ระยะเวลาประมาณ 10 ปี จากปี 2535-2544 เกิดกลไกและวิธีคิดเกี่ยวกับการใช้ งบประมาณและเงินจากภาษีอากรที่รัฐบาลเก็บได้ แตกต่างไปจากที่เคยเป็นในช่วงก่อนหน้าในหลายประเด็น
เริ่มจากปี 2535 รัฐบาลจากการรัฐประหาร ที่มี คุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกฯ ได้จัดตั้ง หน่วยงานสนับสนุนการวิจัย 3 หน่วยงานพร้อมๆกัน โดยให้มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ ที่ไม่ใช่หน่วยราชการ ด้วยการออกเป็น พระราชบัญญัติ พร้อมกับ กำหนดให้มีคณะกรรมการ เป็นผู้ควบคุมกำกับ และตัดสินใจเชิงนโยบายในการบริหารงาน ออกกฎระเบียบของตัวเองได้ โดยมีการคัดเลือกผู้บริหาร ที่มีเวลาการอยู่ในตำแหน่งที่ชัดเจน ไม่ใช้รูปแบบ กระทรวง หรือกรม ซึ่งอยู่ในการกำกับและควบคุมโดย ระเบียบราชการ มีผู้บริหารตามระบบราชการ ได้แก่อธิบดี หรือปลัดกระทรวง ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของ รัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
อันที่จริง การจัดตั้งหน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่หน่วยราชการ ด้วยการออกเป็นพระราชบัญญัติ มีการกำกับดูแลโดยคณะกรรมการ ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในปี 2535 พร้อมการเกิดขึ้น ของหน่วยงานสนับสนุนการวิจัย 3 หน่วยดังกล่าว แต่หน่วยงานที่มีลักษณะดังกล่าว ที่จัดตั้งก่อนหน้านั้น มักถูกตีความว่าเป็น รัฐวิสาหกิจ และใช้กรอบการบริหารของรัฐวิสาหกิจเป็นแนวทาง ทั้งที่หลายหน่วยงาน เช่นสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ สสวท จัดตั้งในปี 2515 ไม่ได้มีลักษณะของการทำธุรกิจ แต่เป็นหน่วยงานพัฒนาระบบและวิชาการ
ในขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัย ที่มีสภามหาวิทยาลัยเป็นกลไกกำกับดูแลเชิงนโยบาย ก็มีลักษณะการบริหารคล้ายกับ หน่วยงานของรัฐที่ไม่ใช่หน่วยราชการ ในแง่ที่มีกำกับดูแลโดยคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัย มีการเลือกผู้บริหาร ที่มีระยะเวลาการทำงานที่แน่นอน แต่มหาวิทยาลัยก็ยังถูกกำหนด ให้ต้องใช้กฎระเบียบและค่าจ้างเงินเดือน ตามระบบราชการ
สำหรับหน่วยงานวิจัย ทั้ง 3 หน่วยที่จัดตั้งเป็นองค์กรของรัฐที่ไม่ใช่หน่วยราชการ จะมีลักษณะแตกต่างอย่างไร และเกิดประโยชน์อะไรเพิ่มเติม คงไปว่ากันต่อคราวหน้า
ไม่มีความเห็น