หัวใจของการสมัครคัดเลือกเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ประการหนึ่งคือ การเลือกคณะ และจัดอันดับในการเลือกคณะได้สอดคล้องกับความสามารถของนักเรียนเอง ที่กล่าวเช่นนี้ก้เพราะว่า ถึงแม้ว่าเราจะมีความชื่นชอบที่จะเรียนในสาขาใดสาขาหนึ่ง แต่สาขานั้นเป็นสาขาที่ผู้เลือกส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ทำคะแนนได้สูงกว่าความสามารถของนักเรียนมาก ถ้านักเรียนเลือกคณะนั้นโอกาสที่นักเรียนจะสอบติดในคณะนั้นก็เป็นไปได้ยากดังนั้นในการพิจารณาเลือกคณะและจัดอันดับ จึงควรคำนึงถึงความเป็นไปได้ในการเลือกที่เหมาะสมกับตนเองที่สุด ทั้งในด้านสติปัญญา ความสามารถ ความชอบ ความถนัด และสุขภาพ ฯลฯ โดยมีขั้นตอนที่ควรพิจารณาดังนี้
เทคนิคในการเลือกคณะ
การที่นักเรียนจะเลือกคณะอะไรบ้าง มีหลักเกณฑ์ที่ควรดูพิจารณาดังนี้
1.ต้องรู้กตนเองและสภาพแวดล้อม
1.1 รู้ถึงความสามารถทางด้านวชิาการของตนเอง
ในการเลือกคณะนั้นควรเลือกคณะที่มีความเหมาะสมกับระดับผลการเรียน และผลการสอบของตนเองอย่างแท้จริง ไม่เลือกสูง หรือต่ำกว่าความสามารถของตนเองจนเกินไป เช่น เลือกคณะทันตแพทย์ศาสคร์ จุฬา ทั้งที่เรียนได้เกรด 1 กว่า หรือ 2 เล็กน้อย และสอบได้คะแนนรวม = 15,000 คะแนน ในขณะที่คะแนนต่ำสุดในปี 2553 = 22,915.00 คะแนน ก็นับว่าเลือกสูงไป
1.2 ความชอบ/ความถนัด/ความสนใจของตัวเอง
ควรเลือกพิจารณาตามลำดับความชอบจากมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด ทั้งนี้เนื่องจากบุคคลที่สนใจหรือชอบสิ่งใด ย่อมจะมีแรงจูงใจในการกระทำมากกว่าสิ่งที่ไม่ชอบ ดังนั้นคณะที่นักเรียนเลือกควรเป็นคณะที่นักเรียนสนใจจะศึกษาจริงๆ และเหมาะกับความสามารถของตนเองอย่างแท้จริง ไม่ควรเลือกตามเพื่อน หรือตามค่านิยม โดยไม่ดูความถนัดและความสนใจของตัวเอง เช่น ชอบเรียนฟิสิกส์ ชอบต่อวงจรไฟฟ้า ก็ควรเลือกเรียนทางด้านวิศวกรรม ชอบวาดรูป ก็อาจจะเลือกทางด้านศิลปะ เป็นต้น
1.3 ลักษณะนิสัยส่วนตัว
เพราะอาชีพหลายอาชีพต้งการบุคคลที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะด้าน เช่น งานด้านศิลปะ หรืองานด้านแพทย์-พยาบาล เป็นต้น
1.4 สุขภาพและลักษณะร่างกาย
เพราะบางคณะกำหนดคุณสมบัติเฉพาะไว้ เช่น ส่วนสูง,สายตา หรือโรคบางโรค หรือความพิการในอวัยวะบางส่วนของร่างกาย ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้อาจเป็นสิ่งจำเป็นในการเรียน และการประกอบอาชีพในอนาคต เป็นต้น
1.5 ดูความต้องการของญาติพี่น้อง และฐานะทางครอบครัว
ประกอบด้วยว่า จะได้รับการสนับสนุนให้เข้าศึกษาในคณะนั้นมากน้อยเพียงใด หรือฐานะทางบ้านสามารถสนับสนุนค่าใช้จ่ายได้ตลดระยะเวลาในการศึกษาหรือไม่
2.ต้องรู้ข้อมูลเกี่ยวกับคณะ/สถาบันต่างๆ
2.1 ในการพิจารณาเลือกคณะ อย่าลืม!
ศึกษาคุณสมบัติ และเกณฑ์ในการสมัครเข้าศึกษาในคณะ/สถาบันนั้นๆ ด้วย เพราะแต่ละมหาวิทยาลัย/สถาบันจะกำหนดกฎเกณฑ์ออกมาหลากหลาย แม้แต่สาขาเดียวกันแต่ต่างสถาบันก็ยังมีเกณฑ์ครสมบัติที่ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับปรัชญาของแต่ละสถาบัน ดังนั้น นักเรียนจึงต้งศึกษารายละเอียดให้ดรก่อนว่า เรามีคุณสมบัติตามที่คณะต้องการหรือไม่
ถ้านักเรียนมีคุณสมบัติไม่ครบตามข้อกำหนดที่ได้กำหนดไว้ ก็ไม่ควรเลือกเพราะจะทำให้โดนตัดสิทธิ์เช่นเดียวกัน ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจเลือกคณะ จึงควรศึกษาคุณสมบัติและข้อกำหนดของคณะนั้นๆ ให้ชัดเจนและเข้าใจเสียก่อน หากยังไม่แน่ใจควรศึกษา หรือถามผู้รู้ก่อน ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของตัวนักเรียนเอง
2.2 คณะที่เราสนใจนั้นมีกี่มหาวิทยาลัยที่เปิดสอน
และสภาพในแต่ละมหาวิทยาลัยเป็นอย่างไร เช่น ที่ตั้ง, ระบบการเรียนการสอน, วิชาที่เรียน, การวัดผล, บรรยากาศโดยทั่วไปเป็นอย่างไร ถ้านักเรียนสอบเข้าคณะนั้นได้ นักเรียนจะเรียนหรือไม่ (เพราะถ้าหากนักเรียนสอบเข้าไปได้และสละสิทธิ์ก็จะเป็นการไปกันที่ของคนอื้นที่ต้องการจะเข้าศึกษาในคณะนั้นจริงๆ)
2.3 สัดส่วนการแข่งขันของแต่ละคณะ/สถาบัน
ดูได้จากสถิติคะแนนสูง-ต่ำ ของบัณฑิตแนะแนว ที่มีข้อมูลจำนวนผู้สมัคร จำนวนผู้สอบผ่าน ข้อเขียน ของปีการศึกษา 2553 ไว้ หรือความนิยมของสถาบันว่ามีผู้สนใจเลือกสมัครมากน้อยแค่ไหน
2.4 จำนวนรับที่แต่ละมหาวิทยาลัย/สถาบันจะรับได้
จำนวนที่รับมากอาจแข่งขันกันน้อยกว่าจำนวนที่ได้รับน้อย
ในการสมัครคัดเลือกเข้าศึกษาในสถาบันการศึกษา ในระบบ Admissions ผู้สมัครแต่ละคนมีสิทธิเลือกคณะได้ 4 คณะซึ่งไม่จำเป็นจะต้องอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน และผู้ที่เลือกคณะเดียวกันแต่อันดับไม่ตรงกันก็มีสิทธิเท่ากันที่จะติดคณะนั้น ถ้าคณะเข้าถึงเกณฑ์ เช่น นาย ก เลือกรัฐศาสตร์เป็นอันดับ 1 นาย ข เลือกรัฐศาสตร์เป็นอันดับ 3 ปรากฎว่าคะแนนเขาทั้งคู่ สูงกว่าคะแนนต่ำสุดของคณะรัฐศาสตร์ (คือทำคะแนนได้สูงกว่าคนสุดท้ายที่สอบเข้าคณะรัฐศาสตร์ได้) เขาทั้งคู่ก็จะได้รับการคัดเลือกให้เข้าเรียนคณะรัฐศาสตร์เหมือนกัน สำหรับหลักเกณฑ์ในการจัดคณะมีหลักเกณ์ดังนี้
1.รวบรวมคณะที่ตนเองพิจารณาว่าเหมาะสมแล้ว ทั้งในแง่ความสามารถทางสติปัญญา ความถนัดและความสนใจ อาจมากกว่า 4 คณะก็ได้
2.นำคณะต่ำสุดของคณะทั้งหมดที่เลือกไว้ มาเรียงอันดับอีกครั้ง เพื่อให้มีโอกาสในการเข้าศึกษาต่อมากยิ่งขึ้น โดยเรียงอับดับคณะจากคณะที่มีคะแนนต่ำสุดที่ “มากที่สุด” ไว้เป็นอันดับแรก คณะที่มีคะแนนต่ำที่สุด “น้อยกว่า” รองลงมาเรื่อยๆ เช่น
นางสาวนิด เลือกคณะที่ต้องการ 4 คณะโดยเรียงจากความชอบได้ดังนี้
คณะ |
สถาบัน |
คะแนนต่ำสุด |
###p#<ต่ำสุด |
ทันตแพทยศาสตร์ |
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
22,915.00 |
76.38 |
เภสัชศาสตร์ -เภสัชศาสตร์ |
มหิดล |
20,356.50 |
67.86 |
พยาบาลศาสตร์ |
เชียงใหม่ |
17,714.55 |
59.05 |
พยาบาลศาสตร์ |
ขอนแก่น |
18,668.35 |
62.23 |
ในการสมัครคัดเลือกเข้าศึกษานางสาวนิด ควรเรียงอันดับคณะดังนี้
อันดับที่ 1 คณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ คณะต่ำสุด 22,915.00 (76.38)
อันดับที่ 2 คณะเภสัชศาสตร์ –เภสัชศาสตร์ ม.มหิดล คณะต่ำสุด 20,356.50 (7.86)
อันดับที่ 3 คณะพยาบาลศาสตร์ ม.ขอนแก่น คณะต่ำสุด 18,668.35 (62.23)
อันดับที่ 4 คณะพยาบาลศาสตร์ ม.เชียงใหม่ คณะต่ำสุด 17,714.55 (59.05)
หมายเหตุ
ในการจัดเรียงอันดับด้วยวิธีนี้เหมาะกับการจัดเรียงคณะที่มีเงื่อนไขต่างๆ เหมือนกัน เช่น จำนวนวิชาสอบ,ค่าน้ำหนักคะแนน แต่ถ้าคณะที่มีความแตกต่างกัน เช่น วิชาสอบไม่เหมือนกัน ค่าน้ำหนักแตกต่างกัน ก็ต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ด้วยว่าจะเรียงอันดับคะแนนอย่างไร
3.การจัดอันดับโดยคร่าวๆทั่วไปมีลักษณะดังนี้
- อันดับ 1 หรือ อันดับ 1 ถึง 2 เลือกคณะที่เราอยากเรียนจริงๆ คือ ชอบมาก แต่ไม่ควรให้คะแนนสูงกว่าความสามารถจนเกินไป
- อันดับ 3 หรือ อันดับ 2 ถึง 3 เลือกประเภทวิชาที่เราชอบอยู่บ้าง และคะแนนควรรองๆ ลงมา
- อันดับ 4 ให้เลือกคณะที่มีคะแนนต่ำที่สุดเท่าที่คิดว่าพอจะเรียนได้ถ้าสอบติด โดยคณะที่เลือกเป็นอันดับที่ 4 ควรมี ”คะแนนต่ำสุด” ไม่สูงกว่าคะแนนรวมที่นักเรียนทำได้
1.ไม่ควรเลือกสถบันยอดนิยมทั้งหมด 4 อันดับ
ควรเลือกปะปนสถาบันที่มีความนิยมรองๆ ลงไป หรืออย่าเจาะจงว่าต้องเป็นสถาบันนั้นๆ สถาบันนี้ ขอให้พิจารณาคณะ/สาขาวิชาที่นักเรียนมีความสนใจ ความชอบที่จะเรียน ตลาดแรงงานมีความต้องการ และ คะแนนสูง-ต่ำในปีที่ผ่านๆมา ไม่สูงเกินความสามารถของตน
2.ไม่ควรเลือกคณะตามใจผู้อื่น
ควรถือหลักว่า "ไม่มีใครรู้จักตัวเราและรู้ความต้องการของตนได้มากไปกว่าตนเอง" สิ่งสำคัญ คือ เลือกเพราะอยากจะเรียน อยากประกอบอาชีพนั้นจริงๆ ถ้าผู้ปกครองมีความคาดหวังในบางคณะ/บางสาขาวิชาที่ไม่ตรงกับความต้องการองนักเรียน ควรหันหน้ามาปรึกษากันด้วยเหตุผล
3.ไม่ควรเลืกคณะที่มีจำนวนวิชาสอบแตกต่างกันมาก
ควรเลือกคณะที่สอบวิชาน้อยแต่เลือกคณะได้ครบ 4อันดับ เพื่อจะได้มีเวลาดูหนังสือได้เต็มที่ ซึ่งถ้าเป็นระบบ Admissions นั้น ก็ควรในส่วนของการสอบ วิชา PAT ว่ามีวิชาที่ต้องสอบแตกต่างกันอย่างไร ถ้านักเรียนเลือกกลุ่มสาขาที่จะเรียนแตกต่างกันมาก จะทำให้ต้องสอบวิชา PAT มากขึ้น
4.ไม่ควรเลือกคณะที่มีคะแนนต่ำสุดติดหมดกันหมด
อันตรายมากควรเลี่ยงเสีย โดยหันไปพิจารณาเลืกคณะเดียวกันของมหาวิทยาลัยอื่นที่อาจจะมีคะแนนต่ำกว่าเข้ามาแทนก็ได้ตามความเหมาะสม เพื่อให้มีการทิ้งช่วงคะแนนบ้าง สำหรับการทิ้งช่วงห่างของคะแนนต่ำสุด ให้พิจารณาจากระดับความสามารถทางวิชาการและสติปัญญาของตนเป็นเกณฑ์ กล่าวคือ หากเป็นคนเรียนเก่ง ช่วงห่างของคะแนนก้ไม่ต้องมากนัก แต่ผู้มีผลการเรียนปานกลางหรือต่ำควรทิ้งช่วงห่างคะแนนมากๆ
แหล่งที่มา :
สุดยอดคู่มือเลือกคณะ สำนักงานบัณฑิตแนะแนว
ไม่มีความเห็น