสองชนิดนั้นอนุญาตให้ฝังมุสลิม  และถ้าหากดินที่ขุดหลุมนั้นเป็นดินอ่อนการขุดหลุมเซาะกลางนั้นดีกว่า  แต่ถ้าดินแข็ง  หลุมละฮัดก็ดีกว่า

[232] จากการขุดหลุมฝังศพในสงครามอุฮุดนี้

[233] คือการนำศพเข้าฝังโดยการเอาศีรษะของศพเข้าทางด้านท้ายของหลุมนั้นเป็นซุนนะห์  นี่เป็นทรรศนะของชาฟิอีและอะห์มัด  อบูฮานีฟะห์กล่าวว่า  ได้นำศพเข้าจากทางด้านกิบลัตตามขวางเพราะสะดวกกว่า

[234] คือถือว่ามักโระห์การฝังศพในเวลาดังกล่าว

[235] คือคนตายที่พวกเขาฝังในเวลากลางคืน

[236] คนที่ชอบอ่านอัลกุรอาน

[237] คือก่อเป็นบ้านหรือเป็นโดมครอบคลุมฝังศพ

[238] ทรรศนะของนักวิชาการเกี่ยวกับการจารึกข้อความบนหลุมฝังศพ  ทรรศนะของชาฟิอีและอะห์มัด  ถือเป็นการมักโระห์ถึงแม้จะจารึกด้วยอัลกุรอาน  เว้นแต่หลุมศพของคนซอและห์  และคนที่มีความรู้ไม่เป็นไร  เพื่อให้รู้จักและเพื่อซิยาเราะห์  ทรรศนะของอบูฮานีฟะห์คือมักโระห์ถึงขั้นฮารอม  นอกจากจะกลัวว่าร่องรอยของเขาจะสูญหายไป  ถ้าเช่นนั้นไม่มักโระห์  ทรรศนะของมาลิก คือ  หากข้อความที่จารึกนั้นเป็นอัลกุรอานถือว่าฮารอม  แต่หากจารึกเพื่อแจ้งชื่อและวันเกิดวันตายก็ถือว่ามักโระห์

[239] การนั่งดังกล่าวให้ถือว่าเป็นการนั่งถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระ  เพราะมีหะดีษอื่นจากรายงานของอบีฮุรอยเราะห์ว่า  ผู้ใดนั่งปัสสาวะหรืออุจจาระบนหลุมฝังศพ  เหมือนกับเขาได้นั่งอยู่บนถ่านไฟ  ส่วนการนั่งเฉยๆ หรือยืนหรือเอกเขนกหรือนอนหรือกินบนหลุมฝังศพถือว่ามักโระห์  ตามทรรศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่และถือว่าอนุญาตตามทรรศนะของมาลิก

[240] คือชายคนหนึ่งจากพวกลูต

[241] จะมีมาลาอิกะห์สองท่าน  ชื่อมุนกัรและนากีร

[242] เป็นคำตอบของเขาแก่มาลาอิกะห์ทั้งสอง  ที่ถามเขาเกี่ยวกับอัลลอฮ์  และชายผู้หนึ่งที่ถูกแต่งตั้งมายังพวกเขา

[243] ยืนหยัดอยู่บนอิหม่านในโลกนี้จนตาย  และยืนหยัดตอบคำถามได้ในวันอาคิเราะห์

[244] คือที่ที่ท่านละหมาด

[245] ด้วยคำถามและการลงโทษ

[246] คือไม่ระวังในเรื่องปัสสาวะ  เมื่อเปื้อนแล้วก็เป็นเหตุทำให้ อิบาดะห์เขาใช้ไม่ได้

[247] คือกิ่งอินทผลัม

[248] คือวิญญาณของเขาจะถูกกีดกันให้ห่างไกลจากตำแหน่งอันมีเกียรติ

[249] คือสะอ์ดิ  บินมุอาซ

[250] หลักฐานการตัลกีน  คือหะดีษที่รายงานมาจากท่านอบีอุสมะห์ได้กล่าวว่า  เมื่อข้าพเจ้าตายให้ท่านทั้งหลายจงปฏิบัติแก่ข้าพเจ้าเหมือนอย่างที่นบี (ซ.ล.) ใช้เรา  คือท่านนบีได้กล่าวว่า  เมื่อใครคนหนึ่งจากพี่น้องของท่านได้เสียชีวิตลง  และท่านทั้งหลายได้เกลี่ยดินบนหลุมฝังศพของเขาเสมอดีแล้ว  ให้ใครคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านยืนขึ้นทางศีรษะหลุมศพนั้นแล้วให้เขากล่าวว่า  โอ้ชายผู้นี้บุตรของหญิงคนนั้น  ความจริงศพนั้นได้ยินแต่ไม่อาจตอบ  จากนั้นให้เขากล่าวว่าโอ้ชายผู้นั้นบุตรของหญิงคนนั้น  ความจริงเขาจะลุกขึ้นนั่ง  จากนั้นให้เขากล่าวอีกว่า  โอ้ชายผู้นั้นบุตรของหญิงคนนั้นความจริงเขาจะกล่าวว่า  จงแนะนำเราเถิดขออัลลอฮ์เมตตาท่าน  แต่พวกท่านจะไม่รู้สึก  ดังนั้นให้เขากล่าวว่า  ท่านจงระลึกถึงสิ่งที่ท่านได้ออกจากโลกดุนยาไปได้โดยท่านยึดมั่นอยู่กับสิ่งนั้น  นั่นคือการปฏิญาณว่า  ไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักการะนอกจากอัลลอฮ์  และแท้จริงมุฮัมมัดเป็นบ่าวและทูตประกาศศาสนาของพระองค์  และความจริงตัวท่านนั้นได้ยอมรับเอาอัลลอฮ์เป็นพระเจ้า  เอาอิสลามเป็นศาสนา  เอามุฮัมมัดเป็นนบี  เอาอัลกุรอานเป็นเป็นผู้นำหลังจากนั้นมุงกัร นากีรก็จะจับมือกันแล้วกล่าวว่าไปกันเถิดเราจะนั่งอยู่ทำไมที่บุคคลที่ถูกสอนคำตอบแล้ว  มีชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า  โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ถ้าหากไม่รู้จักมารดาของเขา(ศพ)ท่านนบีกล่าวตอบว่า  ให้พาดพิงไปหามมารดาของเขา  เฮาวาอฺโดยกล่าวว่า  โอ้ชายผู้นั้นบุตรเฮาวาอฺ  รายงานโดยท่าน  อัดต๊อบรอนีและอัลฮำบาลีในหนังสืออัชชาฟีอี  ท่านอาพีร(อิบนฺ  ฮะยัรอัลอัสก๊อลานี)  ได้กล่าวว่าสายรายงานของหะดีษนี้  ซอและห์ ( หมายความว่าเศาะฮีหะห์ผู้แปล) และได้ปรากฏว่ามีพวกตาบิอีนสั่งเสียกันให้ทำอย่างนั้น

 

[251] คือ ซัยหนับ

บุตรขายของหล่อนคือ อะลี บุตร อะบิลอาส


 

[253] นี่คือ คำปลอบใจที่ท่านนบี (ซ.ล.) ส่งไปยังบุตรสาวของท่าน

[254] เป็นที่ฝังศพของชาวมะดินะห์

[255] การใช้คำว่าสาปแช่งในฮาดิษนี้ชี้ว่า  การเยี่ยมหลุมฝังศพของพวกผู้หญิงเป็นการฮะรอม(ต้องห้าม)  เพราะความอดทนของพวกผู้หญิงมีน้อย  และเพราะพวกผู้หญิงมีความหวาดวิตกมาก  ฮาดิษทุกบทที่กล่าวว่า  การเยี่ยมหลุมฝังศพของพวกผู้หญิงเป็นการหะรอม  ให้ถือว่าเพราะมีเหตุดังดล่าว  แต่ถ้าไม่มีเหตุดังกล่าวให้ถือว่า  การเยี่ยมหลุมฝังศพของพวกผู้หญิงเป็นสิ่งที่ศาสนาอนุญาต  โดยมีเงื่อนไขว่าต้องสามารถอดทนได้ไม่มีความวิตก  ไม่เปลือยอวัยวะที่ต้องสงวน  และต้องมีสามีหรือญาติใกล้ชิดที่แต่งงานกันไม่ได้ร่วมไปด้วย  เพื่อป้องกันความชั่วร้าย

[256] คือจุดตะเกียงทิ้งไว้เฉยๆบนหลุมฝังศพ  เพราะการทำอย่างนั้นเป็นการทำลายทรัพย์

[257] เพราะการอภัยโทษนั้นมีเงื่อนไงว่าต้องนับถือศาสนาอิสลาม  แต่มารดาของท่านเสียชีวิตไปโดยมิได้นับถือศาสนาอิสลาม

[258] และยังอยู่จนถึงปัจจุบันนี้

[259] ตามทัศนะท่านอิหม่ามมาลิก  เมื่อสัตว์ทีถูกกำหนดให้บริจาคซากาต  ไม่มีคุณสมบิครบถ้วนก็ให้ใช้สัตว์ระดับอื่นที่มีอยู่บริจาคแทน  พร้อมทั้งมอบสิ่งตอบแทนเพิ่มเติมได้  เพื่อทำให้ราคาเท่าเทียมกันกัยสัตว์ระดับที่ถูกกำหนดไว้แต่เดิม

[260] เงื่อนไขของการบริจาคซะกาตปศุสัตว์คือ  1มันเป็นปศุสัตว์ที่ใช้เลี้ยงโดยทั่วไป  คืออูฐ  วัว  แพะ  2  ครบพิกัด  3  เลี้ยงในทุ่งหญ้าที่ฮาลาล   4  ไม่เป็นสัตว์ใช้งาน  5  ครบรอบปี

[261]  1 อาวาก เท่ากับ 40 ดิรฮัม 5 อาวาก เท่ากับ 200 ดิรฮัม

[262] ครึ่งหนึ่ง ของ หนึ่งในสิบ เท่ากับ หนึ่งในยี่สิบ หรือเท่ากับ ห้าในร้อย (5%)

[263] หะดีษในบทนี้มีทั้งที่ระบุให้ออก ซะกาตและไม่ต้องออกในกรณีเครื่องประดับ ตามประเด็นแรกตามเศาะฮาบะห์ส่วนใหญ่ พวกตาบิอีน ซุฟยาน อัซเซารี และกลุ่มฮะนาฟี และการคำนวณซะกาต ให้คำนวณออกเป็นน้ำหนัก (ธาตุเงิน ทอง) มิใช่เป็นราคา ทัศนะนี้ยึดเอาหะดีษที่ระบุให้ออกซะกาตเป็นมาตรฐาน ส่วนการกล่าวของเศาะฮาบะห์ที่ระบุว่าไม่ต้องออกซะกาตนั้นให้ตกไป อีกทรรศนะหนึ่งเป็นของเศาะฮาบะห์บางคน พวกตาบิอีนบางคน และพวกฟุกอฮาส่วนใหญ่ มีความเห็นว่าเครื่องประดับไม่ต้องออกซะกาต ส่วนหะดีษท่านนบีที่ให้ออกซะกาตนั้น พวกที่สองนี้ถือว่าเป็นหะดีษรุ่นแรกสมัยยังไม่อนุมัติให้ผู้หญิงใช้เครื่องประดับทองคำ และเครื่องประดับที่ไม่ต้องออกซะกาต ก็หมายถึงเฉพาะที่อนุมัติให้ใช้เท่านั้น ส่วนเครื่องประดับที่ไม่อนุมัติ เช่น ของผู้ชายและพวกเครื่องใช้ภาชนะต่างๆ ต้องออกซะกาต

[264] กอซิมเป็นบุตรมุฮัมมัดบุตรอะบูบักร เขากับพี่น้องอีกสองคนอยู่ในอุปถัมภ์ของอาอิชะห์ซึ่งเป็นป้า และเมื่อครบปี อาอิชะห์จะจัดการออกซะกาตตามส่วน แสดงว่าทรัพย์เด็กกำพร้านั้นต้องออกซะกาต ดังนั้นหะดีษแรกของบทจึงระบุให้นำทรัพย์เด็กกำพร้ามาลงทุนการค้า หรือทำประโยชน์อย่างอื่นที่ไม่ผิดบทบัญญัติ เพื่อให้ทรัพย์สินนั้นงอกเงยเพิ่มพูน อย่าปล่อยทรัพย์สินนั้นไว้เฉยๆ พร้อมต้องจ่ายซะกาตทุกปี ความเห็นเช่นนั้นเป็นของเศาะฮาบะห์ส่วนมาก มาลิก ชาฟิอี อะห์มัด และอิสหาก ผู้จัดการออกให้ได้แก่ผู้ปกครองเด็กกำพร้านั้นมีบางนักวิชาการระบุว่า ไม่ต้องออกซะกาต เพราะยังไม่เป็นมุกัลลัฟ ความเห็นนี้เป็นของซุฟยาน อัซเซารี อิบนุมุบารอก และกลุ่มฮะนาฟี ทรัพย์ของเด็กเล็ก หรือคนวิกลจริตก็เท่ากับทรัพย์เด็กกำพร้า

[265] ซิกเป็นภาชนะบรรน้ำขนาดเล็กทำด้วยหนังสัตว์

[266] กิรบะฮ์ เป็นภาชนะบรรน้ำขนาดใหญ่ทำด้วยหนังสัตว์

ความหมายของหะดีษนี้ มุ่งกำชับให้รีบบริจาคก่อนละหมาดอีด       


 

[268] ผู้ปกครองมักกะฮฺตามระบุในฮษดิษ  ได้แก่อับดุลลอฮ์บินอุมัร ร.ฏ.

[269] เป็นอาหารที่ประกอบขึ้นจาก  อินทผลัมเนยและแป้งผสมกวนกัน เป็นอาหารที่ดีในสมัยนั้น

[270] มวลมุมินที่เห็นสิ่งใดเป็นเรื่องดี ให้ยึดถือเป็นมาตรฐานได้  แต่มุมินที่ว่านี้  หมายความถึงมุมินที่มีระดับความรู้ทางศาสนาอย่างสูง  และส่วนหนึ่งที่ได้มา  ก็คือการละหมาดตะรอวีห์ 20รอกาอัต  ซึ่งถือเป็นบทมาตรฐานตราบถึงปัจจุบัน  ในยุคเดิมชาวมักกะฮฺจะออกไปตอวาฟทุกๆ สี่รอกะอัต  ชาวมดีนะฮฺจึงเพิ่มตารอวีห์  เพื่อตอบแทนตอวาฟช่วงละสี่รอกาอัด  เพื่อจะได้เท่าเทียมกัน  จึงทำให้จำนวนตะรอวีห์ของชาวมดีนะฮฺเป็น 36 รอกะอัต  ท่านอิหม่ามมาลิกกล่าวว่า  เราทำ 36 แต่ที่มักกะฮฺทำ23รวมกับวิติร  ซึ่งไม่ผิดอะไรเพราะเดิมก็คือการละหมาดกลางคืนซึ่งทำได้โดยไม่จำกัดจำนวน

[271] ท่านสั่งให้รื้อถอนกระโจม และเลิกทำการอิอ์ติกาฟ

[272] เป็นเสาต้นที่เศาะฮาบะห์คนหนึ่งนั่งประจำอยู่ที่นี่ เพื่อการขออภัยโทษ จนกระทั้งอัลลอฮ์รับเตาบะห์นั้น

[273] วัรซ์เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งซึ่งมีในประเทศเยเมน กลิ่นหอม สีเหลืองปนแดง ใช้ย้อมผ้า ทาตัว

[274] คือการทำฮัจญ์ทีละอย่างโดยเอกเทศ  คือทำฮัจญ์ก่อนเรียบร้อยแล้ว จึงทำอุมเราะห์ต่อ ในเดือนฮัจญ์

[275] ทำอุมเราะห์ก่อนฮัจญ์ในเดือนฮัจญ์

[276] ทำอุมเราะฮฺและฮัจญ์พร้อมๆกัน ในเดือนฮัจญ์

[277] การที่อุมัรพูดว่า ถ้าไม่เห็นนบีทำ ก็จะไม่ทำ แสดงว่าการทำเช่นนั้นทำเพื่อตามท่านนบี มิใช่เป็นการสักการะต่อหินดำ 

หมายเลขบันทึก: 643404เขียนเมื่อ 18 ธันวาคม 2017 07:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 สิงหาคม 2022 18:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท