ชีวิตต่อจากนี้ไปของผม เป็นยุค Post-72 ที่ตั้งใจให้เป็นอิสระมากขึ้น ลดภาระรัดรึงลง เพื่อดำเนินไปสู่วาระ "คืนสู่สากล" หรือ "กลับสู่ความไม่มีตัวตน" หรือสู่สภาพ "Pre-72" ของผม คือก่อนเวลา ๗๒ ปีก่อน ที่ไม่มีเด็กชายวิจารณ์ พานิช
กล่าวตรงๆ คือ เตรียมตัวตาย
โลกนี้อยู่ได้ โดยไม่ต้องมีเรา
แต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็ขอดำรงชีวิตในลักษณะ give มากกว่า take และจะยิ่งดี หาก "การให้" นั้น นำไปสู่การเปลี่ยนสังคม เปลี่ยนโลก ให้ดีขึ้น
โลกที่ชีวิตของผมวนเวียนอยู่นั้น เป็นโลกของการศึกษา หรือการเรียนรู้ ที่ผมมีข้อสังเกต (โปรดอ่านบันทึกตอนที่แล้ว) ว่าในสังคมไทยเราหลงเรียนรู้จากการรับถ่ายทอดความรู้สำเร็จรูป ไม่มีจริต มุ่งเรียนรู้จากการลงมือทำและคิด
ผมจึงตั้งใจ และฝึกบังคับใจตนเอง ให้เป็นอิสระ ถอยห่างจากโลกแห่งมิจฉาทิฐิด้านการเรียนรู้ คือหลีกเลี่ยงการไปบรรยาย ที่จัดเพียงเพื่อขอรับฟัง ไม่มีแผนดำเนินการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนรู้ ของสถาบันอย่างเป็นระบบ
รวมทั้งหาทางถอยห่างจาก low value-added activities ที่ผมมีประโยชน์ หรือมีคุณค่าเพิ่มน้อย โดยที่ผมมีอิสระในการตรวจสอบและตีความคุณค่านั้น ซึ่งผมตีความว่า เป็นการฝึกสตินั่นเอง
โดยเชื่อว่า วิถีชีวิต post-72 ที่ผมตั้งเป้านี้ น่าจะมีความสมดุลยิ่งขึ้น สอดคล้องกับความเป็นจริง ในชีวิต ที่เรี่ยวแรง และพลังสมองลดน้อยถอยลงตามธรรมชาติ แต่ก็จะเอื้ออำนวยให้ผมยังทำประโยชน์ต่อไปได้ ดีกว่าชีวิตที่ไม่ตั้งเป้า
เมื่ออายุครบ ๖๕ ผมตั้งเป้าว่า จะไม่รับงานบริหาร ซึ่งถือว่าเป็นงานของตนเอง และใจแข็งปฏิเสธ ทุกคำชวน ให้ไปเป็น ซีอีโอ ที่โน่นที่นี่ มุ่งทำงานหนุนคนอื่น ไม่หวังผลงานของตนเอง คิดว่ายุทธศาสตร์นี้ ได้ผลดี ช่วยให้ผมมีชีวิตที่ดีใน ๗ ปีที่ผ่านมา และเข้าใจว่าสังคมก็ได้รับประโยชน์ด้วย ผมน่าจะได้ทำตาม ปณิธาน "ให้มากกว่าเอา"
ชีวิต post-72 ไม่แน่นอนว่าจะเป็นช่วงเวลานานเท่าไร เป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้อิสรภาพ ในการจัดลำดับความสำคัญของการใช้เวลาที่มีอยู่เพียง ๒๔ ชั่วโมงใน ๑ วัน และ ๗ วันใน ๑ สัปดาห์
วิจารณ์ พานิช
๒๒ ม.ค. ๕๘
ไม่มีความเห็น