ดวงประทีปแห่งเเรงบันดาลใจ ๕


ในความทรงจำ ความจริง เเละความฝัน เป็นเรื่องที่สามารถเป็นพลังใจให้เราได้ เราควรลองย้อนมองดูทั้ง ๓ สิ่งนี้จะสามารถทำให้เรามีเเรงบันดาลใจในการทำสิ่งต่างๆให้ดีที่สุด

กำลังใจที่ใฝ่ฝัน

 

 

         ชีวิตเราเกิดมาบนโลกใบนี้ เราหนีไม่พ้นอยู่ ๓ สิ่งด้วยกัน คือ ความทรงจำเมื่อครั้งอดีต  ความจริงในปัจจุบัน  เเละความฝันในอนาคต คนเราทุกคนมี ความทรงจำ ความจริง เเละความฝัน ซึ่งหลายๆก็มีต่างกันออกไปจึงไร้ซึ่งเครื่องมือใดที่สามารถเป็นมาตรวัดได้...บางคนมีความทรงจำที่ลึกซึ้งในอดีตชอบอยู่กับอดีต  อยู่กับอดีตเเล้วมีความสุขด้วยการรำลึกนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาต่างๆนาๆที่หลายครั้งทำให้เราได้มีความสุขกับการรำลึกนึกถึงจนทำให้เรามีเเรงบันดาลใจในการทำงานต่อไปอย่างมีพลัง  อาทิ นึกถึงคนที่เคยจากไปที่เป็นบุคคลสำคัญนึกถึงเมื่อครั้งเขาอยู่กับเราเขาฝากสิ่งไหนไว้ให้เราได้คิด  ได้ย้อนมองดู จนอาจเกิดกลายเป็นเเรงบันดาลใจในการทำสิ่งต่างๆในการดำเนินชีวิต  หรือจะเกิดกลายเป็นอุดมการขึ้นมาในตัวของเราเองก็เป็นได้  หรือเราอาจย้อนมองไปในอดีตที่เป็นบทเรียนครั้งสำคัญของตนเองอาจเป็นบทเรียนที่เเทงใจทุกครั้งเมื่อได้นึกถึงจนเกิดกลายเป็นการตั้งปณิธารในตัวของเราเองว่าจะไม่ตกลงไปในหลุมเเห่งบทเรียนที่เราเคยหลาดพลั้งนั้นอีก  ในเรื่องราวของอดีตนั้นเราทุกคนสามารถรำลึกนึกถึงได้  เราอาจลองย้อนมองดูว่า "คนที่จากเราไปนั้นให้บทเรียนอะไรเราไว้บ้าง" เเล้วทำอย่างไรเราจะไม่ตกหลุมเเห่งบทเรียนนั้นอีกครั้ง  "เราได้ย้อนมองเขาเรารู้สึกอย่างไรในการกระทำเมื่อครั้งในอดีตของเขาที่ผ่านมา" เมื่อเรารู้สึกเช่นนั้นเเล้วเราจะทำอย่างไรให้ความรู้สึกนั้นเป็นไปในทางที่เหมาะควรหรือในทางที่ดี  "เเล้วเราอย่าลืมว่าเราไม่สามารถเเก้ไขอดีตได้เเต่เราสามารถย้อนมองเห็นได้" เเต่จะมีอีกหลายๆคนที่ได้ย้อนมองดูอดีตของตนเเล้วกลับรู้สึกหวาดกลัวเเละระเเวงทั้งนี้อาจเป็นเพราะเมื่อครั้งอดีตเขาอาจพบเจอกับความเลวร้ายที่ไม่อาจรับได้กับเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะการรำลึกนึกถึงอดีตเเล้วมีเเรงบันดาลใจนั้นเราไม่สามารถทำได้ทุกคน "คนชราเมื่อได้ย้อนมองดูอดีตของตนเเล้วมักจะรู้สึกดีเเละมีเเรงบันดาลใจทั้งนี้ก็เพราะคนเราเมื่อได้ผ่านเรื่องราวต่างๆนาๆที่คอยกล่อมเกลาจิตใจเเล้วทำให้เมื่อได้ย้อนมองสิ่งที่ได้ทำไปอาจทำให้เกิดเเรงบันดาลใจขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์" เมื่อได้มองอดีตเเล้วเเนะนำให้เราหันมาสู่ความจริงมิเช่นนั้นเราจะจมอยู่กับความรู้สึกของความเป็นอดีตไปได้นั่นเอง..."ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย" เปรียบได้กับทุกสิ่งที่อย่างบนโลกใบนี้ที่มีความจริงเป็นเครื่องย้ำเตือนเราอยู่ในทุกขณะ ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้  "มนุษย์เราหนีไม่พ้นความจริง" มนุษย์เราส่วนใหญ่รับความจริงไม่ได้  บางคนหลอกตนเองในความจริงที่เกิดขึ้น  หลายคนไม่สามารถทำใจได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เเละอีกหลายๆคนถึงกับสติฟั่นเฟือนหรือบ้าเพราะความจริง  ทั้งนี้เพราะเราสามารถรับความจริงได้ยาก  หลายคนได้ประสบกับความจริงที่ดี  เเละอีกหลายๆคนได้ประสบกับความจริงที่ไม่เหมาะควรที่จะเกิดขึ้นเเต่ถึงอย่างไรก็ดีความจริงที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะดีหรือร้ายขึ้นอยู่กับ "ใจ" ว่าเราพร้อมเผชิญกับความจริงนั้นได้หรือไม่  เเต่ความจริงนี้ทำให้อีกหลายๆคนได้มีเเรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน  อาทิ  "ปัจจุบันเรามีความมั่นคงทั่งหน้าที่เเละการงานฉะนั้นเราจะทำต่อไปให้ดีที่สุด" หรือ "คนที่เกิดมาฐานะครอบครัวไม่ดีหลายคนจะขนขวายเพื่อหาเลี้ยงชีพของตนเเละครอบครัวให้จงได้  จึงเกิดกลายเป็นเเรงบันดาลใจในการสู้ต่อไปอย่างไม่ลดละ" หรือ " เราเกิดมาทุกคนล้วนเกิดมาล้วนมีจุดหมาย  เราต้องทำจุดหมายในปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด" จนเกิดคำกล่าวที่หลายคนนำมายึดถือเป็นเเรงบันดาลใจ  เป็นเครื่องปลอบใจ  เป็นพลังใจ ในการดำเนินชีวิตหรือการทำงาน คือ "ทำวันนี้ให้ดีที่สุด" ซึ่งคำกล่าวนี้เราทุกคนสามารถใช้ได้ในการดำเนินชีวิตเเละการทำงาน  ถ้าทุกคนเข้าใจเเล้วท่องให้ขึ้นใจ คำกล่าวนี้จะเป็นพลังใจให้เราได้ทำงานให้ดีที่สุด เมื่อหลังการงานนั้นๆหรือเหตุการณ์นั้นๆผ่านพ้นไปให้พูกับตัวเองว่า "เราทำดีเเล้ว" เเละเราสามารถพัฒนาเราต่อไปได้อีก ซึ่งควรบอกกับตนเองอยู่เป็นประจำผ่านเครื่องมือต่างๆนาๆที่เราพอมองเห็นภาพอย่างชัดเจน  "การพูดกับตนเองเป็นสิ่งที่ดี" เเต่อย่าพูดเยอะจนเกินไปจนทำให้เราอาจอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเองในวงเเคบ เเล้วอย่าคิดเยอะกับการกระทำเมื่อครั้งปัจจุบันของเราจนเกินไปจนอาจทำให้เสียสติไปหรือทางพระพุทธศาสนาบอกไว้ว่า "อจินไตย" คือ สิ่งที่ไม่พึงคิดที่คิดเเล้วจะทำให้เกิดความเสียสติไป  เเต่ถึงอย่างไรการพูดกับตัวเองก็เป็นสิ่งที่ดีเพราะได้ทบทวนตนเองในทุกการกระทำที่ได้ทำไปว่าดีหรือไม่  เหมาะสมหรือไม่  เหมาะสมกับใครเเละเหมาะสมอย่างไร โดยอาจลองตั้งคำถามกับตนเองด้วยความเป็นกลาง โดยเเนะนำให้เราหันไปมองที่กระจกเเล้วลองทบทวนตนเองอย่างใคร่ครวญ เมื่อเราได้มองอย่างใคร่ครวญเเล้วเราจะเกิดความพอดีในความจริงเองจนทำให้มีเเรงบันดาลใจจากความจริงที่ตนสามารถรับได้เเล้วเป็นพลังที่คอยผลักดันเราในระยะสั้นให้ดำเนินชีวิตเเละทำงานอย่างดีที่สุด  การมองกระจกเป็นเพียงวิธีหนึ่งที่อาจได้ผลในหลายๆคนอย่าก็อาจใช่ว่าทุกทุกจะมองกระจกเเล้วจะเกิดเเรงบันดาลใจขึ้นมาได้เพราะเราอย่าลืมว่า "กระจกมี 2 ด้าน" เมื่อเกิดผลด้านดีในหลายๆคนเเต่ก็อาจทำให้หลายๆคนมีความรู้สึกรับตนเองไม่ได้หรือเกิดความไม่พอใจในความเป็นตนเองหรืออาจเกลียดชังตนเองก็เป็นได้ทั้งนี้เพราะเขาอาจประสบกับความจริงเเล้วไม่สามารถรับมันได้  อาทิ การไม่พอใจในรูปลักษณ์ของตนเอง  การไม่พอใจในความเป็นตัวตนของตนเอง  เป็นต้น ซึ่งเหตุการณ์ข้างต้นนี้เป็นการ "ไม่เปิดใจ" ยอมรับความจริงของตนเองเมื่อเราได้เปิดใจยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นกับตนเองเเล้วนั้นเราจะมีพลังใจที่เเข็งเเกร่งเพราะเราได้ผ่านความจริงอันไม่อาจย้อนมองมาเเล้ว  "ถ้าเรามองว่าเราท้อกับความจริงที่เกิดขึ้นเเนะนำให้เราหันมามองเราที่มีความจริงอันเลวร้ายในชีวิตในโลกของเราทุกคนที่จะเป็นกำลังใจให้เราดำเนินชีวิตไปอย่างเป็นความจริง  โดยอาจมองที่คนพิการเเต่เขาสามารถทำอะไรได้ในหลายๆอย่างที่เราไม่สามารถทำได้   อาจมองที่ชีวิตของหลายๆคนที่เติบโตมาในกองขยะเเต่ในปัจจุบันเขาสามารถนอนอยู่บนกองทองอันมหาศาล  อาจมองชีวิตของเด็กที่เขาขาดโอกาศ  ขาดพ่อเเม่  ขาดญาตพี่น้องเเต่เขากลับมีความสุขในความจริงที่เขาผ่านมาเเล้ว ซึ่งถ้าเรามองที่จุดนี้เราจะท้อในความจริงของชีวิตของเราน้อยมากทำให้พลังใจถูกเติมเต็มในช่องว่างที่ขาดหายไปอย่างไม่ลดละความพยายาม...ทุกคนมีความฝัน  หลายๆคนฝันอยากเป็นนักบิน  หลายคนฝันอยากเป็นนายกรัฐมนตรี  หลายคนฝันอยากเที่ยวรอบโลก ซึ่งทุกในบนโลกมีสิทธิในการฝัน  ความฝันไม่มีคำว่าถูกหรือผิดจึงทำให้หลายๆคนชอบฝันชอบจินตนาการโดยเฉพาะเด็กๆเพราะความฝันเป็น "ความอิสระ" ที่ไม่มีขีดจำกัด  หลายคนมีฝันที่ยิ่งใหญ่ที่จะไล่ตามความฝันนั้นไปอย่างไม่ลดละ  หลายคนไม่อยากฝันใหญ่เพราะกลัวตนเองจะทำไม่ได้ในความจริง  หลายคนอาจมีหลายฝันที่ต้องทำให้ลุล่วงในความจริงเเต่ถึงอย่างไรก็ดี ทัศนะในความฝันนี้ไม่มีถูกไม่มีผิด  จินตนาการไม่มีถูกไม่มีผิดทุกคนสามารถมองเเละทำของตนเองได้   ความใฝ่ฝันที่เราได้ตั้งปณิธาณไว้กับตนเองถ้าเราได้นึกถึงเเล้วหลายๆครั้งจะสามารถเป็นเเรงผลักดันให้เราดำเนินชีวิตได้ในความจริงได้ดี   เเต่ความฝันผิดจากความจริงเเละความทรงจำ คือ สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่ทุกสิ่งสามารถเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายหรือดี  การได้ย้อนมองดูความฝันนั้นเมื่อเราทำงานที่ข้องเกี่ยวกับความฝันของเราที่ได้ตั้งเป้าไว้นั้นถ้าเราทำงานนั้นดีหรือเหมาะควรหรือพอใจเราจะรู้สึกว่าความฝันนี้เป็นบันไดที่เราสามารถไต่ขึ้นไปได้เเต่ถ้าเราเกิดทำงานนั้นออกมาไม่ดีหรือไม่น่าพึงพอใจเราอาจรู้สึกอีกมุมหนึ่งว่าเราไม่สามารถไต่ได้เพราะเพียงเท่านี้เราก็ทำไม่ได้เเต่ในมุมหนึ่งมองว่าถ้าเรายังทำอย่างนี้อยู่ต่อไปเราจะไม่สามารถไต่บันไดฝันขั้นต่อไปได้  ซึ่งจะสังเกตได้ว่า "ความรู้สึก" เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในความฝันของตนเอง   ความฝันนี้จะทำให้เราเกิดเเรงบันดาลใจอย่างไม่ลดละในตัวของเเต่ละคนโดยมีความฝันเป็นเป้าหมายในการดำเนินชีวิตเเต่ความฝันเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจอย่างหนึ่ง คือ เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างเป็นรูปร่างเป็นเพียงสิ่งที่มองเห็นในความคิดในจินตนาการเเต่เรากลับมีพลังใจที่สำคัญที่มีความฝันเป็นบ่เกิด  เป็นเเรงกระตุ้น .... เราทุกคนมีความฝันจงอย่าทอดทิ้งความฝันให้จงเก็บความฝันนั้นไว้ในเเก่นของใจเราเสมอ   หากสักวันเราได้ประสบพบได้เจอ  เรื่องความเพ้อความฝันจะเชื่อว่าไม่มีจริง .... 

          ในความทรงจำ ความจริง เเละความฝัน เป็นเรื่องที่สามารถเป็นพลังใจให้เราได้  เราควรลองย้อนมองดูทั้ง ๓ สิ่งนี้จะสามารถทำให้เรามีเเรงบันดาลใจในการทำสิ่งต่างๆให้ดีที่สุด เมื่อเราได้มองที่ความทรงจำในครั้งอดีต  มองที่ความฝันของเราในอนาคตเเล้วอย่าลืมย้อนมองดูความจริง เรื่องมหัศจรรย์ คือ ทั้งความทรงจำ ความจริง เเละความฝัน  เป็นเพียงนามธรรมเเต่เราเลือกนามธรรมนี้มาสร้างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น  ถือเป็นกำลังใจที่สำคัญในการดำเนินชีวิตของหลายๆคน...

หมายเลขบันทึก: 552018เขียนเมื่อ 29 ตุลาคม 2013 20:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 ตุลาคม 2013 17:43 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท