อะไรจะเกิดขึ้น หากครูที่มีประสิทธิภาพไปสอนในสหรัฐ?


Pasi Sahlberg แห่งฟินแลนด์เป็นหนึ่งในบรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในเรื่องการปฏิรูปการศึกษา และเป็นผู้เขียนที่มีชื่อเสียง เขาเขียน บทเรียนชาวฟินแลนด์: โลกสามารถเรียนรู้เรื่องอะไรจากการเปลี่ยนแปลงด้านศึกษาในฟินแลนด์? ในบทความนี้ เขาเขียนในเรื่องการที่นักปฏิรูปการศึกษาชาวอเมริกันได้ที่สร้างครูที่มีประสิทธิภาพจะส่งผลต่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนหรือไม่ นี่คือคำบรรยายของเขา

หลายรัฐบาลภายใต้ความกดดันทางเศรษฐศาสตร์ และการเมืองจะสามารถผลักดันให้ระบบโรงเรียนให้ได้รับผลคะแนนนาๆชาติที่สูงขึ้น การปฏิรูปการศึกษาโดยมากจะเกี่ยวข้องกับการเมืองว่าจะทำได้สำเร็จ แคนาดา, เกาหลีใต้, สิงคโปร์, และฟินแลนด์ได้ใช้โมเดลเพื่อชาติ หวังว่าจะสามารถพัฒนาการสอนและการเรียนรู้ในโรงเรียน ในตอนนี้นักปฏิรูปมักจะชายสายตาไปที่ครู โดยมีความเชื่อว่า หากได้ครูที่ดีที่สุด และมีความสามารถมากที่สุดมาสอน คุณภาพการศึกษาน่าจะพัฒนาขึ้น

ความมีประสิทธิภาพของครู โดยสามัญสำนึกมักจะเกี่ยวข้องกับการทดสอบแบบมาตรฐาน เพราะไปพัฒนาความสามารถของนักเรียน สังกัป (concept) นี้เกี่ยวข้องกับครูที่สอนในวิชาที่จะมีการทดสอบเท่านั้น ความมีประสิทธิภาพของครูมีนัยยะพิเศษในนโยบายการศึกษาแห่งชาติ ในขณะที่ทางเลือกอื่นๆดำรงอยู่ในงานการสอน

ยกตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา จะมีโปรแกรมการฝึกครูที่แตกต่างกันมากกว่า 1,500 อัน ลำดับเรื่องคุณภาพนี้กว้างขวางมาก ในสิงคโปร์และฟินแลนด์จะมีโปรแกรมการฝึกหัดครูแบบเข้มเฉพาะคนที่อยากเป็นครูเท่านั้น

ทั้งในแคนาดา และเกาหลีใต้ ก็ไม่มีการฝึกหัดครูแบบพิเศษ คุณภาพของครูเป็นผลของการควบคุมคุณภาพที่มีการตรวจสอบมาเป็นอย่างดีในการเป็นครู มากกว่าการประเมินประสิทธิภาพของครูตอนทำงาน

ในเวลาปัจจุบัน “การไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ” ยังคงอยู่อย่างเข็มแข็งในการโต้เถียงทางการศึกษา ยังมีคนโต้เถียงอยู่ว่า ความจน เป็นสาเหตุที่ทำให้โรงเรียนไม่ได้มาตรฐานที่สูง ทางแก้ก็คือ ครูที่ดีกว่าเท่านั้น ต่อมาก็มีคนโต้อีกว่าเพียงแค่ครูและโรงเรียนไม่สามารถเอาชนะผลในเชิงลบของความจนในการเรียนรู้ของเด็กๆได้ ทางแก้ก็คือยกระดับนักเรียนจากความยากจนโดยนโยบายสาธารณะอื่นๆ สำหรับฉัน อันสุดท้ายนี้คือสิ่งที่ถูกต้อง ครูแต่เพียงผู้เดียว ถึงแม้ว่าจะมีประสิทธิภาพขนาดไหน ก็ไม่สามารถเอาชนะความยากจนที่ทำให้พวกเขามาโรงเรียนได้ทุกวันหรอก

ฟินแลนด์ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของแบบทดสอบมาตรฐาน อย่างไรก็ตาม ครูในฟินแลนด์มีการทดสอบมาตรฐาน ครูทุกคนต้องได้รับปริญญาโทในมหาวิทยาลัย ซึ่งต้องทำงานวิจัยได้ การแข่งขันในการเลือกที่จะมาเป็นครูมีการแข่งขันกันสูงมากๆ มีเพียงคนดีที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุดเท่านั้นที่จะมาเป็นครูได้ ผลลัพธ์ก็คือ การสอนคือความภาคภูมิใจ เช่นเดียวกับแพทย์ หรือวิศวกรรม นอกจากนี้ยังมี แบบตรวจสอบคุณภาพของครู ตอนจบจากโรงเรียนฝึกหัดครู นักศึกษาจะไม่ได้รับปริญญา หากพวกเขาไม่แสดงให้เห็นว่ามีความรู้, ทักษะต่างๆ, และศีลธรรม เพียงพอที่จะเป็นครูที่มีประสิทธิภาพได้

แต่นโยบายการศึกษาในฟินแลนด์มุ่งเน้นความมีประสิทธิภาพของโรงเรียนมากกว่าครู สิ่งนี้หมายความว่าทุกสิ่งที่โรงเรียนคาดหวังว่าจะทำ คือความพยายามของคนทุกคน, ทำงานร่วมกัน, มากกว่าที่จะสอนแบบตัวใครตัวมัน

ในประเทศที่ได้คะแนนต่ำๆนั้น ฉันสังเกตถึงข้อผิดพลาด 3 ประการในเรื่องความมีประสิทธิภาพของครู ข้อผิดพลาดอันแรก คือ “ความเชื่อที่ว่าคุณภาพของการศึกษาต้องขึ้นอยู่กับคุณภาพของครู” คำพูดนี้บรรจุอยู่ในนโยบายทางศึกษา โดยรายงานที่มีชื่อว่า ระบบโรงเรียนที่ดีที่สุดของโลกมาถึงคะแนนสูงสุดได้อย่างไร ถึงแม้ว่ารายงานะพูดถึงเรื่องกว้างๆ โดยการให้ความสำคัญกับครู โดยการจ่ายให้มากขึ้น และการจัดหาครูใหม่ที่ระวังมากขึ้น โดยรวมแล้วคือความสำคัญขึ้นอยู่กับครู โดยการเชื่อแบบนี้ รายงานตั้งสมมติฐานว่าครูแต่ละคนต้องทำงานอย่างเป็นอิสระจากคนอื่น แต่ครูในทุกวันนี้ เช่น สหรัฐและที่อื่น ร่วมกันทำงานเป็นทีม เพราะผลสุดท้ายคือความพยายามที่มีอยู่ร่วมกัน

บทบาทของครูที่เป็นปัจเจกในโรงเรียนก็เหมือนกับผู้เล่นที่เล่นอยู่คนเดียวในทีมฟุตบอล ครูทุกคนมีความสำคัญ แต่วัฒนธรรมของโรงเรียนมีความสำคัญยิ่งกว่ากับคุณภาพโดยรวมของโรงเรียน กีฬาที่เล่นเป็นทีมให้สิ่งต่างๆมากมายเกินความคาดหวัง ทั้งนี้ด้วยความเป็นผู้นำ, ความมุ่งมั่น และความมีน้ำใจ

ข้อผิดพลาดลำดับที่สอง คือ “ความเชื่อที่ว่าปัจจัยเพียงอย่างเดียวโดดที่สำคัญที่สุดในการบรรลุคุณภาพทางการศึกษาคือครู” สิ่งนี้ถูกขับเคลื่อนโดย Michele Rhee ที่เป็นอดีตอธิการโรงเรียน และหมู่นักปฏิรูป ความคิดที่ผิดนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่ “ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆในการจัดการโรงเรียน” หากครูเป็นปัจจัยเพียงปัจจัยเดียวในการพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาแล้วหละก็ อำนาจของโรงเรียนย่อมแข็งแกร่งกว่าพื้นฐานทางครอบครัวของเด็ก หรืออิทธิพลของกลุ่มเพื่อนในการพรรณนาความสำเร็จของนักเรียนเป็นแน่แท้

จริงๆแล้ว การให้คำอธิบายต่อความสำเร็จของนักเรียนมีหลายปัจจัย นับแต่การสอน, ครู, สภาพแวดล้อมของโรงเรียน, สิ่งอำนวยความสะดวก, และสภาวะความเป็นผู้นำ นอกจากนี้ยังมีพื้นฐานทางครอบครัวของเด็ก และแรงจูงใจในการเรียนรู้

มากกว่า 30 ปี สำหรับการวิจัยที่มีระบบ เรื่องประสิทธิภาพของโรงเรียน และการพัฒนาโรงเรียน เปิดเผยให้เห็นถึงคุณลักษณะบางประการในเรื่องโรงเรียนที่มีประสิทธิภาพ นักวิชาการหลายคนเห็นด้วยว่า สภาวะความเป็นผู้นำดำรงอยู่ในโรงเรียนที่มีประสิทธิภาพ และเท่าๆกับการสอนที่ได้ผลนั้นด้วย สภาวะผู้นำ ได้แก่ คุณภาพของผู้นำ เช่น หนักแน่น และมีจุดมุ่งหมาย, มีการแบ่งปันวิสัยทัศน์และจุดมุ่งหมาย, นำเสนอการทำงานเป็นทีม, และ ความเป็นคนให้การศึกษา รวมทั้งการตรวจสอบ และให้ผลย้อนกลับ สำหรับคุณลักษณะข้ออื่นๆ ก็จะเป็น วัฒนธรรมของโรงเรียน และสภาวะผู้นำ เช่น การเน้นไปที่การเรียนรู้, พยายามทำให้สภาพแวดล้อมของโรงเรียนดีขึ้น, ตั้งความหวังไว้สูง, พัฒนาทักษะเจ้าหน้าที่, และการให้ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วม โดยสรุปก็คือ สภาวะความเป็นผู้นำของโรงเรียน และคุณภาพของครู

ข้อผิดพลาดลำดับที่ 3 ก็คือ ความเชื่อที่ว่า หากเด็กๆได้เจอกับครูที่สุดยอด 3-4 คนรอบตัวพวกเขา พวกเขาจะมีท่าทีของนักวิชาการ โดยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ หรือเชื้อชาติไม่มีผลต่อความเป็นนักวิชาการนั้น และหากเด็กๆเจอกับครูที่ไม่ประสิทธิภาพ ก็จะยิ่งอ่อนลง อ่อนลง ข้อทึกทักทางสมมติฐานนี้ปรากฏให้เห็นในนโยบายของรัฐ เช่น องค์ประกอบที่สำคัญของนโยบายการศึกษาใน ESEA: ประสิทธิภาพ, ความยุติธรรม, และการประเมินผล

ข้อทึกทักนี้นำเสนอถึงทัศนะที่ว่าการปฏิรูปการศึกษาเพียงอย่างเดียวจะเอาชนะอำนาจอันทรงพลังของสภาพแวดล้อมทางสังคมและครอบครัว ดังที่ได้เสนอมาก่อนได้ ข้อทึกทักนี้บอกให้โรงเรียนกำจัดครูที่ไม่มีประสิทธิภาพออกเสีย และจ้างแต่คนที่มีความสามารถสูง ความผิดพลาดนี้มีความยุ่งยากในเชิงปฏิบัติมากๆ อันดับแรกคือ คำว่าครูที่มีคุณภาพคืออะไร ถึงแม้ว่าข้อนี้จะเป็นที่เข้าใจ แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่รับเข้ามาเป็นครูใหม่จะมีประสิทธิภาพ ข้อผิดพลาดอันที่ 2 ก็คือครูที่มีคุณภาพต้องใช้เวลา 5-10 ปีในการสอนที่มีระบบ และการตัดสินอย่างน่าเชื่อว่าความมีประสิทธิภาพ ต้องเก็บข้อมูลถึง 5 ปีจึงจะได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ สิ่งนี้ทำไม่ได้ในเชิงปฏิบัติ

ทุกๆคนเห็นด้วยว่าคุณภาพของการสอนนำไปสู่ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ดีเป็นคำถามที่ไม่จำเป็นต้องถาม ดังนั้นจึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าคุณภาพของครูมักจะถูกยกมาเป็นปัจจัยต่อความสำเร็จของนักเรียน แต่จริงๆแล้วครูที่ดีขึ้นในโรงเรียนไม่ส่งผลต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนโดยอัตโนมัติเลย

บทเรียนจากระบบโรงเรียนที่ได้ระดับคะแนนสูงๆ เช่นเฟินแลนด์ นำเสนอว่าเรามองการสอนในฐานะงานอย่างไร และบทบาทของโรงเรียนอะไรในสังคมของเรา

อันดับแรก ความเป็นมาตรฐานควรเน้นอยู่ที่การสอนของครูมากกว่าการสอนและการเรียนรู้ในโรงเรียน สิงคโปร์, แคนาดา, และฟินแลนด์ตั้งมาตรฐานไว้สูงในการฝึกหัดครู ประเทศเหล่านี้ตั้งการควบคุมคุณภาพไว้สูงก่อนที่ใครจะเข้ามาสอนได้ แม้แต่ศึกษาเรื่องการสอนก็ตาม นี่คือเหตุผลว่าทำไมประเทศเหล่านี้จึงมีครูที่มีประสิทธิภาพ และการประเมินครูจึงไม่มีปัญหาให้ถกเถียงกัน ไม่เหมือนสหรัฐอเมริกา

อันดับ 2 การใช้คำอธิบายของโรงเรียนที่เป็นพิษควรจะถูกยกเลิก การปฏิบัติในปัจจุบันในหลายๆประเทศจะประเมินคุณภาพของครูที่การนับความสำเร็จที่สามารถวัดได้ในตัวนักเรียน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าจะผิดและไม่ยุติธรรม มันเป็นสิ่งที่ผิด เพราะจุดมุ่งหมายของโรงเรียนส่วนใหญ่จะกว้างกว่าการปฏิบัติที่ดีใน 2-3 วิชา มันเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรม เพราะตัวแปรเรื่องความสำเร็จของผู้เรียนในแบบทดสอบมาตรฐานสามารถอธิบายได้โดยปัจจัยที่นอกเหนือโรงเรียน ครูส่วนใหญ่เข้าใจถึงสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้ในโรงเรียน เพราะว่าทั้งโรงเรียนได้เน้นในเรื่องนี้ ไม่ใช่เฉพาะครูที่เป็นปัจเจกบุคคล ในระบบการศึกษาที่ได้รับคะแนนนาๆชาติสูงนั้น เป็นเพราะพวกครูได้รับการกระตุ้นจากผู้นำและเพื่อนๆครูด้วยกันเอง ในฟินแลนด์ ครึ่งหนึ่งการสอบสำรวจความคิดของครู ตอบว่า พวกเขาอาจลาออก หากจะนับเอาผลจากการทำแบบทดสอบมาตรฐาน

อันดับ 3 นโยบายของโรงเรียนจะต้องเปลี่ยนก่อนการสอน การทำดังกล่าว จะทำให้การสอนเป็นที่น่าดึงดูดใจแก่ผู้เรียนที่มีพรสวรรค์ ในหลายๆประเทศ ซึ่งเป็นที่ที่ครูต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเอง ความต้องการของพวกเขา ก็คือไม่ต้องการเงินเพิ่ม แต่คือเงื่อนไขการทำงานที่ดีของโรงเรียน ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ประสบการณ์จากประเทศที่ได้รับการทำคะแนนนาๆชาติได้ดีนั้น ครูจะต้องมีการวางแผนงานด้วยตนเอง, มีอิสรภาพที่จะดำเนินการสอน โดยวิธีที่จะนำมาซึ่งผลอันเลิศ, และสิทธิในการสร้างแบบประเมินของผลลัพธ์ในภาระงานที่ทำด้วยตนเอง โรงเรียนต่างๆควรจะได้รับการเชื่อถือในเรื่องต่างๆที่สำคัญเรื่องภาระงานการสอน

การสรุป เรามาลองการทดลองเชิงทฤษฎี เราส่งครูชาวฟินแลนด์ที่มีประสบการณ์ไปทำงานในรัฐ อินเดียนา สหรัฐ (และรัฐอินเดียนาก็ส่งครูไปที่ฟินแลนด์ด้วย) 5 ปีต่อมา หลังจากที่ครูชาวฟินแลนด์ใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว และนโยบายทางการศึกษาของอินเดียนาดำเนินการอย่างที่ได้วางแผนไว้ พวกเราเลยตรวจสอบดูว่าครูทั้งสองประเทศมีการพัฒนาคะแนนการทดสอบในการประเมินที่รัฐเป็นคนจัดการได้หรือไม่

ฉันเสนอว่าหากมีการเพิ่มขึ้นของคะแนน พวกเขาจะเป็นพวกชายขอบ ทำไมน่ะเหรอ? นโยบายการศึกษาในรัฐอินเดียนา และรัฐอื่นๆ สร้างบริบทในการจำกัดครูชาวฟินแลนด์ ในการใช้ทักษะต่างๆ, ภูมิปัญญา และความรู้ที่แบ่งปันกันสำหรับการเรียนรู้ที่ดีของนักเรียน จริงๆแล้วฉันพบครูชาวฟินแลนด์ที่มีประสบการณ์แบบนี้สนับสนุนสมมติฐานของฉัน จากการที่ได้ยิน มีความเป็นไปได้ว่าครูชาวฟินแลนด์น่าจะทำบางสิ่งมากกว่าการสอนในปีที่ 5 สำหรับชาวอเมริกันก็น่าจะเป็นเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม ครูจากอินเดียนาที่ทำงานในฟินแลนด์ (ที่พวกเขาพูดภาษาฟินแลนด์ได้คล่องแคล่ว) มีอิสรภาพที่จะสอน โดยไม่ต้องพะวงกับหลักสูตรที่เป็นมาตรฐาน และความกดดันของการทดสอบมาตรฐานนั้น เช่น พวกเขาได้รับสภาวะผู้นำจากครูใหญ่, วัฒนธรรมการร่วมมือกัน, และการสนับสนุนจากครอบครัวที่ไม่มีปัญหาเรื่องความยากจน

แปลและเรียบเรียงจาก

Valerie Strauss. What if Finland’s great teachers taught in U.S. schools?

https://www.washingtonpost.com/news/answer-sheet/wp/2013/05/15/what-if-finlands-great-teachers-taught-in-u-s-schools-not-what-you-think/

หมายเลขบันทึก: 619853เขียนเมื่อ 7 ธันวาคม 2016 16:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 ธันวาคม 2016 16:51 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท