.
.
ความก้าวหน้าทางธรรมอีกก้าวหนึ่งของสัปดาห์นี้
ขอใช้คำว่า “ต้นจิต” ขอรับ
.
.
เหตุน่าจะเริ่มจากตั้งแต่ได้หนังสือ “ปัญญาญาณ”
ซึ่งเป็นหนังสือคำสอนของท่าน Osho
โดยผมได้รับข้อมูล First impression เกี่ยวกับท่านในทางลบ
ทำให้เริ่มศึกษางานของท่าน ด้วยการจ้องจับผิด! หนอ
ผมอ่านงานท่านได้ช้ามาก เพราะเป็นช่วงที่สุขภาพแย่
พร้อมกับมีงานเข้ามาพร้อม ๆ กันหลายอย่าง
กว่าจะผ่านได้ที่ละหน้าต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน
.
.
และแล้วในวันแรก ผมก็พบว่า ..ผมไม่สามารถจับผิดงานท่านได้เลย
ยิ่งอ่าน ยิ่งศรัทธา ในความลุ่มลึกในคำสอนของท่าน
พูดง่าย ๆ ผมเทียบชั้นท่านไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
จากจะคอยจับผิด ก็เริ่มจะกลายไปเป็นสาวกท่านมากขึ้นเรื่อย ๆ
.
บทที่ 2 ผ่านไป ยิ่งอ่าน ยิ่งชอบ ยิ่งเห็นด้วยกับท่านมากขึ้นเรื่อย ๆ หนอ
.
.
.
.
จนย่างเข้าบทที่ 3 ถึงได้พบข้อสงสัยบางประการที่ออกนอกขอบ
และเริ่มแย้งกับแนวปฏิบัติเดิมตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ผมปฏิบัติมา
แต่ในบันทึกนี้ จะอธิบายถึงข้อดีที่ผมเห็นด้วยกับท่าน Osho ก่อน หนอ
.
.
.
ในหนังสือ ได้กล่าวถึงคำ 3 คำ
ที่เมื่อผมทดลองนำไป Post แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับกัลยาณมิตรแล้ว
พบว่า เกิดการตีความแตกต่างกันพอสมควร เพราะคำเหล่านี้
มีในพระคำภีร์หลายศาสนา และแต่ละศาสนาก็เข้าใจ ความหมายเฉพาะชัดเจน เกินกว่า จะให้ความหมายเป็นอื่นได้แล้ว
ผมจึงขอให้ท่านผู้อ่านโปรดเข้าใจ ความหมายของ 3 คำนี้
เป็นนิยามศัพท์เฉพาะตามที่ผมเข้าใจในหนังสือท่าน Osho นะครับ
สามคำ นี้ ได้แก่ สัญชาตญาณ ปรีชาญาณ และ ปัญญาญาณ
.
.
มนุษย์เราส่วนใหญ่ถูกฝึกให้ใช้สมองคิด ในการดำเนินชีวิต ทำการ ทำงานในชีวิตประจำวัน
ความรู้ที่เกิดจากการใช้สมองคิดคำนวณเอานี้ ในที่นี้ท่านเรียกใช้คำว่า "ปรีชาญาณ"
.
.
ส่วนการทำงานอัตโนมัติของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของหัวใจ
ระบบต่าง ๆ ของร่างกายอัตโนมัติทั้งหลายนั้น ไม่ได้ทำงานด้วยการคิดเอา
แม้ยามหลับ ร่างกายก็ยังทำงานอยู่ หัวใจก็ยังเต้นอยู่
การทำงานของร่างกายอย่างอัตโนมัตินี้ ท่านเรียกใช้คำว่า "สัญชาตญาณ"
สัญชาตญาณนี้มีพัฒนาส่งต่อมาหลายล้านปี ทางวิทยาศาสตร์เข้าถึงคำว่า ยีนส์
สัญชาตญาณ เป็นพัฒนาการของประสบการณ์ จึงมีความถูกต้องแม่นยำมากกว่า
ปรีชาญาณที่ใช้สมองคิดเอามาก เพราะปรีชาญาณเป็นพัฒนาการใหม่ของปัจเจกที่พึ่งบันทึกเข้าไปในสมอง
.
.
"น่าเสียดาย"..นะคะ..หากคนลืม..สัญชาติญาณ..
ขอบพระคุณครับ