ปฏิรูปวิจัยสุขภาพ สร้างระเบียบ – จัดระบบ


"การวิจัยเป็นการลงทุน" ของประเทศไม่ใช่ค่าใช้จ่าย เพราะให้ผลตอบแทนกลับคืนมาในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่เป็นตัวเงิน และไม่ใช่ตัวเงิน ที่ผ่านมา งานวิจัยเชิงระบบที่ สวรส. ได้สร้างผลลัพธ์สำคัญให้กับประเทศได้อย่างมากมาย

"การวิจัย" เปรียบเสมือนเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาสังคม อีกทั้งการวิจัยสามารถแสดงบทบาทต่อการตอบสนองการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างมูลค่าให้กับงาน อย่างไรก็ดี กระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวของระบบวิจัย ยังมีสิ่งท้าทาย เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของงานวิจัยและการพัฒนาประเทศ ที่ต้องเผชิญอีกมาก ทั้งในเรื่อง..

  • โครงสร้างระบบการวิจัยของประเทศที่ยังไม่ยืดหยุ่นและมีลักษณะแยกส่วน
  • ขาดการปรับตัวที่ไวเพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลง
  • ขาดทิศทางนโยบายการวิจัยของประเทศ
  • งบประมาณการวิจัยและพัฒนาของประเทศคิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ยังต่ำ
  • ขาดการเชื่อมโยงการวิจัยอย่างเป็นระบบ ไม่มีหน่วยงานทำหน้าที่บูรณาการงานวิจัย ทั้งด้านนโยบาย ทุน พัฒนานักวิจัย การใช้ประโยชน์ ฯลฯ



ในด้าน "การวิจัยระบบสุขภาพ" เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศในห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา ทว่าไปแล้วสถานการณ์ในภาพรวมก็อาจจะไม่แตกต่างกับการวิจัยและพัฒนาในภาพใหญ่ของประเทศในข้างต้นเท่าไหร่นัก โดยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในประเทศ และสังคมโลก มีผลต่อการพัฒนาระบบสุขภาพในอนาคตอย่างเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน

งานวิจัย "บริบท สถานการณ์มหภาคที่เปลี่ยนไปและความท้าทายต่อระบบสุขภาพ" โดย นพ.ปิยะ หาญวรวงศ์ชัย ได้นำเสนอไว้ในเวที "การปฏิรูป สวรส. ก้าวสู่การวิจัยระบบสุขภาพในทศวรรษที่ 3" ปี 2555 ชี้ให้เห็นว่า "แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในระดับมหภาคมีแนวโน้มส่งผลต่อระบบสุขภาพ การทำความเข้าใจบริบทจะมีส่วนช่วยในการพัฒนายุทธศาสตร์ของระบบวิจัยสุขภาพให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิผลนำไปสู่การสร้างความรู้และเครื่องมือต่างๆ ให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลง"


จุดเปลี่ยนสำคัญ "การวิจัยสุขภาพ"

ณ วันนี้ อาจมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของ "การวิจัยสุขภาพ"...

เมื่อรัฐบาลยุค คสช. มี "หมอรัชตะ รัชตะนาวิน" เป็นเจ้ากระทรวงสาธารณสุข ประกาศนโยบายสนับสนุนการวิจัยอย่างครบวงจร พร้อมกับได้เริ่มเดินหน้าอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2557 มีสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ศึกษาทบทวนแนวทางและพัฒนากลไกขับเคลื่อน โดยมีการตั้งคณะกรรมการพัฒนาระบบวิจัยสุขภาพ ที่มี ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช เป็นประธานฯ เพื่อทำหน้าที่พัฒนาร่างกฎหมายที่จะนำไปสู่การปฏิรูประบบวิจัยสุขภาพแบบบูรณาการ เพื่อเสนอ รมว.สธ. ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจาณาต่อไป

ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้ร่วมดำเนินงาน จนนำมาสู่การยกร่าง "พระราชบัญญัติส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยสุขภาพ พ.ศ. ..."


ถึงเวลาเปลี่ยนกลไก "วิจัยระบบสุขภาพ" ?

สาระของประเด็นการเปลี่ยนแปลงและความท้าทาย ของกลไกส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยสุขภาพของประเทศนั้น คงเป็นคำถามสำคัญ ว่าถึงเวลาปรับเพื่อเปลี่ยนกลไกวิจัยของประเทศแล้วจริงๆหรือ

คำตอบของเรื่องนี้... ในบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบ (ร่าง) พระราชบัญญัติส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยสุขภาพ พ.ศ. .... ได้สะท้อนให้เห็นถึง ภารกิจของ สวรส. ตาม พ.ร.บ.เดิมที่เน้นการวิจัยด้านระบบสาธารณสุข มีขอบเขตแคบกว่าการวิจัยสุขภาพ ประกอบกับยังไม่มีหน่วยงานที่กำหนดนโยบายและทิศทางการวิจัยสุขภาพของประเทศ... จำเป็นที่จะต้องจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยสุขภาพ และมีคณะกรรมการกำหนดนโยบายและขอบเขตการวิจัยสุขภาพของประเทศ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดนโยบายและแผนยุทธศาสตร์การวิจัยของประเทศอันจะนำไปสู่เป้าหมายในการสร้างเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน

แน่นอนว่า ครั้งนี้จะเป็นเส้นทางของการพลิกโฉมหน้าของ "วิจัยระบบสุขภาพ" สู่ "วิจัยสุขภาพ" โดยขยายขอบเขตงานที่ครอบคลุมเกี่ยวข้องกับสุขภาพทั้งหมด เพื่อนำงานวิจัยสู่การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ

สาระสำคัญของ (ร่าง) พ.ร.บ.ฯ ในด้านที่มีการเปลี่ยนแปลงชัดอย่างหนึ่ง คือ บทบาทใหม่ ที่ครอบคลุมทุกมิติงานวิจัยด้านสุขภาพ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ได้อธิบายเพิ่มเติมถึงขอบข่ายงานว่า เป็นการยกระดับการทำงานขององค์กรเดิมที่มีอยู่อย่างเช่น สวรส. จากเดิมที่ทำเพียงงานวิจัยเชิงระบบ ขยายเพิ่มให้ครอบคลุมงานด้านการวิจัยทางคลินิก การวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ งานวิจัยพื้นฐาน งานวิจัยเพื่อการพัฒนาการศึกษาและคุณภาพบุคลากรทางสุขภาพ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์พื้นฐาน และวิจัยทางสาธารณสุขและสังคม

ทางด้าน นพ.ภูษิต ประคองสาย รักษาการผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวว่า ความสำคัญของเรื่องนี้ ประเด็นหนึ่ง ด้วยปัจจุบันยังขาดมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยสุขภาพอย่างบูรณาการในทุกมิติ ทั้งด้านนโยบาย แหล่งทุนวิจัย การพัฒนาศักยภาพของนักวิจัยหรือผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ การนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ และการประเมินผล


กลไกพัฒนาคุณภาพงานสู่สังคม

ประเด็นการเปลี่ยนแปลง ที่จะสนับสนุนให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพและความคุ้มค่า ภายใต้ พ.ร.บ. ฉบับนี้ มีกลไกหลักคือ 1. "คณะกรรมการ" ซึ่งในร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าวจะประกอบด้วย 2 ชุดหลัก คือ 1.คณะกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยสุขภาพ มีจำนวน 16 คน ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย ทิศทางการวิจัยสุขภาพของประเทศ แนวทางการสนับสนุนทุนวิจัยสุขภาพที่เหมาะสม 2.คณะกรรมการติดตามประเมินผลการส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยสุขภาพ มีจำนวน 7 คน ทำหน้าที่ติดตามและประเมินผลการบริหารกองทุนและประเมินผลการดำเนินงานให้สอดคล้องกับนโยบายและเป้าหมายที่กำหนด เป็นข้อที่เพิ่มเติมเข้ามาจาก พ.ร.บ. สวรส. เดิม

นพ.กิตตินันท์ อนรรฆมณี คณะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการพัฒนาระบบวิจัยสุขภาพ กล่าวว่า การวิจัย เป็นการทำในสิ่งที่เรา "ไม่รู้" ให้ "รู้" เราจึงต้องเข้าใจธรรมชาติของงานวิจัย ว่ามีความเสี่ยงที่จะไม่สำเร็จในระดับหนึ่ง ขณะเดียวกันเราจะปล่อยให้มีการลงทุนไปโดยเสียเปล่าไม่ได้ ฉะนั้นการกำหนดกลไกกำกับตรวจสอบจึงมีส่วนสำคัญ ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้มีการตั้งคณะกรรมการ 2 ชุด เพื่อช่วยในการกำกับทิศทางและตรวจสอบการทำงานตามกรอบและแผนที่วางไว้

"รูปแบบการกำกับการทำงานวิจัย ต้องเห็นเป้าหมายว่างานวิจัยนั้นๆ มุ่งสร้างอะไร เช่น หากสร้างศักยภาพคนก็ต้องประเมินผลศักยภาพที่พัฒนาขึ้น เพราะงบประมาณเหล่านี้ คือ เงินจากภาษีของประชาชน"

2. "สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยสุขภาพ" ตาม พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ถือเป็นกลไกหลักขับเคลื่อนการดำเนินงาน โดยตั้งเป็นสำนักงานที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล ภายใต้การกำกับของสำนักนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่จัดทำข้อเสนอเพื่อการกำหนดนโยบายและดำเนินงานด้านการวิจัยสุขภาพเสนอคณะกรรมการเพื่อพิจารณา ดำเนินการบริหารจัดการทุนวิจัยด้านสุขภาพ การเสริมสร้างศักยภาพและขีดความสามารถของนักวิจัย ผลักดันการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งการจัดทำแผนการติดตามประเมินผลการวิจัยสุขภาพ


งบพันล้าน คือ "ค่าใช้จ่าย" หรือ "การลงทุน" !!

จากประเด็นการจัดตั้ง "กองทุนส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย" เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนและค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงานของ "สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยสุขภาพ" ซึ่งจะเป็นกลไกขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้ พ.ร.บ.ฯ นี้ ด้วยเงินทุนประเดิมจากรัฐบาล 1 พันล้านบาท และในปีถัดไปให้จัดสรรอีกร้อยละ 1-2% โดยคำนวณจากวงเงินงบประมาณที่กระทรวงสาธารณสุขและกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้รับรวมกันนั้น กลายเป็นประเด็นร้อนที่สังคมมีคำถามในเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง ซึ่งในประเด็นงบประมาณนี้มีผู้ให้มุมมองหลักคิดไว้อย่างชัดเจน

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบวิจัยสุขภา กล่าวว่า "การวิจัยเป็นการลงทุน" ของประเทศไม่ใช่ค่าใช้จ่าย เพราะให้ผลตอบแทนกลับคืนมาในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่เป็นตัวเงิน และไม่ใช่ตัวเงิน ที่ผ่านมา งานวิจัยเชิงระบบที่ สวรส. ได้สร้างผลลัพธ์สำคัญให้กับประเทศได้อย่างมากมาย เช่น งานวิจัยที่นำไปสู่การเกิดองค์กรอย่าง สปสช. ที่ช่วยรับภาระค่าใช้จ่ายสุขภาพของคนไทยเพื่อสร้างความยั่งยืนและความมั่นคงทางสุขภาพ

นพ.กิตตินันท์ อนรรฆมณี กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ คกก.พัฒนาระบบวิจัยสุขภาพ ย้ำว่า จากการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุข เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการพัฒนาระบบวิจัยของประเทศสมาชิก องค์การอนามัยโลก เมื่อปี 2544 ระบุว่า ให้ประเทศสมาชิกลงทุนด้านการวิจัยสุขภาพไม่น้อยกว่าร้อยละ 2 ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของประเทศไทย และเป็นหลักคิดในการกำหนดวงเงินงบประมาณของ พ.ร.บ.ฉบับนี้

สิ่งที่คิดว่าสำคัญและต้องตระหนักถึง คือควรมองว่าการวิจัยเป็นเรื่องของการลงทุน ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย เพียงแต่การลงทุนประเภทนี้จะต้องใช้ระยะเวลาสักระยะหนึ่งกว่าจะคืนทุนกลับมา โดยหลักการของการลงทุนแม้จะใช้เงินเยอะ แต่ถ้าหากมีการวางแผนว่าจะได้ผลลัพธ์อะไรที่คุ้มค่ากลับมาก็สมควรต่อการลงทุน ในประเทศที่พัฒนาแล้วต่างพร้อมที่จะลงทุนทางด้านสุขภาพ เพราะมองว่าเรื่องสุขภาพยิ่งพัฒนาเท่าไหร่ก็ยิ่งคุ้มค่า

ทางด้าน อ.ไพศาล ลิ้มสถิตย์ ศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า งบประมาณที่เสนอใน พ.ร.บ. ไม่ได้ไปแตะกับงบประมาณของ สธ. และ สปสช. แต่เป็นงบส่วนกลางที่รัฐบาลอาจจะดึงมาจากส่วนที่ใช้ทำวิจัยโดยเฉพาะ หรืออาจโยกมาจากส่วนใดก็ได้ตามที่รัฐบาลเห็นเหมาะสม ซึ่งจะไม่ไปกระทบกับหน่วยงานใดเลย ทั้งนี้ในการจัดสรรเงินงบประมาณแต่ละปีก็อยู่ที่ดุลพินิจของรัฐบาลด้วยเช่นกัน

มองว่า งบประมาณที่ได้เสนอขอให้รัฐบาลจัดสรรตามร่างกฎหมายนี้ ถือว่าไม่มาก หากเปรียบเทียบกับหน่วยงานวิจัยของต่างประเทศ เช่น สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐ ที่ได้รับงบประมาณวิจัยทางด้านสุขภาพ ประมาณ 1 ล้านล้านบาท/ปี หรือสภาวิจัยทางการแพทย์ของอังกฤษ ได้รับงบประมาณในการทำวิจัยทางการแพทย์ในปีงบฯ 2013-2014 ประมาณ 43,000 ล้านบาท/ปี ขณะที่งบประมาณการวิจัยและพัฒนา (R&D) ของไทยทุกภาคสาขารวมกัน จะมีอยู่เพียง 0.2 - 0.3 % ของ GDP


Public good – บูรณาการ – ตรวจสอบได้

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช กล่าวว่า องค์กรที่เกิดขึ้นภายใต้ (ร่าง) พ.ร.บ.ฯ นี้ต้องยึดหลักการทำงาน ภายใต้แนวคิด "Public good"หรือประโยชน์สาธารณะ ที่ควรเป็นองค์กรของรัฐที่มิใช่ส่วนราชการ สิ่งสำคัญคือมุ่งเน้นประสิทธิภาพหรือความคุ้มค่าของประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับ ที่มีลักษณะพิเศษ หมายถึงมีจุดเด่นด้าน "บริหารจัดการงานวิจัย" และเป็นองค์กรที่มี "วัฒนธรรมสนับสนุนการวิจัย" ที่จะเป็นผู้หนุน เชื่อมประสาน บูรณาการบุคคล กลุ่มบุคคล ภาคส่วนต่างๆ ให้มาร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมพัฒนาโจทย์วิจัยสู่เป้าหมายใหญ่ของประเทศ โดยเชื่อมประสานทั้งในระดับประเทศและระดับโลก

ซึ่งเป็นการพลิกไปจากระบบเดิมที่มีลักษณะต่างคนต่างทำ

นพ.ภูษิต ประคองสาย รักษาการ ผอ.สวรส. กล่าวว่า ความท้าทายในอนาคต คือ การเปลี่ยนวิธีคิดว่างานวิจัยคือการลงทุนของประเทศ ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย ส่วนประเด็นในเรื่องของความทับซ้อนขององค์กรต่างๆ ยังจำเป็นต้องพูดคุยในระยะต่อไปกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แม้แนวทางการบริหารหน่วยงานจะมีลักษณะคล่องตัว เป็นอิสระ แต่หลักสำคัญคือต้องสามารถตรวจสอบได้ และต้องสร้างผลงานวิจัยให้เป็นที่ประจักษ์ ก่อเกิดประโยชน์กับประเทศอย่างคุ้มค่า ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม

นพ.พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข ได้ตอบคำถามกรณีความเป็นห่วงในเรื่องของการยุบ สวรส. อาจส่งผลกระทบต่อภารกิจเดิมที่ สวรส. ทำอยู่เกี่ยวกับการวิจัยเชิงนโยบายและการวิจัยเชิงระบบจะหายไปหรือไม่ เพราะเป็นประเด็นที่ถูกให้ความสำคัญน้อย ซึ่งในเรื่องนี้มีความพยายามระบุถึงขอบข่ายการวิจัยด้านสุขภาพ ที่ประกอบด้วยการวิจัยด้านต่างๆไว้ในพระราชบัญญัติฉบับนี้แล้ว โดยการวิจัยสุขภาพเป็นภาพใหญ่และการวิจัยระบบสุขภาพเป็นภาพย่อย ทั้งนี้ โครงสร้างขององค์กรใหม่ได้กำหนดให้ สวรส. เป็นกลไกจัดการ สำหรับการทำงานของ วช. อยากให้เป็นองค์กรด้าน policy เป็นหลัก ส่วนบทบาทการสนับสนุนให้ทุนวิจัยเป็นบทบาทรอง


ปลายทางสู่ความมั่นคงทางสุขภาพ – เศรษฐกิจ

ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางมานาน ฉะนั้นการจะก้าวข้ามผ่านกับดักการเป็นประเทศรายได้ปานกลางไปสู่กลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนนั้น กลไกสำคัญอย่างหนึ่งของการพัฒนา คือ "ระบบสุขภาพ" ซึ่งมีเป้าหมายทั้งในด้านสังคมที่ทำให้สุขภาพของประชาชนดีขึ้น นำไปสู่ความมั่นคงทางสุขภาพ และเป้าหมายด้านเศรษฐกิจ โดยระบบสุขภาพสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาด้านอื่นๆ ต่อไป

นพ.กิตตินันท์ อนรรฆมณี เชื่อว่าหากเกิดสำนักงานแห่งใหม่นี้ จะเป็นการเริ่มปูรากฐานวัฒนธรรมของการใช้ฐานความรู้มาพัฒนาสังคมไทย แม้ว่าจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร ในการพิสูจน์ตัวเองในการสร้างคุณค่าให้กับสังคมไทย นอกจากนี้ ยังถือเป็นโอกาสใหม่ๆ ของการมีโครงสร้างหน่วยงานที่ทำงานบูรณาการวิจัยระบบสุขภาพ เพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงและปัญหาท้าทายของสังคมไทยในอนาคต โดยเฉพาะการวิจัยระบบสุขภาพจะครอบคลุมงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งถือเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

ถึงเวลาที่ประเทศไทยจะต้องกระโดดข้ามผ่านจากประเทศที่กำลังพัฒนาสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว...

การวิจัยและพัฒนาของประเทศจะเข้มแข็งและก้าวหน้าได้ ต้องได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนอย่างมีทิศทาง มีโครงสร้างรองรับอย่างเป็นระบบ ขณะเดียวกัน รัฐบาลจะต้องดำเนินการบริหารประเทศให้มีมาตรฐานที่สูงขึ้น โดยใช้ฐานความรู้จากการวิจัยและพัฒนา ใช้งานวิจัยและนวัตกรรมในการพัฒนาเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน


  • หมายเหตุ : กฎหมาย (ร่าง) พ.ร.บ.ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยสุขภาพ พ.ศ. ... ได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็น เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2557 และเวทีสานเสวนาการขับเคลื่อนกลไกส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยสุขภาพของประเทศ" ไปเมื่อวันที่ 6 ก.พ. ที่ผ่านมาด้วย ซึ่งขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาความเหมาะสมของเนื้อหาสาระของรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี และ สนช. ต่อไป


สามารถโหลดข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง http://www.hsri.or.th/researcher/media/forum/detail/6093



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท