การแสวงหาอาณานิคมในยุคจักรวรรดินิยมยุคใหม่ (ภาคสรุป)
โดยวาทิน ศานติ์ สันติ 23 มิถุนายน 2558
ภาพ บรรยากาศการค้าและการแต่งกายของชาวจีนในสมัยปลายราชวงศ์ชิง
จาก http://board.postjung.com/837566.html
จักรวรรดินิยมยุคใหม่ คือยุคที่ประเทศมหาอำนาจในยุโรปต่างพากันออกมาแสวงหาอาณานิคมในกลุ่มประเทศโลกที่สามคือทวีปแอฟริกาและเอเชีย (ค.ศ. 1871-1914) โดยมีอังกฤษ ฝรั่งเศส และฮอลันดา เป็นผู้นำ ประเทศในทวีปแอฟริกาและเอเชียต้องตกไปเป็นอาณานิคมจำนวนมาก เกิดกดขี่ข่มเหง การแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากร จากแรงงาน และสร้างบาดแผลให้กับประเทศใต้การปกครองที่ไม่มีใครอยากจำ อีกทั้งยังก่อให้เกิดความขัดแย้งกันเองภายในกลุ่มประเทศมหาอำนาจจนเกิดสงครามครั้งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติตามมา
สาเหตุของการออกมาแสวงหาอาณานิคม
1. เป็นผลมาจากการปฎิวัติอุตสาหกรรม ทำไห้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเพิ่มประชากร จึงมีความจำเป็นต้องมีการออกแสวงหาอาณานิคมเพื่อเป็นแหล่งวัตถุดิบ คลังสินค้า ตลาด จัดตั้งฐานทัพ และเพื่อระบายพลเมืองให้มีที่อยู่ที่อาศัย
2. เป็นการแสดงออกถึงความเป็นประเทศมหาอำนาจในยุโรป มีประเทศในอาณานิคมมาก ก็มีอำนาจมาก
3. เพื่อเผยแพร่ศาสนา โดยเฉพาะอังกฤษกับฝรั่งเศส
4. ลัทธิชาตินิยมที่ชาวยุโรปต้องการเข้าครอบครองดินแดนที่มีอารยธรรมต่ำกว่า โดยอ้างว่าเป็นสิทธิอันชอบธรรมในการเขามาปกครองเพื่อพัฒนาให้มีความเจริญ
ผลของการออกแสวงหาอาณานิคมในยุคนี้คือ
1. เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจ เช่น อังกฤษกับฝรั่งเศส อังกฤษกับรัสเซีย และฝรั่งเศสกับเยอรมนี ทำให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ทั่วโลกรวมถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914 – 1918)
2. มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบสาธารณรัฐในจีน ส่วนญี่ปุ่น ยอมเปิดประเทศรับอารยธรรมตะวันตก และได้กลายมาเป็นประเทศจักรวรรดินิยมในเวลาต่อมา
3. จีนและอินเดียเป็นประเทศที่มีอารยธรรม สูง แต่ก็ได้รับผลกระทบจากการออกแสวงหาอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจยุโรป เพราะจีนและอินเดียมีปัญหาเรื่อง (1) การขาดแคลนอุตสาหกรรมที่ผลิตด้วยเครื่องจักร (2) กองทัพขาดประสิทธิภาพ (3) พลเมืองขาดความมีระเบียบวินัย
ตัวอย่างการขยายอำนาจของประเทศมหาอำนาจเข้าไปในจีน
ในสมัยศตวรรษที่ 19 จีนปกครองโดยราชวงศ์แมนจู (ราชวงศ์ชิง) ได้รับผลกระทบจากการขยายอิทธิพลของมหาอำนาจของยุโรป รัฐบาลจีนพยายามกีดกันทางการค้ากับต่างชาติโดยการเปิดเมืองกวางตุ้ง เป็นเมืองท่าค้าขายเพียงเมืองเดียว อีกทั้งไม่ได้ให้ความยุติธรรมแก้ชาวต่างชาติทางด้าน ธรรมเนียมการเข้าเมือง คดีความ การเสียภาษี และความมาสะดวกสบายในการค้าขายและการจำกัดสินค้ามากมาย สร้างความไม่พอใจให้กับชาวต่างชาติโดยเฉพาะอังกฤษที่มีผลประโยชน์ในประเทศจีนค่อนข้างมาก
อังกฤษ เป็นชาติแรกที่ใช้นโยบายเรือปืนบีบบังคับให้จีนเปิดประเทศด้วยสงครามฝิ่น ( ค.ศ.1840-1842 ) เนื่องจากอังกฤษนำฝิ่นจากอินเดียมาขายในจีน จีนไม่ยินยอมโดยการที่รัฐรับซื้อฝิ่นและขายเองเพื่อจำกัดขอบเขต จึงเกิดสงครามขึ้น ผลจากการทำสงคราม จีนพ่ายแพ้จึงต้องลงนามในสนธิสัญญานานกิง ในปี ค.ศ. 1842 ซึ่งมีสาระสำคัญคือ
1. จีนต้องเปิดเมืองท่าเพิ่ม ให้ชาวต่างประเทศเข้ามาพำนักและค้าขายโดยมีกงสุลประจำ
2. จีนต้องยกเกาะฮ่องกงให้อังกฤษและต้องชดใช้ค่าเสียหายด้วย
3. ปี ค.ศ. 1843 อังกฤษได้ทำสัญญาสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ( Extraterritoriality)
4. ชาติมหาอำนาจยุโรปชาติอื่นๆรวมทั้งสหรัฐอเมริกา ก็ได้มาทำสัญญาเช่นเดียวกับที่อังกฤษ ที่สำคัญเช่น สัญญาอีก 2 ฉบับคือสนธิสัญญาเทียมสิน ในปี ค.ศ. 1858 และสนธิสัญญาปักกิ่ง ในปีค.ศ. 1861 จีนได้รับผลกระทบจากการขยายอำนาจของชาติมหาอำนาจเป็นอย่างมาก
ปฏิกิริยาการต่อต้านของชาวจีนคือ กบฏนักมวย ( Boxer Rebellion) ผู้ปกครองจีนนำโดยพระนางซูสีไทเฮาสนับสนุน พวกกบฏนักมวยพยายามขับไล่ชาวต่างชาติออกจากกรุงปักกิ่งในปี ค.ศ.1900 แต่กองทหารนานาชาติก็สามารถปราบพวกกบฏนักมวยได้สำเร็จ พวกกบฏถูกลงโทษ จีนต้องจ่ายค่าเสียหายถึง 325 ล้านเหรียญอเมริกา
เอกสารประกอบการเขียน สรุปจากการบรรยายและหนังสือของ ศฤงคาร พันธุพงศ์, รศ. ประวัติศาสตร์ยุโรป 2. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง. 2547.
ไม่มีความเห็น