บทความ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:office:office" />
ย้อนรอย "ข้าวปนเปื้อน"
เพื่อกินข้าวอย่างปลอดภัยยั่งยืน
จากหนังสือ ชีวจิต เล่ม 358หน้า
62-64
ข้าวที่เรากินอยู่
ปนเปื้อนอะไรอยู่หรือไม่..
?
"เชื่อว่า ในช่วง 2 - 3 เดือนมานี้ ข่าวที่สร้างความช็อกแก่คนในสังคมและสั่นสะเทือนไปทั้งวงการอุตสาหกรรมข้าวคงหนีไม่พ้นกระแสการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องข้าวปนเปื้อนสารเคมี
ซึ่งตอนนี้หลายคนอาจจะกำลังเกิดอาการตื่นตระหนัก
และสับสนกับกองภูเขาข้อมูลที่พรั่งพรูมาจากหลายทิศทางชีวจิตเองก็ไม่พลาดประเด็นร้อนนี้เช่นกัน
จึงหาโอกาสร่วมพูดคุยกับ คุณวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี (
Biothai)
เจ้าหน้าที่จากเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช
เพื่อเคลียร์ใจต่อทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับข้าวไทยที่ทุกคนควรรู้
ซึ่งอาจจะเป็นข้าวที่อยู่ในจานตรงหน้าตอนนี้ก็เป็นได้"
ทำไมต้องรมควันข้าว
"ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2554 หลังการประกาศให้มีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล
ทำให้ชาวนาไทยส่วนใหญ่นำผลผลิตของตนมาเข้าโครงการอย่างล้นหลาม
โดยโรงสีที่อยู่ในโครงการจะรับจำนำข้าวในรูปแบบข้าวเปลือก
แล้วแปรสภาพให้เป็นข้าวสาร
หลังจากนั้นข้าวทุกเม็ดจะถูกนำไปเก็บในไซโลหรือโกดังเก็บของโรงสี
โดยเพื่อความปลอดภัยและป้องกันไม่ให้ถูกรบกวนจากแมลง
ในระหว่างที่เก็บรักษาทางโรงสีจึงต้องรมควันข้าว
ซึ่งการรมควันนี้จะใช้สารที่ได้รับการอนุญาตจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ
(
FAO)โดยปกติจะรมควันกันทุกๆ
6 เดือน
แต่เมื่อปริมาณข้าวในโกดังถูกเก็บไว้เป็นระยะเวลานานและสถานที่จัดเก็บอาจจะไม่ดีนัก
จึงต้องเพิ่มการรมถี่ขึ้นเป็น
2 เดือนต่อครั้ง
ซึ่งมีผลต่อคุณภาพข้าวจากโกดังรัฐ ทำให้ทั้งสีและกลิ่นลดลงไปด้วย"
มารู้จักสารรมควันข้าวกันก่อน
"สารรมควัน
คือ สารที่ทำอันตรายต่อแมลงและศัตรูพืช
โดยก๊าซที่ระเหยออกมาจะมีพิษอย่างเฉียบพลันต่อระบบหายใจ
จึงนำมาใช้ประโยชน์เพื่อควบคุมหรือกำจัดแมลง หนู รวมถึงสัตว์ที่อยู่ในดิน
(อ้างอิงจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
กระทรวงสาธารณสุข)
โดยส่วนใหญ่สารที่ใช้ในการรมควันข้าวมี
2 ชนิด คือ สารฟอสฟีนและเมทิลโบรไมด์
จากความกังวลสู่การตรวจสอบ
"หลังจากที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องข้าวปนเปื้อนกันมาอย่างหนาหูก่อให้เกิดความกังขาในหมู่ประชาชน
ซึ่งในการตรวจสอบการปนเปื้อน ประชาชนทั่วไปอย่างเราๆ ก็สามารถทำได้
2 วิธีด้วยกัน
วิธีการแรก คือ การส่งตัวอย่างข้าวไปตรวจในห้องแล็บ ซึ่งคุณปรกชล
อธิบายให้ฟังว่า
“เราสามารถส่งตัวอย่างข้าวที่ต้องสงสัยไปตรวจสอบที่ห้องปฏิบัติการที่ผ่านมาตรฐาน
ISO 17025 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่มีความน่าเชื่อถือ
และเป็นห้องปฏิบัติการเฉพาะที่รับตรวจสารเมทิลโบรไมด์
โดยมีค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบขั้นต่ำ
2,800 บาทต่อหนึ่งตัวอย่าง
ซึ่งในการตรวจสอบ ทางห้องปฏิบัติการจะใช้การวิเคราะห์หาโบรไมด์ไอออน
โดยเริ่มจากนำตัวอย่างข้าวไปทำการย่อยสลายด้วยด่าง แล้วนำไปเผาไฟที่อุณหภูมิ
550
องศาเซลเซียส หลังจากนั้นนำตัวอย่างที่ได้ไปทำปฏิกิริยากับสารเคมีชนิดอื่น
จึงจะสามารถนำมาตรวจหาโบรไมด์ไอออนได้
ส่วนอีกวิธีที่ทำง่ายและสะดวก คือ
การเข้าไปตรวจสอบรายชื่อยี่ห้อข้าว
และปริมาณที่ปนเปื้อนที่
http://www.biothai.net ซึ่งทางมูลนิธิชีววิถีและเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืชได้รวบรวมรายละเอียดของการตรวจสอบข้าวทุกยี่ห้อและข้อมูลอื่นๆ
ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคไว้บนเว็บไซต์ทั้งหมด"
เคล็ดลับ เลือกข้าวปลอดภัย
สบายใจทุกคำที่กิน
"ถึงตรงนี้ ผู้อ่านหลายคงเกิดอาการตกใจจนอาจจะตัดสินใจลำบากในการเลือกซื้อข้าวสารเข้าบ้านหรือไม่กล้าซื้อผักผลไม้จากร้านหน้าปากซอย
เพราะเกรงว่าจะมีสารเคมีเจือปนจนเป็นอันตรายต่อร่างกาย ดังนั้น ชีวจิต
จึงเตรียมทางรอดที่จะช่วยให้คุณสามารถกินข้าวอย่างสบายใจ
แถมยังปลอดภัยต่อสุขภาพอีกด้วย เอาเป็นว่า ไม่ต้องคิดมากอีกต่อไปแล้ว
สุขภาพเป็นเลิศด้วยข้าวกล้อง
"ทางรอดที่น่าสนใจและดีต่อสุขภาพอีกทางหนึ่งที่ ชีวจิต แนะนำคือ
การหันมากินข้าวกล้อง
เนื่องจากข้าวกล้องเป็นข้าวที่ผ่านการกะเทาะเอาเปลือกนอกออกเพียงชั้นเดียว เมล็ดข้าวจึงยังมีเปลือกหุ้มเมล็ดติดอยู่ซึ่งส่วนมากจะมีสีเหลืองอมน้ำตาลอ่อนๆ
ดังนั้น ข้าวกล้องที่เหมือนมีเกราะป้องกันตัวจากศัตรูข้าวตามธรรมชาติ
จึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้การรมควันเหมือนข้าวขาวที่ผ่านการขัดสีแล้ว
อีกทั้งข้าวกล้องไม่ได้เป็นข้าวที่อยู่ในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล
จึงไม่ได้ถูกเก็บอยู่ในโรงเก็บนานๆ
เพราะฉะนั้นข้าวกล้องจึงเป็นอีกทางเลือกที่จะทำให้คุณผู้อ่านปลอดภัยจากสารเคมี
ผูกสัมพันธ์กับร้านเกษตรอินทรีย์
"ทางรอดสุดท้ายคือ
การเลือกซื้อจากสถานที่จัดจำหน่ายที่ไว้วางใจได้ แต่บางครั้งผู้อ่านหลายท่านอาจไม่ทราบว่าจะสามารถหาซื้อข้าวปลอดภัยได้ที่ไหนบ้าง
คำตอบคือ จากร้านขายผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์นั่นเอง
ดังนั้น
ชีวจิต
จึงรวบรวมรายชื่อร้านค้าสีเขียวและกลุ่มเกษตรอินทรีย์ที่จำหน่ายข้าวอินทรีย์ที่มีคุณภาพและปลอดภัย
การจะกินข้าวให้ปลอดภัยอย่างยั่งยืนนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย รับรองว่าต่อไปนี้
เราจะกินข้าวได้อย่างสบายใจมากขึ้น แถมยังกินแบบฉลาด หุ่นดี อ่อนเยาว์
และอายุยืนอีกด้วย
ถึงคราวโบกมืออำลาข้าวปนเปื้อนเป็นการถาวร..."
อาจารย์เฉลิมศักดิ์วิโสจสงคราม
สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
Thank you.
There are other alternatives like: grow your own rice (for those who have land); buy rice in husk (paddy rice) and mill your own before cooking; (individually or collectively) enter into a contract with (local) rice growers directly (bypassing middlemen and millers);...
I would prefer 'local contract buying' (of rice and other produces). It serves to improve quality and livelihood of growers and us at the same time.