ยังสอนภาษาไทยแบบเดิมๆ อยู่อีกหรือ??
ทุกครั้งที่ออกเยี่ยมโรงเรียนตามแผนที่วางไว้ ผมได้ปรับทุกข์กับผู้บริหารโรงเรียนหลายคนในฐานะผู้นิเทศด้วยกัน (ฝ่ายหนึ่งนิเทศภายใน อีกฝ่ายหนึ่งนิเทศภายนอก) ถึงปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ของเด็กระดับประถมศึกษาตอนต้น ซึ่งต้องเคี่ยวเข็ญกันมาอย่างยาวนาน เราพูดถึงปัญหาในตัวเด็กที่มักจะพบในโรงเรียนชนบทหลายแห่งที่มีเด็กไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ตัวจริง เด็กส่วนหนึ่งมีข้อบกพร่องในการเรียนรู้ซึ่งถือเป็นเด็กพิเศษเรียนร่วมตั้งแต่ประเภทที่ 1-9 ยืนยันว่าเป็นของจริง (ไม่ได้ตีตราเขาได้ง่ายๆว่า เป็นเด็กพิเศษ) เราพูดถึงรูปแบบการสอนของครูที่เอื้อต่อพัฒนาการทางภาษาของเด็ก (สอนถูกทาง) เราพูดถึงการสนับสนุนสื่อวัสดุอุปกรณ์ งบประมาณ กระบวนการนิเทศติดตามจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครู (ต่อเนื่อง เข้าถึง) และสุดท้ายเราก็อดเสวนากันไม่ได้ถึงนโยบายจัดการศึกษาของหน่วยเหนือที่มีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนผู้ปฏิบัติทำอะไรไม่ถูก
แล้วเราก็ลงความเห็นตรงกันว่า วิธีการทำให้ปลอดเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ในชั้นเรียน(ยกเว้นเด็กพิเศษที่ต้องพัฒนาตามรูปแบบเฉพาะของเขา) และเด็กมีความสามารถใช้ภาษาแปลความ สรุปความ ย่อความ ตีความ คิดวิเคราะห์ และสื่อสาร สารสนสนเทศข้อมูลผ่านการเขียน การบอกเล่าได้ตามวัยที่เขาควรจะเป็น ควรช่วยกันสนับสนุนการสร้างปรากฏการณ์ให้เกิดขึ้นในชั้นเรียน ดังนี้
1. มีครูที่จบวิชาเอกใส่ใจ จบวิชาโทขยันออกแบบการสอน ในชั้นเรียนมากยิ่งขึ้น
2. ครูผู้สอนต้องเชื่อมั่นในรูปแบบกระบวนการสอนที่ใช้อยู่ว่า ส่งผลต่อพัฒนาการทางภาษาของเด็กได้จริง สามารถทำให้เด็กใช้ภาษาแปลความ สรุปความ ย่อความ ตีความ คิดวิเคราะห์ และสื่อสาร สารสนสนเทศผ่านการเขียน การบอกเล่าได้ตามวัยที่เขาควรจะเป็น ไม่สอนเพื่อทำข้อสอบ
3. ครูทุกคนต้องถือเป็นหน้าที่ในการฝึกฝนทักษะการใช้ภาษาแก่เด็ก ไม่ว่าจะสอนวิชาใดๆ
4. หากผู้สอนเห็นว่า กระบวนการสอนในข้อ 2 ไม่ได้ผล (พิจารณาจากผลการประเมินนักเรียน) ก็สมควรได้เวลาปรับเปลี่ยนรูปแบบกระบวนการสอนใหม่ (ศึกษา ค้นคว้า ทดลองได้) ผมขอแนะนำแนวคิดการสอนภาษาไทยที่ได้ผล ของเหล่าผู้เชี่ยวชาญข้างล่างนี้
1.พรพิไล เลิศวิชา. สอนภาษาไทยตามแนวคิด Brain-based Learning. กรุงเทพฯ: สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ. 2552.
2.ศิวกานท์ ปทุมสูติ. เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว. พิมพ์ครั้งที่ 11. กรุงเทพฯ: นวสาส์นการพิมพ์, 2554.
3.สายัณห์ ผาน้อย และคณะ. การสอนภาษาไทยให้อ่านออกเขียนได้ โดยวิธีแจกลูกสะกดคำ.นนทบุรี : ซี.ซี.นอลลิดจ์ลิงคส์, 2553.
4.เสาวลักษณ์ รัตนวิชช์. การสอนแบบมุ่งประสบการณ์ภาษา กลยุทธ์สู่ความสำเร็จในการพัฒนาการรู้หนังสือเพื่อปวงชน.กรุงเทพฯ : มูลนิธิโรตารีแห่งประเทศไทย, 2547.
ขอบคุณค่ะเป็นบันทึกที่มีประโยชน์มากนะคะ
เรียนท่านสมานเขียว....คุณมะเดื่อจำเป็นต้องสอนภาษาไทย ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเอก ไม่มีโท ทาง
ภาษาไทยแต่อย่างใด ...แต่ความจำเป็นต้องสอน นั้น ก็จำเป็น มาตั้งแต่บรรจุน่ะแหละ สอน
ประถมมาจนจบครบทุกชั้น ( แถม สอนอนุบาลด้วย) เห็นชัดเจนว่า การที่เด็กจะได้
กระบวนการคิดวิเคราะห์ ตีความ ย่อความ ฯลฯ นั้น หลัก ๆ แล้ว ต้องปูพื้นมาตั้งแต่ ป.1
ต่อเนื่องขึ้นมา การปูพื้นต้องเข้มข้น มาจนถึง ป.3 หากไม่ได้ปูพื้นในเรื่องกระบวนการอ่าน
แล้ว....สอนแทบตายก็ได้แค่อ่านออก เขียนได้...อ่านเป็น คิดเป็น...อย่าหวังเลย
หากผู้สอนเห็นว่า กระบวนการสอน------ไม่ได้ผล (พิจารณาจากผลการประเมินนักเรียน) ก็สมควรได้เวลาปรับเปลี่ยนรูปแบบกระบวนการสอนใหม่ (ศึกษา ค้นคว้า ทดลองได้)
เป็นคำแนะนำที่มีประโยชน์ต่อการสอนภาษาไทยมาก
และข้อความข้างบนเป็นสิ่งที่ครูทุกวิชาควรทำเสมอ ๆนะคะ
ขอบคุณ ดร.พจนา และคุณมะเดื่อ ที่แวะมาร่วมแลกเปลี่ยนครับ ความเห็นของท่านถูกต้องตรงเผ็งเลย ความพร้อมการอ่าน การเขียนของเด็กเริ่มตั้งแต่ช่วงต่อระหว่างอนุบาลกับป.1 ผมก็ยังว่าสายไปเลย
ขอนำเสนอแลกเปลี่ยนสัก ๓ ข้อ ครับ พี่สมาน ที่เคารพรัก
๑. อยากเห็นและอยากให้มี ศน. แบบพี่แยะๆ
๒. ข้อ ๑ ของพี่ศน. คือ การแก้ปัญหาการเรียนการสอนทุกวิชา คือ หัวใจของการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่แท้จริง ที่ไม่ค่อยจะพูดถึงกัน มั้งครับ
๓. ผู้บริหารสถานศึกษา ก็ควรจะจบวิชาเอก..ใส่ใจบริหาร / วิชาโท ขยันคิด วิเคราะห์และบูรณาการ ด้วยหรือเปล่าครับ
หนังสือแต่ละเล่มน่าสนใจมากๆค่ะ
สำหรับเด็กที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้นั้น
ห้องเรียน คือ อะไร สำหรับเขา หนอ