เหมือนจะตกผลึกในความคิดประการหนึ่งว่า ความสุขของคน มาจาก ๓ ทางเท่านั้น ได้แก่ ๑) สุขจากการเสพ ๒) สุขจากการสร้าง และ ๓) สุขจากความสงบ
๑) ความสุข จากการ "เสพ"
การได้สุขสมใจ สมปรารถนาทางรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส (กามคุณ ๕) ความสุขแบบนี้หากเลยขอบเขตของศีล ๕ จะนำพาผู้เสพลงต่ำไปสู่ภพภูมิที่ต่ำลง แรงผลักดันให้เสพสุขประเภทนี้คือ "กิเลส"
ความสุขจากการเสพนี้ น่าตรงกับว่า "เสพสุข" ของมนุษย์โลก ณ ขณะ พ.ศ. กึ่งพุทธกาลนี้ที่สุด
๒) ความสุข จากการ "สร้าง"
สุขจากการสร้าง เกิดขึ้นได้เฉพาะกรณีการสร้างสรรค์ "ความดี" หรือสร้างสรรค์สิ่งดีเท่านั้น ต้องเป็นการสร้างสิ่งดีที่ไม่ทำให้คนอื่นหรือสัตว์อื่น ๆ เดือดร้อน สิ่งที่เรียกว่า "ความดี" คือสิ่งที่ทำแล้วนำสุขมากให้ ไม่ก่อทุกข์โทษในภายหลัง ทำแล้วเกิดจิตกุศล หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า "ทำบุญ" แรงผลักดันให้สร้างสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้คือ ความอยากดี บางทีก็อยากได้รับการยอมรับชื่นชมจากคนที่ตนรักและสังคม
๓) ความสุข จากความสงบ
ความสุขจากความสงบ เกิดจากความไม่เสพ และไม่สร้าง แต่เป็นการละวางความอยาก ใช้สติและสมาธิ ตามรู้ตามดูให้เท่าทันกิเลสที่จะมาให้เรา "เสพ" และ "สร้าง" พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ความสุขใดเสมอด้วยความสุขจากความสงบไม่มี ครูบาอาจารย์ทุกรูปสอนตรงกันหมด ท่านบอก ความสุขทางโลก ในที่นี้ก็คือ ความสุขจากการเสพนั้น เหมือนกินเนื้อติดฟัน เหมือนเด็กสุขจากการเล่นสนุกกับโคลนดิน ดังนั้น หากจะให้เรียงลำดับระดับความสุขทุกท่านคงจะทราบคำตอบได้ไม่ยาก
ขอขยายความประกอบภาพนี้
จำได้ว่า ในตำราเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีเทวดามาถามพระพุทธเจ้าทำนองว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านสามารถข้ามโอฆะได้อย่างไร" พระพุทธเจ้าทรงตรัสตอบว่า "ท่านผู้มีอายุ เราไม่พักอยู่ ไม่เพียรอยู่ ข้ามโอฆะได้แล้ว" (โอฆะ คือ ห้วงน้ำในที่นี้คือกิเลส ข้ามโอฆะคือข้ามกิเลส) เทวดาองค์นั้นถามว่า "ไม่พักอยู่ ไม่เพียรอยู่ เป็นอย่างไรเล่า" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เมื่อพักอยู่คือจมอยู่โดยแท้ เพื่อเพียรอยู่คือลอยอยู่โดยแท้ ไม่พักและไม่เพียร ข้ามโอฆะได้แล้ว" ....
เราโชคดีที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนาที่พระธรรมดำรงอยู่อย่างสมบูรณ์ยิ่ง ขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านฟัง ศึกษา และปฏิบัติ โดยเฉพาะธรรมที่ถ่ายทอดโดยหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช
สาธุธรรม..เจ้าค่ะ..