พุทธทัศน์ในยุคPM


"ผลกระทบจากมุมมองของกลุ่มหลังยุคใหม่ต่อพุทธทัศน์"

1. หลักการและเหตุผล

การพัฒนาการของมนุษย์ เริ่มมาจากการวิวัฒน์ของสัตว์จนพัฒนาไปถึงขั้นเหนือสุดในเผ่าพันธุ์ของตนจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ บรรดาสัตว์โลกทั้งหมดที่อาศัยโลกอยู่ มนุษย์ถือว่าเป็นสัตว์สังคม (Rational Animals) (Y. Masih, 1999: 110) ที่สามารถสร้างสรรค์กิจกรรมในกลุ่มของตนขึ้นมาเองได้อย่างเป็นระบบ กิจกรรมที่ว่านั้นคือ การคิดร่วม (Related Thought) การแสดงออกร่วม (Related Act) (Hans Klein, 2005: 3) หมายความว่า การมีสิทธิในการแสดงออกด้านความคิดเห็นในแง่ทัศนะต่างๆ ที่สามารถตอบโต้ ตอบสนองกันในกลุ่มหรือต่างกลุ่มตนเอง ส่วนการแสดงออกด้านกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าด้านสังคม (Society) การเมือง (Politics) เศรษฐกิจ (Economics) ศาสนาและวัฒนธรรม (Religion and Culture) ฯ

ลักษณะเหล่านี้คือ กิจกรรมเฉพาะในหมู่ของมนุษย์เท่านั้น ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต้องผ่านกระบวนการขัดเกลา เรียนรู้มาจากยุค จากสมัยต่างๆ หลายรุ่น จึงก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคแต่ละสมัย ยุคการกำเนิดมนุษย์แบ่งออก 2 ยุค คือ ยุคก่อนประวัติศาสตร์และยุคประวัติศาสตร์ แต่ละยุคก็แบ่งย่อยออกไปอีก โดยเฉพาะยุคประวัติศาสตร์แบ่งออกไป 4 ยุค คือ ยุคโบราณ ยุคกลาง ยุคสมัยใหม่และยุคปัจจุบัน (ธีรยุทธ บุญมี, 2546: 58) เมื่อกล่าวโดยเวลาแต่ละยุคแล้ว ย่อได้กว้างๆ 2 ยุคคือ ยุคเก่าและยุคใหม่ (Old and New Ages) มนุษย์ผ่านกระบวนการเรียนรู้ จากกาลเวลาและการสร้างสรรค์กิจกรรมของตนเองมายาวนาน ยุคเก่าก่อนเป็นยุคที่บุกเบิก ได้สร้างอาณาจักรและขยายอาณาจักรมนุษย์ขึ้น

ยุคต่อๆ มาได้อาศัยรากฐานกิจกรรมของยุคก่อนเป็นแนวทางในการพัฒนา บ้างก็ยอมรับเอาแนวคิดเก่ามาผสมผสาน (Syncretism) บ้างก็รื้อทำลายหรือปฏิเสธแนวคิดแบบเก่า (Rethought) จึงทำให้เกิดแนวคิดและทฤษฎีต่างๆ ภายหลัง โดยเฉพาะยุคสมัยใหม่ ยุคสมัยใหม่เริ่มตั้งแต่ค.ศ.1910-1945 หลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง จากนั้นแนวคิดหลังยุคสมัยใหม่ก็ปรากฏขึ้นมา ปัจจัยที่เป็นเหตุให้เรียกว่า สมัยใหม่ (Modernism) นั้นมาจาก หลักเหตุผล (Rationality) การหาความจริง (Truth) อิงวิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) อุตสาหกรรม (Capitalism) ความรู้ (Literature) การเมือง (Politics) จนนำไปสู่การคิดแบบสากลนิยมเหมือนกัน และเกิดสังคมเสพบริโภควัตถุตามมา ส่วนในด้านศาสนาปรัชญาและวัฒนธรรมก็ถูกสังคมสมัยใหม่ครอบงำไม่ว่า สื่อ เทคโนโลยีและพิธีกรรมบางอย่าง (Steven Heine and Charles S. Prebish, 2003: 4) จนต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองไปด้วยเช่น เกิดข้อสงสัยจากศักย์ (God’s Power) แห่งพระเจ้า มาเน้นที่ศักย์แห่งมนุษย์แทน (Man’s Potentiality) (Nietzsche, แปลโดย กีรติ บุญเจือ, 2555: 35) หรือในกรณีของลัทธิมาร์กซิสต์ (Marxist) ได้กล่าวหาศาสนาทั้งหลายว่า เหมือนฝิ่นที่มอมเมาประชาชน (Karl Marx,1964: 43)

ในขณะศาสนาอิสลามก็ถูกท้าทายด้วยลัทธิเสรีนิยมและที่ท้าทายศาสนาอยู่อย่างต่อเนื่องคือ ด้านวิทยาศาสตร์ (Elaine Howard Ecklund and Jerry Z. Park, 2009: 277) แนวคิดดังกล่าวได้แผ่ขยายไปทั่วโลก ส่วนประเทศไทยเดิมอิงแนวคิดทางตะวันออกแบบพุทธ ปัจจุบันดำเนินวิถีวัฒนธรรมดั้งเดิมแบบผสมผสานกับหลังยุคใหม่อย่างกลมกลืนเช่น ทุนนิยมในเรื่องพระเครื่อง การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การเผยแผ่ธรรมในโลกสื่อฯ แต่บางกลุ่มมองว่าล้าสมัย (ใหม่) อยู่ ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรากฐานมาจากศาสนาพุทธและสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นแกนกลาง ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ยึดหลักอุดมคติในการสอนให้ดำเนินชีวิตแบบอริยวิถีพุทธ (Noble Way) โดยมีเป้าหมายคือ การออกจากทุกข์โดยอาศัยปัญญา (Wisdom)

แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป สังคมเปลี่ยนไป จนเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ศาสนาพุทธยังคงยึดมั่นหลักการตนเองอยู่ ทำให้กลุ่มที่ยอมรับกระแสยุคใหม่ไม่ค่อยเห็นด้วย ในขณะเดียวกันกลุ่มชนชั้นนำเช่น รัชกาลที่ 4-5 ได้ทรงศึกษาวิทยาการใหม่จากตะวันตก จึงทำให้เกิดความคิดใหม่ที่สอดคล้องกับโลกยุคใหม่ จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางศาสนาพุทธตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (ศ. สิวรักษ์, 2552: 243) ความเป็นพุทธในประเทศไทย (Buddhist being) มิได้อยู่ที่หลักการ (Morality) หรือศาสนวัตถุหรือคัมภีร์ (Symbol or Doctrine) เท่านั้น แต่อยู่ที่ใจหรือความคิด (Buddhist Mind) ของพุทธศาสนิกชน ปัญหาที่ท้าทายพุทธศาสนิกชนตอนนี้คือ จะปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตเป็นแบบตะวันตกหรือไม่ หรือจะยืนหยัดในอุดมคติของตนเองต่อไป ส่วนหนึ่งของศาสนาพุทธฝังรากไว้ที่คนไทยและวิถีไทยคือ ความเป็นวัฒนธรรม (Thai religiosity) (James Taylor, 2008: 1) เช่น ภาษาไทย มารยาทการแสดงออก ฯ

เมื่อประเทศไทยเปิดตัวเองเป็นประเทศเสรี จึงทำให้ผู้คนหลั่งไหลไปศึกษาวิชาการ ความรู้ และวัฒนธรรมต่างชาติและนำเข้ามา กลายเป็นนววิถีที่สอดคล้องกับสังคมยุคใหม่ ปัจจุบันพฤติกรรมของคนไทยยุคใหม่เริ่มแสดงออกเหมือนชาวตะวันตก ด้านวัตถุได้ถูกพัฒนาในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อตอบสนองสังคม จึงเห็นปรากฏการณ์ภาพสมัยใหม่ในประเทศในด้านการพัฒนาความรู้และเทคโนโลยีไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนแสวงหาอิสรภาพ เชื่อในวิทยาการแบบวิทยาศาสตร์มากขึ้น เน้นปัจเจกภาวะ เน้นเสพบริโภควัตถุนิยม เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นสากลนิยม (Universality) จนกลายเป็นปัญหาข้อโต้แย้งกันเชิงสังคม มีการละเมิดกฎศีลธรรมมากขึ้น ละเลยรากเหง้าวัฒนธรรมของตนเองและห่างไกลศาสนา ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ มาจากกระแสสังคมสมัยใหม่ จนอาจนำไปสู่การสูญเสียวัฒนธรรมและสูญเสียจุดยืนที่แท้จริงของตน ซึ่งอาจกระทบถึงหลักการทางพระพุทธศาสนา รวมไปถึงบุคคลากรด้านศาสนาพุทธด้วย (ชาญณรงค์ บุญหนุน, 2554: 9-18)

นอกจากกระแสวัฒนธรรมสมัยใหม่ที่กล่าวแล้ว ประเทศไทยและพระพุทธศาสนายังต้องเผชิญกับกระแสใหม่ที่ตามมาที่เรียกว่า “หลังยุคใหม่” (Postmodernism) (Jean Francois Lyotard, 1979: 71) ที่จะกระทบต่อพระพุทธศาสนาในด้านกระบวนทัศน์ เรื่องการแสดงออกถึงความเชื่อ ความคิดฯ เพราะหลักการพระพุทธศาสนายืนอยู่บนรากฐานเดิม (Originality) ในขณะกระแสหลังยุคใหม่มีแนวคิดที่ก้าวไกลโดยเน้นหลักการแบบสหวิทยาการ (Pluralism) เน้นปัจเจกภาพ (Individualism) ปฏิเสธหลักการใดๆ ผู้คนจะกลายเป็นนักบริโภคนิยมเพื่อตัวเอง สังคมจะถกเถียงกันในกฎเกณฑ์ที่ตายตัว จะเกิดความแตกต่างที่หลากหลาย ผู้คนเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ส่วนศีลธรรม จริยธรรมและความยุติธรรมจะถูกละเลย กระแสสังคมเน้นความเป็นสากลนิยมแบบเดียวกัน สื่อจะมีอิทธิพลต่อความคิดและความเชื่อมากขึ้น แนวคิดตะวันตกถูกยอมรับเต็มที่ ซึ่งผลที่จะกระทบต่อสังคมไทยและศาสนาพุทธอย่างเลี่ยงไม่ได้ ปัญหาอาชญากรรมหรือความมั่นคงในประเทศจะตามมา เนื่องจากสังคมห่างศาสนาและหลักพื้นฐานการเคารพกันและกัน ซึ่งอาจทำลายโครงสร้างสังคมไปจนถึงครอบครัวได้ ดังนั้น ผลกระทบของยุคใหม่และหลังยุคใหม่ที่กล่าวนั้น

ผู้วิจัยเชื่อว่าปัญหาหลักที่จะกระทบพระพุทธศาสนาและสังคมไทยโดยเฉพาะกลุ่มชาวพุทธที่มีวิถีชีวิตแบบเดิม จะถูกท้าทายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น (More Challenge) (Thom wolf, 2007: 3) ซึ่งปัญหาทำนองนี้ได้เกิดขึ้นมาแล้วกับศาสนาคริสต์ เมื่อนิเช่ (Nietzsche) ได้ท้าทายศรัทธาชาวคริสต์ว่า พระเจ้าของท่านได้มรณกรรมไปแล้ว (Nietzsche แปลโดย กิรติ บุญเจือ, 2555: 100) หมายความว่า ศรัทธาชาวคริสต์ได้เสื่อมไปจากพระเจ้าแล้วและไม่ควรเชื่อพระเจ้าอีกต่อไป ควรมาสร้างความเชื่อมั่นในอภิมนุษย์ดีกว่า ปัญหาเช่นเดียวกันนี้ กำลังจะเกิดจะขึ้นในพุทธศาสนาปัจจุบันหรือไม่ เช่น หลักคำสอนเดิมจะถูกสอนให้เพี้ยนไปอย่างไร จะเกิดกลุ่มพุทธใหม่แบบไหน (ระพิน พุทธสาโร, 2554: 589) ภาษาพุทธพจน์จะถูกตีความไปแบบใหม่อย่างไร จากศรัทธาที่เป็นพื้นฐานจะกลายเป็นข้อสงสัยคำสอนอย่างไร (สมบูรณ์ วุฑฒิกโร : 2548) จากการเน้นอุดมคติไปเป็นปัจเจกบุคคลแบบเทียมอย่างไร (ธีรยุทธ บุญมี, 2548: 141) จากความเชื่อในไตรโลก (สวรรค์ มนุษย์ นรก) เป็นความเชื่อแบบเอกนิยม (เน้นมนุษยนิยม)ปัญหาด้านศีลธรรมในสังคมจะเพิ่มขึ้นอย่างไร

นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบจากทุนนิยมต่อพุทธศาสนาอีก (อุทัย สติมั่น, 2554: 520-21) ในแง่การเผยแผ่คำสอน การศึกษา ศิลปวัฒนธรรม รวมไปถึงบุคคลากรของศาสนาที่มีแนวโน้มลดลง (วิไลเลขา ถาวรธนสารและคณะ: 2552) อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแล้วนั้น อาจนำไปสู่การพัฒนาไปในทิศทางที่ดี กล่าวคือนำไปสู่การพัฒนาหลักการ องค์กรและวิถีปฏิบัติทางศาสนา ให้ทันยุค ทันสมัยและให้สอดคล้องกับความต้องการของคนยุคใหม่ได้อย่างกลมกลืน ทั้งนี้ ผู้วิจัยต้องการศึกษาทิศทางและแนวโน้มด้วยว่า “พุทธทัศนะ” (Buddhist Perspective) (สมเกียรติ มีธรรม: 2546) ในโลกยุคใหม่ว่า จะปรับตัวเองไปตามกระแสโลกหรือจะตั้งอยู่บนหลักการอย่างไรหรือจะเกิดศาสนาใหม่หรือไม่ (พระไพศาล วิสาโล, 2546: 472) ในการก้าวไปพร้อมกับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างไร (David L. McMahan, 2008: 320) หรือศาสนามีทางเชื่อมโยงกับโลกหลังยุคใหม่ให้สมดุลอย่างไร

ดังนั้น เมื่อปฏิเสธความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต้องยอมรับตามหลักพุทธที่สอนว่า การเปลี่ยนแปลงคือ ความจริงของโลก ปัญหาที่พบคือ

            1. กระบวนการคิดแนวพุทธทัศน์ที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทยถูกท้าทายจากแนวคิดตะวันตกมากขึ้น

            2. ทำให้วิถีการดำเนินชีวิตของสังคมไทยพุทธมีแนวโน้มไปทางสังคมหลังสมัยใหม่ (Postmodern) โดยวิพากษ์แนวคิดดั้งเดิมแบบพุทธ

            3. จึงเกิดกระแสนิยมแบบเสรีและปัจเจกบุคคลในสังคมไทยพุทธมากขึ้น ด้วยเหตุนี้

            4. วิถีเดิมแบบพุทธควรจะปรับตัวเองให้เข้ากับโลกยุคใหม่หรือจะยึดหลักอุดมคติต่อไปในสังคมหลังยุคใหม่ (Postmodern) ถ้าปรับจะปรับอย่างไร ถ้ายึดอุดมคติจะประนีประนอมอย่างไรกับกระแสโลก

            5. จะเกิดกระแสพุทธแบบใหม่อย่างไรในอนาคต แนวคิดที่สอดคล้อง

2. ทฤษฎีความเห็นที่สอดคล้อง

เดวิท แอล แมคมาฮาน (David L. McMahan, 2008: 320) “The Making of Buddhist Modernism” ได้พูดถึงลักษณะของพุทธศาสนาที่ถูกอิทธิพลของยุคสมัยใหม่ที่ล้อมโอบ จนทำให้พุทธกลายพันธุ์เป็นพุทธผสมผสาน เขาเห็นว่า องค์ประกอบของพระพุทธศาสนาเช่น สมาธิ จิต อัตตาเชิงปัจเจก ทั้งหมดนี้ถูกกำหนดขึ้นมาจากอิทธิพลของยุคใหม่ ซึ่งได้ก่อตัวมาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 ทั้งเอเชียและตะวันตก ซึ่งไม่ใช่การรื้อฟื้นธรรมหรือเน้นย้ำแบบธรรมดา แต่เป็นการผสมผสานในลักษณะที่กลมกลืนกับแนวตะวันตก จึงกลายเป็นพุทธแบบผสมผสานวัฒนธรรมใหม่ ที่ทันสมัยมากที่สุดเรียกว่า “นวพุทธ” (Modern Buddhism) เขามองว่า ทั้งยุคสมัยใหม่และเป็นนวพุทธแบบลูกผสม (Multivalent Buddhist and modernist) ลักษณะดังกล่าวนี้ พระพุทธศาสนาเคยก่อตัวเช่นนี้มาก่อนเช่น พุทธศาสนาแบบเต๋า แบบธิเบต แบบชินโต แบบเซน แบบญี่ปุ่น ส่วนปัจจุบันกลายเป็นลูกผสมกับกระแสยุคใหม่ ซึ่งเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง กระแสบริโภคนิยมเป็นต้น หากเป็นเช่นนั้นมาก่อน ผลกระทบในปัจจุบันคงเลี่ยงไม่ได้ และไม่แปลกที่ศาสนาทั้งหลายต้องอยู่กับโลกแบบผสมผสานกับยุคใหม่เรื่อยไป แต่เราจะมีท่าทีหรือปรับปรุงศาสนาให้เท่าทันสมัยใหม่อย่างต่อเนื่องได้อย่างไร

ศ.นพ.ประเวศ วสี (งานสัมมนา: 1 พฤศจิกายน 2546 ณ หอประชุม มหาวิทยาลัยศิลปากร) “ยุทธศาสตร์พระพุทธศาสนากับการพัฒนาประเทศไทย” ได้กล่าวถึงยุทธศาสตร์ของพุทธศาสนาในการพัฒนาตัวเองสู่กระแสโลกยุคใหม่ว่า สิ่งที่ต้องการคือการปฏิวัติจิตสำนึกใหม่ (consciousness revolution) หันมาดูพุทธศาสนาที่มีคนบอกว่าเป็นภูมิปัญญาสูงสุดของมนุษย์พุทธศาสนามีโลกทัศน์และวิธีคิดที่นำไปสู่การพัฒนาอย่างบูรณาการด้วยมัชฌิมาปฏิปทา โดยส่งเสริมคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ ถือเรื่องความดีสูงสุดของมนุษย์ที่มนุษย์สามารถจะไปถึงได้ทุกศาสนา หัวใจของศาสนาคือโลกุตตรธรรม โลกุตตรธรรม หมายถึงมิติทางจิตวิญญาณ ที่เลยมิติทางวัตถุ ทุกศาสนาจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นส่วนที่เรียกว่า spiritual หมายถึง โลกุตตรธรรมที่เหนือโลกทางวัตถุ ฉะนั้น เรื่องศาสนาจึงจำเป็นสำหรับการพัฒนาสมัยใหม่ที่กำลังวิกฤตอยู่ จำเป็นต้องมามองพุทธศาสนาในฐานะที่เป็นต้นทุนหรือว่าเป็นสมบัติของเราที่จะนำมาใช้เพื่อจะแก้วิกฤตในการพัฒนาในสมัยใหม่ ที่เรากำลังเผชิญอยู่

พระไพศาล วิสาโล (งานสัมมนา: 1 พฤศจิกายน 2546 ณ หอประชุม มหาวิทยาลัยศิลปากร : เรื่อง อนาคตพุทธศาสนาไทย เราจะฝ่าวิกฤตได้อย่างไร) ท่านได้กล่าวถึงสังคมมนุษย์ว่า จะต้องอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติเพื่อสันติสุขในสังคม ส่วนด้านศาสนาก็ต้องอาศัยการพัฒนาไปกับสังคมโดยอิงพื้นฐานด้านวัฒนธรรมและทุนมนุษย์เป็นตัวตั้ง มิใช่อิงทุนนิยม เมื่อมองในมุมกว้าง สังคมโลกปัจจุบันเต็มไปด้วยแรงโลภจริตเป็นแรงขับเคลื่อนเป็นแนวตั้งแนวคิดนี้ โลกต้องการให้เป็นอารยธรรมเดียวกันหมดทั้งโลก ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง จนโลกเดี๋ยวนี้เกิดวิกฤตเพราะอารยธรรมทุนนิยมนี้ในยุคใหม่ จึงส่งผลกระทบต่อมนุษย์ทั่วโลก ไม่ว่าวัฒนธรรม รวมทั้งศาสนาด้วย โดยเฉพาะด้านจิตวิญญาณของมนุษย์ นี่คือ ผลกระทบจากอารยธรรมทุนนิยมยุคใหม่ และอีกมุมหนึ่ง มีกลุ่มที่ต่อต้านแนวคิดยุคใหม่นี้ที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มหลังยุคใหม่ และปฏิเสธทุนนิยมเป็นตัวตั้ง กลุ่มนี้รวมทั้งศาสนาด้วย ท่านจึงเสนอว่า ทางออกสำหรับศาสนาพุทธมีแนวคิดดังนี้ สร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน ส่งเสริมแนวคิดเชิงพุทธร่วมกัน พัฒนาศาสนาแบบบูรณนาการกับสังคม เน้นให้รื้อฟื้นหลักปฏิบัติดั้งเดิมไว้ และส่งเสริมให้เกิดการวิจัยมากขึ้น ซึ่งนี่คือ แนวทางที่น่าจะเป็นทางประสานต่อกลุ่มทั้งสองคือ กลุ่มยุคใหม่และกลุ่มหลังยุคใหม่ด้วย

ท่าน เคนชิน ฟูกามิซุ (Ven. Kenshin Fukamizu: 2007) “Internet Use Among Religious Followers: Religious Postmodern in Japanese Buddhism.” ท่านได้กล่าวถึงสังคมญี่ปุ่นที่ได้รับอิทธิพลจากสังคมยุคไอที สื่ออินเตอร์เน็ตที่กระทบสังคมการสื่อสาร รวมทั้งศาสนาด้วย กิจกรรมในศาสนาได้รับผลได้ด้วย ดังนั้น องค์กรชาวพุทธกลุ่มหนึ่งในญี่ปุ่น จึงจัดกิจกรรมทางศาสนาขึ้นทางอินเตอร์เน็ตเพื่อสื่อสารกันเองและเชื่อมโยงทั่วเอเชียด้วย ปี 2551 มีเวบไซต์เกี่ยวกับกิจการทางพุทธศาสนาถึง 2,900 เวบไซต์ จุดประสงค์นี้เพื่อติดต่อสื่อสาร เชื่อมโยงในโลกยุคสมัยใหม่ให้เกิดการรับรู้ การเคลื่อนไหวของกิจการและองค์ความรู้ในโลกยุคใหม่ อีกทั้งยังเป็นสื่อกลางในการเล่า (Narrative) เรื่องประสบการณ์ในแง่บุคคล เพื่อสมาคมกัน เนื่องจากว่า สังคมยุคใหม่ของญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนแปลงจากอดีตมาก นับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มา ทำให้ไม่สามรถติดต่อ ประสานกันในเชิงบุคคลได้ โดยเฉพาะชาวพุทธในชนบทที่เป็นชาวเกษตร ได้อพยพเข้าสู่เมืองจำนวนมาก ท่านชี้ว่า องค์กรนี้มีรูปแบบการเชื่องโยงกัน 2 อย่างคือ การเชื่อมโยงระหว่างสมาชิกและกลุ่มชาวพุทธ และการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม โดยเน้นหลักคำสอน กฎต่างๆ ให้เป็นระบบมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับโลกสมัยใหม่ โดยอาศัยอินเตอร์เน็ต (เวบไซต์) ติดต่อกัน

เจมส์ เทย์เลอร์ (James Taylor, 2008: 1-2, 34) “Buddhism and Postmodern Imaginings in Thailand; The religiosity of Urban Space.” เขากล่าวว่า ถ้าต้องการเข้าใจในสถานการณ์หลังยุคใหม่ของสังคมไทย ต้องย้อนรำลึกถึงอดีตในแง่ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมทางศาสนาที่มีส่วนสำคัญยิ่งในการค้ำจุนประเทศไทยไว้ แต่พอมาถึงยุคใหม่แนวคิดเก่าๆ กลับค่อยๆ หายไป จนทำให้เกิดช่องว่างระหว่างยุคขึ้นมา จึงจำเป็นที่จะต้องตีความสังคมศาสนาและวัฒนธรรมแบบสร้างสรรค์ใหม่ให้ดำเนินไปตามกรอบยุคใหม่ด้วยกัน มิฉะนั้นจะเกิดการโต้แย้ง หักล้างกัน เขายกตัวอย่างกรณี การเรียกร้องพุทธประจำชาติ ละครเกี่ยวการเมือง ศาสนาวัฒนธรรมและพระสุวรรณกัลยา เป็นประเด็นที่ขัดแย้งในหมู่นักวิชาการและนักสังคมสมัยใหม่ที่ใช้เป็นเครื่องมือสื่อเชื้อชาติและศาสนา

ดังนั้น เขาจึงเสนอว่า ควรนำเอากรอบอดีตและปัจจุบันมาประสานกัน (Montage) เพื่อปรับตัวเอง แต่ดูเหมือนองค์กรพุทธไม่พยายามที่ปรับตัวเอง กระนั้นก็ตาม ภายในองค์กรพุทธเองที่ต้องการอยากเห็นศาสนาพัฒนาไปพร้อมกับโลกยุคใหม่ จึงเกิดกลุ่มกระแสพุทธแนวใหม่ขึ้น เช่น กลุ่มพุทธในโลกไซเบอร์ (The Digital Buddhism) ที่ดำเนินการเผยแผ่คำสอน การประสานกับโลกยุคใหม่ และกลุ่มพระธรรมกาย ที่ดำเนินการแบบเครือข่ายทั่วโลก นี่คือ มุมมองชาวตะวันตกที่มองสังคมไทยที่กำลังเผชิญกับโลกยุคหลังยุตใหม่ที่ท้าทายพุทธศาสนาอยู่ขณะนี้

พระศรีคัมภีรญาณ (พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญฺโญ) (2543) “วิพากษ์แนวคิด: พระพุทธศาสนาสำหรับโลกหลังยุคใหม่” ท่านได้กล่าวถึงประเทศญี่ปุ่นเป็นตัวอย่าง เพราะเป็นประเทศที่มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันผู้คน จิตใจและศาสนาวัฒนธรรมกลับถดถอยค่อยๆ เสื่อมลงไป โดยเฉพาะชนบท ท่านได้ยกตัวอย่างกรณีพระเซ็นหนุ่มรูปหนึ่ง เมื่อปีพ.ศ. 2502 ได้เรียกร้องให้มีการปฏิรูปพุทธศาสนานิกายเซ็น ที่ยึดถือแบบประเพณีนิยมแบบเก่าและสอนกันผิดๆ ในหมู่อาจารย์เซ็น หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ท่านกล่าวว่า ต้องปฏิรูปเซ็นและทำลายวิธีแบบเดิมที่บรรดาอาจารย์สอนกันผิดๆ ต่อมาแนวคิดนี้ถูกสนับสนุนต่อ และมีการประกาศอย่างรุนแรงว่า แม้จะฆ่าพระ ทำลายวัด เพื่อให้เซ็นกลับมามีชีวิตใหม่ก็ยอม ในแนวคิดของพระเซ็นหนุ่มรูปนั้นมีข้อเสนออยู่ 3 อย่างคือ 1) ปัจจุบันสังคมญี่ปุ่นกำลังห่างศาสนาไปเรื่อยๆ 2) เกิดนิกายใหม่ขึ้นมาจำนวนมาก 3) วิถีเซ็นแม้จะทันสมัย แต่ก็เน้นแบบประเพณีดั้งเดิมในกำแพงวัดอยู่ ในขณะโลกหลังยุคใหม่พัฒนาไปไกลกว่า ท่านยกตัวอย่างกรณีญี่ปุ่นขึ้นมาเพื่อวิจารณ์แนวคิดการพัฒนาศาสนาหลังยุคใหม่ โดยวิพากษ์ไว้ หลายประเด็น เช่น เรียนรู้นิกายตนให้ลึกซึ้ง ร่วมวงสนทนาแบบเปิดใจในต่างนิกายและศาสนา เพื่อเป้าหมายที่มนุษยชาติ และเรียนรู้โลกยุคใหม่ให้ทัน ฯ กรณีเช่นนี้ เมื่อหันมามองในประเทศไทย ก็ไม่ต่างจากญี่ปุ่นนัก ในเรื่องศาสนากับการพัฒนาสังคมในหลังยุคใหม่ เราทราบดีอยู่แล้วว่า พุทธศาสนาในไทยเกิดกระแสอย่างไรหลายทศวรรษมานี้ ซึ่งอาจมาจากผลของการพัฒนาโลกในปัจจุบันหรือในศาสนากันแน่

พระมหา ดร. สมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร (2548) “วรรณกรรมพระพุทธศาสนาในสังคมยุคใหม่” ท่านได้ย้อนสำรวจวรรณกรรมพุทธศาสนาตั้งแต่สมัยร. 4 เพราะถือว่าเป็นต้นยุคใหม่ของไทย จากวรรณกรรมในยุคร. 4 พระราชโอรส คือ สมเด็จพระสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้รจนาพุทธประวัติขึ้นมาตามหลักเหตุผลและแนววิทยาศาสตร์ เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากแนวคิดตะวันตกและพระราชบิดาอยู่มาก ซึ่งต่อมาเกิดการวิพากษ์วิจารณ์อยู่มากในแง่รูปแบบแนวคิดใหม่ ในเวลา 160 ปีเศษ จนมาถึงยุคกลาง คือ ยุคหลวงพ่อพุทธทาส ซึ่งเป็นพระนักวิพากษ์วิจารณ์สังคมศาสนาอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะคำสอนท่านได้เขียนวรรณกรรมเรื่อง ภาษาคน-ภาษาธรรม (ที่จริงท่านตั้งใจจะเขียนพจนานุกรม) ซึ่งเป็นวรรณกรรมที่แตกต่างจากยุคเก่าๆ อย่างสิ้นเชิง เนื่องจากการตีความให้เกิดรูปธรรมชัดเจนระหว่างภาษาชาวบ้านและภาษาธรรมที่คนยุคใหม่เข้าใจ หรือเรื่องปฏิจจสมุปบาท จากเดิมตีความแบบไตรภพ หลวงพ่อพุทธทาสมองว่า เป็นเนื้องอกและผิดพลาดในหลักการ ท่านชี้ว่า การตีความเช่นนั้นยิ่งทำให้ห่างโลกนิยมมากขึ้น จึงตีความใหม่ว่า อยู่ในภพนี้เท่านั้น (Here and Now) ส่วนยุคใหม่ล่าสุดคือยุคพระพรหมคุณาภรณ์ ท่านตีความวรรณกรรมแบบใหม่ที่อิงในพุทธปริมณฑลตามพระธรรมวินัยแบบเก่า แต่มีฐานอิงเชิงวิชาการ มีระบบมากขึ้น ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากอิทธิพลของแนวคิดตะวันตกและการเปลี่ยนแปลงของโลก อย่างไรก็ตาม ท่านพระมหาสมบูรณ์มองว่า อิทธิพลของหลังยุคใหม่ มิได้มีผลต่อพุทธศาสนา เพราะพระพุทธศาสนามีฐานหรือหลักการที่อิงอยู่กับโลกอยู่แล้ว ท่านห่วงอย่างเดียวคือ พุทธศาสนาจะรักษาจุดยืนของตนแบบดั้งเดิมไปกับโลกยุคใหม่ได้อย่างไร

ดร. ศศิวรรณ กำลังสินเสริม (2551: บทคัดย่อดุษฎีบัณฑิต) “พุทธกระบวนทัศน์ในการดำเนินชีวิตยุคบริโภคนิยม” การวิจัยพบว่า ผลสำเร็จของกระบวนการบริโภคนิยมอยู่ที่ความสามารถในการกุมความคิดของคนในสังคมให้มีกระบวนทัศน์ในการดำเนินชีวิตว่า ต้องเป็นคนทันสมัย ร่ำรวยสิ่งอำนวยความสะดวก กลายเป็นค่านิยมที่ไม่ได้ส่งผ่านเฉพาะสื่อสารสนเทศประเภทต่างๆ เท่านั้น หากยังได้รับการปลูกฝังโดยสถาบันต่างๆ ในสังคม จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย ทำให้พฤติกรรมของความคิด คำพูด การกระทำ วิถีชีวิตและกลไกต่างๆ ในสังคมถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรมบริโภคนิยม ทำให้คนไทยเคลื่อนออกจากศีลธรรม ถือเงินเป็นใหญ่ คิดหาหนทางลัดเพื่อบรรลุประโยชน์ตน โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบใดๆ ดังนั้น เพื่อให้สังคมไทยมีวิถีชีวิตที่อุดมด้วยปัญญา พึ่งพาตนเองได้อย่างมีความสุข มีความพอดี มีภูมิคุ้มกันเท่าทันการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกรอบตัวและภายในจิตใจอย่างชัดเจน โดยไม่ยึดเอาบริโภคนิยมเป็นจุดหมาย แต่อาศัยเป็นเครื่องมือเพื่อยังชีวิตตนให้อยู่ได้ทั้งกายและจิตท่ามกลางกระแสบริโภคนิยม คนไทยต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดหรือกระบวนทัศน์มาสู่พุทธกระบวนทัศน์ด้วยการนำหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้อย่างจริงจัง จนสามารถฝังรากลึกทางจิตใจคนไทย นี่คือ ผลที่กำลังเกิดขึ้นกับสังคมไทย ที่เปลี่ยนไป ซึ่งถือว่าเป็นผลมาจากปฏิกิริยาโลกยุคใหม่ที่คนไทยแสดงตัวตนในเชิงปัจเจกบุคคล ที่เน้นเสรีภาพในการบริโภค ซึ่งแม้จะมีพุทธศาสนาเป็นฐานในการมองโลกในความเป็นจริงก็ตาม แต่พุทธศาสนาขณะนี้ มีพลวัตรต่อการนำพาชีวิต จิตวิญญาณสังคมไทยแค่ไหน

3. แนวทางแก้ไข

พระพุทธศาสนาได้พยายามโน้มน้าวให้ผู้คนให้มองเห็นความจริงจากใจตนและจากปรากฎการณ์แวดล้อมรอบตัว เพื่อพัฒนามุมมองให้ถ่องแท้ในตนเองว่า ชีวิตอยู่ได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยการมีปัญญาเอาตัวเองให้รอดจากภัยต่างๆของโลก ในขณะเดียวกันเรามีสังคม ผู้คน ประเทศชาติ วัฒนธรรม ครอบครัว ฯ ที่จะต้องคอยช่วยเหลือ มีใจเผื่อแผ่กันไปด้วย แต่การช่วยเหลือ รักษานั้น มีความสอดคล้อมกับโลกสมัยนิยมหรือสังคมโลกกอย่างไร เพราะกระแสโลก สังคม คือ แรงฉุดที่จะนำพาให้เราก้าวย่างไปอย่างสร้างสรรค์ในการครองชีวิต มิฉะนั้น เราคงจมจ่อม หมักหมก ในดงอดีตเป็นแน่ ซึ่งมันต่างกับคนรุ่นใหม่ที่ก้าวนำโลก ล้ำโลกอย่างไม่หยุดยั้ง อย่าลืมว่า ผู้คนเหมือนระลอกคลื่น คลื่นเก่าถึงฝั่งหายไป คลื่นใหม่ก็ตามมา ไม่จบสิ้น

จุดสมดุลคือ เราจะยืนหยัดในหลักเก่าให้เป็นรากกระแสใหม่อย่างไร และจะประยุกต์เอากระแสใหม่มาเกลียวฟั่น ให้มั่นคงได้อย่างไร หาไม่แล้วก็จะเกิดช่องว่างระหว่างคลื่นทั้งสองได้ เมื่อต่างตำหนิกันว่า "คนเก่าเหมือนไดโนเสาร์ คนใหม่ไวราวจรวด"เราจะทำเช่นไร ปัญหานี้ พระพุทธศาสนากำลังเผชิญอยู่ แนวทางเสนอคือ

      1. มีมุมมองโลก "World View" กระตุ้นให้ชาวพุทธเปิดใจให้กว้าง เรียนรู้ให้มาก อย่าเชื่อและอย่าคิดแต่เฉพาะ พระธรรม คัมภีร์ของตน ศาดาของตน ว่่าคือ "Super-top" มองออกไปหน้าต่างว่า โลกมีอะไรมากกว่าที่เราเป็น เมื่อชาวพุทธทั้งพระสงฆ์และฆราวาสมองโลกทัศน์ให้เป็นวิสัย ย่อมจะมองเห็นปรากฎการณ์ของกระแสโลกได้ ปัญหาคือ จะทำเช่นไรมิให้ตนเองหลงหรือไหลไปตามในกระแสโลกเกินฐานตน หลักคือ "แสวงจุดร่วม สำรวมจุดต่าง" ไว้

      2. วิเคราะห์หลักธรรม "Applied Doctrine" พุทธธรรมหรือพุทธพจน์ ที่เราเรียนตั้งแต่เด็ก จนบัดนี้ก็ยังไม่ต่างจากมุมเดิม เป้าหมายเบื้องต้นคือ สอบผ่าน ท่ามกลางคือ จดจำคำสอน ที่สุดคือ เลือนลาง วิธีที่ได้ผลและก้าวหน้าคือ ควรนำเอาหลักการด้านสหวิทยามาสอดแทรกหรือเอาพุทธไปจับหลักการสหวิทยานั้น เพื่อให้เกิดกระบวนทัศน์ในการสร้างสรรค์มุมมองใหม่ขึ้น โดยหยิบยิมแนวคิด นักคิดทั้งตะวันตกและตะวันออกมายืนยัน แล้วฟั่นให้เกิดเป็นแนวคิดที่ตกผลึกใหม่ แต่เมื่อทำเช่นนั้น จะทำให้แกนเพุทธเสียหายไปในอากาศหรือไม่ หลักคือ "อ่างน้ำเก่าย่อมมีตะกอนบ้าง เทน้ำอื่นมาผสมให้กลมกลืนเสีย"

      3. ภาษาจะพาสาว "Meaning Langauge" ในโลกที่เราอยู่นี้ล้วนมีชื่อของสรรพสิ่งทั้งสิ้น รวมไปถึงนามธรรมในสมองของเรา และสภาพแวดล้อมด้วย จนขนาดกลุ่ม Nominalism เชื่อว่า สรรพสิ่งมีจริงได้เพราะมีคำเรียกสิ่งนั้น สิ่งนี้ เมื่อเราฉลาดและพัฒนาภาษาขึ้นมา เพื่อสื่อสารเจตจำนงและเหตุการณ์ใดๆ พอนานเข้าเรากลับใส่กระแสจินตนาการเข้าไปด้วย จนเกิดการผิดเพี้ยนที่จะสื่อความจริงได้ เมื่อภาษาผ่านมนุษย์ (สมอง) ก็บิดเบี้ยวไป กลายเป็นวาทกรรมที่เรียกว่า "มายาคติ" ส่วนในด้านศาสนาภาษาออกมาจากพระเจ้า ผู้รู้ นัยว่า เป็นรหัสลับ เมื่อผ่านกาลไป เราก็ลืมความหมายเดิมของศาสนา ยิ่งปัจจุบันพลเมืองของภาษาเกิดใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ภาษาเก่าๆ หายไปและทำให้เชื่อมความหมายเดิมไม่ได้ ที่สุดก็กลายเป็นภาษาและความหมายใหม่ ดังนั้น การจะเข้าใจโลกของภาษาศาสนาได้ดีมีสองวิธีคือ "รู้ภาษาเดิมและรู้ภาษาใหม่" เช่น คำว่า "กรรม" เดิมคือ กิริยาการสร้างของพระพรหม ใหม่คือ การสร้างของมนุษย์ ยิ่งกว่านั้น ภาษาสมัยใหม่ยังเข้ามาแทรกอีกคือ ภาษาอังกฤษ ซึ่งทั่วโลกใช้อยู่ การเรียนรู้เฉพาะภาษาบาลี ไทย คงไม่พอ นอกจากนี้ยังมีภาษาจิต (phychological sign) ที่สื่อไม่ได้หมดอีกด้วย ปัญหาคือ ไม่รู้ภาษา หลักคือ เราพูดภาษาใดก็ควรทำความเข้าใจภาษานั้นๆให้ลึกซึ้ง

     4. จัดสัมมนา หาข้อยุติร่วมกัน "Agreement point" หมายถึง แต่ละศาสนาก็ล้วนมีความเห็นที่แตกแยกด้านทัศนะทั้งสิ้นจนเกิดนิกายต่างๆ ในแต่ละศาสนา แต่พวกเขาก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ ข้อเสนอคือ แสวงหาจุดร่วมที่เป็นสากลหรือศูนย์กลางกัน เพื่อมิให้แต่ละกลุ่มหลุดกรอบ หรือถ้าหลุดกรอบก็ควรทำข้อตกลงร่วมกัน เพื่อให้แนวทัศน์เป็นไปตามกรอบธรรมศาสน์ มิฉะนั้น เราก็ต้องมาตอบโต้หรือตีความต่างสำนักกันประจำ ปัญหาคือ เมืองพุทธทั่วโลกเป็นเอกภาพด้านนี้แค่ไหน แค่ในไทยก็แตกแยกกันแล้ว มิใช่จัดแค่พบปะสังสรรค์กันแล้วบอกว่า ผู้นำชาวพุทธทั่วโลก  แล้วมีพลวัตรต่อชาวพุทธโลกอย่างไร ทางด้านธุรกิจเรียกว่า "รวบกิจการ" เข้าด้วยกัน เพื่อความเข้มแข็งนั่นและ

      5. ส่งเสริมด้านการวิจัย "reseach support" หมายถึง ความรู้ต้องได้รับการขัดเกลา แก้ไขตามกาลสมัย เพราะความรู้เกิดขึ้นใหม่ทุกวัน การส่งเสริมด้านนี้ เป็นการพัฒนามุมมองใหม่ และหาข้อมูลเพิ่มขึ้น ยิ่งปัจจุบันข้อมูลล้นสื่อ ล้นตลาด แต่เป็นข้อมูลที่ยังไม่ได้ขัด(ลับ)กรอง  ผู้คนจึงเหมือนเชื่อและแยกแยะไม่ออกว่า อันไหนแม้ อันไหนเทียม อันไหนจริง อันไหนเท็จ ใครพูดจริง พูดเท็จ ปัญหาคือชาวพุทธมิได้มีนิสัยเป็นนักวิจัย หลักคือ สนับสนุนผู้ศึกษาวิจัยหรือส่งเสริมให้เรียนรู้ด้านนี้

      6. ปฏิบัติให้ชัดเจน "clear known mind" หมายถึง พุทธศาสนามีเป้าหมายคือ การเข้าถึงธรรมชาติของจิตเดิม มิใช่จิตแห่งจินตนาการ แต่ต้องเผาตปะหรือหลอมจิตตนให้เกิดผลตามหลักคำสอน ถ้าทำได้เช่นนี้ แม้จะมีศาสตร์หรือสิ่งน่าตื่นเต้นในพลังวิเศษแค่ไหนก็แพ้ปัญญาระดับลึกนี้ ปัญหาคือ "ชาวพุทธแค่ปากไซหรือหลงสวนดอกไม้" ไม่กล้าเข้าไปส่วนลึก หลักคือ "คิดให้มาก ปากให้น้อย ตามรอยจิต" และอีกวิธีคือ ตั้งองค์กรด้านวิจัยจิตเชิงวิทยาศาสตร์ เพื่อศึกษาด้านจิตโดยเฉพาะ

       ปัญหาและข้อเสนอมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนบุคคลเท่านั้น เป็นการแชร์ทัศนะกัน หากใครมีข้อเสนอแนะหรือแย้งประการใดก็เชิญมาบันทึกร่วมกัน   ท่านมีสมองที่เชื่อมโยงคนอื่นได้โดยการคิด การเขียน การพูดคุย ในเชิงสร้างสรรค์

 

โดย ส.รตนภักดิ์ : วัดเพลง ภาษีเจริญฯ- ๒๕๕๖ --------------------------------------------------------------------------------

[2] จากปาฐกถาในการสัมมนาประจำปีของเครือข่ายชาวพุทธเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคมไทยเรื่อง"อนาคตพุทธศาสนาไทย: เราจะฝ่าวิกฤตได้อย่างไร" เมื่อวันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2546 ณ หอประชุม มหาวิทยาลัยศิลปากร จัดโดย เครือข่ายชาวพุทธเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคมไทย มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ แล<

หมายเลขบันทึก: 553644เขียนเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2013 15:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2013 18:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

หลักฐานที่มีในโลก ไม่เพียงพอที่จะยืนยันว่ามนุษย์พัฒนามาจากสัตว์ เพราะหากเช่นนั้น มหาบุรุษที่เรานับถือนั้น พัฒนามาจาก เดรัจฉานจริงๆหรือ

และหากยังไม่ไปดูที่หลักฐานจากผู้สร้างมนุษย์ มนุษย์ก็จะไร้ความรู้ว่า มนุษย์ถูกสร้างมาอย่างไร

และหากยังยืนอยู่ในที่ที่ปิดกั้นในปัญญาญาณอยู่ ก็ไม่พิพากษาว่าท่าน ขาดความรู้ เพราะท่านไม่เคยมีมันต่างหากล่ะ

เอางี้ หากเป็นตามท่านว่าไปก่อนร่วมกันก็ได้นะ ไม่ค้าน ขอฯ

กตัญญูไปเลย

ด้วยปรัญาแห่งสันติธรรม(อิสลาม) มีภาระหน้าที่ และ กตัญญู เป็นพื้นฐาน

จากการกล่าว การแถลงการ หรือส่งสาร ของท่าน

ถ้าเช่นนั้น เราขอฯ กตัญญู ต่อ ผู้สร้าง ให้คุณค่าปรากฎ เพื่อการเสพ กำหนดสภาวะที่เหมาะสม กับ “ความรู้ทุนนิยม” อย่างสูงสุด

ไม่ลบหลู่ ปิดกั้น หรือ รีบเนรคุณ ทั้งเมื่อได้ยินนาม และยังไม่มีโอกาสพบรูป รอได้ ไม่ขาดขันติธรรม รีบเนรคุณ ลบหลู่ก่อน

จะขอกตัญญู เพื่อการศึกษา ไปพลางๆ ไม่รีบก่อการ เนรคุณ ปิดกั้น ปฎิเสธ ไปพลางๆ

รักใครก็บอกต่อเรื่อยๆ ไม่ทิ้งภาระหน้าที่ เอนโดฟีนหลั่งแบบไม่มีอามิสสินจ้างรางวัล แม้แต่ ความพึงใจและบุญก็ไม่ขอรับมาเสพ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท