คอลัมน์ Fact & Comment โดย Steve Forbes บรรณาธิการใหญ่ของนิตยสาร Forbes ฉบับเดือนกันยายน ๒๕๕๖ เรื่อง Why Uncle Sam Became a Monster ประทับใจผมมาก โปรดสังเกตว่า ชื่อเรื่องในบทความลงเว็บ ต่างจากบทความในนิตยสารที่นำมาเผยแพร่ในบ้านเรานิดหน่อย
เขาบอกว่า ปี ค.ศ. 2014 จะเป็นปีครบรอบ ๑๐๐ ปีของสงครามโลกครั้งที่ ๑ และครบรอบ ๘๕ ปีของเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) โดยที่ถ้าไม่มีสงครามโลกครั้งที่ ๑ ก็จะไม่มีเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ไม่เกิดลัทธินาซี และไม่เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นอิทัปปัจยตา ของเศรษฐกิจและสงคราม ของโลก
เขาอธิบายว่า สงครามโลกครั้งที่ ๒ และเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ กำลังตามมาหลอกหลอนสหรัฐอเมริกา
ย้อนกลับไปดูความก้าวหน้ายิ่งใหญ่ของโลกในช่วงคริสตศตวรรษที่ ๑๗ - ๑๙ เกิดขึ้นที่อังกฤษ จากการมีทะเล คือช่องแคบอังกฤษคั่นออกจากแผ่นดินใหญ่ ทำให้ค่อนข้างปลอดสงคราม ไม่ต้องใช้เงินสร้างกองทัพเพื่อทำสงคราม ไม่ต้องขูดรีดภาษี มีความอิสระ และบ้านเมืองมีขื่อมีแป ประกอบกับการสร้างระบบการเงินที่ระมัดระวัง คือผูกค่าเงินปอนด์ไว้กับทองคำ ในปี ค.ศ. 1717 และอื่นๆ ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ ตามมาด้วยการปฏิวัติอุตสาหกรรมจึงเกิดขึ้นที่อังกฤษ แต่ที่ไม่ใช่อุตสาหกรรม คือผลผลิตทางเกษตร ของอังกฤษก็สูงกว่าของฝรั่งเศสถึง ๓ เท่า
ต้องอ่านรายละเอียดเอาเองนะครับ จึงจะได้รสชาติ ว่าประเทศอื่นๆ ก็เอาอย่างอังกฤษ โดยเฉพาะประเทศลูกอย่างสหรัฐอเมริกา โดยมีลักษณะสำคัญคือ อัตราภาษีต่ำ และค่าใช้จ่ายทางทหารต่ำมาก
เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ ในปี 1914 งบทหารก็เพิ่มอย่างมากมาย และกลายเป็นความเคยชินเรื่อยมา จนปัจจุบัน นี่คือมรดกบาป ที่กลายเป็นกรรมเก่าอย่างหนึ่งของลุงแซม
มรดกบาปที่สองคือ สงครามไม่ใช่แค่ทำลายชีวิตคนและบ้านเมืองส่วนที่เป็นวัตถุสิ่งของเท่านั้น แต่ยังได้ทำลายระบบการเงินที่ระมัดระวังของประเทศไปด้วย นักการเมืองเกิดความเคยชินกับการมีอำนาจ ในการใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน ตามข้ออ้างทางเศรษฐศาสตร์ว่า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยความเชื่อ หรือข้ออ้าง ว่าจะสามารถควบคุมระบบเศรษฐกิจได้ ซึ่งไม่เป็นความจริง ความจริงคือวงจรขึ้นลงแกว่งไกว ทางเศรษฐกิจ ซึ่งนั่นหมายความว่า การกระทำของรัฐบาลนั่นเอง เป็นเหตุให้เกิด the Great Depression
คุณ Steve Forbes บอกว่า เมื่อระบบกำกับดูแลการเงินอย่างระมัดระวังถูกทำลายไป หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ ระบบการเงินแบบ “มีการจัดการ” มาแทนที่ การจัดการนี้ พิสูจน์แล้วว่า ให้คุณแก่คนส่วนน้อย คนส่วนใหญ่เสียประโยชน์ และเป็นบ่อเกิดของระบบการเมืองที่เลวร้าย เบียดบังเงินไปซื้อเสียงและซื้ออำนาจ (การเมืองแบบประชานิยมเป็นรูปแบบหนึ่ง - วิจารณ์) และนำไปสู่อัตราภาษีที่สูงลิ่ว เมื่อเทียบกับสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๑
ขอเพิ่มเติมว่า รายละเอียดความชั่วร้ายของระบบเศรษฐกิจทุนนิยม และการเมืองในสหรัฐอเมริกา อ่านได้จากหนังสือ The Price of Inequality อ่านแล้วจะขนลุกทีเดียว
หมายความว่า ชีวิตสมัยใหม่ แทนที่ปัจเจกบุคคลจะมีอิสรภาพมากขึ้น กลับตกอยู่ใต้อำนาจรัฐมากขึ้น นอกจากเพิ่มภาษีแล้ว ยังมีการออกกฎหมาย ให้อำนาจรัฐมากขึ้น ควบคุมเสรีภาพของปัจเจกบุคคลมากขึ้น
รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ใหญ่ขึ้นและกลายเป็นสัตว์ประหลาด (monster) แล้วรัฐบาลของประเทศไทยเล่า เป็นอะไร?!
วิจารณ์ พานิช
๖ ก.ย. ๕๖
น่าสนใจว่าประเทศสหรัฐอเมริกา แม้จะเป็นโลกแห่งวิทย์และเทคโนฯ
แต่รัฐฯก็ให้ความสำคัญกับศาสนา ดังเช่นในธนบัตรจะเขียนว่า In God We Trust
และทุนนิยมของเขานั้นมีกติกาเข้มงวดชัดเจน เรียกว่า ทุนนิยมบนฐานความรู้
ไม่ใช่แบบของเราที่ ใครมือยาวสาวได้สาวเอา ....