โครงการปริญญาเอก หลักสูตรการจัดการนวัตกรรม PHD 8205 การจัดการทุนมนุษย์ และทุนสังคม รุ่น 14


สวัสดีครับลูกศิษย์ทุกท่าน ผมเปิด Blog นี้ขึ้นมาเพื่อให้เป็นช่องทางในการรวบรวมข้อมูลการเรียนในวิชา PHD 8205 การจัดการทุนมนุษย์ และทุนสังคม อาทิ การสรุปการเรียนรู้ในเเต่ละครั้ง. การใช้เป็นช่องทางในการส่งการบ้านหรือการอภิปรายต่าง ๆ จากการ...
มีต่อ
พ.ต.อ.ผดุงศักดิ์ รักษาสุข

วิจารณ์หนังสือ On managing people 3 ข้อ

หนังสือเล่มนี้ นำเสนอหลัการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย หนทางที่จะสร้างแรงจูงใจ หรือการบรรลุข้อตกลงของลูกจ้างที่มีปัญหา จะสร้างทีมงานซึ่งยิ่งใหญ่กว่าส่วนย่อยของงาน การตอบคำถามเหล่านี้เป็นเรื่องยาก ต่อให้เป็นผู้บริหารที่มากประสบการณ์ หนังสือเล่มนี้ รวบรวมแนวทางบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่ถือว่าเป็นสุดยอด 10 เรื่อง ที่ผู้บริหารควรรู้ที่ผู้นำสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในสถานการณ์ต่างๆ ในที่นี้จะขอวิจารณ์ ใน 3 หัวข้อ ดังนี้

1. Teaching Smart People How to Learn:

การพัฒนา Talents บางครั้งอาจต้องให้บุคคลเหล่านี้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ดังทฤษฎี 3’L: เรียนรู้จากความผิดพลาด, เจ็บปวด (Learning from Pain) เรียนรู้จากประสพการณ์ (Learning from Experience) ซึ่งจะพัฒนาเป็น เรียนรู้จากการฟังผู้อื่น (Learning from Listening) ในท้ายที่สุด

2. How (Un)ethical are You?:

จริยธรรม เป็นส่วนสำคัญอันหนึ่งในทฤษฎื 8’K+5’K เป็นองค์ประกอบสำคัญอันหนึ่งใน Hygiene Factor เป็นเป็นปัจจัยหลักในการสร้างภาวะผู้นำแบบรวมศูนย์ที่ประชาชน (Human-Center Leadership) ซึ่งจะส่งผลให้สังคมเกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน

3. The Discipline of Teams:

การสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพจะต้องให้ทีมงานมีเป้าหมายร่วมกันในการทำงาน มีการหลอมรวมจิตใจให้เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยใช้ทฤษฎื HRDS และ 3’P: Pleasure Passion Purpose ร่วมกับผู้นำที่มีภาวะ

1. สุขภาพทางร่างกายและจิตใจพร้อมไม่หักโหม (Healthy)

2. ชอบงานที่ทำ (Passion)

3. รู้เป้าหมายของงาน (Purpose)

4. รู้ความหมายของงาน (Meaning)

5. มีความสามารถที่จะทำให้งานสำเร็จ (Capability)

6. เรียนรู้จากงานและลูกค้าตลอดเวลา (Learning)

7. เตรียมตัวให้พร้อม (Prepare)

8. ทำงานเป็นทีม อย่าทำงานคนเดียว (Teamwork)

9. ทำหน้าที่เป็นโค้ชให้แก่ทีมงานและลูกทีม (Coaching)

10. ทำงานที่ท้าทาย (Challenge)

11. ทำงานที่มีคุณค่า (Enrichment)

พ.ต.อ.ผดุงศักดิ์ รักษาสุข

วิเคราะห์หนังสือ Search Inside Yourself

หากนำหลัก 2R’s คือ Reality และ Relevance มาวิเคราะห์หนังสือ Search Inside Yourself จะพบว่าหนังสือเล่มนี้ มีการนำเสนอทั้งสองแง่มุม

Reality มีการนำเสนอที่เป็นความจริง เพราะเนื้อหาสาระเน้นในการพัฒนาตนเองจากภายในคือ สติ สมาธิ ที่ก่อให้เกิดปัญญาในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาตนเองต่อไป เพื่อประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น ตรงกับหลักคำสอนของพุทธศาสนาที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าได้ผลจริง

Relevance มีการนำเสนอที่ตรงประเด็น ในแง่มุมของวิธีการนำไปสู่การพัฒนาตนเองที่เกิดได้จริง

นอกจากนี้ หนังสือเล่มนี้มีลักษณะการนำเสนอทั้งในแบบ Micro กล่าวคือ นำเสนอชั้นตอนการค้นหาตนเอง โดยการตั้งใจฝึกฝน รู้จักตนเองและความสามารถของตนเอง การสร้างวินัยทางจิต จัดระบบความคิด ให้มีจิตนาการทางบวก ที่ก่อเกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น เสนอแนะแง่มุมที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ คือ เส้นทางที่ความหนาวเย็นแห่งไซบีเรีย (SBNRR)

S = Stop (หยุด) หยุดจิตเราเมื่อเจอสิ่งเร้า

B= Breathe (ลมหายใจ) กำหนดรู้ลมหายใจ เพื่อผ่อนคลาย

N= Notice (ระลึก) ระลึกได้เพื่อการมีสติ

R= Reflect (สะท้อน) พิจารณาเพื่อความเข้าใจ อย่าพิพากษาตัดสินถูกผิด

R= Response (ตอบสนอง) สนองตอบในแง่บวก ไม่ว่าด้านความคิดหรือการกระทำ

การสร้างแรงจูงใจตนเองอย่างมีศิลปะ The art of self-motivation

1. Alignment: จัดลำดับงานตามความสำคัญและความปรารถนา

2. Envisioning: กำหนดจุดหมายปลายทางของวิสัยทัศน์ที่ตนเองต้องการ

3. Resilience: ความสามารถในการเอาชนะอุปสรรค

Having Fun for a Living ต้องสนุกกับการใช้ชีวิต

True of motivation

1. Autonomy การกระตุ้นให้เป็นตัวของตัวเอง

2. Mastery ความปรารถนาที่อยากทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

3. Purpose มีเป้าประสงค์ที่ชัดเจน

Envision

- Discover ideal future ค้นหาความคิดสร้างสรรใหม่ๆ

- Talk ideal future อธิบายความคิดสร้างสรรเป็นคำพูดให้คนอื่นเข้าใจ

และการนำเสนอแบบ Macro ด้วยการนำเสนอ 3 ขั้นตอนที่ทำให้โลกเป็นสุข มีสมาธิ มอบความดีให้ทุกคน ความคิดที่ดีเปลี่ยนชีวิตได้ใน 10 นาที

Learn optimism

1st step: awareness of negative experience bias ตระหนักรู้ ในอคติที่มาจากประสบการณ์ที่ไม่ดี

2nd: mindfulness ตั้งสติ วิปัสสะนา

3rd transformation: success and failure เอาประสบการณ์มาคิดวิเคราะห์และเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

หากพิจารณาจากทฤษฎี 8K’s

1.Human Capital ทุนมนุษย์

2.Intellectual Capital ทุนทางปัญญา

3.Ethical Capital ทุนทางจริยธรรม

4.Happiness Capital ทุนแห่งความสุข

5.Social Capital ทุนทางสังคม

6.Sustainability Capital ทุนแห่งความยั่งยืน

7.Digital Capital ทุนทาง IT

8.Talented Capital ทุนทางความรู้ ทักษะและทัศนคติ

หนังสือเล่มนี้กล่าวถืงการค้นหาภายในตนเอง เปรียบเสมือนการวิเคราะห์ว่าตนเองนั้นมีทุน 8K’s เพียงพอหรือไม่ และมีนำเสนอวิธีพัฒนาตนเอง โดยการฝึกการ ใช้สติ ปัญญา อารมณ์ ทัศคติ ที่ถูกต้อง เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

พ.ต.อ.ผดุงศักดิ์ รักษาสุข

บทสัมภาษณ์ท่านพารณ อิสระเสนา ณ อยุธยา โดย อ.จีระ หงส์ลดารมภ์ ทั้งสองครั้ง เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในครั้งแรก เน้นไปที่การพัฒนาบุคลากรในองค์กร ซึ่ง พารณ มีความเชื่อและศรัทธาในเรื่องคน ว่าเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดในองค์กร เหนือกว่า ทรัพย์สิน เครื่องจักร โรงงาน เพราะคนจะไปทำให้เกิดผลผลิต และยิ่งนานวันสิ่งอื่นมีแต่จะเสื่อมค่าลง แต่คนที่มีประสบการณ์กลับมีมูลค่าเพิ่ม และที่สำคัญการสร้างคนให้มีจริยธรรม คุณธรรม เป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรก เพราะจะส่งผลดีต่อองค์กรในระยะยาว ที่จะได้รับความเชื่อมั่น ศรัทธา เมื่อพัฒนาคนให้มีคุณภาพและคุณธรรมแล้ว ต้องรักษาไว้ ดูแลเรื่องสวัสดิการ ความเป็นอยู่ ติดตามดูแลใกล้ชิด ถามสาระทุกข์สุขดิบ จัดสรรรายได้เพียงพอเหมาะสมแก่ฐานะ การแต่งตั้ง โยกย้าย ต้องอยู่บนฐานแห่งความเป็นธรรมและให้ความรัก ความเมตตา ดังนั้นงานที่สำคัญที่สุดคือ การบริหารงานบุคคล และเพื่อการวางอนาคต ต้องให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา ซึ่งในความเห็นส่วนตัวนั้นเห็นด้วยอย่างยิ่ง หากทุกองค์กรสามารถปฏิบัติได้จริง จะส่งผลดีต่อองค์กรอย่างยั่งยืน

สำหรับการให้สัมภาษณ์ครั้งที่สอง พารณ ยังคงอ่อนน้อมถ่อมตน และยังคงเชื่อมั่นศรัทธาอย่างไม่เสื่อมคลาย ว่า คน เป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดองค์องค์กร เมื่อเกษียณอายุ มองในภาพกว้าง เชื่อว่าเด็กไทยเป็นสมบัติที่มีคุณค่าที่สุดของประเทศไทย จึงนำทฤษฎี Constructionism ของ Prof. Pepert แห่ง Media Lab- MIT ทดลองนำไปใช้ในโรงเรียนสันกำแพง ซึ่งห่างไกลความเจริญ แต่มีปัจจัยสนับสนุนหลายด้านที่สามารถทดลองปฏิบัติตามความเชื่อในทฤษฎีนี้ ที่ว่า เด็กจะเรียนรู้ได้ดีถ้าเข้าได้ลงมือปฏิบัติเอง ให้เด็กเป็นศูนย์กลางและเรียนรู้ตลอดชีวิต อยากเรียนรู้ สนใจเรื่องไหน ครูเข้าไปเสริม สนับสนุน เรียนรู้ไปพร้อมๆกัน นำเอาเทคโนโลยี่ ที่มีการค้นคว้าวิจัยไว้แล้ว เช่น โปรแกรม ไมโครเวอโซ ให้เด็กระดับประถมฝึกปฏิบัติได้ วัดผล แล้วเรียนรู้ได้สูงขึ้น เด็กสนุก ผู้ปกครองพอใจ ใช้ Lego Logo พวกตัวต่อ สายพาน เซนเซอร์ มาประกอบเป็นรถ สามารถบังคับเลี้ยวได้ รวมทั้ง Photo Journalism ให้เด็กเรียนรู้ผ่านการถ่ายภาพและศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม ประกอบการเรียน ทั้งครูและเด็กทำงานร่วมกัน เริ่มจากง่ายไปหายาก และเชื่อว่า ต้องมีการเรียนรู้ทุกระดับ ตั้งแต่ Village-School-Industry-Nation that learn เพื่อให้คนไทยทุกคนเป็น Global Citizen ซึ่งจะนำพาประเทศไปสู่เป้าหมาย Competitive advantage of Thailand ซึ่งในความเห็นส่วนตัว เห็นด้วยกับแนวทางพัฒนาเด็กนักเรียนดังกล่าว แต่ท่ามกลางการแข่งขันที่รวดเร็วในเวทีโลก คนวัยทำงานในยุคปัจจุบันที่ขาดโอกาสในการพัฒนาตนเอง โดยเฉพาะภาคแรงงาน ภาคเกษตร ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ ควรได้รับการพัฒนาอย่างเร่งด่วนเช่นเดียวกัน โดยอาจกระทำผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การศึกษานอกโรงเรียน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับภาคราชการที่เกี่ยวข้อง สถาบันพัฒนาฝือมือแรงงาน สถาบันวิชาการ รวมทั้งภาคเอกชนในพื้นที่ ต้องระดมกันสร้างหลักสูตร เนื้อหา ที่เหมาะสมกับการพัฒนาคนไทยให้พร้อมที่จะเป็น Global Citizen

ประภาพร คำทองวิจิตร

<p “=”“>วิจารณ์หนังสือ HBR on Managing People </p> <p “=”“>หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงทักษะของนักบริหารในองค์กร เน้นบทบาทของผู้นำเพื่อการบริหารงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ (Leadership that gets result) โดยให้ความสำคัญกับการบริหารคน และการใช้ Emotional Intelligence เพื่อแก้ปัญหาและนำทีมไปสู่เป้าหมาย เสนอแนวทางการนำทีมของผู้นำที่มีการผ่อนหนักผ่อนเบา หรือดุดัน เด็ดขาด ในสถานการณ์ที่จำเป็น กล่าวถึงการเป็นผู้นำว่าไม่จำเป็นต้องทำเองเสมอไป แต่เลือกใช้คนที่มีศักยภาพที่เหมาะสม ก็สามารถนำทีมก้าวต่อไปได้ บทต่อๆไปเสริมเรื่องการดึงศักยภาพของคนผ่านการสร้างแรงจูงใจ (Positive motivation) เพื่อให้คนทำงานอย่างมีความสุขและมีความพอใจในตนเอง การบริหารคนเก่งเพื่อเพิ่มทุนทางทรัพยาการให้แก่องค์กร (Teaching Smart People How to Learn) การพัฒนาศักยภาพของคน การหลีกเลี่ยงความล้มเหลวของพนักงานโดยการเลือกงานให้เหมาะสม (Set Up to Failure Syndrome) รวมไปถึงการบริหารความคาดหวังและความร่วมมือจากหัวหน้างาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการจัดการตัวเองในเรื่องจริยธรรม ที่ผู้นำจำเป็นต้องมี (How (un)ethical are you?) ถือว่าครบถ้วนมาก บทความแต่ละบทแม้จะมาจากผู้เขียนหลายท่าน แต่มีความสอดคล้องกันอย่างมากกับการบริหารคนในองค์กรที่มีความแตกต่างกันในหลายมิติ เช่นนิสัยต่างกัน ความเก่งต่างกัน ตำแหน่งต่างกัน เพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่ต้องการ และแม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเขียนโดยนักวิชาการต่างชาติ แต่เนื้อหาเป็นสากล สามารถนำมาใช้กับการบริหารของคนไทยได้เป็นอย่างดี เนื้อหาทั้งหมดนี้สามารถอธิบายได้โดยย่อ ด้วยทฤษฏี 3V (Value Added, Value Creation, Value Diversity) ของอาจารย์จิระ </p> <p “=”“>เนื้อหาที่นักวิชาการท่านต่างๆนำเสนอ เปรียบได้กับการเรียนรู้จากประสพการณ์ เทคนิคที่ใช้เช่น การแลกเปลี่ยนความเห็น รับฟัง และนำเสนอกับหัวหน้า เปรียบได้กับการเรียนรู้จากการฟัง และการสังเกตุผลและแก้ไข ก็เปรียบได้กับการเรียนรู้จากความผิดพลาด ซึ่งก็คือ ทฤษฏี 3Ls (Learning from pain, Learning from experience, Learning from listening) แหล่งการเรียนรู้ นั่นเอง
</p> <p “=”“>แนวคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้สามารถนำไปใช้ได้ในหลายโอกาสทั้งที่ทำงาน กลุ่มเพื่อนหรือแม้แต่ครอบครัว เพราะ พื้นฐานคือความเข้าใจ ความไว้ใจ และความร่วมมือในการพัฒนากลุ่มของตน
</p>

ประภาพร คำทองวิจิตร

<p “=”“>Think outside the box : คิดนอกกรอบ คิดต่าง คิดต่อยอด ต่างคำ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์เดียวกันได้ คือการสร้างสรรค์ หรือ สร้างเสริมคุณค่าทางความคิดเป็นผลงานที่ให้ผลดีกว่าเดิม </p> <p “=”“>การคิดนอกกรอบมักจะเกิดขึ้นเมื่อต้องการหาทางออกให้กับภาวะปัจจุบัน เพื่อสร้างอำนาจการแข่งขัน หรือเพื่อหาโอกาสการแข่งขันใหม่ ที่จริงแล้วการคิดนอกกรอบต้องมีพื้นฐานจากแนวคิดเดิม หรือจุดเริ่มต้นที่มาจากในกรอบเสียก่อน คือต้องเข้าใจว่าอะไรได้ผล และอะไรต้องแก้ไข หรือหลบหลีก ความคิดนอกกรอบที่จะประสบความสำเร็จยังต้องมีพื้นฐานของคุณธรรมและจริยธรรม จึงจะยั่งยืนยาวนาน และเสี่ยงต่อการทำร้าย หรือกฏหมาย </p> <p “=”“>ขอยกตัวอย่างความสำเร็จของการคิดนอกกรอบ 3 เรื่อง ดังนี้ </p> <p “=”“>1. การศีกษาระบบสองภาษา สำหรับโรงเรียนไทย English Program Education </p> <p “=”“>เนื่องจากหลักสูตรการศึกษาเดิม เรียนทุกอย่างเป็นภาษาไทย ยกเว้นวิชาภาษาอังกฤษ ทำให้การพัฒนาทุนมนุษย์ของไทยไม่ทันกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ คนไทยไม่สามารถสื่อสารกับต่างชาติที่มาลงทุน หรือแม้แต่นักท่องเที่ยวที่เป็นแหล่งรายได้หลักแหล่งนึง คนที่ต้องการให้ลูกมีทักษะด้านภาษา เพื่อต่อยอดการศึกษา หรือทำงานในบริษัทต่างชาติ ต้องส่งลูกไปเรียนโรงเรียน International School ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมาก มีเพียงคนกลุ่มเล็กๆเท่านั้นที่ทำได้ จึงไม่ส่งผลต่อการพัฒนาของประเทศ ต่อเมื่อมีการในหลักสูตรการเรียนการสอนสองภาษา ในระดับค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมาก และใช้อาจารย์ต่างชาติมาสอนภาษา บางวิชาเรียนเป็นภาษาอังกฤษ เช่น เลข และ วิทยาศาสตร์ ทำให้การเรียนรู้ของเด็กมัธยมยุคนี้ไปได้เร็ว ทันกับ Digital Economy พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานอย่างมีศักยภาพ การคิดนอกกรอบ เปิดหลักสูตรเช่นนี้ในโรงเรียนของรัฐบาลจึงถือได้ว่าทันเวลากับการเข้าสู่สังคมโลก และสังคมยุค Digital อย่างมาก </p> <p “=”“>2. Fintech การปรับตัวของสถาบันการเงิน และการปรับปรุงกฏหมายการเงิน ให้ทันกับการค้าผ่านทาง Electronic </p> <p “=”“>การคิดนอกกรอบนี้ช่วยให้สถาบันการเงินของไทยสามารถรักษาฐานลูกค้าไว้ได้ และเพิ่มนิติกรรมทางการเงินกับธนาคาร เป็นรายได้เพิ่มเติม แทนที่จะเสียให้ Pay Pal หรือบริษัทบัตรเครดิต ทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายของผู้ซื้อและผู้ขาย การคิดนอกกรอบเช่นนี้ ถือว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย คือลูกค้า และสถาบันการเงินเอง </p> <p “=”“>เมื่อรัฐบาลมองเห็นโอกาสนี้เช่นเดียวกัน และปรับแนวคิดได้ทัน ก็ส่งเสริมให้การเข้าสู่ระบบ Fintech เป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งนี้ระบบนี้เป็นระบบใหม่ การสื่อสารและทำความเข้าใจกับลูกค้ารายย่อยจำเป็นและเร่งด่วนมาก รวมทั้งการป้องกันอาชญากรรมการเงินทางระบบ electronic นั่นหมายความว่า การคิดนอกกรอบเรื่องนี้ยังหยุดไม่ได้และต้องทำต่อไปอย่างรวดเร็ว เพราะการเปลี่ยนแปลงในยุค Digital นี้ไวมาก </p> <p “=”“>3. Apple Watch เมื่อ Watch ไม่ได้แปลว่านาฬิกา </p> <p “=”“>Smart phone ใช้แนวคิด smart life ขยายตัวเองเข้าสู่สินค้าอื่นโดยนำจุดแข็งของตนเองเป็นคุณค่าพื้นฐานการพัฒนาสินค้า </p> <p “=”“>ในวันแรกๆ ที่ Apple ออก Apple Watch ผู้บริโภคไม่เข้าใจว่าทำไมถือ iPhone แล้วจะใส่ Apple watch ไปทำไม Apple ใช้เวลาพอสมควรเพื่อสื่อสารให้ผู้บริโภคเข้าใจ (เรียนรู้) ถึงคุณค่าของสินค้าใหม่นี้ ผ่านวิถีชีวิตสมัยใหม่ และสินค้าคล้ายๆกัน เช่น นาฬิกาเพื่อการออกกำลังต่างๆ ตอนนี้ Apple Watch ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยมาสินค้าออกใหม่หลายรุ่น เพราะนิยามของ Watch นั้นไม่ใช่แค่ นาฬิกา
</p>

สุวรรณี ฮ้อแสงชัย

งานวิพากย์หนังสือ ทรัพยากรมนุษย์แฟนพันธ์แท้

สำหรับหนังสือ ทรัพยากรมนุษย์แฟนพันธ์แท้ เป็นบทสนทนาเกี่ยวกับการพัฒนา “คน” ซึ่งพูดถึงคุณพารณและอาจารย์จีระ แม้ว่าจะมีอายุต่างกันถึง 20 ปี แต่ด้วยความที่ท่านทั้งสองมีแนวคิดและมีความมุ่งมั่นต้องการพัฒนาคน โดยถือว่าคนเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด ควรสนับสนุนให้การศึกษา พัฒนาคนให้มีความสามารถ “คน” คือ “ผลกำไร ไม่ใช่ต้นทุนการผลิต” อาจารย์ทั้งสองท่านจะทำงานโดยเน้นที่เป้าหมายที่การวัดผล ความยั่งยืนระยะยาว และแสวงหาความคิดใหม่ๆ

ความคิดที่คุณพารณได้มานี้ มาจากการเรียนรู้จากการทำงานอันยาวนานในองค์กรที่มีระบบเบียบแบบแผนอย่างบริษัทปูนซีเมนต์ SCG ทำให้คุณพารณมองเห็นความสำคัญของคนเป็นลำดับต้น เพราะท่านเชื่อว่า คน สามารถต่อยอดกำไรให้กับธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ท่านเชื่อว่า “คน” ไม่ใช่เพียงต้นทุนอย่างที่นักบริหารรุ่นเก่าๆ เข้าใจ และจากประสบการณ์การทำงานอันยาวนาน ท่านพารณจึงมองว่า “คน” เมื่อรับเข้ามาแล้ว ต้องพัฒนาเขาให้มีความรู้ โดยสอนงาน ส่งฝึกอบรม ดูแลเขาเป็นอย่างดี เมื่อทุกอย่างดี งานที่ได้จึงออกมาดีมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ ทั้งหมดที่กล่าวมาโยงไปถึง การบริหารจัดการที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของอาจารย์จีระ ที่ท่านก็มองว่าคนมีทุนอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว ทุนในที่นี้ อาจารย์จีระเรียกว่าทุนมนุษย์ ซึ่งท่านเองก็มีท่านพารณเป็นต้นแบบเช่นเดียวกัน สำหรับทุนมนุษย์ของอาจารย์จีระ ท่านเน้นที่การทำงานของคน ต้องทำงานอย่างมีความสุข(Happy Work) และงาน ทำที่ไหนก็ต้องมีความสุข

ในหนังสือเล่มนี้ได้มีการตั้งคำถามพูดคุยกับผู้ที่เคยร่วมงานกับคุณพารณ โดยใช้เทคนิคในการตั้งคำถามถามความคิดเห็น จากการได้ทำงานร่วมกับคุณพารณ ทำให้ผู้อ่านได้เห็นมุมมองหลายด้านของทั้งผู้เล่าและความรู้สึกที่มีต่อคุณพารณ ซึ่งถือเป็นข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) อย่างเช่น การพูดคุยถึงเรื่อง เก่ง 4 ได้แก่ เก่งงาน เก่งคน เก่งคิด และเก่งเรียน โดยแต่ละคำถามที่ อาจารย์จีระถามผู้ร่วมสัมภาษณ์แต่ละคน ทำให้ได้คำตอบจากความรู้สึกจริงที่บุคคลเหล่านั้นมีต่อคุณพารณ จากประเด็นนี้ อาจารย์จีระ มองว่าคนเก่งต้องมาคู่กับคุณธรรม โดยคุณพารณมองว่า “การสร้างคน ต้องทำเป็นตัวอย่าง”

จากการสังเกต อาจารย์จีระจะตั้งคำถามเป็นลักษณะปลายเปิด ถามกระตุ้นประเด็นให้ตอบโดยแสดงความคิดเห็นหรือให้คิด ทำให้คู่สนทนาแต่ละคน ตอบจากประสบการณ์และความรู้สึกจริงๆ อีกประเด็นที่คุณพารณให้ความสำคัญ นั่นก็คือเรื่อง “การรักษาคน” ทำอย่างไรจึงจะรักษาคนไว้ได้นาน อาจารย์จีระได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยกล่าวว่า การให้ความรักและให้ความศรัทธากับคนทำงาน จำเป็นอย่างยิ่ง

อีกประเด็นที่อยากกล่าวถึงเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ก็คือ ทั้งสองท่านมองประเด็นที่เหมือนกัน คือ เรื่องการสร้างองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้โดยให้ความสำคัญเกี่ยวกับการศึกษา ให้ความรู้กับพนักงานเพื่อเป็นผู้มีความรู้ ความชำนาญ สามารถถ่ายเทความรู้ (Transit Knowledge)ให้กับคนในองค์กรในรุ่นต่อๆไปได้อย่างเป็นรูปธรรม

หมายเหตุ ต้องขอโทษด้วยนะคะ ตกหล่น เข้าใจว่าส่งแล้ว ไม่ได้มีเจตนาส่งช้าค่ะ :)

ประภาพร คำทองวิจิตร

<p “=”“>สิ่งที่ได้จากการอ่านหน้งสือ Search Inside Yourself </p> <p “=”“>ขอบพระคุณอาจารย์จิระ ที่แนบะนำหนังสือเล่มนี้แก่พวกเรา เป็นหนังสือที่อ่านสนุก ได้สาระ และ ได้ทักษะอย่างมากมายในการปรับใช้กับตัวเอง </p> <p “=”“>สามประเด็นเด่น ที่ได้รับจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ คือ </p> <p “=”“>1. การใช้สมาธิ เพียงแค่ให้รู้ตัว ทันความคิด นั้นมีประโยชน์มากมาย ไม่เพียงแต่ช่วยตนเองให้เกิดความสงบ แต่สามารถนำไปใช้ประโยชน์กับการนำมาพัฒนาวุฒิภาวะทางอารมณ์ และต่อไปถึงการสร้างความตระหนักรู้ และความใส่ใจผู้อื่นและสังคม </p> <p “=”“>2. การนำเสนออย่างเป็นขั้นตอน ใช้ภาษาง่ายๆ มีวิธีฝึกหัด และภาพประกอบ ทำให้เราเข้าใจได้และปฏิบัติตามได้ จากบทสู่บท เริ่มจาก การสร้างสมาธิจากการหายใจ หรือการปล่อยวางตามธรรมชาติ > การรู้สึกตัว > รู้จักตัวเอง > สร้าง Emotional Intelligence > ส่งผ่านความรัก และเมตตาไปสู่ผู้อื่น > เกิดการยอมรับ/รัก > ความสามัคคี > ความสงบสุขในที่สุด </p> <p “=”“>3. Emotional Intelligence เป็นคุณสมบัติที่ควรมี และสร้างได้ไม่ยากด้วยการทำความเข้าใจจิตใจตนเองผ่านการฝึกสมาธิ
</p>

แก่นเพชร ศรานนทวัฒน์

การบ้านของวันที่ 15 มกราคม 2560 จากการดูเทปบทสนทนาระหว่าง รศ.ธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการสภาการศึกษา (ตำแหน่ง ณ ขณะที่บันทึกเทป) และ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

การปฏิรูปการศึกษาไทย ในยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0

1.การพัฒนาระบบการคิดวิเคราะห์ คือการสอนเรื่องการคิดวิเคราะห์ ไม่ยึดติดกับการจำในตำราเรียนเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องมีการเรียนวิชาการแต่ละเรื่องอย่างลึกซึ้งเสียก่อน หลังจากนั้นการคิดวิเคราะห์จะตามมาเอง

2.การปรับหลักสูตรการเรียนการสอน ปรับปรุงหลักสูตรใหม่ โดยเนื้อหาหลักสูตรจะเปลี่ยนไปตามองค์ความรู้ในโลกยุคใหม่ พร้อมกับการเรียนเฉพาะเรื่องที่สำคัญ ๆ ที่จะเป็นการเรียนเกี่ยวกับโปรแกรม ที่ใช้ควบคุมการทำงานของเครื่องจักร เครื่อง กล เพื่อให้เด็กสร้างนวัตกรรมและรู้เท่าทันเทคโนโลยี, ความรู้เรื่องวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ ที่จะนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมได้ในที่สุด รวมทั้งอาจจะนำวิชาเดิม ๆ

เสนอโครงการเพื่อปฏิรูปการศึกษาไทยในปัจจุบัน

1.การพัฒนาปรับปรุงตำราเรียนให้มีมาตรฐาน พยายามสร้างตำราเรียน ให้มีมาตรฐาน เพราะตำราที่ดีจะช่วยส่งเสริมและกระตุ้นให้เด็กอยากรู้ อยากเห็น อยากตั้งคำถาม ดังนั้น ตำราเรียนต้องตอบสนองต่อผู้เรียนจริง ๆ ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำมาตรฐานตำราเรียน ตามองค์ประกอบของตำราที่กำหนดขึ้น เช่น มีรูปเล่มสวยงาม มีภาพประกอบที่ดี มีหัวเรื่องบทเรียนและเป้าหมายที่ชัดเจน มีวิธีการและตัวอย่างมีลิ๊งค์เชื่อมโยงแบบออนไลน์ เป็นต้น ล่าสุดได้มีการประชุมหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงศึกษาธิการกับสำนักพิมพ์ที่ผลิตตำราเรียนทั้งหมด เพื่อผลิตตำราเรียนที่ดีมีคุณภาพ

2.การบริหารจัดการคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็ก ภายใต้โครงการโรงเรียนดีใกล้บ้าน โดยทุกอย่างต้องเกิดจากการยอมรับและตัดสินใจของคนในพื้นที่ ชุมชน พ่อแม่และผู้ปกครอง เราจะมีความพยายามที่จะยกระดับโรงเรียนขนาดเล็ก ให้มีประสิทธิ์ภาพ ให้เห็นถึงทางเลือกที่ดีกว่าของบุตรหลาน โดยให้เด็ก ๆ เพื่อพัฒนาทั้งทางด้านกายภาพและวิชาการให้สามารถรองรับนักเรียนและครูที่เพิ่มขึ้นได้

บุญชัย ชาญเชี่ยวชิงชัย

หนังสือ “ Search Inside Yourself : The Unexpected Path to Achieving Success, Happiness (and World Peace). ” โดย Chade-Meng-Tan

จากการที่อ่านหนังสือเล่มนี้ ซึ่งเป็นหนังสือที่ใช้และปฏิบัติใน Google. ส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาที่ชาวเอเชียคุ้นเคยค่อนข้างมาก และมีความเกี่ยวข้องกับหลักการทางศาสนาพุทธ เขียนและรวบรวม โดยมีลักษณะเป็นทฤษฎีหรือ เนื้อหาที่เป็นขั้นเป็นตอน ในชีวิตประจำวันของตัวเอง โดยยกตัวอย่างในรูปแบบการ์ตูนเข้าใจง่าย ๆ

หนังสือเล่มนี้มีที่น่าประทับใจ

  1. ความสุข(Happiness) ความสุขในชีวิตประจำวัน (Happiness in daily life) ,ความสุขใจสังคม (Happy Society) , ความสุขในที่ทำงาน (Happy at work) และสถานที่ทำงานที่มีความสุข (Happy workplace)
  2. ค้นหาตัวเอง โดยรู้จักตัวตนของตัวเอง มีสติ ทำสมาธิ และสร้างแรงจูงใจให้ตัวเอง
  3. ฝึกและปฏิบัติตนเอง เพื่อให้เกิดภาวะผู้นำลักษณะ Empowerment Leadership เป็นการสร้างกลุ่มและองค์กร ที่เป็นการรวมพลังสามัคคีเพื่อให้เกิดพลังในการสร้างสรรค์ให้เกิดผลงาน จนกระทั่งเป็นวัฒนธรรมองค์กรทำให้เกิดความยั่งยืน (Sustainability)

เนื้อหาของหนังสือเข้ากับสิ่งที่ ดร.จีระ พูดเสมอ ๆ คือ HRDS (Happiness, Respect, Dignity, Sustainability) และ ทุนมนุษย์ 8K’s + 5K’s โดยเฉพาะ

ทุนทางความสุข (Happiness Capital)

ทุนทางความยั่งยืน (Sustainable Capital)

และ ทุนทางอารมณ์ (Emotional Capital) โดยเฉพาะเรื่อง

ความเอื้ออาทร (Caring)

การมองโลกในแง่ดี (Optimism) และ

การควบคุมตัวเอง (Self Control)

ถ้าจะทำให้หนังสือมีประสิทธิผลเป็นจริง ต้องทำ 3 ขั้นตอนที่ Meng พูดไว้

  • ต้องฝึกปฏิบัติ (training,plactise) : เวลาใด ๆ ก็ตาม เช่นคุณอยู่ภายใต้ความเครียด (Stress) แรงกดกัน อารมณ์เสีย หงุดหงิด หรือ อื่น ๆ แล้วคุณต้องพยายามทำจิตใจของคุรให้เงียบสงบดุจน้ำนิ่งในบ่อน้ำได้ (Keep your mind calm and clear) ก็จะเป็นรากฐานสำหรับความฉลาดทางอารมณ์ (emotional Intelligence)
  • รู้จักตัวเอง (Self-knowledge): เมื่อจิตใจของคุณสงบ คุณจะสามารถสร้างคุณภาพของความรู้ด้วยตนเอง (quality of self-knowledge) หรือ ตระหนักในตนเองที่ดีขึ้น (improve self-awareness) เมื่อเวลาผ่านไปและวิวัฒนาการไปสู่การเรียนรู้ด้วยตนเอง(evolves into self-mastery) ถ้าคุณรู้จักตนเองมากพอ คุณก็จะสามารถควบคุมอารมณ์ตัวคุณเองได้ (master your emotions).
  • การสร้างนิสัยให้จิตใจ (Creating mental habits): เช่น นิสัยแห่งความเมตตาถ้าคุณมองมนุษย์ทุกคนที่พบและคิดว่า ฉันต้องการให้เขามีความสุข ถ้าคุณทำได้จนเป็นนิสัย ก็จะกลายเป็นนิสัยตามธรรมชาติของคุณ

หนังสือเล่มนี้ผมคิดว่า Meng ใช้แนวคิดทางศาสนาพุทธมาเป็นพื้นฐานในการเขียนและเน้นการปฏิบัติโดยมี work shop ทำให้คนใน google ตื่นเต้นที่สามารถทำได้ตามเป้าประสงค์ตามชื่อหนังสือ Achieving Success, Happiness (and world Peace.)

แก่นเพชร ศรานนทวัฒน์

บทสัมภาษณ์คุณพารณ

ข้อ 3 นำมาใช้ในภาคราชการได้หรือไม่อย่างไร

ประเด็นเกี่ยวกับคุณพารณได้กล่าวถึงนั้นได้เน้นถึง ความเชื่อ ศรัทธา และผู้นำ สิ่งเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญต่อทุกองค์กร ไม่จำเป็นต้องเฉพาะภาคราชการ จึงจะกล่าวได้ว่าการบริหารงานภาคราชการนั้นสมควรนำ สามสิ่งนี้มาเป็นที่ตั้งในการบริหารถ้าการบริหารครบ สามสิ่งนี้จะนำพาองค์กรไปสู่ความเก้าหน้า สามสิ่งนี้ไม่ใช่ว่าจะอยู่ในตัวผู้บริหาร พนักงานตัวเล็กๆ เองก็ต้องมี จะนิยามความจำกัดความสามสิ่งนี้ไว้ดังนี้

ความเชื่อค่านิยม ความรู้ของมนุษยชาติความเชื่อเป็นหน่วย ของความรู้ ซึ่งผ่านกระบวนการของประสบการณ์ และผลจากการติดต่อกับบุคคลอื่นเราไม่อาจสังเกตความเชื่อได้โดยตรง แต่จะสังเกตได้จากพฤติกรรมที่บุคคลกระทำ และพฤติกรรมที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากความเชื่อ ความเชื่อไม่จำเป็น ต้องมีเหตุผลแต่เป็นการกำหนดขึ้นจากสิ่งที่บุคคลต้องการจะเชื่อในสิ่งใด เขาสามารถเชื่อในสิ่งใด เขาสามารถเชื่อในอะไร และเขาถูกวางเงื่อนไขในสิ่งที่เชื่อมาอย่างไร อีกประการหนึ่งความเชื่อนั้นทำให้เขาตอบสนองความต้องการพื้นฐานได้

ศรัทธา การศรัทธาต้องผ่านการวิเคราะห์ มีการพิสูจน์อย่างมีเหตุผล ให้เป็นไปตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทั้งทางจิตและกายภาพ เรียกว่า ความศรัทธาที่แท้จริง(เป็นศรัทธาในองค์ความรู้ ไม่ใช่สิ่งงมงาย)การศรัทธาในตัวบุคคลหรือศรัทธาในวัตถุ หรือแม้แต่ศรัทธาในนามธรรม เช่น เทพ ไม่ถือเป็นศรัทธาในองค์ความรู้ หากแต่เป็นความยึดมั่นถือมั่น เป็นความเชื่อศรัทธาที่งมงาย ศรัทธาที่งมงายจะถูกทำลายได้ง่าย เมื่อศรัทธาถูกทำลายความตั้งใจจริงก็จะอ่อนลง ความสำเร็จก็จะยากขึ้น

ผู้นำ เป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งประการหนึ่งต่อความสำเร็จขององค์การทั้งนี้ เพราะผู้นำมีภาระหน้าที่ และความรับผิดชอบโดยตรงที่จะต้องวางแผนสั่งการดูแล และควบคุมให้บุคลากรขององค์การปฏิบัติงานต่างๆ ให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ปัญหาที่เป็นที่สนใจของนักวิชาการและบุคคลทั่วไปอยู่ตรงที่ว่า ผู้นำทำอย่างไรหรือมีวิธีการนำอย่างไรจึงทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ตามเกิดความผูกพันกับงานแล้วทุ่มเทความสามารถ และพยายามที่จะทำให้งานสำเร็จด้วยความเต็มใจ ในขณะที่ผู้นำบางคนนำอย่างไร นอกจากผู้ใต้บังคับบัญชาจะไม่เต็มใจในการปฏิบัติงานให้สำเร็จอย่างมประสิทธิภาพแล้ว ยังเกลียดชังและพร้อมที่จะร่วมกันขับไล่ผู้นำให้ไปจากองค์การ

แก่นเพชร ศรานนทวัฒน์

ผลจากการอ่านหนังสือ Search Inside Yourself (SIY) และวิพากษ์การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในห้องเรียน พบว่าเป็นหนังสือที่ชี้นำการดำเนินชีวิตในการทำงานอย่างมีความสุขเป็นแบบแผน และเพิ่มเติมทฤษฎี HRDS ของอาจารย์จิระ การพัฒนาทุนมนุษย์ ซึ่งเป็นแนวความคิดที่เป็นที่ยอมรับในเชิงวิชาการเป็นที่ประจักษ์ อันเป็นการส่งเสริมในการบริหารงานให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

จากหนังสือเล่มนี้ คือที่สอนให้การค้นหาตัวเอง ควบคุมตัวเอง รู้จักมองตัวเอง มีสติ โดยนำหลักของพุทธศาสนา การทำสมาธิ การรู้ตัว การรู้จักตนเอง รู้จัก และการสร้างแรงจูงใจให้กับตนเอง ซึ่งขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนแรกของการค้นพบความสุข ยกตัวอย่างเช่นแนวความคิดบุคคล

โดยที่ทักษะของ MBEI แบ่งออกได้เป็น 5 หัวข้อ

1. รู้ตนเอง –การรับรู้และรู้จักความสามารถของตัวเราเอง จะต้องรู้ว่าเราเป็นคนอย่างไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เก่งอะไร ไม่เก่งอะไร และที่สำคัญเราต้องรู้อารมณ์ของตนเองด้วย ว่าขณะนี้เรามีอารมณ์เป็นอย่างไร การรู้จักอารมณ์ตนเองจะนำไปสู่การควบคุมอารมณ์และการแสดงออก ที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งการที่จะรู้จักตนเอง รู้อารมณ์ของตนเองได้ ต้องเริ่มจากการรู้ตัว หรือการมีสติ การรู้จักตนเองเป็นรากฐานของการสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง

2. การกำกับดูแลตนเอง – การกำกับตนเองสามารถนำบุคคลไปสู่มาตรฐานที่พึงปรารถนา เป็นความพยายามของบุคคลในการเปลี่ยนแปลงสภาพภายในตนและการตอบสนอง ควบคุมและกำหนดพฤติกรรมของตนเองได้อย่างมีสติและด้วยความตั้งใจ สามารถจัดการกับอารมณ์และพฤติกรรมตนได้เหมาะสมกับสถานการณ์เพื่อทำงานให้สำเร็จและบรรลุเป้าหมาย

3. การจูงใจตนเอง– ความสามารถภายในตัวเองที่คอยสนับสนุนหรือกระตุ้นให้เกิดการกระทำที่ต่อเนื่องและพร้อมที่จะฟันฝ่าอุปสรรคจนไปถึงจุดมุ่งหมาย

4. การเข้าใจหรือตระหนักรู้เกี่ยวกับผู้อื่น ความตระหนักรู้ทางสังคมจะมุ่งเน้นการทำความเข้าใจคนในสังคม และสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้ บุคคลที่มีความตระหนักรู้ทางสังคมจะมีความสามารถในการรับรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น สามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดจากสังคม สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมกับกิจกรรมของสังคม และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างปกติ ในทางตรงข้าม บุคคลที่มีความบกพร่องในด้านความตระหนักรู้ทางสังคม พฤติกรรมอาจไม่แตกต่างจากบุคคลทั่วๆ ไป แต่จะขาดทักษะการเข้าใจทางสังคม ทักษะความรู้สึกไวต่อสังคม และทักษะการสื่อสาร ทำให้ขาดการไตร่ตรองพิจารณารอบคอบก่อนแสดงพฤติกรรม รวมทั้งไม่สามารถเข้าใจปฏิกิริยาการแสดงออกหรือพฤติกรรมของผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง แม้ว่าบุคคลนั้นจะมีความตั้งใจที่ดีในการแสดงออกทางพฤติกรรมนั้นๆ นอกจากนี้ บุคคลที่ไม่สามารถรับรู้หรือขาดความตระหนักรู้ทางสังคม จะไม่ค่อยมีความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) ขาดทักษะและไหวพริบ (Tact) ในการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น ซึ่งแตกต่างจากบุคคลที่มีความตระหนักรู้ทางสังคมที่มีการแสดงออกทางพฤติกรรมอย่างเหมาะสม ในการสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม และบุคคลที่ขาดความตระหนักรู้ทางสังคมจะกระทำสิ่งต่างๆ โดยขาดการยั้งคิดอันเป็นผลให้เกิดปัญหาในสังคมตามมาอีกมากมาย

5. ทักษะทางสังคม เป็นความสามารถในการรู้จัก เข้าใจ สร้างสรรค์และประสาน ความรู้สึก ความต้องการ ความสัมพันธ์ ตลอดจนแก้ปัญหาและจัดการกับการปฏิสัมพันธ์ของบุคคลที่มีต่อกัน ทักษะทางสังคมประกอบด้วยกลุ่มของทักษะต่าง ๆ ที่ใช้ในการปฏิสัมพันธ์และการสื่อสารระหว่างกันของบุคคลในสังคมได้แก่ ทักษะการสื่อสาร การพูด การฟัง การทำงานร่วมกัน ความสามารถในการเข้าใจถึงสถานการณ์ที่หลากหลาย กฎกติกาต่าง ๆ ในสังคม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสัมพันธ์ในทางบวกให้เกิดขึ้น

แก่นเพชร ศรานนทวัฒน์

จากหัวข้อการบรรยาย ภาวะผู้นำกับความคิดนอกกรอบ โดย ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

ขอตอบคำถามจาก Workshop ข้อที่ 4 ดังนี้

คำถาม: ถ้าจะฝึกให้มีศักยภาพในการ Think outside the box ควรทำอย่างไร 5 เรื่อง

ตอบ: Think outside the box คิดนอกกรอบ การคิดนอกกรอบจะทำให้คุณมีแนวความคิดไปได้ไกลกว่าเดิมและทำให้มองเห็นปัญหาต่างๆด้วยดวงตาที่รู้แจ้งเห็นจริง นับว่าเป็นวิธีคิดที่ได้ประโยชน์ ความคิดนอกกรอบหรือความคิดสร้างสรรค์ไว้ว่า ก่อนที่จะมีการคิดนอกกรอบ ต้องมีแนวทางในการตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจน ว่าแนวความคิดนั้น ๆ จะสอดคล้องหรือมีความสัมพันธ์กับเป้าหมายหรือไม่ และต้องเป็นแนวความคิดที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีงามของชุมชนนั้น ๆ การคิดนอกกรอบเป็นหนทางสำคัญในการพัฒนาศักยภาพทางด้านความคิดของมนุษย์ ให้มนุษย์ได้พยายามนำความรู้ที่มีอยู่หรือความคิดที่มีอยู่ ได้นำเสนอออกมาใช้ประโยชน์ต่อตัวเองและสังคม

หลักในการคิดนอกกรอบ

1. จินตนาการ พยายามนึกว่าปัญหากำลังเกิดขึ้นและลองใช้วิธีต่างๆในการเก็บรวบรวมข้อมูล หรือที่เรียกว่ากระบวนการทดสอบการรับรู้ของสมองในด้านความสามารถและประมวลผลข้อมูล การคิดนอกกรอบจำเป็นต้องใช้ทั้งความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งรู้จักสร้างและหาวิธีแก้ปัญหาที่เรียบง่าย

2. ความคิดเฉียบแหลม ความคิดสร้างสรรค์คือองค์ประกอบสำคัญในการคิดนอกกรอบ สามารถบริหารทักษะนี้ได้ด้วยการเล่นเกมปริศนาลับสมอง หรือการดำเนินชีวิตประจำวัน

3. ฟังแนวคิดของผู้อื่น การฟังแนวคิดของคนอื่นจะช่วยให้และวิธีคิดของพวกเขา แล้วกลับมาทบทวนหาแนวทางแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง

4. ขอคำปรึกษาจากผู้อื่น การขอความช่วยเหลือจากคนอื่นไม่ใช่เรื่องผิดปกติ มุมมองที่แตกต่างกันจะช่วยให้คุณมองเห็นปัญหาต่างออกไปและอาจจะช่วยให้คุณแก้ปัญหาได้ด้วยเนื่องจากมันจะเปลี่ยนมุมมองดั้งเดิม คำแนะนำอาจจะไร้ประโยชน์แต่จะได้ประโยชน์จากวิธีคิด ไม่ใช่แนวคิด

แก่นเพชร ศรานนทวัฒน์

วิเคราะห์หนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้

จากการได้อ่านหนังสือ ความสำคัญกับคนในองค์กรมากยิ่งขึ้น โดยได้เห็นคุณค่าและความสำคัญของคน ซึ่งถือว่าเป็นสมบัติที่มีค่าขององค์กรจากทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ วิธีการหรือขั้นตอนปฏิบัติเกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์ที่ประสบความสำเร็จและวัดผลได้อย่างชัดเจน

๑.ในหนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึง “ทฤษฎี ๘ K’s” ซึ่งประกอบด้วย ทุนมนุษย์ ทุนทางปัญญา ทุนทางจริยธรรม ทุนแห่งความสุข ทุนทางสังคม ทุนแห่งความยั่งยืน ทุนทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และทุนทางความรู้ ทักษะแล 2.อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วคิดว่าการให้ความสำคัญกับคนเป็นสิ่งที่ควรลงทุนและท้าทายทั้งนี้เพื่อให้คนมีความจงรักภักดีต่อองค์กร แต่มีบางประเด็นที่ดิฉันเห็นว่าบทบาทของผู้นำมีส่วนสำคัญในการที่จะทำให้คนจงรักภักดีต่อองค์กร และคนดีก็จะอยู่กับองค์กรต่อไป เกี่ยวกับแนวคิด ทฤษฎี ๘ K’s” และ ๕ K’s ยังต้องนำแนวคิดนี้ไปสู่ภาคปฏิบัติให้ได้ เพื่อก่อให้เกิด เป็น รูปธรรม จับต้องได้ นำไปสู่ภาคปฏิบัติที่แท้จริง ด้วยสภาพ สถานการที่เกิดขึ้นจริง และมีการพัฒนาปรับปรุงแนวคิด แนวทาง ที่สมบูรณ์แบบ ยกตัวอย่าง เช่น การปลูกฝังเรื่องคุณธรรมให้แก่คนในองค์ เช่น ถ้าเราจะมองประเทศก็เป็นองค์กรหนึ่ง คน ภายในประเทศควรได้รับการพัฒนา โดยเฉพาะ ผู้บริหารองค์กร

2. ระบบการเรียนรู้ (Learning) มากกว่าเน้นรูปแบบการอบรมเชิงปฏิบัติการดังเช่นที่ผ่านมา” เป็นสิ่งหนึ่งที่ เราจะต้องมีความเชื่อและศรัทธาในสิ่งนั้นว่าเป็นสิ่งที่ดีและทำได้ ที่สำคัญการเรียนรู้จะเรียนรู้ได้ดี จะต้องลงมือปฏิบัติเอง หากเป็นไปได้ควรมีการประยุกต์ใช้แนวคิดนี้กับการบริหารธุรกิจและการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในองค์กร

นอกจากนั้น ศ.ดร.จีระ ยังได้รับการยอมรับในทฤษฏีเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์

ทฤษฏี3วงกลม คือ แนวคิดเพื่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์

ทฤษฏีทุน8ประการ(8K’s) คือ ทุนพื้นฐานของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

ทฤษฎีทุนใหม่5ประการ(5K’s ) คือ ทุนพื้นฐานฯสำหรับยุคโลกาภิวัตน์

ทฤษฏี4L’s คือ แนวทางการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้

ทฤษฏี2R’s คือ แนวคิด การมอง การวิเคราะห์ปัญหา และ การเรียนรู้

ทฤษฏี2L’s คือ แนวคิด เพื่อการเรียนรู้และสร้างพลังในการทำงาน

ทฤษฏีC&E คือ แนวคิด เพื่อการเรียนรู้และการทำงานยุคใหม่

ทฤษฏีHRDS คือ แนวคิดเพื่อการบริหารHRอย่างมีประสิทธิภาพและการทำงานอย่างมีความสุข

ทฤษฏี 3L’s คือ แนวคิดเพื่อการทำงานยุคใหม่

บุญชัย ชาญเชี่ยวชิงชัย

วิภาคหนังสือ “ ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ = HR. CHAMPIONS” คุณพารณ อิศราเสนา ณ อยุธยา ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์

ทั้งคุณพารณ และ ศ.ดร.จีระ เป็น คู่รู้ทางด้าน HR ของเมืองไทย หลังจากที่ได้อ่านหนังสือของท่านเรื่องทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ เป็นการเปิดโลกทัศน์ (Vision) ให้มีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น จากพื้นฐานเดิมซึ่งมีความรู้อยู่น้อยมาก

แนวคิดเรื่องทรัพยากรมนุษย์ของคุณพารณ และ ดร.จีระ

  • บุคลากร เป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์กร
  • การพัฒนาบุคลากร เป็นการลงทุน (Investment) มิใช้คิดเป็นค่าใช้จ่าย (Cost)
  • ใช้หัวใจในการบริหารคน
  • คน กับ การเพิ่มผลผลิต (Productivity Improvement) มีความสัมพันธ์ที่นำองค์กรไปสู่ความสำเร็จ ก้าวหน้า
  • ริเริ่มระบบรับความคิดเห็นตลอดเวลาของบุคลากร (Open door)
  • นอกจากรู้วิธีการแล้ว (Know How) ยังต้องรู้ว่าต้องทำกับใครด้วย (Know Who)
  • พัฒนาหัวหน้างานและผู้บริหารระดับชั้นต่าง ๆ ให้มีความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาบุคลากร
  • ผลที่ตามมา บุคลากรจะมีความจงรักภักดี (Royalty) และ ความมีระเบียบวินัย (Discipline) ต่อองค์กร
  • นำระบบ TQM เป็นเป้าหมายตัวชี้วัดขององค์กร
  • คนเก่งต้องเป็นคนดีด้วย (เก่ง 4 ได้แก่ เก่งงาน เก่งคน เก่งคิด เก่งเรียน , ดี 4 ได้แก่ ประพฤติดี มีน้ำใจ ใฝ่ความรู้ คู่คุณธรรม
  • Global Citizen สานสร้างพลเมืองโลก
    • เตรียมพร้อมเรื่องภาษา (English)
    • เตรียมพร้อมเรื่องเทคโนโลยี (Technology)
    • คุณธรรม (Moral)
  • มองระดับโลก และนำมาสู่การปฏิบัติระดับท้องถิ่น (Think Global Act Local)
  • นำองค์กรไปสู่ความยั่งยืน
  • องค์กรแห่งความเป็นเลิศ

การบริหารงานบุคลากร มิได้มีกฎตายตัว ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เป้าหมายองค์กร นโยบาย สภาพแวดล้อมภายใน เวลา เพื่อนร่วมงาน ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา ตลอดจนวัฒนธรรมองค์กร เราไม่สามารถตัดเสื้อตัวเดียวให้ใส่ได้พอดีกับทุกคน (One size fit all) ดังนั้นนักบริหารจึงต้องใช้การประยุกต์ทั้งศาสตร์และศิลป์เข้าด้วยกัน เพื่อให้เหมาะสมกับองค์กรแต่ละองค์กร แนวคิดทั้งหมดเป็นเพียงแนวทางหรือหลักการที่ใช้ในการนำทางเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไร ผู้บริหารขององค์กรก็ต้องออกแบบการบริหารงานบุคลากรให้สอดคล้องกับองค์กรของตนเอง

บุญชัย ชาญเชี่ยวชิงชัย

Think outside the box ยกตัวอย่างความสำเร็จเรื่อง Think outside the box 3 เรื่อง และ อธิบายว่าเพราะอะไร

ตัวอย่างความสำเร็จในการคิดนอกกรอบ

1.การเปิดธนาคารในห้างสรรพสินค้า

ปกติธนาคารจะเปิดและปิดตามเวลาทำการปกติ 8:30 – 15:30 น. ซึ่งอาจจะไม่รองรับกับลูกค้าที่มากขึ้นและลูกค้ามีความต้องการหลากหลายขึ้น ซึ่งธนาคารได้พยายามเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยมากมาย เช่น มีตู้ ATM , ตู้ Update Passbook , ตู้ฝากเงิน ทั้งที่หน้าธนาคาร และ ตามจุด ต่าง ๆ ที่มีผู้สัญจรไปมามาก ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการทำธุรกรรมของลูกค้าอยู่ดี จนเริ่มมีการทำสาขา และ/หรือ สาขาย่อย ตามห้างสรรพสินค้า และปรับเปลี่ยนเวลาเปิดปิดตามห้างสรรพสินค้านั้น ๆ รวมทั้งการเปิดทำการในวันเสาร์และวันอาทิตย์ด้วย ทำให้สาขาเหล่านั้นปัจจุบันเป็นที่นิยมสำหรับลูกค้าที่จะเข้าไปทำธุรกรรมต่าง ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้ว ก็เป็นการปรับเปลี่ยนวิธีที่คิดแต่จะเพิ่มสาขาที่เป็นอาคารพาณิชย์ ซึ่งจะเปิดและปิดเวลาเดียวกันหมด และ ไม่เปิดทำการในวันนักขัตฤกษ์ มาเป็นเปิดในห้างสรรพสินค้า เปิดสายหน่อยแต่ปิดดึกหน่อย รวมทั้งเปิดเสาร์อาทิตย์ตลอด อันนี้ถือเป็นการคิดนอกกรอบที่ดีมาก

2.การกำเนิดของ Post-It

Post-It ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ใน ความล้มเหลว โดยในปี 1970 3M โดยสเปนเซอร์ ซิลเวอร์ ทำวิจัยเพื่อหา กาวพลังช้าง และ กาว Post-It คือ หนึ่งในความล้มเหลวของการวิจัย เพราะแทบไม่มีความเหนียวเลย แต่มีคุณสมบัติสามารถลอกออก และติดใหม่ได้หลายครั้ง โดยไม่ทิ้งคราบ ซึ่ง ณ ตอนนั้นไม่รู้จะไปใช้ประโยชน์อย่างไร 4 ปีต่อมา อาเธอร์ ฟรี (นักวิจัย) ที่เป็นนักร้องประสานเสียงในโบสถ์ ที่มักใช้กระดาษสอดขั้นหน้าหนังสือบทสวดขณะร้องประสานเสียง ประสบปัญหากระดาษปลิวหลุดบ่อย ๆ อาเธอร์คิดขึ้นมาได้ว่า สเปนเซอร์ ได้คิดค้นกาวพลังห่วยได้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว และเมื่ออาเธอร์นำมันมาใช้งาน พบว่ามันตอบความต้องการของเราได้อย่างมาก เนื่องจากกระดาษสามารถติดขั้นหน้าได้โดยไม่หลุด และ สามารถลอกไปติดซ้ำได้ ทั้งยังไม่ทิ้งรอบคราบกาวไว้บนหนังสือบทสวดด้วย หลังจากนั้น 3M ทำการผลิต Post-It ออกขายในปี 1980 ซึ่งใช้เวลาถึง 10 ปี นับจากที่ได้ค้นพบกาวชนิดนี้ จนเป็นที่นิยมในปัจจุบันนี้ เป็นการคิดนอกกรอบที่สำคัญ เพราะเป้าประสงค์คือคิดว่า กาวที่ทรงพลัง (พลังช้าง) แต่กลับค้นพบ กาวที่ติดไม่ค่อยแน่น (กาวพลังห่วย) แต่ก็คิดนอกกรอบจนเอามาใช้ในได้ในปัจจุบัน

3.การกลับมาโด่งดังอีกครั้งของบริษัท แอปเปิล จาก iPod จนกระทั่ง Apple Watch โดย สตีฟ จ๊อบส์

หลาย ๆ ท่านรู้จักแอปเปิล มาตั้งแต่เด็ก ๆ จนกระทั่งเงียบหายไป กระทั่งกลับมาโด่งดังอีกครั้งด้วย iPod,iPhone,iPAD แล้วมาถึง Apple watch ทุกท่านทราบดีว่า สตีฟ จ๊อบส์ นั้น เป็นบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง และ เป็นคนที่คิดนอกกรอบ หรือ คิดไม่เหมือนคนอื่น ที่โดดเด่นท่านหนึ่งในโลก หลังจากกลับมาอยู่ที่แอปเปิลแล้ว ก็ได้ออกสินค้า iPod classic 1 เครื่องเล่น MP3 แต่ยังต้องใช้คู่กับเครื่อง Mac และยังมีราคาแพง ทำให้ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ต่อมาได้ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้สวยแปลกตา และปรับราคาให้เหมาะสม เป็น iPod Classic 2 ทำให้ดังเป็นพลุ มียอดขายถล่มทลาย กินส่วนแบ่งการตลาด ทำให้ แอปเปิล Mac รอดพ้นจากวิกฤตของบริษัทกลับมาเป็น แอปเปิลที่โด่งดังในปัจจุบัน รุ่นต่าง ๆ ของ iPod (iPod Classic, iPod nano, iPod shuffle, iPod touch)

ถัดจาก iPod ก็ขอแนะนำ iPhone ซึ่งเป็นโทรศัพท์มือถือที่โด่งดังของ แอปเปิล ซึ่งเปลี่ยนแนวคิดเรื่องโทรศัพท์จากการแค่พูดคุยติดต่อกันทางเสียง เป็นการดูหนังฟังเพลง ถ่ายรูป ค้นหาแผนที่ รับส่ง email ท่อง internet และรวมไปถึงอีกหลาย ๆ อย่างที่เพิ่มเติมขึ้นมาในโลกดิจิตอล iPhone เปิดตัวครั้งแรกในงาน Mac world ในวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2550 และเริ่มวางจำหน่ายครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2550 โดยทางแอปเปิลขาย iPhone ได้ 270,000 เครื่องในช่วง 30 ชั่วโมงแรกที่เปิดจำหน่าย และเป็นสิ่งประดิษฐ์ยอดเยี่ยมประจำปีจากนิตยสารไทม์ ประจำปี 2550 และมีวางจำหน่ายใน 6 ประเทศ ได้แก่ ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี ออสเตรีย และ สหรัฐอเมริกา iPhone รุ่นถัดไป iPhone 3G วางจำหน่ายใน 22 ประเทศ และจำหน่ายเพิ่มขึ้นอีกใน 48 ประเทศทั่วโลก รวม 70 ประเทศ ในประเทศไทย เริ่มมีการจำหน่าย iPhone 3G ในวันที่ 16 มกราคม 2552. เข้าเมืองไทยครั้งแรกโดย ทรูมูฟ จนกระทั่งการเปิดตัว iPhone 6 ซึ่งทำให้เกิดกระแส iPhone fever ซึ่งเป็นการเปิดตัวพร้อมกันทั่วโลก โดยยอดขายไตรมาสแรกของปี 2016 สูงถึง 74.8 ล้านเครื่อง ภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้น ซึ่งเป็นยอดขายในสามเดือนแรกที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัทตั้งแต่ผลิต iPhone ออกวางจำหน่ายเลยทีเดียว

ต่อจาก iPhone ก็เป็น iPad ซึ่งก็คือคอมพิวเตอร์ชนิดพกพาแบบหนึ่ง Tablet ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่วางแผนเขย่าวงการคอมพิวเตอร์ เปิดตัวครั้งแรกที่ ซานฟรานซิสโก วันที่ 27 มกราคม 2010 โดยนาย สตีฟ จ๊อบส์ เป็นคนนำ iPad ออกมาให้โลกได้เห็นครั้งแรก

เมื่อ iPad เห็นครั้งแรก หลายคนนึกถึง จอคอมพิวเตอร์ บางคนคิดถึงกระจก ใครที่ชอบทางด้าน เทคโนโลยีอยู่แล้ว อาจจะคิดถึง iPhone และ iPod Touch ซึ่งก็ไม่ผิดจากความจริงเท่าไหร่ครับ

ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ แอปเปิล โดย สตีฟ จ๊อบฟ์ สามารถชี้นำตลาด โดยการนำเสนอ iPad ซึ่งรูปร่างคล้าย iPhone ยักษ์ และ iPod Touch ยักษ์ และเช่นเดิม iPad ก็ครองส่วนแบ่งตลาดมากเป็นอันดับ 1

สุดท้าย Apple Watch เป็น สมาร์ทควอตซ์ ได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2557 โดยมีหน้าที่ในการติดตามการออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพ ซึ่งออกจำหน่าย 3 รูปแบบด้วยกัน โดยใช้งานร่วมกับ iPhone5 ขึ้นไป และอุปกรณ์รุ่นที่ทำงานบนระบบ iOS 8.2 ตัวแอปเปิลวอตซ์ สามารถรับโทรศัพท์ได้รวมทั้งรับข้อความจาก iMessage หรือข้อความสั้น และที่สำคัญสามารถติดตามการออกกำลังกาย การดูแลสุขภาพ ซึ่งไตรมาสที่ 4 ปี 2016 มีส่วนแบ่งการตลาดที่ 63.4% ของตลาดสมาร์ทวอตซ์โลกเลยทีเดียว โดยทิ้งห่างที่ 2 อย่างไม่เห็นฝุ่น 9.8%


การคิดนอกกรอบถือเป็นหนึ่งในการคิดแบบก้าวกระโดด ซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ ขึ้นกับการนำไปใช้งาน

ประภาพร คำทองวิจิตร

จากบทสัมภาษณ์คุณพารณ

1.แนวคิดของคุณพารณเรื่องคนท่านเห็นด้วยหรือไม่ อย่างไร

2.จะเพิ่มประเด็นอะไรบ้างในยุคปัจจุบัน 2017

3.นำมาใช้ในภาคราชการได้หรือไม่อย่างไร

4.จะใช้ใน 4.0 ได้หรือไม่ อย่างไร

ขอเลือกตอบเรื่องการนำแนวคิดของคุณพารณ มาใช้กับเศรฐกิจประเทศไทย 4.0

การพัฒนาเศรษฐกิจในทุกสมัย ขาดคนไม่ได้ เพราะคนเป็นผู้ปฎิบัติและเป็นผู้ได้รับผล คนที่อยู่ร่วมกัน ทำงานด้วยกัน จะทำอย่างไรให้เกิดความสามัคคี มีเป้าหมายร่วมกัน หากไม่พัฒนาคน ย่อมไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจได้ ดังนั้นแนวคิดการพัฒนาคน เพื่อสร้างคนให้เป็นทุนมนุษย์ที่มีคุณค่าของคุณพารณ จึงสามารถใช้ได้ โดยนำมาต่อยอดให้เหมาะสมกับยุคที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ Thailand 4.0

แนวคิดแรก คือ ความเชื่อมั่นในคุณค่าของคนขยายความในระดับประเทศเป็นความเชื่อมั่นในคุณค่าของคนไทย

เช่นให้ความสำคัญกันผู้มีประสพการณ์ในงานนั้นๆ โดยไม่จำกัดที่ระดับการศึกษาภาคบังคับ เช่น ปราชญ์ชาวบ้าน ที่สร้างองค์ความรู้จากประสบการณ์ ให้เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้แก่ชุมชน (learning community) ให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ที่นำไปปฎิบัติได้จริง และมีประโยชน์จริง (realistic & relevance)

แนวคิดที่สอง คือ การบริหารงานบุคคลเป็นหัวใจของงาน บุคลากรต้องมีความสามารถ มีความจงรักภัคดี มีความสมานสามัคคี เพื่อนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จและ แนวคิดนี้นำมาขยายความเป็นการกำหนดเป้าหมายแผนการพัฒนาคนไทย ผ่านการศึกษาในระบบ (ที่ต้องปรับปรุง) และการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมทั้งการตระหนักในหน้าที่พลเมือง เพื่อสร้างความสามัคคี

แนวคิดที่สาม การมองไปข้างหน้า Vision เข้าใจการเปลี่ยนแปลงระดับโลก ที่กลไกการค้าแบบเดิมทำไม่ได้เช่น การรวมกลุ่มการค้า และเทคโนโลยี่การสื่อสาร ที่ทำให้ความได้เปรียบทางการแข่งขันเปลี่ยนไป จึงจำเป็นต้องทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

แนวคิดนี้ นำมาใช้ในการคาดการณ์สถาณการณ์โลกในอนาคต และเตรียมประเทศไทยให้พร้อมสำหรับอนาคตผ่านนโยบาย Thailand 4.0 เช่น การเปิดเสรีทางการค้า และโยกย้ายแรงงานในภูมิภาค ประเทศไทยต้องสร้างคนที่มีประสิทธิภาพ สร้างผลผลิตที่มี value added มีความคิดสร้างสรรค์และสร้างนวัฒกรรมจากความเป็นไทยให้แตกต่างและโดดเด่น อย่างเช่นเกาหลีใต้ ย้ายการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมไปต่างประเทศและเน้นการพัฒนาทาง media, communication, และ entertainment เป็นธุรกิจที่ทำรายได้มหาศาล นำชื่อเสียงให้ประเทศอย่างมาก และส่งเสริมธุรกิจอื่นๆ ก่อให้เกิดความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ภาครัฐและเอกชนจะต้องทำไปด้วยกัน ผ่านระบบการศึกษาที่เน้นการปฎิบัติคความใฝ่รู้ และมีจริยธรรม ในขณะที่เอกชนต้องให้โอกาสและฝึกฝนพนักงานไทย ได้สามารถทำงานแทนการจ้างฝรั่งได้

แนวคิดที่สี่ องค์กรขนาดใหญ่ จำเป็นต้องปรับกระบวนการบริหารและการตัดสินใจเป็นการกระจายอำนาจ เพื่อให้เกิดความคล่องตัว ผ่านการใช้เทคโนโลยี่

แนวคิดนี้ ถือว่าทันสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยี่ทางการสื่อสารสมัยใหม่ ช่วยเพิ่มความรวดเร็วและถูกต้องของข้อมูลเพื่อการตัดสินในได้มาก

คุณพารณยังมีแนวคิดคุณค่าคน 4 ดี 4 เก่งที่ให้นิยามทุนมนุษย์ที่ดี ในแง่ ความรู้ ทักษะ ทัศนคติ และการวางตัวในสังคมคุณค่าเหล่านี้เป็นคุณค่าพื้นฐานที่คนไทยยุค 4.0 ควรมีเป็นเบื้องต้น เสริมกับทักษะทางการคิดนอกกรอบให้เกิดเป็นนวัตกรรม ซึ่งตรงกับ 5Ks ของอาจารย์จีระ

ประภาพร คำทองวิจิตร

วิจารณ์หนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ ของอ.จีระ และคุณพารณ

หนังสือเล่มนี้ให้ความรู้จากประสบการณ์ของบุคคลที่เชี่ยวชาญการบริหารงานทรัพยการมนุษย์ของประเทศไทย โดยเน้นพัฒนาโดยให้คนเป็นศูนย์กลางสองท่าน คือ อาจารย์จีระ และ คุณพารณ

ผลงานของทั้งสองท่าน เช่น การสร้างปูนซีเมนต์ไทย ให้ยืนหยัดด้วยการบริหารของคนไทย เพื่อคนไทย อย่างยั่งยืน การบริหารนโยบายรัฐเพื่อพัฒนาคุณภาพแรงงาน รวมทั้งการให้การศึกษาเพื่อเผยแพร่แนวคิดการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของทั้งสองท่านในเวทีที่ต่างกัน เป็นเครื่องยืนยันว่า ทรัพยากรมนุษย์คือกลไกสำคัญต่อการขับเคลื่อนองค์กร สู่ความเป็นเลิศ

ความรู้ที่ได้รับ คือ

  • ตัวอย่างการเป็นผู้นำ ที่อ่อนน้อม เข้าถึง รับฟัง เปิดใจ และความคิดก้าวหน้า และมี Determination เพื่อความสำเร็จ
  • ความตระหนักถึงคุณค่าของทุนมนุษย์ เปรียบเทียบกันทุนประเภทอื่นว่าเป็นทรัพยากรที่มีค่า พัฒนาต่อยอดได้ และให้ผลตอบแทนต่อองค์ อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ทั้งนี้ผู้ที่มีบทบาทหลักในการพัฒนาคือพนังงานและหัวหน้างาน โดยเฉพาะเมื่อผู้นำเป็นผู้นำในการพัฒนาเอง
  • การพัฒนาคน ต้องพัฒนาในหลายมิติ 8k 5k, ทั้งความรู้ ความประพฤติ การแสดงออก ทักษะต่างๆ และการรู้คุณค่า ความคิดสร้างสรรค์ (4L’s) ความใฝ่รู้ อยู่เสมอ (3ต ต่อเนื่อง ต่อเนื่อง ต่อเนื่อง) เพื่อน
  • การกำหนดกลยุทธ์เพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ใช้หลัก 2R (realistic & relevance) ให้เกิดการพัฒนาที่ตอบโจทย์องค์กร ให้พร้อมที่จะแข่งขันและช่วยสร้างองค์กรไปสู่ความยั่งยืน

ในเชิงปฎิบัติ แนวคิดข้างต้นจะสำเร็จได้จำเป็นต้องมีแผนกทรัพยากรมนุษย์ที่รู้จักบทบาทของตน ในฐานะ Business Partner ทำหน้าที่พัฒนาศักยภาพคนในองค์กร (Talent Management) ให้สอดคล้องเป้าหมายขององค์กร

ยุคนี้ผู้บริหารเจอความท้าทายที่ต่างไปจากเดิม ในเรื่องรูปแบบองค์กรที่เปลี่ยนไป เป็นระบบ lean และ metric ทำให้สายการบริหารการตัดสินใจ ต้องอาศัยความร่วมมือจากหัวหน้าหลายฝ่าย และระบบ digital ที่ทำให้ปฎิสัมพันธ์ของคนมีรูปแบบต่างไปจากเดิม จาก face to face เป็น media based สื่อสารผ่านสื่อ เป็นเรื่องที่น่าสนใจนำไปต่อยอดเรื่องการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในยุค Digital Base society ว่าจะเป็นเช่นไรเช่นเรื่องวัฒนธรรมองค์กร การเรียนรู้ การใช้สื่อ electronic ในการเชื่อมโยงคน

ประภาพร คำทองวิจิตร

1. การปฎิรูปการศึกษาไทยในยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0

เป้าหมายการพัฒนาประเทศไทย ภายใต้ชื่อว่า ประเทศไทย 4.0 โดยภาพรวมคือต้องการปฎิรูประบบเศรษฐกิจของไทยให้สาให้มีศักยภาพในการแข่งขัน หารายได้ เพิ่มความมั่งคั่งและยั่งยืน โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของภาคเศรษฐกิจต่างๆ ของไทย หรือการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลผลิต ถามว่าเราจะบรรลุเป้าหมายนี้ได้อย่างไร คงไม่พ้นการพัฒนาคน เพื่อให้มีศักยภาพทางความรู้ ทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ และความใฝ่รู้เพื่อพัฒนาตนเองอยู่เสมอ หรืออีกนัยหนึ่งคือการพัฒนาทุนมนุษย์ไทยในหลายประเด็น ซึ่งครอบคลุมอยู่ในทุนมนุษย์ 8K’s 5K’s นั่นหมายถึงว่าต้องมีการปฏิรูปการศึกษาไทย ปรับปรุงระบบการเรียนการสอน สร้างแรงจูงใจโดยมีผู้เรียน/ผู้สร้างผลผลิตเป็นศูนย์กลาง โดยใช้ทฤษฏี 4L’s เป็นแนวทางเพื่อกำหนดแผนการพัฒนา (Learning methodology, Learning environment, Learning opportunity, Learning community) แบบองค์รวม ทั้งนี้ต้องมองนอกกรอบของระบบการศึกษาภาคบังคับ เพราะเราต้องการเพิ่มประสิทธิภาพของคนในทุกภาคส่วนที่เป็นกำลังการผลิตในปัจจุบัน และคนที่ระดับทั้งที่ยังศึกษาในภาคบังคับ และอยู่ในภาคการผลิตแล้ว รวมทั้งคนที่เป็น idle capacity เพราะไม่ได้รับโอกาสในการมีส่วนร่วม

คุณพารณ ได้กล่าวไว้ว่าการพัฒนาให้สำเร็จต้องเริ่มจากการมีศรัทธา เชื่อมั่นในคุณค่าของคนดังนั้นเราไม่ควรย่อท้อต่อการพัฒนา เมื่อมีการแข่งขันจากประเทศอื่นๆ กดดันเราอยู่ยิ่งต้องเร่งให้เกิดการปฎิรูป

2. เสนอโครงการเพื่อปฎิรูปการศีกษาไทยในปัจจุบัน

การปฎิรูปทำได้หลายด้าน เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาสู่ ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ขอเสนอนโยบายที่เปลี่ยนแนวคิดว่าการศึกษาสิ้นสุดแค่ภาคบังคับหรืออุดมศีกษาเป็นการศึกษาตลอดชีวิต เพราะการศึกษาหาความรู้ใหม่เพิ่มพูนทักษะทำให้เราสามารถสร้างผลผลิตได้มากขึ้น ผู้มีประสพการณ์เป็นแหล่งเรียนรู้แก่ผู้อื่นต่อๆ ไปและนโยบายที่สร้างสภาพแวดล้อมเพื่อส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้

2.1 รัฐบาลควรส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้นอกห้องเรียน ผ่านสื่ออีเลกโทรนิก ที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างและได้ทุกคน ดังเช่นการศึกษาทางไกลของ มสธ หรือ โรงเรียนไกลกังวล และสร้างศูนย์ข้อมูลอีเลกโทรนิคส์ (website) เผยแพร่องค์ความรู้

2.2 จัดตั้งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเป็นที่ปรึกษาแก่นักธุรกิจในการสร้างนวัตกรรม เริ่มจากห้ากลุ่มเป้าหมาย คือการเกษตรและอาหาร สาธารณสุข เครื่องยนต์ เทคโนโลยี่ดิจิทอลบริการและการสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม

2.3 ปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนภาคบังคับ โดยเน้นประสิทธิผลของผู้เรียนทางทักษะ ความรู้ และ จริยธรรม ไปพร้อมกัน นอกเหนือจากการเรียนเนื้อหาความรู้เพียงอย่างเดียวส่งเสริมให้มีการใช้สื่อการสอนเสมือนจริงให้มากที่สุด เช่นการออกภาคสนาม การทดลองปฎิบัติ การให้โอกาสเรียนรู้ด้วยตัวเอง จัดหลักสูตรให้ฝึกหัดการทำงานเป็นกลุ่ม และการรู้จักวิเคราะห์ และสังเคราห์ วัดผลสัมฤทธิ์จากกิจกรรมและผลงานร่วมกับผลสอบวิชาการ

2.4 การปฎิรูปการบริหารครูทางด้านการจัดสรรทรัพยากร การสร้างเสริมทักษะครู การสร้างความตระหนักในบทบาททางวิชาการ และค่านิยมการเป็นผู้ให้ ด้วยโครงสร้างผลตอบแทน และส่งเสริมคุณค่าวิชาชีพครู

  • Inside the box, New boxes and outside the box แตกต่างกันอย่างไร อธิบาย

ดรูว์ บอยด์ (Drew Boyd) และจาคอบ โกลเดนเบอร์ก (Jacob Goldenberg) ให้ความหมาย

“Inside the Box : A Proven System of Creativity for Breakthrough Results” มีใจความว่า ในความคิดของคนทั่วไป “ความคิดสร้างสรรค์” มักจะหมายถึงสิ่งที่ไม่ได้เป็นไปตามรูปแบบหรือกฎเกณฑ์

“Outside the box” หมายถึงวิธีการระดมสมองกันอย่างกว้างขวาง ไม่มีการจำกัดกรอบ สิ่งใหม่ๆ นอกรูปแบบจึงจะสำเร็จออกมาได้

“New Boxes” หมายถึงโดยการใช้ Innovation capital การความคิดสร้างสรรค์เพื่อนำสู่แนวคิดใหม่

แตกต่างคือการเปรียบเทียบ Inside The Box ,Outside The Box ,New Boxes

ในฐานะผู้บริหารหลักสูตรในมหาวิทยาลัย จะขอเสนอความคิดในเรื่องของหลักสูตร ผู้บริหารหลักสูตรและการบริหารหลักสูตร ดังนี้คือ

หลักสูตรดุษฎีบัณฑิต นวัตกรรมการจัดการ เมื่อก่อนมีประธานหลักสูตรเป็นคนในมหาวิทยาลัย ไม่มีนักศึกษามาสมัครเรียน แต่พอมีผู้บริหารซึ่งมีประสบการณ์ และเป็นนักธุรกิจมาบริหารหลักสูตรกลับได้นักศึกษามาสมัครเป็นจำนวนมาก ที่เหมือนกันก็คือหลักสูตร ที่ต่างคือผู้บริหารที่อยู่ภายในองค์กร พอมีการปรับเปลี่ยนผู้บริหารที่มาจากภายนอก ก็สามารถแก้ปัญหาการขาดนักศึกษามาสมัครเรียนได้ทันที และประสบผลสำเร็จอย่างมากตามมา บางครั้งการนำเข้าผู้บริหารจากภายนอกมาแก้ไขปัญหาก็สามารถสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างกันได้อย่างสิ้นเชิง

นอกจากนี้ยังมีการสร้างหลักสูตรใหม่คือ หลักสูตรปริญญาโทมหาบัณฑิต นวัตกรรมการจัดการ เป็นหลักสูตรใหม่ที่แตกต่างจากมากวิทยาลัยอื่นโดยเน้นการตอบสนองยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งก็คือ

New Boxes ซึ่งก็มีแนวโน้มการตอบรับของกลุ่มนักศึกษาเป้าหมายค่อนข้างดี ดังนั้นถ้าสามารถนำแนวคิด Inside the Box, Outside The Box และ New Boxes มาใช้เป็นกลยุทธ์ในการบริหารการศึกษา ก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิดความสำเร็จได้ดังตัวอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

จากบทสนทนาอาจารย์จิระและ รศ.ธงทอง จันทรางศุในรายการไทยมุงดังนี้

1. การปฏิรูปการศึกษาไทย ในยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0

ในภาพของผู้บริหารการศึกษาต้องการให้มีการพัฒนาหลักสูตรที่เน้นนวัตกรรมการจัดการ เพื่อการสร้างนักศึกษาให้มีแนวคิด ของการยอมรับสิ่งใหม่ วิธีใหม่ เทคโนโลยีใหม่ ความรับผิดชอบต่อสังคม และหลักจริยธรรม สามารถนำสิ่งเหล่านี้มาใช้ในการทำงานได้จริง และประสบผลสำเร็จ โดยเน้นในแต่ละระดับการศึกษาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของบุคลากรที่เป็น

1) หลักสูตรปริญญาตรี ต้องจบแล้วทำงานได้ ทำงานเป็น มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีจริยธรรม

2) หลักสูตรปริญญาโท ต้องเน้นให้สามารถเป็นผู้บริหาร ที่รู้จริงและตรงประเด็น สามารถสร้างทีม สร้างองค์กรให้มีความเป็นหนึ่งเดียว มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีจริยธรรม

3) หลักสูตรปริญญาเอก ต้องสร้างให้บุคคลมีความพร้อมของทุนมนุษย์ เพื่อให้เป็นผู้นำองค์กร ที่สามารถวางยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง มั่นคง มั่นคั่ง ยั่งยืนและมีหลักธรรมมาภิบาล

2. เสนอโครงการเพื่อปฏิรูปการศึกษาไทยในปัจจุบัน

1) ปฏิรูปการเรียนรู้จาก Passive Learning ไปสู่ Active Learning และต่อยอดด้วย R&D จึงจะเกิด Innovation ทักษะที่เป็นการทำซ้ำหรือเป็นประจำ (Routine Skill) จะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์

2) ทักษะการคิดสร้างสรรค์ หรือการคิดวิเคราะห์ (Creative & Critical Thinking Skills) จะเป็นสิ่งที่ยุค Industry 4.0

3) สร้างความสมดุลในความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ การรักษาสิ่งแวดล้อม การมีสังคมที่อยู่ดีมีสุขและการเสริมสร้างภูมิปัญญามนุษย์โดยการพัฒนาที่สมดุลตั้งอยู่บนฐานคิดของ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”หลักการสำคัญมีอยู่ว่า “เมื่อ พร่องต้องรู้จักเติม เมื่อพอต้องรู้จักหยุด เมื่อเกิน ต้องรู้จักปัน” ในระดับจุลภาคการ “รู้จักเติม รู้จักพอ
รู้จักปัน”

วิพากษ์หนังสือ ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้

หนังสือทรัพยากรมนุษย์แฟนพันธุ์เป็นหนังสือที่มีการประสมประสานวิธีการถ่ายทอดแนวคิดและทฤษฎีการทำงานด้านการพัฒนาทรัพยากรทุนมนุษย์ของกูรูผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญระดับประเทศทั้ง 2 ท่านได้อย่างลงตัว หนังสือเล่มนี้สามารถอ่านแล้วมีความเข้าใจง่ายและสามารถนำทฤษฎีที่มีในหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ไปใช้เป็นกุญแจในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับแผนการบริหารงานได้ทั้งในองค์กรและระดับประเทศชาติได้

ทฤษฎีที่ท่านพารณใช้ในการบริหารงานด้าน HR ในองค์กรถือว่าเป็นการบริหาร HR ที่ท่านพารณวางแผนพัฒนาบุคลากรในองค์กรให้มีทักษะและมีแบบแผนในการดำเนินงานให้มี System ในการทำงานที่ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้เพื่อให้องค์กรมีความมั่นคงและสามารถเตรียมพร้อมในการแข่งขันกับคู่แข่งในอนาคตได้

ท่าน ศ.ดร.จีระ ได้มีความเข้าใจเข้าถึงและให้ความสำคัญในการพัฒนาทุนมนุษย์ให้มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้นโดยท่าน ศ.ดร.จีระ ได้ใช้ทฤษฎี 2R, 5K,8K และ HRDS มาต่อยอดเพื่อนำพาองค์กรและประเทศชาติไปสู่ความยั่งยืนซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีเศษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9

ความเหมือนของท่านพารณและ ศ.ดร.จีระ คือ “หัวถึงฟ้า ขาติดดิน” ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีของผู้นำองค์กรที่นำมาใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย

วิพากษ์หนังสือ Search inside Yourself

ขอชื่นชม Chade-Meng Tan ผู้เขียนหนังสือ Search inside Yourself ว่ามีวิสัยทัศน์ที่ดีและมีหลักการในการนำเสนอเผยแพร่ความรู้ในเรื่องการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ โดยการใช้หลักการในเรื่องการควบคุมอารมณ์โดยยึดหลักแนงทางด้านจิตวิทยาซึ่งใช้หลักคำสั่งสอนของพุทธศาสนามาเป็นสิ่งควบคุมตัวเองเพื่อให้เกิดความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ หนังสื่อเล่มนี้ยังสื่อถึงแนวทางการปฏิบัติตนของผู้นำในยุคโลกาภิวัตน์ได้อย่างดีเยี่ยม โดยมวลรวมหนังสือได้กล่าวถึงหลักการปฎิบัติตนต่อส่วนรวมดังนี้

1. การใช้สมาธิเข้ามาช่วยทำให้เกิดสติเพื่อการรับรู้รับฟังและเกิดความเข้าใจผู้อื่นให้มากขึ้น

2. การเอาใจเขามาใส่ใจเราและต่อบุคคลรอบข้างเพื่อสร้างให้สังคมมีความน่าอยู่มากขึ้น

3. ความเพียรพยายามเพื่อฝึกปฏิบัติให้ตนเองมีความอดทนต่อสิ่งยั่วยุรอบข้างและสามารถใช้สติคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง

4. การวางแผนในการดำเนินชีวิตเพื่อให้ตัวเองอยู่ได้อย่างมีความสุข

สิ่งที่ชาวตะวันออกได้ปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน ถูกพิสูจน์ในทางวิทยายาศาสตร์โดยชาวตะวันตกซึ่งส่งผลดีต่อการบริหารงานในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างเหตุได้ชัด ดังนั้นแนวคิดชาวตะวันออกอย่างท่าน ศ.ดร. จีระ จึงเป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่จะพัฒนาทุนมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืนในองค์กรต่อไป

Outside The Box

คือความคิดสร้างสรรและนวตกรรมใหม่ๆ ความคิดสร้างสรรค์ต้องอาศัยการคิดนอกกรอบ อย่างเช่น งานวิจัยที่โด่งดังของกิลฟอร์ดคือปริศนาเก้าจุด คือการทดลองขีดเส้นเชื่อมจุดทั้งเก้าจุดเข้าด้วยกัน โดยไม่ยกปากกา เป็นตัวอย่างที่ดีในการคิดนอกกรอบ คนที่เคยแก้ปัญหาคงรู้แล้วว่า คุณจะต้องลากเส้นออกไปนอกกรอบสี่เหลี่ยม ถึงจะประสพความสำเร็จในการแก้ปัญหานี้ ซึ่งเป็นตัวอย่างวิธีคิดนอกกรอบที่ดีในการคิดนอกกรอบ ทุกคนสามรถมอง เห็นภาพในการคิดนอกกรอบ ตัวอย่างบริษัท ที่คิดนอกกรอบ

Sony ได้ออกแบบผลิตัณฑ์ที่มีชื่อว่า วอล์คแมนดังระเบิดหลังจากเปิดตัวในญี่ปุ่น ซึ่งตอนแรกโซนี่คาดว่าจะขายได้ 5,000 เครื่อง แต่กลับขายได้ถึง 50,000 เครื่องต่อเดือนภายในสองเดือน และตลอดช่วงระยะเวลาของผลิตภัณฑ์ วอล์คแมนถูกจำหน่ายออกไปมากกว่า 200 ล้านเครื่องทั่วโลก เครื่องโซนี่ได้ปฎิวัติการฟังเพลงของคนทั่วโลก อย่างสิ้นเชิง เพียงแค่วิศวกรตัดลำโพงออก และใช้หูฟังแทน อีกทั้งยังตัดอุปกรณ์อื่นที่ไม่ได้ใช้เช่น การอัดเสียง ออกเสียง

บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย มีปัญหาเรื่องสถานที่ไม่เพียงพอสำหรับพนักงาน ที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้การขยาย พื้นที่ในการทำงานไม่เพียงพอ และไม่สามรถที่จะสร้างตึกใหม่ได้ทัน หรือไม่ก็จะต้องออกไปเช่าพื้นที่อื่น ซึ่งเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่าย และความไม่สะดวกในการทำงาน เพราะสมัยก่อนยังไม่มี internet ในการทำงาน ทุกอย่างต้องทำด้วยเอกสารซึ่งเป็นกระดาษ ผู้บริหารของปูนซิเมนต์ไทย จึงปรับเปลี่ยนโต๊ะให้สั้นลง จนสามารถที่จะทำ ให้เพิ่มพนักงานได้ อีกทั้งสามารถที่จะสร้างตึกใหม่ได้ทันเพื่อการรองรับการขยายตัวของบริษัท

สองตัวอย่างนี้เป็นการคิดนอกกรอบ คนละแบบ ตัวอย่างแรกเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออก ทำให้ผลิตภัณฑ์ถูกลง และทำให้ขนาดเล็กลงสามารถพกพาได้ แต่ยังคงถูกในผู้บริโภค ส่วนตัวอย่างที่สอง เป็นการ บริหารพื้นที่ในองค์กร ถ้าคิดแบบธรรมดาถ้าพื่้นที่ไม่พอเราคงแค่หาที่เพิ่ม โดยการเข่าพื้นที่ข้างนอกเพิ่มเติม ซึ่งมีค่าใช้ จ่ายเพิ่มขึ้น และความไม่สะดวกในการติดต่อสื่อสาร

ณรงค์ชัย ว่องธนะวิโมกษ์

จากบทสนทนาระหว่าง ศ.ดร.จีระและ รศ.ธงทอง จันทรางศุในรายการไทยมุงดังนี้

1.การปฏิรูปการศึกาไทยในยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 คือ

ในมุมมองนักธุรกิจมองการศึกษาไทยในยุค Thailand 4.0 ผลลัพธ์ในปัจจุบันเราได้นักศึกษาที่จบออกมาแล้ว ยังไม่สามารถทำงานได้จริง เพราะขาดทั้งแนวคิดเชิงธุรกิจและความเป็นจริงของชีวิตจริง รวมทั้งขาดความรู้และทักษะอย่างเพียงพอ ผลก็คือ การทำงานขาดประสิทธิภาพ ดังนั้นองกรณ์ใหญ่ ๆ จึงต้องเลือก และคัดสรรเฉพาะนักศึกษาที่มีคุณสมบัติดีที่สุด ซึ่งก็ยังมีจำนวนไม่เพียงพอ และอีกด้านหนึ่งก็คือ นักศึกษาที่ขาดคุณสมบัติก็ตกงานอย่างมากมาย

2.เสนอโครงการเพื่อการปฏิรูปการศึกษาไทยในปัจจุบันควรจะมีการปฏิรูปการศึกษาดังนี้

ให้มีการพัฒนานักศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและสามารถทำงานได้ตรงกับแต่ละวิชาชีพที่เรียนจบมา คือ

1) ควรมุ่งเน้นนักศึกษาที่จบปริญญาตรี มีความคิด มีประสบการณ์เชิงปฎิบัติมากยิ่งขึ้น ถ้าจะใช้หลักการง่ายๆ คือ ให้นักศึกษา ป.ตรี มีการเรียนหลักสูตรเชิงปฎิบัติจริง คล้ายหลักสูตรของอาชีวะมากขึ้น

2) หลักสูตรปริญญาโท ควรจะให้นักศึกษามีประสบการณ์เรียนรู้กรณีศึกษาจากชีวิตจริง เช่น การนำกรณีศึกษาที่เป็นของธุรกิจในไทย ที่ประสบผลสำเร็จ และล้มเหลว เพื่อทำความเข้าใจ จุดแข็งที่ทำให้ประสบผลสำเร็จ และจุดอ่อนที่ทำให้เกิดความล้มเหลว

3) ปริญญาเอก ต้องพัฒนาให้นักศึกษาที่เรียนจบแล้ว มีจิตสำนึกด้านจริยธรรม และความรับผิดชอบต่อสังคม รวมทั้งการพัฒนาให้เป็นผู้นำองค์กรที่สามารถวางแผนยุทธศาสตร์ เพื่อนำองค์กรสู่ความมั่นคง และยั่งยืน

ณรงค์ชัย ว่องธนะวิโมกษ์

วิพากษ์หนังสือ ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้

หนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ เป็นหนังสือที่ท่านพารณและอาจารย์จิระสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นช่องทางในการถ่ายทอดประสบการณ์ในการทำงานที่ผ่านมาของท่านพารณและเผยแพร่ทฤษฎีการพัฒนาทุนมนุษย์ที่ท่านอาจารย์จิระได้คิดค้นเป็นเวลาทั้งชีวิต เพื่อให้ทุกหน่วยงาน ทุกองค์กรนำแบบอย่างไปพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรบุคคลให้มีมาตรฐานมากขึ้น เตรียมพร้อมในการต่อสู้กับคู่แข่งเพื่อสร้างความมั่นคง ความมั่งคั่ง และยั่งยืนให้กับองค์กรและประเทศชาติได้อย่างแท้จริง

ทฤษฎีที่ท่านพารณได้นำมาถ่ายทอดประสบการณ์ทำงานที่บริษัทปูนซีเมนต์ไทย ฯ ในหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธ์แท้ ได้กล่าวถึงช่วงชีวิตที่ปฏิบัตหน้าที่เป็นฝ่ายขายท่านยึดการทำงานในเมืองไทยต้องมี Know how และ Know who และพอท่านพารณได้ขึ้นมาเป็นฝ่ายบริหารท่านพารณจึงได้นำแนวคิด การพัฒนาบุคลากรเป็นการลงทุน (Investment) ของบริษัท ที่ไม่ใช่ต้นทุน (Cost) ตามสโลแกน“คนเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดขององค์กร” โดยท่านพารณได้คิดทฤษฎี 4L’s ได้แก่ Village that Learn, School that Learn, Industry that Learn, Nation that Learn เข้ามาช่วยในเรื่องการพัฒนาทุนมนุย์ในองค์กร ต่อมาได้เพิ่มสูตร เก่ง4 ดี4 ได้แก่ เก่ง4 คือ เก่งงาน เก่งคน เก่งคิด และเก่งเรียน และ ดี4 คือ ประพฤติดี มีน้ำใจ ใฝ่ความรู้ คู่คุณธรรม แปะไว้เพื่อเตือนในพนักงานในองค์กร

ท่านอาจารย์จิระได้บัญญัติทฤษฎีในหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ไว้ดังนี้

  • 4L ประกอบด้วย : Learning Methodology, Learning Environment, Learning Opportunity และ Learning Community
  • ทฤษฎี 3 กลม ประกอบด้วย : เรื่อง Context : บริบททางด้านงาน IT , เรื่องCompetencies : ภาวะผู้นำ นวัตกรรม การบริหารเวลา และ เรื่อง Motivation : เป็นหลักที่ดี (PM – Personnel Management)
  • ทฤษฎี 8K’s ประกอบด้วย Human Capital, Intellectual Capital, Ethical Capital, Happiness Capital, Social Capital, Sustainable Capital, Digital Capital และ Talented Capital
  • ทฤษฎี 2 R’s ประกอบด้วย Reality และ Relevance
  • ทฤษฎี HRDS ประกอบด้วย Happiness, Respect, Dignity และ Sustainability
ณรงค์ชัย ว่องธนะวิโมกษ์

วิพากษ์หนังสือ Search Inside Yourself

หนังสือ Search Inside Yourself ผู้เขียนได้ต้องการเผยแพร่หลักการปฏิบัติตนอย่างมีสติโดยนำแนวทางการทำสมาธิมาเป็นส่วนประกอบของการดำเนินชีวิตและการทำงานเพื่อให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ตัวอย่างการทำงานที่ผู้เขียนนำมาใช้ประกอบในหนังสือมีการกล่าวถึงการใช้สมาธิในการพิจารณาและรับฟังผู้อื่นจะช่วยให้เราสามารถแก้ไขจุดบกพร่องของการทำงานได้อย่างถูกต้องและสามารถเพิ่มศักยภาพของการทำงานได้ดียิ่งขึ้น

ในหนังสือกล่าวถึงแนวทางการเข้าถึงผู้อื่นโดยการเอาใจเขามาใส่ใจเราโดยยึดความต้องการของเราเป็นที่ตั้ง เรามีความต้องการอยากได้ เรามีความเสียใจ เรามีความเจ็บป่วย เรามีความทุกข์และเรามีความสุขอย่างไร ผู้อื่นย่อมมีความต้องการเหมือนเรา ดังนี้การเข้าถึงความรู้สึก และเข้าใจความต้องการของผู้อื่นที่อยู่ร่วมกันในสังคมได้จะช่วยสร้างให้เกิดความสุขและสามารถนำไปเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาทุนมนุษย์และต่อยอดไปสู่ความยั่งยืนของชีวิตได้

การนำแนวทางที่ผู้เขียนไปปรับใช้กับแบบแผนขององค์กรเพื่อให้การทำงานของทุกคนในองค์กรประสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้ และองค์กรยังสามารถรักษาทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่าให้คงอยู่ในองค์กรเพื่อนำพาธุรกิจให้มีความทันสมัยพร้อมที่จะต่อสู้กับคู่แข่งทางธุรกิจได้อย่างดี

ณรงค์ชัย ว่องธนะวิโมกษ์

Inside the box

ข้อ 3 สรุป 5 เรื่องที่คิดว่าคือวิธีการสำคัญ Outside the box

1.การลด (Subtraction) การลดขั้นตอนในการผลิตสินค้าที่ไม่จำเป็นออกเพื่อให้มีสินค้าส่งให้ลูกค้าได้ทันเวลา

2.การรวม (Task unification) การเพิ่มขั้นตอนการทำงานของสินค้า 1 อย่างให้สามารถใช้งานได้หลายอย่าง เช่น Power Bank สามารถใช้ซาร์ตแบตโทรศัพท์ได้หลายรุ่น สามารถเป็นไฟฉายได้ สามารถฟังเพลงได้ สามารถบันทึกเสียงได้ เป็นต้น จะได้ไม่ต้องพกพาอุปกรณ์ที่ต้องการใช้งานหลายชิ้น

3.การเพิ่ม (Multiplication) การเพิ่มขั้นตอนการผลิตสินค้า (การ QC) เพื่อลดการข้อผิดพลาดให้น้อยลง และเพิ่มมาตรฐานสินค้าให้มีคุณภาพมากขึ้นเป็นที่ยอมรับกับลูกค้ามากขึ้น

4.การแบ่ง (Division) เครื่องปรับอากาศในยุคแรกไม่ได้มีลักษณะอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันนี้ อุปกรณ์ทุกอย่างจะรวมอยู่ในกล่องเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น คอมเพรสเซอร์ (Compressor) คอยล์ร้อน (Condenser) คอยล์เย็น (Evaporator) พัดลม อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ (Thermostat) ฯลฯ การติดตั้งและใช้งานยุ่ง ที่สำคัญคือกินไฟมาก แต่ปัจจุบันนี้ เครื่องปรับอากาศจะแยกส่วนประกอบออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือส่วนที่อยู่ภายในบ้าน (คอยล์เย็น พัดลม อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ) และส่วนที่อยู่ภายนอกบ้าน (คอมเพรสเซอร์ คอยล์ร้อน) ทำให้การใช้งานมีประสิทธิภาพและไม่กินไฟมากเท่าเดิม เพราะได้แยกส่วนประกอบที่สร้างความร้อนออกไปจากห้อง

5.การเปลี่ยน (Attribute dependency) การนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจให้มีความทันสมัยทันต่อสถานการณ์การแข่งขันกับคู่แข่งเพื่อให้การผลิตสินค้ารวดเร็วขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจสามารถเจริญเติบโตและดำเนินการต่อไปได้

ณรงค์ชัย ว่องธนะวิโมกษ์

จากบทสัมภาษณ์คุณพารณ จะเพิ่มประเด็นอะไรบ้างในยุคปัจจุบัน 2017

  • เพิ่มเติมด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร เนื่องจากบริษัท SCG เป็นองค์กรใหญ่มีสาขาทั่วประเทศจึงทำให้แนวทางและทฤษฎีที่ท่านพารณนำมาใช้บริหารทรัพยากรมนุษย์ในองค์กร SCG ทางด้านเทคโนโลยีการสื่อสารยังไม่เจริญก้าวหน้าเหมือนยุคปัจจุบัน จึงควรนำเทคโนโลยีการสื่อสารเข้ามาช่วยในการเผยแผ่เข้อมูลในองค์กรเพื่อให้บุคลากรในองค์กรได้รับข้อมูลแนวทางการปฏิบัติแบบเดียวกัน เช่น กฏระเบียบขององค์กร แบบแผนในการพัฒนาบุคลากร เป็นต้น
  • ระบบงานทางด้าน IT ยุคปัจจุบันการทำงานต้องสามารถทำงานได้ทุกเวลา ทุกแบบ ทุกที่ทั่วโลกดังนั้นการนำ System ทางด้าน IT เมาใช้ในการบริหารองค์กรจึงมีความสำคัญอย่างมาก
  • แนวทางการเก็บเกี่ยวและการสร้างความยั่งยืน ทรัพยากรมนุษย์เป็นทรัพย์สินที่มีค่าขององค์กร การพัฒนาทุนมนุษย์ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นจะช่วยให้การบริหารองค์กรได้รับประสิทธิผลได้เป็นอย่างดีและทำให้องค์กรมีความยั่งยืนด้วยตัวเอง
  • การเพิ่มเติมด้านจริยธรรมในการทำงานและธุรกิจที่ทำเพื่อให้เกิดความสุขในการทำงานและบริหารธุรกิจอย่างยั่งยืน
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท