กิจกรรมนิทานเล่าขาน ตำนานทอผ้า สืบต่อมโหรี
ละครเรื่อง ไก่แก้วหอมชู ตำนานปรางค์สีดา ฉบับไฮเทค
คำนำ
บทละครเรื่องนี้นำเค้าโครงนิทานพื้นบ้านมาดัดแปลงให้ทันสมัยเพื่อสอดแทรกคติธรรมและข้อคิดเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในสังคมปัจจุบันให้กับเยาวชน โดยได้แสดงให้เห็นโทษของภัยสังคมปัจจุบันเช่น การคุมคามทางเพศ การค้ามนุษย์และการค้ายาเสพติดซึ่งเป็นภัยสังคมในปัจจุบันให้กับเยาวชนด้วย ดังนั้นจึงมีการดัดแปลงและสมมุติชื่อตัวละครและสถานที่ส่วนใหญ่เพื่อให้สอดคล้องกับชีวิตจริงมากขึ้น และสร้างความสนุก ความบันเทิงให้กับผู้รับชมเท่านั้น ไม่มีเจตนาจะล้อเลียนหรือลบหลู่ดูหมิ่นผู้ใด ถ้าบังเอิญชื่อและสถานที่สมมุติขึ้นมานั้นไปตรงกับบุคคลหรือสถานที่ใดโดยบังเอิญก็ขอกราบขออภัยไว้นะที่นี้ด้วย
จากผู้ประพันธ์ เอ็ม รุทรกุล
6/12/2013
เกริ่นนำ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในสมัยที่คุณความดีงามมีอำนาจยิ่งกว่าเวทมนตราทั้งหลาย และความรักยังมีค่าเสมอฟ้าดิน แลไม่อาจซื้อกันได้เหมือนสมัยนี้ ในสมัยนั้นลำนำแห่งรักบทหนึ่งได้ถูกขับขานด้วยเรื่องราวของท้าวกำพร้าผู้ยาก ผู้เปี่ยมไปด้วยความกตัญญู กับนางนาคกัลยา สีดาผมหอม ผู้มั่นคงในความรัก
ชายอ่าน......๐ลำนำท้าวไก่แก้ว.......... กำพร้า
ยายเย่าเขารักษา......เชื่อแล้ว
สายยนต์ไต่ตามมา.........รูไก่ หอมชู
เห็นไก่ บ, เห็นนางแก้ว......ปั่นด้าย ทอไหม
หญิงอ่าน.....๐สร้อยสีดากลิ่นแก้ว........เกศสุง ศรีเอย
ศรีร่วมบุญบำรุง...............ชั่วฟ้า
สร้อยเสน่ห์มากรุง.........พลัดพี่ พรากแล้
พรากพี่คอยทอผ้า........มั่นท้าว เนาปรางค์
อ่านพร้อมกัน......๐แสนปีแสนไป่หน้า.........รอเรียม
แสนยิ่งแสนโศกเกรียม.....อกไหม้
แสนกรรมจบบุญเปี่ยม......ปกหล้า แสนธรรม
แสนยิ่งแสนสุขไซร้..........คู่สร้าง แสนบุญ
ตอนที่ ๑
( เปิดฉาก)
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ห่างไกลความเจริญ มีเด็กน้อยชื่อ “เจ้าตัวน้อย” ผู้แสนดีผู้หนึ่งอาศัยอยู่กับ ยายจันทร์ผู้แสนชรามีอาชีพทอผ้าไหมเพียงสองคน เพราะพ่อแม่ของเด็กน้อยมักไปค้าขายต่างเมืองเสมอ จึงต้องฝากลูกให้ผู้เป็นยายดูแล เนื่องเด็กนั้นน่ารักมากผู้คนจึงเอ็นดู และเรียกเด็กน้อยนั้นว่า “ผีน้อยน่ารัก” ต่อมาหลังจากปีที่บ้านเมืองประสบอุทกภัยอย่างหนักพ่อแม่ของเด็กน้อยก็ได้พลัดพรากสูญหายไปเนื่องจากภัยน้ำท่วม ทุกคนในหมู่บ้านจึงแน่ใจว่าทั้งสองได้สูญเสียชีวิตแล้ว ทำให้ครอบครัวของยายจันทร์ที่เคยร่ำรวยกลับกลายเป็นครอบครัวไร้ยากอนาถา ผู้คนต่างสงสารเด็กน้อยมากด้วยความเวทนา จึงเรียกเด็กน้อยนั้นว่า “กำพร้าผีน้อย” และบางก็เรียกสั้นว่า “กำพร้า” ก็มี ส่วนเขามักจะเรียกว่าเองว่า “แจ๊ค กำพร้า”
แจ๊ค กำพร้า : ยายจ๋าคับอยากได้ไอแพด ไอโฟน งะ ....ซื้อให้ผมนะยาย เอารุ่นใหม่ล่าสุดเลย รุ่นเก่าตกยุคไม่เอา
ยายจันทร์ : เจ้าตัวน้อยเอ๋ย ยายไม่มีตังค์ อย่าไปบ้าไอแพด ไอ้เผ็ดอะไรตามสมัยนิยมนั้นเลย ให้ยายเก็บเงินไว้ให้เอ็งเรียนหนังสือดีว่านะหลานรัก โตขึ้นเอ็งจะได้มีงานทำดีๆ เป็นที่พึ่งของยายและเป็นหน้าเป็นตากับหมู่บ้านเราด้วย
แจ๊ค กำพร้า : ยาย...อ้า....(เด็กน้อยสั้นตัวไปมาไม่พอใจพร้อมพูดขึ้นว่า) แต่อีกะลาลูกแขกขายถั่วท้ายตลาดมันยังมีเลย
(เมื่อพูดจบยายจันทร์ตีหลังแจ๊ค กำพร้าอย่างแรง) “เพี๊ยะ”
แจ๊ค กำพร้า: ยายตีผมทำไม?
ยายจันทร์ : ยายสอนแล้วให้ เอ็งพูดไม่เพราะไปเรียกน้องเขาว่า “อี” ได้อย่างไร? เดี๋ยวเขาจะว่าพ่อแม่ไม่อยู่แล้วยายไม่สั่งสอน เอาอีกที่เพื่อความมั่นใจดีกว่า เอ็งจะได้จำได้ขึ้นใจ
(พูดไม่ทันขาดคำยายก็ตีเจ้าแจ๊ค กำพร้า อีกที) “เพี๊ยะ”
แจ๊ค กำพร้า: โอ๊ยยายผมไม่ใช่กระท้อนนะที่ยิ่งตียิ่งหวาน ตีเอาตีเอา เดี๋ยวสมองเสื่อมก็โง่กันพอดี เดี๋ยวจะไปฟ้องกรมคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเสียเลย
ยายจันทร์ : นี้แนะ ไอ้ยอดกตัญญูจะเอาตำรวจมาจับกูเสียแล้ว เลี้ยงได้ไหมเนี๊ยะ
ยายตีแจ๊ค กำพร้าอีกที “เพี๊ยะ”
(แจ๊ค กำพร้าปล่อยโฮ ร้องไห้ แถกไปแถกมาบนพื้น จนยายต้องเข้าไปโอบกอดและอุ้มมานั่งบนตักแล้วปลอบโยน)
ยายจันทร์ : หลานรักลูกน้อยหอยสังข์องยาย อย่าร้องเลยนะ....คำโบราณว่านกน้อยถ้าฉลาดก็รู้จักทำรังแต่พอตัว ตอนนี้ทั้งบ้านเมืองกำลังยกยากปีที่แล้วมีภัยน้ำท่วม ปีนี้ก็มีภัยการเมืองเศรษฐกิจอีก อื้อ..ไม่อยากพูด เดี๋ยวภัยจะถึงตัว อะไรมันก็แพงไปหมด ยิ่งบ้านเรายิ่งยากแค้นกว่าบ้านอื่น ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนสมัยพ่อแม่เอ็งยังอยู่ ก็ยิ่งต้องประหยัดอยู่เป็นพอมีพอกินได้ก็บุญแล้ว ถ้าเจ้าไม่รู้ประหยัดมัธยัสถ์ รู้ไหมว่า กูกับเอ็งคงไปไม่รอดแน่ หรือว่าเอ็งอยากจะไปเป็นเด็กรับใช้เขาในกรุงได้ไปยืมไอ้เผ็ดไอ้แพด ลูกคนมีเงินเขาเล่น ก็จะได้ให้เอ็งไปกับเฮียสิน เห็นมันกำลังถามหาอยู่ เงินซักบาทกูค่าตัวเอ็งข้าก็ไม่เอา ไปอยู่กับเขาจะได้เรียนหนังสือในกรุงเทพฯ
(แจ๊ค กำพร้า สะอื้น พยักหน้าเข้าใจ พร้อมกับใบหน้าที่เปี่ยมน้ำตา)
ยายจันทร์ : เอ็งอย่าทำเป็นเห็นช้างขี้ขี้ตามช้างเจ้าตัวน้อย คนเขามี มั่งมีเงินทองเขาก็ต้องมีของไว้ประดับบารมีให้สมศักดิ์ศรีเขา ไปทำธุรกิจอะไรของเขาเป็นสิ่งจำเป็นของเขา แต่เราจะเอามาทำไม เอามาเอ็งก็ใช้ทำอะไรไม่เป็นนอกจากเอาไว้เล่นเกม หาการบ้านเพื่อน ลอกรายงานผ่านอินเทอร์เน็ต ดูอย่างเจ้าเหลี่ยมลูกตาฮงขายข้าวมันไก่ข้างวัด...สิ....มันจะจบ ม. ๖ แล้วยังเขียนหนังสือไม่ได้เลย วันๆเอาแต่เข้าร้านเกม เพราะคิดว่าพ่อมีร้านข้าวมันไก่ให้มันเป็นมรดกแล้วชีวิตนี้ก็ไม่ต้องการอะไร แต่เอ็งมันไม่เหมือนเขายายมันก็แก่มาแล้ว..เอ็งก็ยังไม่รู้ประสา...แล้ว....
(จากนั้นยายก็ร้องไห้ออกมาสวดกอดหลานรักร้องไห้พักหนึ่ง)
แจ๊ค กำพร้า: ยายจ๋า อย่าร้องไห้ ผมได้คิดแล้วคับ ต่อไปนี้ผมจะเป็นเด็กดีชั่วฟังยาย อย่าร้องไห้เลยคับ
ยายปาดน้ำตาและยิ้มพร้อมกับหอม แจ๊ค กำพร้า
ยายจันทร์ : นี้สิ....หลานรักของยาย
มาไปช่วยได้เก็บใบหม่อนที่สวนหลังบ้านมาให้หนอนไหมกินดีกว่า
แจ๊ค กำพร้า: กระโดดตบมือดีใจ เย้ เย้ ไปเก็บใบหม่อนกันยาย
ยายกับเจ้าแจ๊ค กำพร้าเดินไปเก็บใบหม่อนที่สวนหลังบ้าน
(ปิดม่านเปลี่ยนฉาก)
ตอนที่ ๒
(เปิดฉาก )
บรรยาย: หลายปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ตอนนี้แจ๊ค กำพร้าได้เติบโตเป็นหนุ่มแล้วด้วยความอุตสาหะตั้งใจเรียน จึงได้เป็นอาสาพัฒนาหมู่บ้าน สภาพความเป็นอยู่ของพวกเขาก็ดีขึ้นบ้าง แต่แจ๊ค กำพร้ากับยายจันทร์ก็ยังมีฐานะในระดับว่าจนเหมือนเดิมคือจนเงิน แต่ไม่จนน้ำใจ แจ๊ค กำพร้าจึงเป็นหนุ่มที่หมายปองของสาว ๆ ในหมู่บ้านบางคนที่รักความดีมากกว่าเงิน แต่แจ๊ค กำพร้าก็ยังไม่ได้ตกลงปลงใจรักใครเพราะเขาต้องการสร้างฐานะตนให้มั่นคงให้ยายได้สบายก่อนเขาแต่งงาน
........กล่าวถึงเจ้าสิริจันทร์ บุตรชายคนหนึ่งของเจ้ามหาชีวิตผู้ครองนครช้างเผือกร่มขาว ได้มาเที่ยวป่า และได้พบกับไก่แก้วขาวเผือกมีกินหอมชื่นชูใจ ไม่เคยพบเห็นที่ไหน ก็นึกอยากได้จึงไล่ติดตามไปจนพลัดหลงกับองครักษ์ของตนเอง ขณะที่ไล่ติดตาม ไก่แก้วหอมชู ได้กระโดนหนีเข้าไปหา แจ๊ค กำพร้าซึ่งกำลังออกมาหาของป่ายังชีพ
(เจ้าสิริจันทร์จึงเจรจากับนายแจ๊ค กำพร้าเพื่อขอไก่แก้วนั้น)
เจ้าสิริจันทร์: ไอ้บ้านนอก เอาไก่ตัวสวยนั้นมาให้เรา ข้าเห็นมันก่อน
แจ๊ค กำพร้า: ท่านจะเอามันไปทำอะไร?
เจ้าสิริจันทร์: เอาไปขังกรงเลี้ยงเล่น แต่ถ้าเบื่อแล้ว ก็เอามันไปตีกับไก่อื่น พอมันตายก็จับย่างกิน กินหอมแบบนี้ทำแกงไก่กินก็คงอร่อยดี
แจ๊ค กำพร้า: ถึงท่านจะเห็นมันก่อนแต่ไก่นี้วิ่งมาหาข้า ด้วยความกลัว เพื่อหลบภัย
ระหว่างคนที่จะพยายามฆ่าแกงมัน กับคนที่ช่วยชีวิตมันไว้ มันควรเป็นของผู้ใด?
เจ้าสิริจันทร์: เจ้าพูดถูกน่าฟัง และพูดก็ถูก แต่ข้าชอบไก่นี้ ข้าจะเอา ถ้าแกไม่ให้ ข้าก็จะใช้กำลังบังคับเอา
( ด้วยความไม่อยากให้แจ๊ค กำพร้าจึงแกล้งปล่อยให้ไก่แก้วหอมชูหนีไป ทำให้เมื่อพวกทหารของเจ้าสิริจันทร์มาถึง เจ้าสิริจันทร์ก็แสดงอำนาจทันที)
เจ้าสิริจันทร์: เจ้าบังอาจนัก ทหารจับตัวไอ้ไพร่นั้นมา พวกที่เหลือไปตามไก่
บรรยาย : จากนั้นแจ๊ค กำพร้าถูกพวกเจ้าสิริจันทร์คุมตัวไว้ ต่อมาทหารก็มารายงานว่าไก่แก้วนั้นได้หนีลงรู้แห่งหนึ่งไป เจ้าสิริจันทร์จึงให้ขุดรู้นั้นเพื่อหาไก่ แต่ยิ่งขุดยิ่งลึกก็ไม่เจอไก่ พอขุดลึกไปมากขึ้นก็ทะลุลงไปกลายเป็นหลุมใหญ่ลึกไม่มีก้น ทำให้พวกทหารตกลงไปตายเป็นอันมาก แม้ใครๆจะทูลขอให้เลิก แต่ด้วยทิฐิมานะ เจ้าสิริจันทร์จึงให้ทำสายยนต์หย่อนลงไปและสั่งให้แจ๊ค กำพร้าเป็นคนไปเอาไก่นั้นมาให้ตน
เจ้าสิริจันทร์: ในเมื่อเจ้าเป็นคนปล่อยไก่ให้หนีไป เจ้าก็ต้องเป็นคนไปเอากลับมาให้ข้า
แจ๊ค กำพร้า: แต่หลุมลึกมากถ้าข้าตกลงไปตายจะทำอย่างไร ข้ายังมียายเฒ่าต้องคอยดูแล เวทนาข้าเถิด
(แจ๊ค กำพร้าลงคุกเข่าขอร้องเจ้าสิริจันทร์อย่างน่าเวทนา)
เจ้าสิริจันทร์: เอาน่าข้าจะให้คนไปรับยายเจ้ามาดูแลอย่างดี และถ้าเจ้าเอาไก่นั้นกลับมาให้ข้าได้ ข้าจะมอบเงินถุงเงินถังให้เจ้าด้วย เจ้าจะได้ร่ำรวยไม่ต้องลำบากอีกต่อไป
แจ๊ค กำพร้า: งั้นก็ข้าก็ตกลง แต่หลังจากที่ข้าเอามันมาให้เจ้าได้เจ้าต้องไม่ฆ่ามันนะ การฆ่าสัตว์เป็นบาป
เจ้าสิริจันทร์: เอาข้ารับปากเอ็งทั้งหมดนั้นแหละ ลงไปก่อน
บรรยาย: จากนั้นแจ๊ค กำพร้าก็ไต่สายยนต์ลงไปในหลุมลึกที่ไม่เห็นก้นนั้น แล้วเจ้าสิริจันทร์ก็ให้พวกทหารทั้งหลายกลับไปนครโดยไม่ได้สนใจส่งใครออกมาดูแลยายของเจ้าแจ๊ค กำพร้าดังที่ได้รับปากไว้แต่น้อย
เจ้าสิริจันทร์ : เฮ้ย ....พวกเรากลับ ยายๆ อะไรของมันอย่าไปสนเลย
บรรยาย: ส่วนแจ๊ค กำพร้านั้นก็ไต่ตามสายยนต์ลงไป นานแสนนาน ถึงบาดาลโลก พบอุโมงค์ที่เชื่อมต่อไปยังเมืองของพวกพญานาค ซึ่งแสนสวยงาม มีธารน้ำใสไหลเย็น แจ๊ค กำพร้าจึงดื่มน้ำด้วยความกระหาย ล้างหน้าล้างตาหวีผมเรียบแปล้ ตามนิสัยที่เป็นหนุ่มเจ้าสำอาง ก่อนที่จะแกะรอยไก่แก้วหอมชูต่อ
แจ๊ค กำพร้า: ตกใจหมดเลย นึกว่าพระเอกที่ไหน หล่อเสียไม่มีละ ที่แท้ก็ข้าเอง ไม่นึกว่าข้าจะหน้าตาดีขนาดนี้ รีบไปหาไก่ก่อนดีกว่า จะได้รีบกลับขึ้นไป ปานฉะนี้ยายคงเป็นห่วงน่าดู
“ไก่จ๋า ไก่แก้วหอมชู ชื่นใจหลายๆ อยู่ไหนเน้อ รีบออกมาให้จับเสียดีๆๆ”
บรรยาย: แจ๊ค กำพร้าเดินร้องเรียกหาไก่ไปมา เขาไม่รู้หรอกว่าตอนนี้หลายเดือนผ่านไปแล้ว เพราะระยะเวลาในโลกมนุษย์และในเมืองบาดาลต่างกันมาก ตอนนี้ยายจันทร์ของเขาไม่ได้รับการดูแลใดๆเลยจากเจ้าสิริจันทร์ดังที่สัญญาไว้กับเขาเป็นมั่นเป็นเหมาะ วันหนึ่งยายจันทร์ซึ่งป่วยมากด้วยความชราพยายามลุกขึ้นมาหุงข้าวใส่บาตรในตอนเช้า และกรวดน้ำให้แผ่บุญกุศลถึงแจ๊ค กำพร้า เพราะรู้ข่าวจากพวกพรานป่าว่าแจ๊ค กำพร้าลงไปตามไก่ในอุโมงค์ลับใต้ดินพระหวังจะน้ำเงินรางวัลจากเจ้าสิริจันทร์มาให้ยายของเขาและหลายวันแล้วก็ยังไม่เห็นกลับขึ้นมาเลยทำให้ยายต้องมากรวดน้ำทั้งน้ำตา
ยายจันทร์ : ไอ้เจ้าตัวน้อย หลานรักของยาย เงินมากสักเท่าใดข้าก็ไม่อยากได้ เอ็งเท่านั้นที่เป็นสมบัติที่มีค่ามากที่สุดของยาย ไม่ว่าเอ็งจะอยู่ที่ใด เป็นตายร้ายดีประการใด ขอให้กุศลที่ข้าได้ทำในวันนี้จงดลบันดาลในเอ็งมีความสุขสงบปลอดภัยอันตรายทั้งปวงด้วยเถิด เพราะข้าก็คงอยู่รอเอ็งกลับมาไม่ไหวแล้ว
(ว่าแล้วยายก็ไอออกมาดังๆและเป็นลมไปตรงนั้นเอง)
(ปิดม่านเปลี่ยนฉาก)
ตอนที่ ๓
(เปิดม่าน)
บรรยาย: เมื่อแจ๊ค กำพร้าเที่ยวตามไก่ในเมืองนาคนั้น ปกติเมืองนาคนั้นจะเป็นแดนที่อยู่ของพญานาคที่ดุร้ายไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถเหยียบเข้ามายังผืนแผ่นดินนี้ง่ายได้แม้เพียงก้าวเดียว เพราะคนที่หลงเข้ามาเพียงไม่ถึงอึดใจก็จะถูกสัตว์มีพิษต่างๆขบกัดจนตาย หรือไม่ก็ถูกงูอารักษ์ที่ตัวใหญ่กว่างูอนาคอนดาขบกัดและกลืนกินเสีย แต่ถ้าหากมีผู้รอดชีวิตมาได้ก็จะถูกพลทหารนาคองครักษ์ที่มาในร่างมนุษย์มีเศียรเป็นนาค ยิงด้วยปืนกรดที่เป็นกระสุนมีพิษ เมื่อถูกกระสุนนี้ยิงใส่ร่างของผู้นั้นก็จะไหม้เป็นเถ้าในทันที
.......แต่เนื่องบุญบารมีที่แจ๊ค กำพร้าเป็นคนดีและกตัญญูมากประกอบกับอานิสงส์ที่ยายจันทร์อุทิศมาให้ ทำให้แจ๊ค กำพร้าสามารถล่วงเข้ามาถึงอุทยานด้านในของพวกพญานาคได้ ฝ่ายเจ้ามหานาคราชผู้ครองเมืองนั้นก็ล่วงรู้มาโดยตลอดด้วยญาณทิพย์ ว่าแจ๊ค กำพร้าเป็นคนดีมาก และเป็นคู่บุญบารมีกับเจ้านางสีดา บุตรีของพระองค์ พระองค์จึงเป็นใจให้ ซ้ำยังมีรับสั่งในเนรมิตเมืองนาคให้เป็นเหมือนเมืองมนุษย์ และเปิดทางให้แจ๊ค กำพร้า ให้เข้าไปถึงพระตำหนักของเจ้านางสีดาอีกด้วย โดยในระหว่างทางนั้นแจ๊ค กำพร้าจะถูกกำบังไม่ให้เห็นผู้ใดเลย ได้ยินแต่เสียงกี่ทอผ้าของนางสีดามาแต่ไกลเท่านั้น ด้วยเหตุนี้แจ๊ค กำพร้าจึงเดินตามเสียงนั้นไปจนได้พบกับเจ้านางสีดาและก็ตะลึงงันในความงามของพระนาง
แจ๊ค กำพร้า: แม่หญิงแสนสวย ผู้กำลังทอผ้าอยู่ แม่หญิงเห็นไก่หลงมาทางนี้ไหมจ๊ะ?
เอ๋.....กลิ่นหอมของมันอยู่แถวนี้นี่ ว่าแล้วแจ๊ค กำพร้าก็เดินเข้าไปใกล้เจ้านางสีดาที่เป็นศูนย์รวมของกลิ่นหอมอบอวลนั้น เช่นเดียวกับกลิ่นหอมประหลาดของไก่แก้วหอมชู
(นางสีดาหยุดทอผ้า และหันมาตอบ)
เจ้านางสีดา: ไก่แก้วจ๊ะพี่ไม่ใช่ไก่หลง พูดๆหน่อยสิจ๊ะ อย่างใช้คำกำกวม
แจ๊ค กำพร้า: พี่ก็หมายถึงไก่แก้วนั้นแหละจ๊ะ พี่เป็นคนบ้านนอกจริงใจ ไม่เคยพูดเล่นลิ้น ทำไมน้องจึงโกรธพี่นักละจ๊ะ
เจ้านางสีดา: ไม่ได้โกรธ (ทำยักไหล่ไม่สนใจ และก็ทอผ้าต่อ)
แจ๊ค กำพร้า: ถ้าไม่โกรธในเมืองทั้งเมืองนี้ ทำไมมีน้องอยู่คนเดียวจ๊ะ พี่ไม่เห็นใครเลย ที่พี่จะไต่ถามได้ว่าไก่ของพี่ไปไหน โปรดบอกเถิดจ๊ะว่าไก่ของพี่อยู่ไหน
(จากนั้นเจ้านางสีดานึกสนุกจึงอยากลองใจแจ๊ค กำพร้าผีน้อย จึงแสร้งว่า)
เจ้านางสีดา: จะเอาไก่ไปทำไมจ๊ะ น้องอยู่นี้ทั้งคน ทั้งสวยทั้งรวย ไม่สนหรือ?
(แจ๊ค กำพร้าเดินหันหลังมาแล้วว่า) “เฮ้ยคิดหนัก เหมือนกัน”
แจ๊ค กำพร้า: ไม่....พี่ต้องการไก่แก้วเท่านั้นไก่อื่นไม่เอาจ๋า
(เสียงตบมือดังทั่วไป จากนั้นเจ้ามหานาคราช และพลเมืองนาคทั้งหลายก็ปรากฏให้เห็น ทำให้แจ๊ค กำพร้างงเป็นอันมาก ดังนั้นเจ้ามหานาคราชจึงอธิบายให้แจ๊ค กำพร้าฟัง)
เจ้ามหานาคราช: แจ๊ค กำพร้าเอ๋ย เจ้าได้แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของจิตใจ เป็นผู้มักน้อยและไม่โลภมากในตัณหาราคะผิดลูกผิดเมียผู้อื่นแล้ว จากการทดสอบของบุตรีข้า ความจริงไก่แก้วหอมชู นั้นก็คือเจ้านางสีดา ผมหอม บุตรีของข้าเอง มันเป็นบุญวาสนาที่เจ้าได้ทำมาร่วมกับนางแต่ชาติปางก่อนทำให้นางมีความต้องการที่จะขึ้นไปเที่ยวยังโลกมนุษย์ และได้แปลงเป็นไก่แก้วหอมชูจนไปพบกับเจ้า และบุพเพสันนิวาสก็ชักนำให้เจ้าต้องตามนางถึงเมืองนาคนี้ก็เป็นไปตามคำสัญญาที่เจ้าทั้งสองได้สัญญาไว้ในอดีตชาติว่าจะเป็นผัวเมียกันไปทุกๆชาติ มาเถิดบัดนี้ข้าจะอภิเษกให้เจ้าทั้งสองได้แต่งงานตามชะตาที่ได้ลิขิตไว้แล้วว่าเจ้าทั้งสองจะเป็นคู่บุญบารมีต่อกันไปนิจนิรันดรอนันตชาติ
แจ๊ค กำพร้า: นับเป็นบุญหล่นทับ ข้าพเจ้าแล้วพระองค์
บรรยาย: นางสีดาไม่ได้เอ่ยประการใดนอกจากยิ้มด้วยความเขินอาย หลังจากที่เจ้ามหานาคราชจับมือของทั้งสองคือแจ๊ค กำพร้าและนางสีดามาเกี่ยวก้อยกัน จากนั้นประชาชนพลเมืองนาคก็โปรยดอกไม้และอวยพรให้ทั้งคู่ครองรักต่อก่อนอย่างยั่งยืนตลอดกาล
......แล้วแจ๊ค กำพร้าก็ได้เป็นพระชามาดาของเจ้ามหานาคราช อยู่กินกับเจ้านางสีดามีความสุขหลายวันแล้ว จึงได้ขอลาเจ้ามหานาคราชกลับไปเยี่ยมยาย เจ้ามหานาคราช จึงให้แก้วนาคสวาท แก่พระชามาดา และอธิบายถึงวิธีการใช้แก้วนี้กับการขึ้นไปเมืองมนุษย์
เจ้ามหานาคราช : “แก้วนี้จะทำให้เจ้าปลอดภัยจากงูและสัตว์มีพิษทั้งหลายที่เป็นบริวารของนาคราชจะเชื่อฟังและไม่ทำอันตรายเจ้า เว้นนาคอารักษ์และพญานาคราชชั้นผู้ใหญ่เท่านั้นแก้วนี้หาใช้ได้โดยตรงไม่ แต่พวกนั้นอยู่ในอำนาจของข้าเจ้ามหานาคราช... ข้าจะกำชับให้พวกมันเปิดทางให้ และถ้าพวกเจ้ามีปัญหาสิ่งใดเจ้ายังใช้แก้วนาคสวาทนี้สื่อสารกับข้าได้เช่นเดียวกับไอโฟนและข้าจะส่งพลนาคราชขึ้นไปช่วยเหลือ
........อนึ่งสายยนต์ที่เจ้าไต่มานั้นขาดเสียแล้ว ข้าจะให้พราหมณ์มหาเวทย์แห่งเมืองนาคนี้ เนรมิต สายมนต์ เพื่อให้เจ้าไต่ไปเมืองมนุษย์แทน แต่ว่าเมื่อพวกเจ้าไต่ขึ้นไปถึงยอดแล้วสายมนต์นั้นก็จะหายไปเพราะธรรมดาเมืองนาคกับเมืองบนที่เป็นของมนุษย์จะไม่ยุ่งเกี่ยวกันมากนัก แจ๊ค กำพร้ามีบางเรื่องที่เกี่ยวกับเมืองบนและคนของเจ้าที่ข้ารู้ แต่เจ้าควรที่จะรู้ด้วยตนเองจะดีกว่า เอาแก้วนาคสวาทนี้ไป” ว่าแล้วเจ้ามหานาคราชก็ยื่นแก้วนาคสวาทให้แจ๊ค กำพร้า
แจ๊ค กำพร้า: ขอบพระทัยพระองค์ มากครับ
เจ้ามหานาคราช : สีดาลูกรัก มา...เข้ามา ข้ารู้ด้วยญาณทิพย์ว่าลูกทั้งสองคงไม่ได้กลับมา พ่อจะให้ของเจ้าสองสิ่ง หนึ่งคือแหวนวิเศษถ้าเจ้าไปจากเมืองนาคแล้ว จะต้องถอดกายเป็นมนุษย์ พอไปอยู่เมืองบนนานวันเข้าไม่เกินสองปี คาถาเจ้าก็จะเสื่อม จะกลายเป็นนาค แต่ผีฟ้าพญาแถนสาปไว้ถ้าเจ้ากลายเป็นนาคบนเมืองมนุษย์เจ้าจะต้องตายทันที เพราะกลัวว่าเจ้าจะใช้ฤทธิ์ของพญานาคทำร้ายคนข้างบนนั้น ดังนั้นจงใช้แหวนวิเศษนี้ใส่น้ำล้างหน้า มนตร์ของเจ้าก็จะกลับคืนมา ทำให้เจ้าคงร่างเป็นมนุษย์และมีอายุยืนยาวในเมืองมนุษย์ สองคือหวีวิเศษ แม้นสาวใดใช้หวีนี้หวีผมแล้วก็จะไม่แก่ แม่เฒ่าใดใช้หวีอันนี้หวีผมก็จะกลับเป็นสาวอีกครั้ง ผู้เป็นเจ้าของหวีวิเศษนี้จะนิรชราคงสาวและสวยเช่นนั้นตลอดไป ดีกว่าทำ ทรีทเม้นท์สปา (Treatment Spa) แต่หากวันใดเจ้าเบื่อหน่ายในการมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าคนทั่วไป และอยากจะมีชีวิตเช่นมนุษย์ที่เป็นมรรตยชน คือผู้ที่ต้องตายเมื่อใด ก็จงหักหวีนี้ทิ้งซะ
(นางสีดาร้องไห้ ในขณะที่แจ๊ค กำพร้ากราบลาไปด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม)
นางสีดา: พ่อจ๋า! ลูกลาก่อนนะจ๊ะ
(แล้วแจ๊ค กำพร้าก็พาเจ้านางสีดาเดินจากไป (เรียกว่าลากไปอย่างทุลักทุเลเสียมากกว่า) ในตอนนั้นนางก็หันมามองเจ้ามหานาคราชเป็นครั้งสุดท้ายและก็ร้องสุดเสียง) “พ่อ!”
เจ้ามหานาคราช: “ไปเถิดอีนาง เจ้าโตเป็นสาวแล้วก็ต้องออกเรือนไป เป็นธรรมดา”
(จากนั้นเมืองทั้งเมืองและพลเมืองทั้งหลายก็หายไปพร้อมกับเจ้ามหานาคราช ทิ้งไว้แต่พื้นที่ว่างเพราะเจ้ามหานาคราชเศร้าโศกเสียใจกับการจากไปของบุตรีมากแต่ก็ไม่อยากให้ทั้งสองพิรี้พิไรอยู่)
บรรยาย: แจ๊ค กำพร้าและเจ้านางสีดาได้เดินทางผ่านเมืองนาคมาแล้วถึงในช่วงที่ผ่านเมืองหน้าด่านมาพวกนาคและสัตว์มีพิษได้เปิดทางให้ทั้งสองผ่านไปโดยง่ายด้วยอำนาจของแก้วนาคสวาท และเพราะเจ้ามหานาคราชกำชับไว้ พวกนาคอารักษ์ที่เป็นอสุรกายทั้งหลายก็ไม่ทำอันตรายใด ๆ และปล่อยให้ทั้งสองผ่านอุโมงค์ลับไปสู่ปากหลุมที่ พราหมณ์มหาเวทย์ ได้เนรมิตสายมนต์ให้เชื่อมต่อไปยังปากหลุมที่เมืองบน และทั้งสองก็ไต่ขึ้นไป เมื่อไต่ขึ้นไปถึงครึ่งทางเจ้านางสีดาก็ทำแหวนวิเศษหล่นลงไปก็เดือดร้อนใจมากกลัวว่าจะมีอายุสั้นแค่สองปีในเมืองมนุษย์จึงขอให้แจ๊ค กำพร้าไต่ลงไปเอาให้
เจ้านางสีดา: พี่จ๊ะ น้องทำแหวนวิเศษหล่นไป พี่ช่วยกลับลงไปเอาให้น้องหน่อยนะจ๊ะ ไม่อย่านั้นน้องคงต้องมีอายุสั้นในเมืองบนแน่ๆจะ
แจ๊ค กำพร้า: ได้สิจ๊ะน้องรอพี่อยู่ตรงนี้ก่อน แป๊บหนึ่ง
บรรยาย: จากนั้นแจ๊ค กำพร้าก็ไต่ลงมาแต่เนื่องจากใต้หลุมนั้นมีแสงสว่างน้อยมากจึงใช้เวลาหานานพอสมควร เจ้านางสีดาห้อยอยู่ตรงนั้นก็เมื่อยล้าเต็มที่จึงไต่ขึ้นไปที่ปากหลุมก่อน สายมนต์เมื่อรับรู้ว่ามีผู้ไต่ขึ้นมาที่ปากหลุมแล้วสักพักไม่มีใครไต่ตามมา ก็ค่อยหายไป เหมือนกับเซ็นเซอร์ (sensor)อัตโนมัติของลิฟท์ที่พอไม่มีคนกดรอไว้ประตูก็ปิดเลย แต่สายมนต์เป็นเหมือนลิฟท์ที่ใช้ได้ครั้งเดียว ไม่มีลง เพราะหลังจากนั้นสายมนต์จะทำลายตัวเองทันที ดังนั้นเจ้านางสีดาจึงได้แต่ร้องไห้อยู่ที่ปากหลุม และแจ๊ค กำพร้าเองเมื่อหาแหวนเจอรู้ว่าสายมนต์ทำลายตัวเองหายไปแล้ว ก็ได้แต่ร้องไห้อยู่ที่ก้นหลุม
..............ด้วยความสงสารเจ้ามหานาคราชจึงปรากฏกายขึ้นและบอกทางให้แจ๊ค กำพร้าเดินทางไปเมืองบนด้วยอุโมงค์ลับอีกทางหนึ่งที่พวกนาคนิยมใช้ แต่เส้นทางนี้ถ้าเป็นมนุษย์จะต้องใช้เวลาเดินทางถึงสองปี
เจ้ามหานาคราช: รีบไปแจ๊ค กำพร้า เจ้ามีนาคสวาทและแหวนวิเศษอยู่ เป็นเสมือนตราผ่านทาง ทำให้พวกนาคและสัตว์มีพิษทั้งหลายในดินแดนของพญานาคราชสกุลอื่นๆ ที่ล้วนแต่เป็นมิตรสหายของข้าในบาดาลโลกแห่งนี้จะไม่ทำอันตรายเจ้า จงเร่งไปให้ทันสองปี และนำแหวนวิเศษนี้ให้เจ้านางสีดาลูกข้า ไม่เช่นนั้นนางจะต้องตาย รีบไป !
พอสั่งความแล้ว เจ้ามหานาคราชก็หายไปแจ๊ค กำพร้าจึงรีบเดินทางไปทางอุโมงค์ลับที่เจ้ามหานาคราชบอก
(ปิดม่านเปลี่ยนฉาก)
ตอนที่ ๔
(เปิดฉาก)
บรรยาย: กล่าวถึงเจ้านางสีดาเมื่อร้องไห้อยู่หน้าปากหลุมกลางป่า บังเอิญมีชาวบ้านมาหาของป่ามาพบเห็นเข้า ก็สงสัยว่านางงามผิดมนุษย์มาร้องไห้กลางป่าได้อย่างไร? ก็แปลกใจ ไต่ถามเท่าใดก็ไม่ยอมตอบ ในเวลานั้นพรานป่าคนหนึ่งที่มาในที่นั้นด้วยเห็นว่านางงามนัก อยากจะเข้าไปฉุดเป็นเมียแต่พวกก็กลัวกฎหมายกะบิลเมือง ใคร่ครวญ แล้วจึงคิดว่าจะนำเรื่องความงามของนางไปทูลให้เจ้าสิริจันทร์ทราบ คงได้เงินรางวัลมากมาย ดังนั้นพรานป่าผู้นั้นจึงไปเฝ้าเจ้าสิริจันทร์แห่งเมืองช้างเผือกร่มขาวซึ่งในเวลานั้นได้ขึ้นเป็นใหญ่เจ้ามหาชีวิตที่พึงถึงการพิราลัยไปแล้วและทูลเรื่องของนางทันที ดังนั้นเจ้าสิริจันทร์จึงให้คนมาข่มขู่บังคับให้นางไปเฝ้าเมื่อเจ้าสิริจันทร์เห็นความงามของนางแล้วก็นึกรักทันที แต่เนื่องจากนางไม่ยินยอมพร้อมใจ ประกอบกับความมั่นคงในรักทำให้เมื่อใดที่เจ้าสิริจันทร์เข้าสัมผัสร่างนางเพียงเล็กน้อยก็รุ่มร้อนเป็นไปเหมือนกับถูกเครื่องช็อตไฟฟ้าจี้ แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยนางไป นางจึงออกอุบายว่าจะขอทอผ้าเพื่อใช้ในงานอภิเษกคือแต่งงานกับเจ้าสิริจันทร์ด้วยตนเอง ให้เจ้าสิริจันทร์สร้างปรางค์ให้นางอยู่เมื่อใดที่นางทอผ้าเสร็จนางจะยินยอมพร้อมใจแต่งงานอยู่กินกับเจ้าสิริจันทร์ในปรางค์นั้น ดังนั้นตอนเช้านางก็นั่งทอผ้าพอได้ครึ่งผืน กลางคืนนางก็แอบค่อยๆเลาะเอาไหมที่ทอแล้วนั้นออกจากเส้นยืน เป็นเช่นนี้เรื่อยๆมาจนจวบปีกว่ายังไม่ถึงสองปีที่นางจะต้องกลับร่างเป็นนาคและต้องตายถ้าไม่ได้แหวนวิเศษจากแจ๊ค กำพร้า เช้าวันหนึ่งนางกำลังร้องไห้ ตัดพ้อต่อว่ากับโชคชะตาตนเอง ว่านางไม่ได้กลัวที่จะต้องตายเลยแต่การพลัดจากคนที่รักนั้นแสนทุกทรมานยิ่งนัก บางทีไม่ต้องรอให้ครบสองปีถ้าสามียังไม่ตามนางมา นางก็คงตรมใจตายเองอีกไม่ช้าเช่นกัน ระหว่างที่ร้องไห้นางข้าหลวงรับใช้ก็เอาน้ำล้างหน้ามาถวายปรากฏว่าในอ่างน้ำนั้นมีแหวนวิเศษของนาง ทำให้นางรู้ว่าแจ๊ค กำพร้าได้ตามมาแล้ว แต่ก็นิ่งอยู่ซ้อนความดีใจไว้ไม่ให้ใครรู้และคืนนั้น แจ๊ค กำพร้าก็แอบปีนขึ้นปรางค์ของนางมาหานางที่กำลังเลาะไหมจากเส้นยืน ที่ทอไปแล้ว
เจ้านางสีดากำลังร้องไห้หน้ากี่ทอผ้า
เจ้านางสีดา: ตัวข้านี้ชั่งอาภัพนัก ข้าไม่เคยกลัวที่จะต้องตายเลย แต่การพลัดจากคนที่รักนั้นแสนทุกทรมานยิ่งนัก บางทีไม่ต้องรอให้ครบสองปีถ้าพี่แจ๊ค กำพร้ายังไม่ตามมา ข้าก็คงตรมใจตายเองในไม่ช้า (ว่าแล้วเจ้านางสีดาก็ร้องไห้ฟูมฟาย)
( แจ๊ค กำพร้าปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเรียกเจ้านางสีดา “น้องสีดา”
จากนั้นทั้งสองรีบวิ่งเข้ามาอย่างช้าๆ เป็นภาพ slow motion แจ๊ค กำพร้า พร้อมพร่ำว่า “น้องสีดา”
นางสีดา “พี่แจ๊ค กำพร้า” และทั้งสองก็จับมือกัน)
บรรยาย: ระหว่างนั้นเองเจ้าสิริจันทร์ที่ได้รับรู้ว่ามีผู้แอบบุกรุกขึ้นปรางค์สีดาก็เกิดหึงหวง เมื่อรีบตามก็ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็โกรธตะโกนด้วยความแค้นว่า “ไอ้แจ๊ค กำพร้า” จากนั้นก็เข้าไปหมายจะฆ่าแจ๊ค กำพร้าทั้งสองจึงรบกันเมื่อสู่แจ๊ค กำพร้าไม่ได้ก็ให้ทหารเข้าล้อมจับ แจ๊ค กำพร้าซึ่งติดอยู่ปรางค์หลายวันเห็นทหารล้อมปรางค์อยู่ก็เลยใช้แก้วนาคสวาทสื่อสารขอให้เจ้ามหานาคราชส่งกำลังมาช่วย
แจ๊ค กำพร้า: ฮัลโหล ฮัล โหล หนึ่ง สอง สาม ขอ กำลังเสริมด้วย
เจ้ามหานาคราช : ได้ยินแล้ว จะรีบส่งกำลังพลไปช่วยเดี๋ยวนี้
บรรยาย: ขณะที่กองทัพนาคกับพลทหารของเจ้าสิริจันทร์รบกันนั้น แจ๊ค กำพร้าจึงได้รบกับเจ้าสิริจันทร์ตัวต่อตัวและสามารถเอาชนะเจ้าสิริจันทร์ได้ ดังนั้นการสงครามครั้งนี้จึงได้สิ้นสุดลง เพราะจับตัวผู้บงการอยู่เบื้องหลังได้
แจ๊ค กำพร้า: เสร็จข้าละ! (แล้วแจ๊ค กำพร้าก็จับแขนเจ้าสิริจันทร์ไขว้หลังและกดลงกับพื้น)
เจ้าสิริจันทร์: ไว้ชีวิตข้าด้วยเห็นแก่มิตรภาพที่ครั้งก่อนของเราเถอะแจ๊ค
แจ๊ค กำพร้า: ข้าจะอโหสิกรรมให้กับเจ้าผู้ลักพาเมียข้ามากักขังไว้ และอโหสิกรรมให้กับเจ้าผู้ที่ไม่รักษาสัญญาดูแลยายข้าให้ดี ทำให้ท่านตายเพื่อให้เป็นกุศลผลบุญกับยายของข้าก็ได้ เพราะเวรย่อมต้องระงับด้วยความการไม่จองเวรต่อกัน แต่ความผิดทั้งหลายที่เจ้าก่อไว้ในสมัยที่เจ้าปกครองบ้านเมืองแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการค้าสัตว์สงวน การค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์นั้นต้องว่าไปตามกะบิลเมืองให้องกรแห่งความยุติธรรมของศาลตัดสิน
......เอาจับเจ้าสิริจันทร์ส่งไปให้ตำรวจ
(จากนั้นพลนาคทั้งหลายก็ส่งแจ้งความให้ตำรวจทราบมารับตัวเจ้าสิริจันทร์ไปดำเนินการตามขั้นตอนยุติธรรมโดยมีอัยการสตรี นางอำภา มารับตัวไปด้วยตนเอง)
นางอำภา: คราวนี้แกไม่รอดแน่ เจ้าสิริจันทร์ พ่อค้ายาและเจ้าพ่อเจ้าของซุ้มมือปืนตัวยง
ขอบใจ แจ๊คมากที่ให้ความร่วมมือเป็นสายให้กับทางราชการทำให้ ครอบครัวเกือบต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย
(จากนั้นนางอำภาก็หันไปพูดกับเจ้าสิริจันทร์ที่มีศรีหน้าบอกบุญไม่รับ ได้แต่กัดฟัดเสียงดังด้วยความแค้น)
นางอำภา: “ไปเดินไปเข้าคุก ไอ้คนชั่ว แกติดคุกหัวโตแน่”
บรรยาย: จากนั้น แจ๊ค กำพร้า และภรรยาได้กลับไปจัดการงานศพของยายจันทร์อย่างสมเกียรติ ซึ่งศพยายจันทร์นั้นชาวบ้านและมิตรสหายของเขาได้เก็บรักษาไว้ที่วัดของหมู่บ้านก่อนเพื่อรอเขา
.....ต่อมาด้วยความกตัญญูและวีรกรรมของแจ๊ค กำพร้า ทำให้เขาได้รับการยกย่องจากชาวเมืองว่าเป็น “ท้าวกำพร้าผีน้อย” หรือ “ท้าวกำพร้า” และครองรักกับเจ้านางสีดาอย่างมีความสุข ส่วนปรางค์ที่เจ้านางสีดาอยู่ทุกวันนี้เรียกว่า ปรางค์สีดา อยู่ที่บ้านสีดา จังหวัดนครราชสีมานั้นเอง
๐ปรางค์สีดามิ่งแก้ว................ นาคกัลยา
พบพระเพียงจาบัลย์................. สั่งฟ้า
ปางเมืองพ่าย,ลาวัลย์................แก่กำพร้าแฮ
ฟ้อนไก่มโหรีผ้า......................ข่วงข้อง เขาฉลอง
…………………จบเรื่องไก่แก้ว หอมชู............................
บรรยาย: หลายปีต่อมาชาวบ้านได้จัดงานฉลองที่ท้าวกำพร้าผีน้อยและเจ้านางสีดามาเยี่ยมหมู่บ้านของยายจันทร์ที่ตนเคยอยู่ในสมัยเด็ก โดยที่แจ๊คเป็นพ่องานให้มีการทำบุญครั้งใหญ่ คือจัดงานอุสมบทหมู่ อุทิศส่วนกุศลให้ยายจันทร์ ในงานมีการละเล่นมโหรีโคราช และมีการจัดละครเล่นเรื่องตำนานดาวลูกไก่ ที่ยายจันทร์มักเล่าให้แจ๊ค กำพร้าฟังในวัยเด็ก
…………………………………………
นิทานดาวลูกไก่
บรรยาย:
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่ชายป่าแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากเชิงเขาในป่า มีตากับยายอาศัยอยู่กันเพียงสองคนในกระท่อมแห่งหนึ่ง ทั้งสองมีอาชีพเก็บของป่าไปขายพอเลี้ยงชีพ
ตากับยายเลี้ยงไก่ไว้คู่หนึ่ง ต่อมาแม่ไก่ออกไข่และฟักออกมาเป็นลูกน้อยๆ น่ารักถึงเจ็ดตัว ทุกเช้าหลังจากที่พ่อไก่ขันแล้วแม่ไก่จะร้องกุ๊กๆ เรียกลูกออกไปหากิน สอนให้คุ้ยเขี่ยอาหารและแมลงเล็กๆ ตามพื้นดิน แม่ไก่กับลูกๆทั้งเจ็ดมีความสุขตามอัตภาพของตน แต่แล้ววันหนึ่งก็มีสุนัขป่าแอบเข้ามาพยายามกินไก่ในเล้า ยายกับตาแก่มากแล้วจึงไม่สามารถช่วยพ่อไก่ซึ่งถูกคาบไปกินแล้วได้ ช่วยไว้ได้แต่แม่ไก่กับลูกๆ เท่านั้น ทำให้แม่ไก่หลังจากคลายความเศร้าโศกจากการสูญเสียพ่อไก่แล้ว ตากับยายก็เข้ามาช่วยเหลือดูแลพวกไก่อย่างเมตตามากยิ่งขึ้นด้วยความสงสาร โดยที่บางวันยายก็จะโปรยข้าวสุกซึ่งเหลือๆ จากก้นหม้อข้าวให้กินด้วย ทำให้พวกลูกๆ ทั้งเจ็ดของแม่ไก่มีความสุขมาก ทำให้แม่ไก่รู้สึกสำนึกบุญคุณของตากับยายมาก
เย็นวันหนึ่งมีพระธุดงค์มาปักกลดอยู่ที่เชิงเขาในป่า ตากับยายจึงเข้าไปกราบนมัสการฟังธรรมจากท่าน และด้วยความศรัทธาจึงตั้งใจว่าจะทำอาหารไปถวายท่านพรุ่งนี้ แต่เมื่อค้นดูเสบียงอาหาร ในครัวก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย จึงรีบเข้าไปหาผลไม้ในป่า แต่เวลานั้นเย็นมากแล้ว ตากับยายซึ่งหูตาไม่ดีแล้วด้วยความชราจึงได้อะไรกลับมาเลย
ตากับยายสงสารพระมากเกรงว่าท่านจะอดอาหาร เพราะในละแวกนั้นมีบ้านของตนเพียงหลังเดียว จึงปรึกษากันว่าอาจจะต้องฆ่าแม่ไก่แล้วทำอาหารถวายพระ แต่ทั้งตาและยายรู้สึกเศร้าใจมากด้วยความรักและสงสารแม่ไก่และลูกเจี๊ยบต้องกลายเป็นลูกไก่กำพร้า จึงไม่กล้าฆ่าแม่ไก่ บังเอิญแม่ไก่ผ่านมาได้ยินตากับยายปรึกษากัน จึงตัดสินใจยอมสละชีวิตเพื่อตอบแทนบุญคุณของตากับยาย จึงได้เข้าบอกกับตายายว่าตนนั้นยินดีที่จะให้ตายายฆ่าเพื่อทำเป็นอาหารกับพระธุดงค์นั้น เพื่อตอบแทนบุญคุณตายาย
หลังจากนั้น แม่ไก่เรียกลูกๆ มาเล่าเรื่องให้ฟัง และสั่งสอนให้รักกันอย่าทะเลาะกัน
แม่ไก่: “ลูกๆ อย่าได้ไปเที่ยวเล่นที่ไกลๆ และที่ซึ่งอาจมีอันตราย เช่น เขตก่อสร้างต่างๆ ห้วยหนอง คลองบึงต่างๆ ไกลหูไกลตาผู้ใหญ่และตากับยายนะลูกรัก เจ้าจ้อยลูกสุดท้องอย่ากวนใจพี่มากนัก อย่าดื้องอแงกับพี่เขานะลูก "จำไว้นะลูกๆ ต้องรักกัน สามัคคีกัน อย่าทำให้ตากับยายร้อนใจ
พวกลูกไก่ : "ฮือๆ หนูจะอยู่กับแม่ แม่อย่าทิ้งลูกๆไปนะจ๊ะ" ลูกไก่ร้องไห้รำพันอย่างเวทนา ทุกตัวต่างกอดซุกอยู่กับอกแม่เป็นครั้งสุดท้าย
เช้ามืดวันรุ่งขึ้น เมื่อตากับยายได้ตัดสินใจฆ่าไก่เพื่อนำมาประกอบอาหารด้วยความเต็มใจของแม่ไก่ ทันใดนั้นตากับยายก็ต้องตกตะลึง เมื่อเห็นลูกไก่ทั้งเจ็ดตัววิ่งตามกันกระโดดเข้ากองไฟที่เตรียมไว้ทำอาหาร ด้วยความรักแม่ไก่
เมื่อนั้นพระอินทร์ผู้พิทักษ์ความดี รู้ด้วยญาณทิพย์เกิดซาบซึ้งในความกตัญญูของแม่ไก่และลูกไก่ จึงรับเอาวิญญาณแม่ไก่และลูกไก่ไปไว้บนท้องฟ้า เกิดเป็นดาวแม่ไก่ ซึ่งมีลูกไก่ทั้งเจ็ดไปอยู่ใกล้ๆ เพื่อประกาศถึงความรักความสามัคคีของลูกไก่พี่น้องทั้งเจ็ดนั่นเอง แต่คนโดยทั่วมักเรียกว่า “กลุ่มดาวลูกไก่ทั้งเจ็ด” ซึ่งอยู่ติดกับกลุ่มดาวพ่อวัว หรือราศีพฤษภบนท้องฟ้า
ในช่วงต้นฤดูหนาวช่วงกลางเดือนธันวาคมถึงช่วงต้นเดือนมกราคม ถ้าท้องฟ้ายามค่ำคืนกระจ่างไม่มีเมฆมากนัก เด็ก ๆ ก็จะได้เห็นดาวลูกไก่ดวงเล็ก ๆ ทั้งเจ็ดร่วมกันอยู่เป็นกระจุกดาวส่องแสงระยิบระยับน่าเอ็นดู อยู่กลางท้องฟ้านานที่สุดกว่าช่วงอื่นๆของทุกเดือน
เด็กๆ ควรสร้างกุศลด้วยการให้ทานไว้ให้มาก เหมือนสองตากับยายที่ให้ทานแก่พระเถระ ตายไปก็ได้เกิดบนสวรรค์ เมื่อสิ้นบุญก็มาเกิดเป็นเศรษฐีมั่งมีทรัพย์สินทุกๆชาติ แต่บางสำนวนเล่าว่าในขณะที่ตากับยายต้องมาเกิดเป็นมนุษย์นั้นต้องตายจากกันเมื่อบุตรยังเล็กไปตลอด ๕๐๐ ชาติ ก็เพราะผลกรรมที่ฆ่าแม่ไก่เป็นทานในเวลาที่ไม่สมควร คือทำให้ลูกไก่ทั้งเจ็ดต้องเป็นกำพร้าและต้องตายตามแม่ไปนั่นเอง
นิทานเรื่องนี้แต่งขึ้นตามโครงสร้างของวรรณกรรมพุทธศาสนาเชิงบุคลาธิษฐาน โดยกล่าวถึงการเวียนว่ายตายเกิดและการเสวยผลกรรม แต่สิ่งที่สะเทือนใจของคนทั่วไป คือเรื่องความรักความห่วงใยของแม่แก่ที่มีต่อลูกไก่รวมทั้งความกตัญญูของลูกไก่ด้วย
......................จบเรื่องดาวลูกไก่............................
ไม่มีความเห็น