ตอนที่ ๓ ก้าวข้ามรั้วลวดหนาม
ลองคิดตามดูว่า...ตากล้องขาติสส์ แต่แขนกับข้อเข่าไม่ติสส์เท่าไหร่นั้น
จะทำงานหนักเพียงใดกับการพูดคุยโดยอิสระจากกันในสองสนาม
...
ถึงแม้แม่พลอยจะใส่กระโปรงที่บานขนาดเท่ากับสองคนใส่พร้อมกันได้
และเวลาเดินก็มักจะทำความสะอาดพื้นไปในตัว คือ กวาดเศษหินดินทรายไปตามทาง
แต่แม่พลอยก็สามารถที่จะมุดรั้วลวดหนามแหวกพงต้นเข็มหนาๆออกมาได้
(ด้วยความช่วยเหลือของพี่ทิมดาบที่ท่าทางเป็นห่วงน่าดูพอประมาณ)
ดร.เก๋คล่องแคล่วว่องไวและสวยดุจแวมไพร์หญิง สามารถผ่านรั้วลวดหนามไม่ยากเย็น
...
ทันทีที่ผ่านรั้วมาได้และเงยหน้าขึ้นนั้น
โอ้โห...แม่พลอยคนตรงๆคำอุทานจึงออกมาตรงๆจากใจ
ที่ดวงตาทั้งสองเห็นหนองน้ำค่อนข้างใหญ่ โดยรอบมีต้นไม้และผืนหญ้า
ที่กำลังถูกตัดแต่งดูแลให้สะอาดตา ซึ่งจะส่งต่อความสะอาดไปที่ใจผู้พบเห็นด้วย
แสงแดดสดใส ลมเย็นพัดโชยเอื่อยๆกับบรรยากาศโล่งๆหายใจสะดวกดีนัก
...
พี่ทิมดาบเดินพาไปนั่งคุยกันที่ศาลาริมน้ำนั้น
ระหว่างทางเดินไปชาวบ้านที่มาตัดหญ้าและที่ขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านมา
ก็ร้องทักทายกับหมออดิเรกไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ คล้ายๆติดตามอาการไปในตัว
อย่างเป็นกันเองด้วยดวงหน้าเปื้อนยิ้มมิขาดสาย
...
พี่ทิมดาบเป็นผู้ที่มีบุคลิกคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงสดชื่น
ดวงตามั่นคงและใสเป็นประกาย ทำให้แม่พลอยนึกถึงคำกล่าวของอาจารย์กะปุ๋ม-ดร.นิภาพร ลครวงศ์
ที่เคยพูดไว้ คนที่มีความสุขจากภายในดวงตาจะใสปริ้งเป็นประกาย...ใช่เลยอย่างนี้แหละ
ได้แล้ว...นี่ไงมะเฟืองเค้า
ภาพโดย อ.อิ๊
โปรดติดตามตอนต่อไป...
มะปรางน่ากินมาก
ดีใจที่ได้พบคุณทิมดาบนะครับ
ขอบคุณอ.ขจิตครับ ผมหลงเรียกว่ามะเฟือง มาตลอด