๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙...เวลา ๑๓.๓๐ น. ฉันได้เข้าไปราชการที่ กทม.
ซึ่งจะได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการพิจารณาผลงานวิชาการ (คพว.)
ในวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙...ฉันก็ใช้เวลาเดินทางเข้า กทม.
ในวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ออกจากบ้านประมาณ ๐๙.๓๐ น.
ไปถึงวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ก็ประมาณ ๑๓.๓๐ น. เข้าไปกราบ
หลวงพ่อจรัญในวาระสุดท้าย...ซึ่งเมื่อประมาณ ๖-๗ ปีที่แล้ว
ฉันเคยพาบุคลากรของมหาวิทยาลัยมาปฏิบัติธรรม ณ ที่แห่งนี้
ซึ่งขณะนั้นหลวงพ่อก็เริ่มป่วยแล้ว ขนาดหลวงพ่อให้สายน้ำเกลือที่แขน
แต่ท่านก็ยังลงมาหาพวกเรา...ท่านบอกว่า อยากมาเห็นพวกเราที่มาปฏิบัติธรรม
เพราะปกติหลวงพ่อป่วยจะไม่ลงมาหา...แต่เป็นความตั้งใจของท่าน ๆ ได้ลงมา
ให้พวกเราเห็นและได้พูดคุยกับเราในช่วงนั้น...สิ่งที่ฉันได้ตอนนั้น นั่นคือ
การปฏิบัติธรรมโดยนำมาปฏิบัติต่อตนเอง ต่อครอบครัว ต่อสังคม
จนทำให้เป็นฉันในวันนี้และนำมาปรับใช้ในการทำงานและกับคนรอบข้าง
ทำให้ฉันมีทักษะชีวิตที่ดีขึ้น...เป็นวาระสุดท้ายที่ฉันแสดงตนเป็นศิษย์นักปฏิบัติ
ที่ฉันเองชอบและศรัทธาต่อท่านในฐานะ "พระนักปฏิบัติ"...
เมื่อฉันไปกราบศพหลวงพ่อจรัญ...มองไปที่รูปท่าน สื่อทางจิตเริ่มแสดงออก
ดูเหมือนภาพวาดของท่านยิ้มให้กับฉัน...(ฉันอาจคิดไปเอง แต่จิตฉันสื่อได้เช่นนั้นจริง ๆ)
ยิ้มครั้งสุดท้าย...ที่ครั้งหนึ่งฉันและท่านได้มาพบกันบนโลกมนุษย์ มาเพื่อปฏิบัติธรรม
จรรโลงพุทธศาสนาให้เป็นที่รู้จักของคนที่นับถือศาสนาพุทธ...นี่คือ การแสดงตน
ที่มีจิตศรัทธาต่อพระนักปฏิบัติ...เพราะฉันเองก็ชอบที่จะปฏิบัติมากกว่าที่รู้แล้วไม่นำมาปฏิบัติ
เพราะการปฏิบัติจะทำให้ตนเองเป็นที่ศรัทธา เป็นที่พึ่งให้แก่ผู้อื่น เป็นประโยชน์ต่อสังคม
และคนอื่น ๆ ได้ นี่คือ การนำมาปฏิบัติ สุดท้ายสิ่งที่ได้ นั่นคือ เป็นคนดีต่อสังคม
เป็นคนที่สังคมต้องการให้มีคนแบบนี้ให้มาก ๆ เพราะจะทำให้ประเทศชาติเกิดการพัฒนา
...
ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติเข้ามาอ่านบันทึกนี้ค่ะ
บุษยมาศ แสงเงิน
๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
ขอขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ