การอ่านมีความสำคัญอย่างยิ่ง ยิ่งเทคโนโลยีเจริญรุดหน้าไปเท่าไหร่ การอ่านยิ่งมีความสำคัญและจำเป็นมากเท่านั้น แต่การอ่านจะต้องได้รับการปลูกฝังมาแต่เยาว์วัยจากครอบครัว โรงเรียน และสังคม การส่งเสริมให้เยาวชนมีนิสัยรักการอ่านรู้จักแสวงหาความรู้ด้วยตนเองนั้น จะว่ายากก็ยาก แต่ถ้าว่าไม่ยากก็ไม่ถึงกับเหลือบ่ากว่าแรงที่จะทำได้ ทั้งนี้ ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ครอบครัว โรงเรียน และสภาพสังคม
แนวทางของกรมวิชาการในการพัฒนาเยาวชนให้มีความรู้ความสามารถโดยส่งเสริมให้เยาวชนมีนิสัยรักการอ่าน รู้จักศึกษาหาความรู้เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน โดยริเริ่มโครงการรณรงค์เพื่อการส่งเสริมการอ่าน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2528 เป็นต้นมาและมีการเผยแพร่เทคนิคการจัดกิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่านอย่างกว้างขวาง เช่น ส่งเสริมการอ่านในโรงเรียนทั่วประเทศ โดยมีนโยบายมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด มีการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนสามารถคิดเป็นทำเป็น มีนิสัยรักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง (กรมวิชาการ.2544 : 1) ยิ่งในโลกยุคปัจจุบันจะต้องสร้างความตระหนัก และฝึกฝนให้เป็นคนใฝ่รู้ใฝ่เรียนยิ่งขึ้น จะต้องอ่านเก่ง คิดเป็น และสื่อสารเป็นจึงจะอยู่ได้อย่างมีความสุข และประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต
การอ่าน สำหรับประเทศไทยหรือคนไทยแล้วถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำมากๆ เมื่อเทียบกับพลเมืองประเทศอื่นๆ การส่งเสริมการอ่านควรได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย อาทิ
- รัฐควรส่งเสริมเรื่องห้องสมุดประจำหมู่บ้านและชุมชน
- หนังสือที่ผลิตจำหน่ายในท้องตลาดไม่ควรมีราคาแพงเกินไป รัฐควรเข้ามาชดเชยส่วนต่างแก่ผู้ผลิต เรียกว่าการประกันรายได้ของผู้ประกอบการ
- หนังสือควรมีเนื้อหาน่าสนใจ หลากหลาย หาอ่านได้ง่าย
- ส่งเสริมให้พ่อแม่ปลูกฝังให้เด็กรักการอ่านหนังสือ
- มีการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ให้คนไทยรักการอ่านมากยิ่งขึ้น
- หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงคือ โรงเรียนควรมีห้องสมุดเปิดกว้างสำหรับเด็ก ไม่ควรจัดห้องสมุดเพื่อประกวดความสวยงาม แต่ควรเน้นที่กิจกรรมการอ่านมากกว่า
การพัฒนาคนให้มีคุณภาพสูงจะต้องใช้กระบวนการทางการศึกษาเป็นหลัก คนที่ได้รับการศึกษา (ทั้งทางตรงและทางอ้อม) เท่านั้นจึงจะเป็นผู้ที่คิดเป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างชาญฉลาด (ถวัลย์ มาศจรัส. 2538 : 10)
ไม่มีความเห็น