"Mind in Me or Me in Body"


 "Mind and Body problem" นี่คือ ปัญหาทางปรัชญาตั้งแต่สมัยกรีก ที่ถกเถียงกันมานาน แม้ปัจจุบัน ยังคงถกกันอยู่..โดยมีกลุ่มที่ยืนยันฝ่ายตนอย่างจริงจัง กลุ่มที่เชื่อว่า ชีวิต มีแค่ "จิต" เท่านั้น นอกนั้นเป็นเพียงมายา กลุ่มนี้คือ เพลโต เป็นต้นมา เรียกว่า "Idealism" (จิตนิยม) จุดนี้พุทธศาสนาก็เชื่อตามนี้ โดยเฉพาะสำนักโยคาจาร หรือ มีคำกล่าวในอรรถธรรมบทเบื้องต้น มโนปุพพัง คมา ธัมมาฯ จิตเป็นประธาน จิตนำไป ฯ 

ส่วนกลุ่มที่เชื่องมีกายหรือสสารเท่านั้น กลุ่มนี้คือ อริสโตเติ้ล เรียว่า "Materialism" (สสารนิยม) ปัญหาทั้งสองเรียกว่า "Dualism" (ทวินิยม) มาถึงยุคใหม่ ผู้ที่นำเอาทั้งสองแนวคิดมารวมกัน คือ เรนเน เดการ์ดส์ ที่มองว่า ทั้งสองมีส่วนสัมพันธ์กัน เช่น หากมีใครตีศีรษะเรา เราจะรู้สึกไม่พอใจ หมายถึง กายกระทบ จิตสะเทือนนั่นเอง

ในมุมมองปัจจุบันสมัย เช่น หลวงพ่อพุทธทาสพูดถึงเรื่องจิต ที่สะท้อนออกมาเป็นภาษาว่า "ตัวกู ของกู" ความหมาย "ตัวกู" คือ จิตที่ผูกมัดรัดดึงกายตนเองไว้แบบสัญชาตญาณเดิม ย่อมยืนยันกิจกรรมของจิตกรรมจากภายในได้ เพื่อบอกให้รู้ว่า กายหนึ่ง คนหนึ่ง ย่อมเป็นเจ้าของอยู่ภายในครองอยู่แน่นอน ทำให้เรายืนยันกรรมทั้งหลายว่า นี่คือ "ตัวกู" เป็นผู้กระทำอย่างแท้จริง ถ้าตัวกูนี้ มีปัญญาอ่อนหรือไม่มีพลังพอที่จะสละถอดถอนตนเองออกจากตนเองได้ ย่อมจะทำให้ตัวเองกอดกุม ยึดเหนี่ยวตัวเองในที่แคบๆ นั่น อย่างเข้มข้นขึ้น ยิ่งได้รับแรงกระตุ้นจากภายนอกเพิ่มขึ้น ยิ่งจะทำให้ตัวกูเปราะบางหรือกรอบเข้าไปอีก ทำให้ตัวกูนี้ มืดบอด มืดมน อาจตกหล่นไปสู่หลุมดำได้เสมอ

ส่วนคำว่า "ของกู" หมายถึง กายหรือสสารที่รองรับจิตเอาไว้ กายเป็นโลก เป็นแอ่ง เป็นธนาคารของจิต เพื่อให้มันได้มีที่เกาะ ที่เกี่ยว ที่สะสม กล่าวง่ายๆ กายเป็นเสมือนตัวแทนจิต เอาไว้เสพสุข รับรู้โลก รับผลกระทบของโลก เหมือนดั่งโชเปนาวเออร์กล่าวไว้นั่นแหละ มองในแง่ของพราหมณ์เชื่อว่า กาย คือ "มายา" เท่านั้น แก่นแท้ของชีวะจริงๆคือ "อัตตา" (Self) ซึ่งเหมือนกับเพลโตกล่าวไว้ว่า "จิตเดิม" (Soul) คือ "ต้นแบบ" ชีวิตของมนุษย์ เมื่อกายเสื่อมลง โซลนี้ก็จะหาที่อยู่ใหม่ จนกว่าจะหาทางเข้าถึงแหล่งเดิมที่บริสุทธิ์ของตน

ปัญหาของเราที่พบอยู่บ่อยๆ คือ "ของกู" เราเกิดมาเรายืนยันในสิทธิโดยกำเนิดดั่งที่ จอห์น ล๊อค กล่าวไว้ แล้วเชื่อมั่นว่า เรามีเจตจำนงกันทุกคน แล้วเจตจำนงนี้ เราอ้างจากพระเจ้า อ้างจากธรรมชาติ และตัวเอง ซึ่งโดดเด่นในยุคสมัยใหม่ ในเรื่องเสรีภาพ ทั้งหมดนี้รวมไว้ในตัวของมนุษย์ยุคใหม่ เราจึงยืนยันในฐานะมนุษย์ แล้วนิเช่ก็กล่าวสนับสนุนเราให้ฮึกเฮิมว่า เราคือ ผู้อิสระจากพระเจ้าแล้ว เพราะพระเจ้ามรณะไปแล้ว อะไรเกิดขึ้นเมื่อเรายืนยันตัวเองว่า เราเก่ง เรายิ่งใหญ่ ผลคือ เราสามารถเอาชนะคนอื่นได้ เราสร้างอาวุธทำลายล้างกัน และสามารถเอาชนะธรรมชาติได้ แล้วผลเป็นเช่นไรเราก็ทราบกันอยู่

เราจะรู้จิต โดยผ่านกระบวนการของกายได้อย่างไร คำตอบคือ ทุกคนมีกาย กายคือ ที่อาศัยของจิต แต่จิตมิได้ยิ่งใหญ่เสมอ มันต้องยอมกาย หรือชนะกาย ในบางครั้ง บางครา เช่น กายแข็งแรง จิตอาจขี้ขลาดกลัวได้ หรือกายอ่อนแอ แต่จิตอาจมีพลังต่อสู้ได้ ฉะนั้น ทั้งสองจึงอาศัยกัน แต่ดูเหมือนว่า จิตย่อมแพ้กลกาล เมื่อกายเสื่อมอายุไข เขาคงไม่คิดใหญ่โตอีก เมื่อใกล้ตาย ตรงกันข้าม จิตจะมีประสบการณ์ของโลกเพิ่มขึ้น โดยเป็นอยู่ในลักษณะยอมรับหรือเคารพโลก มิใช่หวังเอาชนะอีกต่อไป (ยกเว้นกรณีถูกยึดอำนาจ แล้วฆ่าตัวตายเหมือนฮิตเลอร์)

ทางที่รู้อีกทางคือ อาศัยหลักศาสนา เพื่อนำพาไปสู่กระบวนการสร้างจิต และวงจรการเกิด การตายของมันอย่างลึกซึ้ง วิธีการคือ เรียนรู้ศาสนาแล้วปลีกตัวเองไปที่สงัดๆ เพื่อฝึกฝนให้ตนแกร่งในตน รู้ละเอียดเหนือละเอียด เพื่อเข้าไปรู้จิตเหนือจิต ถ้ารู้กระบวนทัศน์เช่นนี้ เราอาจล่วงรู้จิตผู้คนทั้งโลกได้ว่า มีจริต มีลักษณะอย่างไร นี่คือ "วิธีรู้ตน รู้คน ในกาย" (Knowing Me in Body)

---------<>---------

คำสำคัญ (Tags): #จิต#รู้#กาย
หมายเลขบันทึก: 555906เขียนเมื่อ 10 ธันวาคม 2013 10:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 ธันวาคม 2013 21:13 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

I think therefore I am. เขา่ล่ะ เดการ์ดส์

อ่านบันทึกนี้แล้ว คิดถึงนักปรัชญากรีกโบราณมาเป็นแถวเลยค่ะ

มนุษย์..แพ้..สงครามจิต..(ตัวเอง..อิอิ)...เพราะ...กู...เน่า..แน่..อ้ะะะๆๆๆๆ....

....จึงต้อง หา..แพะ..มารับ..บาป...(อยู่ทุกยุค..ทุก..สมัย..(งงๆๆๆ)....)..คิดขึ้นมาได้..ขอต่ออีกนิด..อิอิ....

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท