ผมเริ่มชีวิตการเก็บ ตั้งแต่อยู่ชั้นเตรียมประถม ตอนนั้น แม่ให้เงินไปซื้อข้าวทานกลางวันที่โรงเรียน ให้เป็นธนบัตรค่อนข้างใหม่ใบละ ๑ บาท ๒ ใบ รูปร่างอย่างในภาพ..
ลายเซ็น ดร.สุนทร หงส์ลดารมภ์ และ ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ |
ด้วยความที่เป็นธนบัตรใหม่ เลยเสียดายไม่ใช้และนำกลับมาที่บ้าน แม่เห็นเข้า และในวันต่อมา ก็เอาข้าวใส่กล่องให้ไปทานที่โรงเรียน พร้อมทั้งให้เงินไปโรงเรียนอีก ๒ บาทเหมือนเดิม..จึงเริ่มเก็บสตางค์ต่อมา..
มีพี่ๆ ไปซื้อ "หมูออมสิน" มาให้ ๑ ตัว เริ่มเก็บเงินไปเรื่อยๆ วันหนึ่งเอาหมูมาวางไว้กลางบ้าน พี่ชายคนที่สองเดินมาเตะแตก..นับเงินมาได้ ๓๐๐ กว่าบาท พี่ชายก็ยืมไป (คงเอาไปจ่ายค่าเทอมของบีแมน ที่พี่ชายเป็นคนอุปการะ)
พีชายซื้อกระปุกมาให้ใหม่ และก็เริ่มหยอดกระปุกอีก..เก็บสตางค์ได้อีกพอสมควร..ประมาณ ๓๐๐ กว่าบาทเหมือนเดิม..คราวนี้เป็นพี่ชายคนที่สาม มายืมไปอีก (ยืมแบบไม่คืน..อิอิ)
ต่อมาตอนเรียนอยู่ ป.๔ ป.๕ พี่ชายคนที่ห้า พาไป "ฝากออมสิน" ที่ธนาคารออมสินสาขาดินแดง ช่วง "สัปดาห์แห่งการออมทรัพย์" ๑-๗ เมษายน ของทุกปี พอไปฝากเราก็จะได้กระปุกออมสิน แต่ละปีก็ได้แตกต่างกันไป เช่น เป็นกระปุกออมสินรูปสตางค์แดง , กระปุกออมสินรูปหอยสังข์ เป็นต้น
สรุปว่า..ในชีวิต เริ่มรู้จักเก็บออมตั้งแต่ยังเป็นเด็กก่อนประถมเลยทีเดียว
มาเริ่มเรื่องต่อจากบทที่แล้ว พอเริ่มทำงานแล้ว พอรับเงินเดือนๆ แรก ซึ่งสมมุติเอาไว้ในตอนที่แล้วว่าประมาณ ๑๗,๐๐๐ บาท (มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นล่วงหน้าจำนวนหนึ่ง เป็นค่าอาหารและค่าเดินทาง ประจำวัน เป็นเงินไม่มาก ซึ่งเราจะไม่กล่าวถึงเงินส่วนนี้อีก)
ต่อไปผมนำภาพจาก powerpoint มาฝาก..(เรื่องใน ซีรี่ส์นี้ ส่วนใหญ่ได้แนวคิดมาจากหนังสือ คู่มือ : เงินทองต้องวางแผน ตอน ก้าวสู่ชีวิตการทำงาน เป็นหนังสือของศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย..ขอขอบคุณ)
หากเราเป็นคนรุ่นใหม่ เราจะต้องเริ่มชีวิตการทำงานด้วยการเก็บออมอย่างเป็นระบบ โดยใช้สูตร "รายได้ลบด้วยเงินออมเท่ากับรายจ่าย"
สูตรนี้สำคัญมาก (ให้ท่องเป็นคาถาไว้เลยและต้องทำให้ได้ ตั้งแต่ต้นมือ) เพราะถ้าเรามีรายได้ แล้วหักด้วยรายจ่าย ที่เหลือค่อยเก็บเป็นเงินออม แบบนี้ เราจะไม่เหลือเก็บแน่นอน..
แถมจะเป็นหนี้ของเงินผ่อนให้อีกด้วย..เพราะช่วงนี้เราอยู่ในยุควัตถุนิยม ซึ่งเต็มไปด้วยการผลิตสินค้าและบริการออกมามากมาย มายั่ว "กิเลสบวกตัณหา" ของเรามากมาย..ต้องใช้คาถา..ที่ว่า "อย่า อยู่ อย่าง อยาก" เข้ามาช่วย
ในการวางแผนทางการเงิน ต้องทราบว่า
ออมไปทำไม (จุดประสงค์/วัตถุประสงค์)
วัตถุประสงค์ของการออม (เปรียบเหมือนเรามีกระปุกไว้หยอดสตางค์ อย่างน้อย ๔ ใบ)
ออมเท่าไรจึงจะดี
ตอนแรก เริ่มต้นที่ ๑๐ เปอร์เซนต์ ของรายได้ (อาจเพิ่มเป็น ๒๐-๓๐ เปอร์เซนต์ในอนาคต สูงสุดไม่เกิน ๕๐ เปอร์เซนต์) ต่อมาเมื่อรายได้เพิ่มขึ้น เราก็เพิ่มการออมตามจำนวนเงินที่เพิ่ม แต่ต้องไม่น้อยกว่า ๑๐ เปอร์เซนต์
กระปุกใบที่ ๑
เงินออมเพื่อเหตุฉุกเฉิน ตามหลักแล้วควรออมเพื่อการนี้ประมาณ ๓-๖ เท่าของเงินเดือน..เช่น ที่เราสมมุติให้มีรายได้เดือนละ ๑๗,๐๐๐ บาท..เราต้องมีเงินเก็บก้อนนี้ประมาณ ๑ แสนบาท..ทางที่ดีเงินเก็บก้อนนี้เราควรซื้อ "ประกันชีวิต" ตัวแรก แบบส่งเบี้ยประกัน ๑๐ ปีขึ้นไป (เพื่อประโยชน์ทางภาษี) และเน้นการคุ้มครองชีวิต..ค่าเบี้ยประกัน น่าจะตกปีละไม่เกิน ๘,๐๐๐ บาท..
ผมมีตัวอย่างชีวิตมาเล่าให้ฟัง ครอบครัวหนึ่งสามีภรรยา มีบุตร ๒ คน เป็นชาย ๑ และหญิง ๑ ทั้งสองกำลังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย...วันหนึ่งสามีและภรรยาคู่นั้น ได้เดินทางไปทำธุระต่างจังหวัดโดยรถยนต์ และเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้ง ๒ คน...โดยที่พ่อแม่ไม่ได้เผื่อกระเป๋าใบแรกไว้ให้ลูกๆ เลย...
ลูกทราบข่าวนี้ถึงกับช็อค และต้องไปลาออกจากโรงเรียน เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายพอ..ซึ่งถ้าหากพ่อแม่คู่นี้มีการซื้อประกันชีวิตเอาไว้เพียงคนและ ๑ แสน..ลูกๆ ก็จะสามารถ ดำรงชีวิตต่อไปได้อีก ๖ เดือน แล้วค่อยคิดหาทางออกต่อไป.
หลักการของประกันชีวิต คือ ทันทีที่คุณซื้อประกัน..ก็จะมีความคุ้มครองให้ตามจำนวนเงินที่ตกลงกันไว้เรียกว่า "ทุนประกัน" เช่นตกลงกันไว้ที่ ๑ แสนบาท...และทางบริษัทประกันชีวิต จะออกสัญญาให้เราฉบับหนึ่งเรียกว่า "กรมธรรม์" โดยจะมีผู้ที่ชำระ "เบี้ยประกัน" (ควรชำระเป็นรายปี)
เปรียบเหมือน บริษัทประกันฯ มอบบัญชีให้เราเล่มหนึ่ง มีเงินอยู่ในนั้น ๑ แสนบาท..ถ้าเราส่งไปงวดหนึ่ง (หรือหลายงวด) แล้วเสียชีวิต บริษัทก็รับประกันที่จะจ่ายเงินให้ "ผู้รับผลประโยชน์" ๑ แสนบาททันที..หากเราไม่เสียชีวิตก็ค่อยๆ ผ่อนไป ครบเมื่อไรตามสัญญา ก็ไปขอรับเงินคืน..
เบี้ยประกันที่จ่าย ถือเป็นเงินออม
กระปุกใบที่ ๒
เพื่อเป้าหมายระยะสั้น เช่น ดาวน์รถยนต์ แนะนำให้ฝากออมทรัพย์แบบ สินทวี, สินทรัพย์ทวี, ปลอดภาษี แล้วแต่จะเรียก เป็นเงินฝากทุกเดือน เดือนละเท่าๆ กัน เช่น ถ้าต้องการเงินดาวน์รถ ๑ แสน บาท เก็บ ๕ ปี จะต้องฝากเดือนละเท่าไร (อัตราดอกเบี้ย ๓.๕ เปอร์เซนต์)
ใช้โปรแกรม excel คำนวณออกมาได้ ว่าต้องฝากเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท เป็นระยะเวลา ๕ ปี หรือ ๖๐ งวด..
บีแมนมีกระปุกแบบนี้ ๔ ใบ หรือ ๔ บัญชี
กระปุกใบที่ ๓
เพื่อเป้าหมายระยะยาว เช่น การออมเพื่อวัยเกษียณ ซึ่งมีอยู่หลายกองทุน..ถ้าทำงานเอกชน ก็มีภาคบังคับคือ กองทุนประกันสังคม อันนี้เป็นสวัสดิขั้นการพื้นฐานระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ส่งเงินไม่เยอะเท่าไร
แต่มีอีกตัวหนึ่ง เรียกว่า กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ..อันนี้เก็บเงินไปเรื่อยๆ โดยเขาจะหักเงินเดือนระหว่าง ๒-๑๕ เปอร์เซนต์ ถ้าเราเก็บเท่าไร นายจ้างจะสมทบให้เท่ากัน เช่น เมื่อวานไปคุยกับเจ้าหน้าที่ธนาคารอิสลาม เขาบอกว่า เขาออมส่วนนี้สูงสุด ๑๐ เปอร์เซนต์ (หัก ๑,๕๐๐ บาท ต่อเดือน จากเงินเดือน ๑๕,๐๐๐ บาท ที่เราสมมุติตั้งแต่แรก) และนายจ้างก็สมทบให้เขาอีก ๑๐ เปอร์เซนต์ (เท่ากับเจ้านายขึ้นเงินเดือนให้ ๑๐ เปอร์เซนต์ทุกเดือน)
ตรงนี้ดีที่ เขาหักเงินเราไปก่อน "เงินที่หักถือเป็นเงินออม"
กระปุกใบที่ ๔
เงินออมเพื่อการลงทุน อันนี้ควรเก็บเงินในรูปแบบต่างๆ ดังที่กล่าวมา เก็บไว้สัก ๕ ปี อาจจะมีเงินสัก ๒ แสนบาท ส่วนนี้ทั้งหมด แบ่งไปลงทุนเช่นเล่นหุ้น..(ค่อยๆ ศึกษาภายหลัง)
มีหลายหน่วยงาน ให้แบ่งเงินส่วนหนึ่ง จากทุกๆ เดือน เดือนละเท่าๆ กัน ฝากเข้าบัญชีลงทุนในทองคำ (เหมือนการเล่นหุ้น) เป็นการหักเงินทุกเดือน ไปซื้อหุ้นทองคำ โดยที่ซื้อทุกเดือน ไม่ดูการขึ้นลงของราคาทอง
ของบีแมนลงทุนในหุ้นสหกรณ์ฯ โดยให้หักเงินทุกเดือน ประมาณเกือบ ๒๐ เปอร์เซนต์ พอเงินมากเข้า ก็กู้เงิน มาซื้อหุ้นเพิ่ม..ถึงปีก็ได้รับเงินปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี เป้าหมายคือ รับเงินปันผลปีละไม่ต่ำกว่า ๑๒๐,๐๐๐ บาท (เพื่อเฉลี่ยเป็นเงินเดือนใช้ยามเกษียณเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเพียงพอต่อการดำรงชีวิตยามเกษียณ-โดยไม่ต้องทำงานหาสตางค์..อิอิ)
โปรดติดตามตอนต่อไป
ไม่มีความเห็น