"รวม รัก สมดุล" มหาเทพฮินดู
โดย วาทิน ศานติ์ สันติ 30/4/2558
ครั้งยังเด็ก มีความสุขมากได้ดูการ์ตูนประเภทรวมร่าง ขบวนการมาร์เรนเจอร์ร่วมเป็นหุ่นยนต์ โงกุลกับเบจิต้าร์ฟิวชั่นมีพลังมากกว่าซุปเปอร์เซย่าร์หลายเท่า นอกจากนี้ยังมีรันม่าที่สามารถปลี่ยนเป็นชายหญิงได้
หากลองพิจารณาดูก็เป็นเพราะต้องการให้มีพลังอำนาจมากขึ้น ให้มีความสมดุลระหว่างคู่ต่อสู้ รวมถึงให้มัความสมดุลในตัวเอง
เรื่องการสร้างความสมดุลมีมานานในหลายเชื้อชาติ เช่น ความสมดุลของธาตุร้อนเย็น ดำสว่าง ชายหญิง หรือที่เรียกว่าหยินหยางในวัฒนธรรมจีน การสร้างความสมดลของเทพเจ้าเช่นซุส แม้จะเก่งแค่ไหนก็ยังต้องคานอำนาจกับบรรดาเมีย และยังต้องรักษาความสมดุลของเทพเจ้ากับมนุษย์อีกด้วย นวนิยายกรีก โรมันหลายเรื่องอธิบายว่า มนุษย์อยู่ได้ด้วยเทพเจ้าคุ้มครอง เทพเจ้าอยู่ได้ด้วยการกราบไหว้บูชาของมนุษย์
ทั้งหมดทั้งมวลจึงเป็นเรื่องการพึ่งพาอาศัย เพื่อความสมดุล สมดุลเพื่อพลังอำนาจที่มากกว่า
ในวัฒนธรรมอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พูดเรื่องความสมดุลมากมาย เช่น
พระนารายณ์รวมกับพระศิวะเป็นพระหริหระ พบหลักฐานการบูชาและประติมากรรมในวัฒนธรรมเขมรโบราณ พบพระเศียร์พระหริหระแบ่งพระพักตร์อย่างละครึ่งอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 ศิลปะพนมดา เป็นการวมกันของสองนิกายคือไศวนิกายกับไวษณพนิกาย
การรวมกันของศิวะกับอุมาเป็นอรรถนารีศวร จากตำนานกล่าวว่า ฤาษีภิริงกิตเคารพพระศิวะเพียงองค์เดียว ทำให้พระอุมาน้อยพระทัยพิโรธและสาปให้ฤาษีมีร่างกายไร้เลือดเนื้อ ต่อมาภายหลังพระอุมาละอายที่ได้กระทำต่อฤาษี จึงถอนคำสาปและอธิษฐานขอให้พระวรกายของพระนางเข้าไปรวมเป็นส่วนหนึ่งขององค์ พระศิวะ ประติมากรรมพระอรรนารีศวรขุดค้นพบที่ จ. อุบลราชธานี อายุราวพุทธศตวรรษที่ 13 เป็นหินทรายนั่งขัดสมาธิบนฐานบัว แบ่งครึ่งหนึ่งเป็นชายครึ่งหนึ่งเป็นหญิง นับว่าสวนงามและสมบูรณ์มาก ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ฯอุบลราชธานี
นารายณ์ ศิวะ พรหมณ์ รวมเป็นตรีมูรติ ตำนานมีมากหลายจึงขอละไว้ ตรีมูรติเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความรัก เพราะหากไม่รักกันคงรวมกันไม่ได้ จากคตินี่จึงเกิดประติมากรรมเทพบุตร 4 กร 1เศียร์ 4 พักต์ และมีเศียร์บนอีกหนึ่งพักตร์มีพระจันทร์เสี้ยว หมายถึงพระศิวะ ปัจจุบันประดิษฐานหน้าศูนย์การค้าถนนเซ็นทรัลเวิร์ด ถ ผู้คนนิยมนำดอกกุหลาบแดงไปบูชา ส่วนใหญ่จะขอเรื่องความรัก
นอกจากนี้ยังคติการรวมกันของพระมหากษัตริย์กับเทพเจ้าที่ทรงนับถือ โดยเฉพาะในวัฒนธรรมเขมรโบราณ มีการสร้างเทวสถานที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับโลกหลังความตาย เป็นเทวลัยสำหรับดวงพระวิญญาณจะไปรวทกับเทพเจ้า มีการตั้งพระนามใหม่ เช่น สุริยวรมันที่ 2 (พ.ศ.1656่-1688)ทรงนับถือไวษณพนิกาย ทรงสร้างปราสาทนครวัด กำหนดพระนามหลังสวรรคตว่า "บรมวิษณุโลก"
ชัยวรมันที่ 7(พ.ศ. 1724-1762) ทรงนับถือพุทธมหายาน ทรงสร้างปราสาทบายน กำหนดพระนามหลังสวรรคตว่า "บรมสุคตะ"
ดั่งประโยคที่ว่า "รวมกันเราอยู่" จึงเหมาะกับบทความที่กล่าวมา จงรักกันและรักษาความสมดุลไว้เถิด ไม่ใช่แต่กับคนหรือเทพเจ้า รวมถึงธรรมชาติ สรรพสัตว์และสิ่งแวดล้อมด้วย แล้วโลกนี้จะสวยงาม
รูปที่ 1 พระหริหระ รูปที่ 2 พระอรรถนารีศวร รูปที่ 3 พระตรีมูรติ รูปที่ 4 ชัยวรมันที่ 7
ไม่มีความเห็น