ก่อนที่จะเขียนบันทึกได้ลองเขียนภาพกิจกรรมว่าวันนี้ทำอะไรบ้าง ดูไปดูมาก็ช่างเป็น Routine มากๆ แต่ในความเป็น Routine ที่ว่านั้นก็มีอะไรให้ทำมากมายซึ่งแต่ละอย่างดูเหมือนจะซ้ำเดิมแต่เมื่อพิจารณาอย่างใคร่ครวญก็ไม่มีอะไรซ้ำเดิมเลย
อย่างเช่นการทำวัตรเช้าของวันนี้ ...มีทั้งเสียงไก่และเสียงเทปสวดมนต์ของแม่ชีที่อยู่กุฏิไม่ไกลกันมาก เข้ามาทดสอบสมาธิของเราเองว่าจดจ่อกับบทสวดที่ตนเองสวดหรือเปล่า เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเสียงใดๆ ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคเลย สิ่งที่ต้องเผชิญตามปกติคือความรู้สึกยังไม่ตื่นเต็มที่ การที่ยังไม่ตื่นเต็มที่ทำให้ระดับพลังชีวิตมีไม่มากพอ แต่เมื่อสวดมนต์ไปสักพักทุกอย่างก็จะเข้าที่เข้าทางเองไปตามที่จิตคุ้นชิน
อากาศเช้านี้เย็นไม่มีแสงแดด...ปกติอยู่ที่กุฏิจะเย็นแต่ข้าพเจ้ากลับรู้สึกอุ่น แต่เมื่อเดินออกมาที่ครัวกลับรู้สึกหนาว...ทีแรกว่าจะไม่ทำอาหารอะไรหลายอย่างเลือกที่จะทำเฉพาะขนม แต่สักพัก...ทุกอย่างก็เป็นไปตามอัตโนมัติ ---> หุงข้าว นึ่งผักและไข่ ทำขนม และทำกล้วยโยเกิร์ตกราโนล่า...ทุกอย่างเสร็จทันเวลาตีระฆัง แถมระหว่างที่รอทุกอย่างสุกก็ยังได้นั่งขีดๆเขียนๆ อะไรเล็กๆน้อยๆ หลังจากที่ฝึกใช้ปากกาบลูธูทที่ซื้อมานานแล้วกับมินิไอแพด ทำให้รู้สึกสนุกกับการทำงานในเรื่องเขียนมากขึ้น ไม่ต้องหอบหิ้วโน๊ตบุ๊กหรือซื้อไอแพดโปรแล้ว ใช้สิ่งที่มีให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์มากที่สุด
หลังรับข้าวเสร็จก็หากิจกรรมให้เด็กๆ ทำ ...เด็กผู้ชายจะติดการทำกิจกรรมในที่โล่ง การเคลื่อนไหวทำให้ลดความสนใจกับโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตลง พักหลังไม่มีเด็กๆ นอนที่วัดประมาณเที่ยงข้าพเจ้าก็จะให้เด็กๆ กลับบ้านนอกเสียจากพระอาจารย์จะมีกิจกรรมพาเด็กๆ ทำ
ในขณะเดียวกันก็มอบหมายภารกิจให้ติ๋วและน้องนีทำเป็นระยะๆ...ชี้แจงเป้าหมายที่อยากให้เกิด ส่วนกระบวนการให้พากันไปคิดเอาเองผลงานออกมามีปรับแก้ไขบ้างแต่ลื่นไหลไปได้ไม่สะดุด พอช่วงบ่ายสามก็พักเข้าทางภาวนาของใครของมัน
ภารกิจการทำสวน...ปลูกต้นไม้และเก็บกวาดใบไม้ทำให้ที่พักและเขตกระต๊อบภาวนาน่าอยู่มากขึ้น
ส่วนข้าพเจ้าเพลิดเพลินกับการเขียนถอดบทเรียนเรื่อง "กระบวนการเรียนรู้ R2R" (https://www.gotoknow.org/posts/603332)
เสร็จพอดีเวลาที่จะต้องทำวัตรปฏิบัติ ---> กวาดตาด(กวาดใบไม้) รดน้ำต้นไม้ อาบน้ำและไปเล่นกับลูกสุนัข การเล่นกับสุนัขทำให้ตระหนักในเรื่องศีลและวิบากกรรมได้ดีมาก บางครั้งเจ้าสองตัวนี้ก็ดูเหมือนจะรู้ภาษา ข้าพเจ้าชอบคุยด้วยในทำนองว่า ไปทำสิ่งไม่ดี ไม่รักษาศีล...ศีลห้าขาดร่วงหมดก็ต้องมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเช่นนี้แหละแต่โชคดีหน่อยที่ว่าได้กลับมาอยู่ในวัด มาเสวยวิบากกรรมดั่งที่หลวงปู่สอนเสมอ
ในตอนเย็นอากาศเริ่มอุ่นข้าพเจ้าถอดเสื้อให้เจ้าสุนัขสองตัวแต่สุดท้ายก็ไปคาบเอาเสื้อมาให้ใส่ใหม่ ...นั่งสังเกตพฤติกรรมเล่นด้วยกันสักพักก็ทะเลาะกัน เจ้าอั๊กปั๊กชอบใช้เสียง ส่วนเจ้าอุ๊กปุ๊กชอบใช้กำลัง ทั้งสองตัวเป็นพันธุ์บางแก้วคอกเดียวกัน พ่อไม่ดุและออกจะซื่อบื่อด้วยซ้ำ และมักจะวิ่งหนีลูกตัวเอง ส่วนแม่เป็นสุนัขพันธ์ไทยบ้านๆ อยู่ในหมู่บ้าน ...มีลูกคอกเดียวกัน ๕ ตัวมายู่วัดกับพ่ออืด(พ่อชื่ออืด)สองตัว ไปไหนไปด้วยกัน เล่นด้วยกัน กินข้าวจากชามเดียวกัน
เล่นกันไปกันมาก็ทะเลาะกัน...
สักพักข้าพเจ้าก็กลับเข้ามาทำวัตรเย็นที่กุฏิ ไม่ได้ไปสวดมนต์ทำวัตรรวม...
สวดมนต์ไม่ยาว แล้วมาทำภารกิจส่วนตัว เขียนหนังสือ เขียนบันทึกสักพักก็เข้าทางภาวนาเดินจงกลมและนั่งสมาธิ...
แล้วชีวิตในหนึ่งวันนี้ก็จบลงอีกครั้งที่แสนจะธรรมดา
สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันนี้;
การตอบสนองของใจต่อเรื่องต่างๆ เย็นลยิ่งกว่าเดิม ชอบประโยคหนึ่งของคุณแม่ชีศันสนีย์ว่า "อย่าทวงบุญคุณให้เปลี่ยนเป็นขอบคุณแทน" ทำให้เรื่องราวที่ค้างคาในใจจบลงแบบเงียบๆ "ขอบคุณที่ทำให้ข้าพเจ้าได้เกิดการเรียนรู้เรื่องราวภายในใจตนเองมากมายจากเหตุการณ์อันไม่ชอบใจต่างๆ นานา"
การทำวัตรปฏิบัติให้จิตคุ้นชิน...นำมาซึ่งพลังแห่งการตื่นรู้และเบิกบานพร้อมมองเรื่องต่างๆ อย่างลึกซึ้งมากขึ้น
...
๑๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๙
ไม่มีความเห็น