ข้าพเจ้าก็เหมือนมุสลิมทุกคน ที่มีความฝันว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะต้องไปทำพิธีฮัจย์ที่เมืองมักกะฮ ประเทศซาอุดิอาระเบีย เพราะการทำฮัจย์เป็นหนี่งในหลักการอิสลามทั้งห้า ที่มุสลิมทุกคนจะต้องปฏิบัติ หากมีความสามารถ เช่นเดียวกับ การกล่าวปฏิญาณตน การละหมาด การถือศีลอด การจ่ายซากาต เมื่อกรมศาสนาประกาศชื่อของข้าพเจ้าเป็นผู้มีสิทธิไปทำฮัจย์ในปี 2558 (จะต้องมีการลงทะเบียนไว้) ข้าพเจ้าจึงรู้สึกยินดี และตั้งใจที่จะประกอบศาสนกิจครั้งนี้ให้ดีที่สุดและจะเก็บความประทับใจไว้ในความทรงจำของข้าพเจ้าตลอดไป
การประกอบพิธีฮัจย์ครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้าค้นพบว่า ฮัจย์นอกจากเป็นการประกอบอีบาดะฮ.หลักแล้ว ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างมิตรภาพระหว่างมุสลิมทั่วโลก โดยการที่คนต่างเชื้อชาติ ต่างถิ่นฐาน ต่างวัฒนธรรม ต่างมารวมตัวกัน และใช้ชีวิตในช่วงเวลาสั่นๆร่วมกันปฏิบัติศาสนกิจโดยมีเป้าหมายเดียวกัน นั้นก็คือ อัลลอฮ์
วันที่ 19 สิงหาคม 2558 ข้าพเจ้าและกลุ่มผู้แสวงบุญจากบริษัทโกตาบารูเทรเวล โดยการนำของแซะห์(ผู้นำกลุ่ม) นายอาหามะ ตอแลมา ที่เป็นคนหมู่บ้านเดียวกันกับข้าพเจ้า ได้เดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยเครื่องบินของสายการบิน กัล์ฟแอร์ ของประเทศบาห์เรน เวลา 20.00 น ตามเวลาของไทย เครื่องแวะลงจอดที่ประเทศบาห์เรน เวลา 00.45 น และเดินทางต่อถึงสนามบิน มาดีนะห์ประเทศซาอุดีอาระเบีย ในระหว่างนั่งเครื่องบินจากบาห์เรน สู่มาดีนะห์ เขาเปลี่ยนให้เรานั่งเครื่องบินเล็ก ข้าพเจ้าไม่ได้หันมองและพูดคุยกับผู้โดยสารข้างๆเลยเพราะเกิดอาการเมาเครื่อง รู้สึกมึนหัว ท้องไส้ปั่นป่วน อยากอาเจียน ข้าพเจ้าคลำหายาหม่องในกระเป๋าเพื่อสูดดมบรรเทาอาการ แต่หาไม่เจอ จนกะเสาะคนที่นั่งข้างๆ (รู้ชื่อภายหลัง) สังเกตเห็นอาการของข้าพเจ้า ต้องหยิบยาน้ำมันเหลืองของกะเสาะเอง มานวดหลังให้ข้าพเจ้าและบอกให้ทาที่คอด้วย ทำให้หายจากอาการเมาเครื่องได้บ้าง ข้าพเจ้าขอบคุณ หลังจากนั้นกะเสาะกับข้าพเจ้ากลายเป็นเพื่อนที่คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันตลอดเวลาที่ที่เรามาทำฮัจย์ครั้งนี้
เราถึงนครมาดีนะห์ เวลาตีห้า ที่สนามบินมีเจ้าหน้าที่จากทางการซาอุดี้ และเจ้าหน้าที่จากทางการไทยคอยต้อนรับและคอยอำนวยความสะดวก ช่วยยกกระเป๋าสัมภาระไปที่รถบัสขนาดใหญ่ที่จอดคอยเพื่อจะพาพวกเราไปสู่ที่พัก ตลอดแปดวันในนครมาดีนะห์แห่งนี้
ไม่มีความเห็น