หลายวันมานี้ขณะที่นั่งดูคลิปการชุมนุมของประชาชนชาวไทย ฉันรู้สึกถึงความคับข้องใจที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะจากเหตุการณ์ความรุนแรงและการสูญเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์ที่เพิ่มมากขึ้นจากการชุมนุม นับตั้งแต่เริ่มต้นการชุมนุมที่ฉันเฝ้าติดตามมาตลอด ฉันเฝ้าเพียรถามตัวเองและคนใกล้ชิดมาเสมอมาว่าทำไมในการชุมนุมจึงต้องใช้คำพูดหยาบคาย ด่าทอกันอย่างไร้เหตุผล แล้วผู้ที่มาร่วมชุมนุมนั้นรู้สึกอย่างไร ในเรื่องข้อมูล-ข้อเท็จจริงนั้น เขามีความรู้แท้จริงในเรื่องที่เขามาชุมนุมมากน้อยแค่ไหน เขารู้ไหมว่าเขาต้องการอะไรโดยตัวของเขาเอง วัตถุประสงค์ที่ทำให้เขาเข้าร่วมชุมนุมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคืออะไร และอะไรคือเหตุ อะไรคือผล อะไรคือปัจจจัยประกอบที่เขาจะใช้ในการตัดสินใจเข้าร่วมชุมนุม เขาเคยใช้โอกาสหรือให้เวลากับตัวเองในการวิเคราะห์ใคร่ครวญเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับการชุมนุมนี้มากน้อยแค่ไหนกันฯลฯ เหล่านี้เกิดขึ้นมากมายในใจของฉันภายใต้จิตสำนึกแห่งความเป็นคนไทยคนหนึ่งที่พยายามคิดวิเคราะห์และไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดนอกจากความถูกต้องและสันติสุขของชาติ วันเวลาผ่านไปหลายเดือน ฉันได้พบว่ามีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ วิธีการ และการเพิ่มความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้ชุมนุมมากขึ้น แทนที่จะมีแต่เพียงการประนามและโจมตีกันแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งฉันก็ยินดีในพัฒนาการนั้นๆ แต่ฉันก็ยังอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าแล้วมันเพียงพอหรือยังสำหรับผู้ร่วมชุมนุม ที่จะเป็นเพียงผู้ฟังหรือผู้รับสารเท่านั้น เพราะสิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็น่าจะอยู่ที่ว่า ข้อมูลเหล่านั้นควรถูกวิเคราะห์ใคร่ครวญและไตร่ตรองด้วยความรอบคอบด้วยตัวของผู้ชุมนุมเองมากกว่า และยิ่งมาถึงวันนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าวันเวลาจะเริ่มยืดเยื้อออกไปเรื่อยๆ ความรุนแรงและความสูญเสียกับชีวิตก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำให้ฉันหวั่นใจมากขึ้นอีก เพราะในอีกด้านหนึ่ง ฉันยังคงเห็นว่าผู้มาร่วมชุมนุมจำนวนไม่น้อย ในบางกลุ่ม บางพวก ดูเหมือนจะยังไม่พบความจริงที่ว่านี้ให้กับตัวเองเลย เพราะจากภาพที่เห็นทั้งที่ไปสัมผัสเอง ดูข่าวสาร หรือคลิปต่างๆ ฯลฯ ความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น การสูญเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์ที่เพิ่มมากขึ้น การปลุกระดม ยั่วยุทางอารมณ์ที่มากขึ้นๆ นั้น กลับยิ่งทำให้ผู้ร่วมชุมนุมบางกลุ่มนั้นคึกคะนอง ปราศจากความยับยั้งชั่งใจ สนุกเมามันไปกับเรื่องราวความเป็นไปของประเทศชาติและการสูญเสียที่เกิดขึ้นต่อคนไทยด้วยกันเอง โดยเฉพาะชีวิตของเด็กๆ ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ทั้งๆ ที่ตามความเป็นจริงแล้ว พวกเขาควรจะตระหนักคิดว่าเหตุการณ์ในขณะนี้ควรเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของคนไทยทุกคนไม่มีฝ่ายไม่มีพวกแต่ควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน และนี่คือเรื่องของความเป็นไปของความมั่นคงของชาติ และทุกชีวิตบนผืนแผ่นดินนี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องสนุกสนาน เฮไปเฮมา หรือเป็นเพียงการแข่งขันฟาดฟันกันเพื่อเอาชนะคะคานกันด้วยกำลัง อารมณ์ความชอบไม่ชอบ หรือความรู้สึกแบ่งพรรคแบ่งพวก นี่ควรเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดที่คนไทยทุกคนควรคิดคำนึงให้หนัก และหาทางแก้ไขด้วยสติปัญญาเพื่อให้สันติสุขและความสงบคืนกลับมาสู่สังคมและประเทศชาติโดยเร็ว
ฉันเชื่อว่าคนไทยส่วนมากนับถือศาสนาพุทธ มีศีล สมาธิ สติ ปัญญา และความดีงามเป็นที่ตั้งและยึดเหนี่ยวจิตใจในการดำเนินชีวิตอยู่แล้ว แต่ขณะนี้ภาพที่เห็นดูเหมือนคนมากมายกำลังขาดสติสัมปชัญญะอย่างสิ้นเชิง หากแต่กำลังถูกครอบงำด้วยมิจฉาทิฎฐิ (การหลงผิด) มีดวงตามืดบอด มีหัวใจที่ปราศจากพรหมวิหาร ปราศจากสติ ความยั้งคิด และเป็นไปโดยอารมณ์ความรู้สึกทั้งสิ้น หลายคนอาจลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าขณะนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นจริงๆในบ้านเมืองของเรา และเป้าหมายสำคัญของเรานั้นควรเป็นอะไร ควรทำอะไร เพราะมัวเมามัน และเพลินอยู่กับการดู การฟัง การพูดของคนอื่นๆ โดยขาดสติปัญญาในการไตร่ตรองหาความจริง และความถูกต้อง แล้วปล่อยให้ตัวเองกระทำการต่างๆ ผ่านวันเวลาเหล่านั้นไปอย่างไม่มีผลดีอะไรเลย
ดังนั้นจึงอยากเรียกร้องให้คนไทยที่ได้อ่านข้อความนี้โปรดหยุดคิดสักนิดด้วยสติสัมปชัญญะ แล้วลำดับเหตุการณ์ ทบทวนว่าขณะนี้ ในปัจจุบันนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร ต้องแก้ไขอย่างไรจึงจะลุล่วง ซึ่งความเป็นจริงก็คือว่าในขณะนี้มีความขัดแย้งเกิดขึ้นในประเทศของเรา บ้างอ้างว่ารัฐบาลทำทุจริต ผิดพลาด บ้างว่ามีอีกฝ่ายกำลังทำการขับไล่รัฐบาลอย่างมีนัยแอบแฝง บ้างว่าต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ฯลฯ แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้มีปัจจัยต่างๆ มากมายที่เป็นองค์ประกอบที่จะนำมาใช้ในการพิจารณาโดยยึดผลประโยชน์ส่วนรวมคือชาติและประชาชนทั้งประเทศเป็นสำคัญ เช่น ประเทศชาติเสียหายแค่ไหน ชีวิต ทรัพย์สิน เสียหายแค่ไหน ใครดีใครเลว ควรจัดการอย่างไร อะไรเชื่อได้ อะไรยังมิได้พิสูจน์ เป็นต้น และเราในฐานะประชาชนคนไทยผู้เป็นเจ้าของประเทศที่มีอำนาจเต็มในผืนดินนี้ควรทำการอย่างไรเพื่อจะแก้ไขปัญหานี้ เราประชาชนทั้งหลายควรที่จะผนึกกำลังกันคิด ใคร่ครวญด้วยสติ และลงมือปฏิบัติทันทีเพื่อให้บรรลุในเป้าหมายนั้น อันมีชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ความสงบสุข ความเจริญก้าวหน้าของประเทศ และประชนเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ไปร่วมการชุมนุมโดยไม่รู้ข้อเท็จจริง ขาดหลักการ เป้าหมาย หรือพวกมากลากไป หรือเกลียดชังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงเพราะฟังต่อๆ กันมา หรือเป็นไปตามกระแสแฟชั่น หรือเอนเอียงไปตามข่าวสารต่างๆ โดยปราศจากการไตร่ตรองยั้งคิดด้วยสติปัญญาตามหลักชาวพุทธ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นอีกสักกี่ครั้ง แม้ว่าจะมีวันหนึ่งที่ยุติลง ก็ใช่ว่าการยุติลงของเหตุการณ์เหล่านี้จะเป็นการยุติลงได้อย่างถาวร
เพราะฉะนั้น อยากจะให้ถือโอกาสนี้ ที่ประชาชนคนไทยแทบทุกหย่อมหญ้าได้ร่วมกันรับรู้ความเป็นมาของเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับการชุมนุมนี้มาพิจารณา ใคร่ครวญอย่างรอบคอบด้วยสติปัญญา โดยโปรดวางเรื่องสี เรื่องพวกพ้อง เรื่องฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ความมีอคติ ความเกลียดชังจากความไม่รู้จริงหรือปราศจากหลักฐาน รวมถึงความมีอัตตาตัวตนลงก่อน แล้วทำใจให้เป็นกลางๆ ออกมายืนอยู่นอกสนามที่กำลังมืดมัวด้วยฝุ่นที่ฟุ้งกระจายนั้น แล้วหยุดคิดพิจารณาสักครู่ ค่อยๆ คิดหาเหตุผลความถูกต้อง มาตัดสินใจเพื่อที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยยึดเอาความเป็นผลดีต่อส่วนรวมคือประเทศชาติเป็นหลัก อันหมายถึงความสงบสุขที่จะคืนสู่ประเทศชาติและตัวเองต่อไป
สุดท้ายนี้ ขอน้อมนำเอาคำสอนของพระพรหมณคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ซึ่งได้เทศนาสั่งสอนสาธุชนทั้งหลายอยู่เสมอๆ ถึงเรื่องราวของการทำงานให้ประสบความสำเร็จ โดยท่านสอนให้ยึดมั่นในเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างมั่นคง และเดินไปตามนั้นด้วยศรัทธาที่มุ่งมั่นไม่หวั่นไหวในสิ่งเล็กน้อยที่จะมาทำให้ห่างไกลจากเป้าหมายหลักที่ตั้งไว้ จึงได้แต่หวังว่าบทความนี้จะได้เตือนสติคนไทยจำนวนหนึ่งให้หลุดจากอวิชชา-ความไม่รู้ และมิจฉาทิฏฐิ ทั้งหลาย แล้วใช้ปัญญาอันมีสติเป็นตัวกำกับมาตัดสินความเป็นไปของชาติให้เดินไปสู่ความสงบสันติโดยเร็ว หรืออย่างน้อยก็เพื่อให้การกระทำอย่างนี้ได้เป็นแบบอย่าง เป็นการเริ่มต้นกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ดีงาม ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งปัญญา และความไม่ประมาท อันเป็นคำสั่งสอนของพระศาสดามาเป็นหลักยึด ให้สมกับที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา.
ไม่มีความเห็น