การสอนในประเทศไทย...ในขณะที่เป็นคนดำ


ทุกวันๆ ฉันเฝ้าแต่สวดมนต์ ฉันสวดเพราะใครบางคนไม่เคยทำให้ฉันทดลอง ฉันสวดเพราะใครบางคนทำให้ฉันรู้สึกไม่ดีกับตนเอง ฉันสวดเพราะฉันได้ตอบสนองกับสถานการณ์ที่อยู่เบื้องหน้าฉันแล้วอย่างเหมาะสม แต่พระเป็นเจ้ากำลังทดสอบฉัน จากที่เธอเห็นจากรูปถ่าย ฉันเป็นคนผิวสีน้ำตาล (brown girl) ฉันรักสีผิวของฉัน แต่อุษาคเณย์ไม่ใช่แฟนของฉัน แต่ก่อนที่ฉันจะเริ่ม จริงๆแล้วคนไทยมีสีผิวน้ำตาล แต่อาจไม่น้ำตาลอย่างฉัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาที่สำคัญอะไร สีผิวเป็นความจริง!

ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ฉันถูกถามเกี่ยวกับสีผิว? และถามว่ามาจากที่ไหน? บ่อยครั้งที่คนไทยจะคิดว่าฉันมาจากแอฟริกา แต่ฉันบอกพวกเขาอย่างสุภาพว่า “ไม่ ฉันมาจากอเมริกาต่างหาก” ไม่มีสิ่งใดสำหรับใจที่ต้องการจะรู้จะเห็น (inquisitive mind) ปัญหาของฉันเริ่มตอนฉันเริ่มทำงาน

โรงเรียนที่ 1

เพื่อนที่ดีคนหนึ่งของฉันชื่อว่า Tori (ดูรูปข้างล่าง) และตัวฉันเริ่มต้นที่โรงเรียนที่อยู่ทางใต้ของกรุงเทพฯ พวกครูเห็นความแตกต่าง แต่เป็นวัฒนธรรมของคนไทยที่จะสร้างความฮาเมื่อเจอใครที่ดูไม่สบอารมณ์ เพื่อที่ทำให้คนอื่นๆหัวเราะ ครูคนหนึ่งเริ่มแขวะความเข้มข้นของสีผิว โดยการเปรียบเทียบกับครูผิวดำที่แนะนำให้รู้จักกันกับพวกเรา เขาเรียกหล่อนว่า “หมาตัวเมียสีดำที่ดูอัปลักษณ์” หล่อนคิดๆคักๆ และกอด Tori พร้อมกับพูดว่า “ไม่ พวกเราสวยงาม” Tori ยิ้ม และไม่หัวเราะ หล่อนดูแข็งแรงกว่าฉัน ฉันไม่หัวเราะ ไม่มอง ก้มหน้ามองดินพยามที่จะหายไป

ฉันสอน3-4 ห้องต่อวัน กับครูอังกฤษที่เป็นคนไทย ทุกๆคนใจดี สุภาพ และช่วยเหลือเมื่อฉันเริ่มทำงาน จะมีหัวหน้าหมวด (head teacher) ที่เป็นหญิงที่มีอายุสักหน่อย หล่อนไม่ใช่เจ้านาย แต่โดยนัยยะแล้ว หล่อนจะต้องรับผิดชอบ   หลังจากผ่านการทำงานไปสัก 2-3 วัน ครูจำนวนหนึ่งกระทำกับฉันอย่างแปลกๆไป โดยการพูดน้อยลง และยิ้มน้อยลง ฉันรู้สึกว่ามันแปลกๆไป (weird) ทั้งที่ตอนแรกพวกเขาต้องรับฉันอย่างดี แต่ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมากไป นักเรียนทุกคนรู้สึกประหลาดใจที่ฉันไม่เอาใจใส่กับสิ่งนั้น “ตาถลึงและการกัดฟัน” หัวหน้าหมวดบอกว่าครูไทยว่า ผิวสีน้ำตาลของเราที่มีครีมช็อกโกแลตเป็นคนน่ากลัวและแย่มากๆ แต่พวกเราเป็นครูที่ดี นั่นจึงเป็นสิ่งที่ฉันเข้าใจเหตุผลว่าทำไมจึงพูดและยิ้มน้อยลง สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อหล่อนเรียกและบ่นกับบริษัทฉัน 2 ครั้งถึง “ผลอันไม่พึงปรารถนา” และบอกพวกเจ้านายว่าพวกเขาต้องเปลี่ยนเป็นผู้สอนชาวยุโรปได้แล้ว ฉันลาออกไปโดยไม่กล่าวอะไรมากไป ฉันไม่อยากจะติดต่อกับพวกนี้อีกต่อไป

โรงเรียนที่ 2

 โดยสรุป ฉันลาออกก่อนการทำงาน บริษัทเสนอให้ฉันย้ายไปอีกโรงเรียนหนึ่ง แต่ฉันตัดสินใจที่ไม่เอา และฉันก็ลาออกจากบริษัทไปเลย

โรงเรียนที่ 3

ครูใหญ่ (the head teacher) สัมภาษณ์ และถามถึงคุณสมบัติอันเหมาะสมของฉัน หล่อนเป็นคนดีพอสมควร  แต่ปฏิเสธที่จะเซ็นสัญญาจนกว่าเธอจะได้เห็นการสอนก่อน เธอบอกว่าจะมาสังเกตการสอนแต่ไม่บอกไว้ล่วงหน้า ฉันลาออก เพราะไม่เพียงแต่ฉันมีความรู้สึกที่ไม่ดีเท่านั้น แต่การเดินทางจากที่พักไปโรงเรียนไกลมากๆ

โรงเรียนที่ 4

ฉันตัดสินใจที่จะเข้ามาแทนที่งาน Mark (ดูข่างล่าง) ประมาณ 1 สัปดาห์ ครูใหญ่เดินเข้ามาหาและถามว่าฉันเป็นใคร ฉันตอบว่า “สวัสดีค่ะ ดิฉันเข้ามาแทนที่ครู Reuben สัก 1 สัปดาห์ ฉันชื่อ.......” ครูใหญ่เดินจากไป ทั้งที่ยังพูดไม่เสร็จ Mark บอกให้ฉันออกมาเลย แต่ฉันปฏิเสธ เพราะอยากได้เงินสักหน่อย และจะไม่กลับมาอีก วันต่อมาที่ Mark คุยกับเธอ ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน แต่ที่ฉันเห็นก็คือเธอทักทายฉันยิ้มให้เป็นอย่างดี ต้องขอบคุณ Mark จริงๆ

โรงเรียนที่ 5

ผู้อำนวยการสุดๆกับฉัน ฉันตัดสินใจแล้วว่าหากสมัครงาน ก็จะขอส่งรูปพร้อมกับประวัติย่อ (resume) ลงไปด้วย ฉันไม่อยากทำให้ใครประหลาดใจอีก นอกจากนี้ฉันยังหลีกเลี่ยงการมองที่ขืนใจ (awkward stares) เมื่อฉันปรากฏตัว คนที่มาสัมภาษณ์ฉันภาษาอังกฤษดีมากๆ หล่อนมาฉันเข้าในห้อง และพูดว่า “ฉันเห็นใจเธอนะ ฉันเป็นคนเปิดกว้าง แต่พ่อแม่ที่โรงเรียนฉันอาจต้องตกใจ (nervous) ในเรื่องผิวของคุณ เธอมีผิวสีดำ และพวกเขาไม่คิดว่าเธอเป็นคนใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 1” ฉันบอกว่าฉันเข้าใจ เพราะฉันผิวดำจริงๆ เธอถามคำถามเหมือนการสัมภาษณ์ทั่วไป ฉันบอกเธอว่ามีประสบการณ์การสอนประมาณ 5 ปี ได้รับปริญญาโทด้านการศึกษา และที่ต้องมาอยู่ในโรงเรียนเพื่อการทำปริญญาเอก ฉันได้รับปริญญาเอกด้านการศึกษาภายในอายุ 30 ปี เธอดูที่ฉัน และถามว่า “เอาหละ คุณทำอะไรได้บ้าง? เขียนแผนได้หรือไม่? แล้วเธอเป็นครูที่ดีหรือไม่?”  

ฉันน่ะมีชื่อหลายชื่อ แต่ไม่มีใครกล่าวหาฉันว่าโง่จริงๆ ทำไมฉันจะเขียนการสอนไม่ได้หละ? ฉันสอนที่ประเทศเกาหลีใต้เป็นเวลา 1 ปี และเขียนหลักสูตรให้โรงเรียนด้วย ฉันสอนก่อนอนุบาล (pre--school) ที่ Virginia และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นครูผู้นำ (Lead teacher) ในเวลา 1 เดือน ฉันสอนใน Washington DC เป็นเวลา 3 ปี ในโรงเรียน Public Charter งานที่มีแต่พระเจ้าเท่านั้นยกมาให้ฉัน เธอเคยอ่านประวัติย่อฉันหรือไม่? ฉันส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ และถ่ายเอกสารให้คุณแล้ว ใช่หรือไม่ที่ฉันผิวดำก็เลยเขียนแผนการสอนไม่ได้? ผิวของฉันทำให้ฉันเขียนแผนไม่ได้อย่างนั้นเหรอ? เธอคิดว่าฉันไม่สามารถสร้างสรรค์แผนการสอนอย่างนั้นสิ?

เมื่อพูดเสร็จแล้ว พวกเราจึงหยุดการสัมภาษณ์ พร้อมกับที่เธอกล่าวว่า “ฉันไม่รู้ว่าจะจ้างคุณได้ไหม เราต้องดูเธอสอนก่อน” กรุณาเข้าใจด้วยว่างานที่ทำมีลักษณะอย่างไร แต่เมื่อมีหญิงผิวขาว 2 คนเข้ามาในห้อง เธอบอกพวกเขาว่าให้มาทำงานในวันอังคารนี้ ไม่มีการสัมภาษณ์ ไม่มีแม้กระทั่งของสาธิต โอไม่!

ผู้อำนวยการพาฉันไปอีกห้องหนึ่งพร้อมกับครูต่างชาติอีกคนพร้อมกับแนะนำตนเอง  เธอที่รัก ฉันเริ่มร้องไห้ ร้องไห้เพราะประสบการณ์ทุกอย่างในอดีต ทุกครั้งที่ฉันไปห้องเรียนอันใหม่ ได้แต่ถูกมองและหัวเราะ ทุกครั้งที่ฉันเดินผ่านกลุ่มนักเรียน มีบางคนพยายามที่จะจิกผม ทุกครั้งที่ฉันสอนภาษาที่ฉันพูดอย่างชัดแจ้ง แต่ก็มีเด็กบางคนสนใจแต่สีผิวมากกว่าวัฒนธรรมและการศึกษาที่ฉันนำเสนอให้เด็กๆ

นี่คือตอนสุดท้ายของเรื่อง

ครูชาวต่างชาติ (คนยุโรป) นำกระดาษทิชชู่ และกล่าวว่า “เธอต้องบอกหล่อนถึงสิ่งที่เธอบอกกับฉัน” ฉันจะไม่ลอง แต่ผู้อำนวยการก็เข้ามาหาครูคนนั้นพร้อมกับกล่าวว่า “Kristin เอาแต่ร้องไห้ เพราะ.....” เขามองมาที่ฉัน ฉันพยายามอธิบายว่าฉันมีช่วงที่ยุ่งยากในประเทศนี้ เพราะสีผิว แต่นั่นเป็นของโกหก ฉันมีเวลาที่ทุกข์ใจในประเทศไทยเพราะผู้คน และก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดปกติในตัวฉัน ด้วยความสงสาร หล่อนให้ฉันทำงานและเริ่มในวันถัดไป ไม่มีใครมาสังเกตการสอนฉัน ไม่มีใครบอกฉันด้วยว่าควรทำอะไร มันมิใช่การจบที่มีแต่ความสุขนัก แต่ประสบการณ์ของฉันยังไม่จบ มีเวลาแค่ 2 เดือน และฉันต้องจากไปไกลแสนไกลแล้ว

แปลและเรียบเรียงมาจาก

Kriswya. Teaching in Thailand….While Black https://kriswya.wordpress.com/2017/07/07/teaching-in-thailand-while-black/amp/

หมายเลขบันทึก: 630976เขียนเมื่อ 11 กรกฎาคม 2017 19:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กรกฎาคม 2017 19:58 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

Thank you for the story.

It is sad and not for Thailand's national interest to hear of discrimaination and prejudice against skin colours.

Do Thais look at themselves as white? or brown or yellow? We can be colourless and yet fully human. All can be buddhists - awakners, learners of dhamma and languages if we can see ourselves as black.

"รูปชั่วตัวดำ" 

"ขาวตี๋ หล่อรวยเท่" 

ค่านิยมในประเทศไทยหรือในประเทศเอเชียอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น ยังให้ความสำคัญกับ "ความขาว" 

มีมโนทัศน์คำว่า "ฝรั่ง" ต้อง "ผิวชาว" เรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่จะเปลี่ยนแปลงได้ยากในสังคม หนังละครและสื่อ เช่น โฆษณา "ความขาว" ก็ยิ่งตอกย้ำความแบ่งแยกระหว่าง "ผิวขาว" กับ "ผิวดำ" 


สงสาร..คนในประเทศนี้..เสียใจ ..จริงๆ..ที่."เขาไม่รู้ตัวว่าโดน หลอก..และให้อยู่กับ ความ.ต่ำ..และ ช้าในด้าน ความคิด..มาตลอด..ยิ่งกว่า คน ผิวสีที่ดำกว่านิดเดียว.แต่.ที่เขามีโอกาศ..ได้เป็นประธานาธิปดี อเมริกาและได้ต่อสู้มาหลายชั่วคน..ให้พ้น..จากคำว่า..เป็นทาส..และรัก..คำว่าประชาธิปไตย...

เสียดายโอกาศ  ของเด็กๆ..ที่..ถูกครอบงำ..มาตลอด..เอ..วันหน้า..จะเป็นอย่างไร..เมื่อวันนี้..ยังเป็นอย่างนี้..ไปเรื่อยๆ..และต่อๆไป....จมน้ำ..ตายแน่ๆ..๕๕๕

“วาทกรรมความขาว” ควบคุมสังคมไทยไปหมดแล้วค่ะ

เขาก็เป็นกันอย่างนี้แหละคนไทย ที่งมโข่งแต่ในประเทศ ชอบเหยียดสีผิว สำหรับฉันเองก็มีแฟนคนผิวสีเหมือนกันแล้วก็รู้จักคนผิวสีที่อยู่ต่างประเทศ แล้วตอนนี้ฉันก็อยู่ต่างประเทศเหมือนกัน คนไทยบางคนไม่เคยอยู่ต่างประเทศเขาก็ยังปิดกันความคิดของเขาอยู่ดี เปิดตาได้แล้วค่ะ คนนะถ้าจะไม่ดีสีอะไรก็ไม่ดี เพราะฉะนั้นอย่ามองแค่สีให้มองที่การกระทำและความสามารถที่เขามี

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท