ห้วงเวลาแห่งความคุ้นเคย


ฝนลงเม็ด เสียงฝนกระทบต้นไม้ดังเปาะแปะ เธอยื่นมือออกไปนอกหน้าต่าง สัมผัสเม็ดฝนที่ไหลรวมที่ข้อศอกเป็นทาง กระถามดินเผาที่แขวนอยู่นอกระเบียงโดนฝนสาดกระเซ็น กลีบบางเบาราวปีกผีเสื้อของพิทูเนียสีม่วงมีหยดน้ำเกาะพร่างพราว เธอแค่อยากฟังแค่คำขอโทษ อยากได้ยินแค่คำพูดที่บอกว่าห่วงใย สิ่งที่ทำให้มั่นใจว่าเรายังเหมือนเดิม เธอไม่ได้เตรียมใจฟังว่าเขาจะจากไปไหน หัวใจรับไม่ทันกับความเจ็บปวดที่มีมากกว่านี้ ร่างกายและสมองจึงมึนงงไม่รู้จะทำอย่างไรในตอนนี้

                                 ความคุ้นเคยที่มีมากเกินไปมันอาจมีความรู้สึกบางอย่างแทรกเข้ามาความเป็นเจ้าของ....ความเห็นแก่ตัวไม่มีใครอยากทำลายความคุ้นเคยเพราะกว่าจะสร้างขึ้นมาได้ก็ต้องรวบรวมทุกอณูกาลเวลา...ยาวนานแต่เมื่อผ่านอณูของเวลาไปอีกจากความคุ้นเคยก็แปรเปลี่ยนเป็นความห่างเหินไป                                                                                                                                        

ฝนตกติดต่อมากันมา ๑ อาทิตย์แล้ว  มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นก้อนเมฆสีเทาก้อนใหญ่ลอยตัวอ้อยอิ่งปกคลุมทั่วฟ้า  วันนี้ก็ยังครึ้มฝนเหมือนวันที่ผ่านมา   ยังเช้าอยู่มาก  อากาศเย็นและชื้น  ผืนฟ้าและแผ่นดินชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำ  ต้นกระถินณรงค์ที่มีฝักแห้งสีน้ำตาลทว่าใบของมันเขียวสดราวกับได้น้ำเต็มอิ่ม  กิ่งก้านของมันไหวตัวเบาๆด้วยแรงลม   ในวันมัวซัวและอึมครึมดูไม่ผิดกับรูปภาพที่ใช้สีเทาแต่งแต้มจากปลายพู่กันของจิตรกร           

 เธอถือแก้วกาแฟควันกรุ่นมานั่งที่เก้าอี้หวายริมหน้าต่าง  เลื่อนกระจกบานใสเพื่อให้อากาศเย็นชื่นเข้ามาในห้อง  ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบช้าๆพลางมองตามควันที่ลอยม้วนตัวออกจากแก้วอย่างเหม่อลอย....วันนี้เธอดูไม่เป็นตัวของตัวเองเลย   นาฬิกาบอกเวลาหกโมงเช้าแล้วแต่สิ่งต่างๆภายนอกก็ยังดูสงบนิ่ง   ที่จริงวันนี้ไม่น่าออกไปไหนเอาเสียเลย   เอาเถอะ...ยังไงวันนี้ก็เป็นวันสำคัญของเธออยู่ดี   หันไปมองรอบห้องยังมีอะไรขาดไปหรือเปล่านะ  พื้นห้อง  เพดาน  ล้วนแล้วแต่ผ่านการทำความสะอาด  ข้างของในห้องก็จัดเป็นระเบียบรวมทั้งตกแต่งสิ่งละอันพันละน้อยให้ดูน่าอยู่มากกว่าห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆบนตึกสูง   เธอกวาดสายตามองและลำดับความคิด           

 เข็มยาวของเข็มนาฬิกาบนผนังชี้ทำมุมตั้งฉาก   ทำไมเวลาช่างเดินช้าเหลือเกิน  เธอเดินไปสำรวจตัวเองที่น่ากระจก  น่าขันที่เห็นว่าแววตามีความตื่นเต้นดีใจจนเก็บไว้ไม่ได้เอาเสียเลย  เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังแหวกผ่านบรรยากาศที่เงียบสงบ  เธอลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็วและกระโจนรับโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น....และแล้วก็พลุนพลันหยิบเสื้อคลุมและร่มเดินออกประตูไป            ผู้หญิงผมยาวสวมเสื้อคลุมสีดำท่ามกลางอากาศที่ดุเหมือนมีหมอกควัน  ท้องฟ้าที่มีเมฆสีเทาลอยต่ำตอนนี้มีละอองฝนโปรยปรายลงมากับร่มสีแดงสด   คงดูพิลึกชอบกล   เธอก็คิดว่ามันไม่เข้าท่าเอาเสียเลยในตอนนี้ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามทั้งอากาศ  ผู้คนหรือหัวใจของตัวเอง มันดูไม่ปกติเลยสักอย่างเดียว   ท่ามกลางสายฝนเธอเดินสวนผู้คนที่เดินออกมาจากสถานีรถไฟ  หัวใจเดินตามจังหวะการก้าวเดิน  ที่จริงแล้วเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้เป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเธอ   มันเป็นสิ่งที่ควรคุ้นเคยแต่ทำไมต้องรู้สึกเหมือนเป็นครั้งแรกที่เขามา    เธอหุบร่มสีแดงชุ่มโชกและเดินเข้าไปในอาคาร   คนพลุกพล่านราวกับฝูงมดงานกำลังทยอยกันออกมาจากขบวนรถไฟ  บรรยากาศของสถานีที่ไหนๆก็คงคล้ายกัน  ผู้คน  เวลาและเสียงเตือนของหวูดรถไฟมาและจากไปด้วยเสียงล้อกระทบราง  เธอหยุดยืนด้านหลังของม้านั่งตัวหนึ่งน่าแปลกที่ต้องนึกคำทักทายกับคนคุ้นเคย  รอนานหรือเปล่า  เธอได้ยินเสียงตัวเองถามไปอย่างนั้น  เสี้ยวหน้าที่หันมานั้นดูเปลี่ยนไปเล็กน้อยคงเพราะผมที่ตัดสั้นกว่าที่เคยเห็น ไม่หรอก  ไปกันเถอะ  เขาเก็บหนังสือในมือและลุกขึ้น  เธอและเขาเดินออกมาจากชานชลา  และเดินตรงไปยังรถสองแถวคันแรกที่เห็น  เธอถามราคาและต่อรองเสร็จก็ขึ้นไปนั่งตรงข้ามกับเขา  เธอชอบที่จะนั่งตรงข้ามกับเขา  เพราะมันทำให้มองเขาได้เต็มตา วันนี้ท่าทางฝนคงไม่หยุดตกง่ายๆ  อยากไปไหนหรือเปล่า  เธอถามเขาอย่างเป็นกังวลเขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ  ควันสีเทาลอยม้วนตัวขึ้นไปอย่างช้าช้า  กลิ่นใบยาสูบกระทบจมูกให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ไม่รู้เหมือนกัน  ตอนนี้ง่วงนอน  เขาชะโงกหน้าออกไปมองข้างนอกพลางตอบสายมากแล้วรถกำลังเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าช้าหลังจากจอดรอผู้โดยสารคนอื่น  ฝนยังโปรยปรายเหมือนเดิมไม่มีทีท่าจะหยุด  อากาศไม่ดีขึ้นสักนิด  เขาก็ยังสูบบุหรี่เงียบๆสีหน้าไม่ปรากฏความรู้สึกใด   เธอมองเขาอย่างค้นหานึกเสียใจที่เขาดูเฉยชาเหลือเกินกับการได้เจอกันในรอบหลายเดือน   หน้าเกลี้ยงเกลาที่ตอนนี้มีไรเคราสีเขียวขึ้นจางๆยิ่งเพิ่มความขรึมในหน้ามากขึ้น  ผมที่เคยยาวสลวยตอนนี้ตัดสั้นจนเกือบกลายเป็นรองทรง  ไม่มีอะไรที่คุ้นเคยเลย  ความเปลี่ยนแปลงในช่วงระยะเวลาที่ห่างกัน  ความเปลี่ยนแปลงที่เธอเพิ่งได้เห็น  และเขาเองก็ยังนิ่งเงียบเสียจนเดาอะไรไม่ได้...ยกเว้นแววตาที่ดูกังวลกับอะไรบางอย่าง หิวหรือเปล่า  แวะทานอะไรหน่อยไหม  เธอเอ่ยถามทำลายความเงียบไม่หิวหรอก  เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอเต็มตาผมยาวขึ้นนะ เขาพูดขึ้นพลางจับผมของเธอเบาๆ   ไม่เจอตั้งนาน  คิดถึงจัง เสียงอ่อนโยนของเขากลืนหายไปกับเสียงฝนปลายเดือนพฤษภาความคุ้นเคยที่เจือด้วยความแปลกหน้า  อึดอัด  ขัดเขินและปวดปร่า  ยังหาคำตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไร    มันเกิดขึ้นจากอะไร  คำตอบที่มีมันอาจจะพัดมาตามสายลมวันใดวันหนึ่ง  เธอกลืนก้อนสะอื้นลงไปอย่างเจ็บปวด  มองเม็ดฝนตอนนี้มันช่างหนาวเย็นเหลือเกิน

.. ................................................................................................................      ฟ้าเริ่มมืดลงเร็วกว่าปกติ  อากาศเย็นแต่ในห้องอุ่นสบาย  แสงไฟในท้องถนนรวมทั้งรถราข้างนอกที่ยังพลุกพล่าน  เป็นการเคลื่อนไหวที่ทำให้รู้สึกคึกคักขึ้นมาบ้าง   เมื่อมองจากมุมสูงก็ดูสวยงามด้วยประกายสะท้อนแห่งแสงไฟแทนที่กลุ่มดาวที่วันนี้หลบหายไปใต้ผืนฟ้าสีดำ....  เธอนึกครื้มเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำแข็งและโทนิคออกมา  ใส่น้ำแข็งลงในแก้วพร้อมผสมด้วยเกลือและมะนาวพลางคนแก้วช้าๆ            ยังชอบดื่มยินโทนิคเหมือนเดิมนะ  เขาพูดขึ้นหลังจากมองเธอผสมเครื่องดื่ม            อ้าว...ตื่นแล้วเหรอ   เธอหันไปเห็นเขาพลิกตัวกอดหมอนข้างอย่างไม่ยอมตื่น     ความรู้สึกอ่อนหวานก่อตัวขึ้นในวินาทีนั้น  เธอเดินไปนั่งข้างเตียงและลูบผมของเขาเบาๆอย่างอ่อนโยน  เขาขยับตัวมานอนหนุนตักเธอด้วยอาการอ้อนนิดๆ  เธอไม่เคยเข้าใจเลยว่าอะไรที่ประกอบเป็นตัวเขานั้นมีกี่อารมณ์กันแน่  บางครั้งก็ดูไม่เคยสนใจอะไรเลย   บางครั้งก็เฉยชาอย่างไม่น่าเชื่อ  และในบางครั้งก็เหมือนเด็กซนๆคนหนึ่ง  แต่อย่างไรก็ตามทุกอารมณ์ของเขามันก็มีอิทธิพลต่อเธอเหลือเกินแล้ว   เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศนุ่มนวลนั้นเหมือนสัญญาณบอกหมดเวลาออกไปข้างนอกนะ  เขาหันมาบอกพลางลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างเร่งรีบและเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเพื่อนชวนเหรอ  เธอถามเพื่อความแน่ใจมากกว่าอย่างอื่นฮื่อ...เดี๋ยวผมมา  คุณไม่ต้องรอนะ  ถ้าหิวก็หาอะไรทานก่อนแล้วกัน  เขาหยิบกุญแจและเปิดประตูเอาร่มไปด้วยสิ  เผื่อฝนตก เธอหยิบร่มมาส่งให้   เขาหันมายิ้มแล้วโน้มตัวมาหอมแก้มแทนคำขอบคุณ แก้วไฮบอลมีไอและฝ้าความเย็นเกาะตัวอยู่เริ่มจับตัวกันไหลเป็นหยดน้ำช้าๆ  เธอคนแก้วเบาๆหลังจากผสมเครื่องดื่มแก้วใหม่  น้ำแข็งกระทบกันดังกรุกกริก  ทำไมเธอไม่ห้ามเขาไม่ให้ออกไป  ทำไมเธอไม่ตามไปด้วย  ความรู้สึกที่เอ่อท้นจนปิดกั้นคำพูดทั้งหลายเหล่านั้นคือ  ความน้อยใจที่มันประเดประดังกันเข้ามา...เขาไม่เคยนึกถึงจิตใจของเธอมาตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว  อยากไปไหนก็ไปอยากจะหายไปก็ไม่เคยคิดจะติดต่อกลับมา  แต่นั่นมันเป็นชีวิตของเขาที่ไม่มีเธอ  อยู่ไกลกันอย่างนี้เธอจะมีสิทธิอะไรที่จะห้ามเขาได้  เขาจึงมีอิสระอย่างเต็มที่จนลืมว่า  มีคนที่เขาต้องใส่ใจ.....และคงจะลืมไปด้วยว่าเรามีเวลาเจอกันน้อยแค่ไหน  เขาถึงไม่ไยดีกับการใช้เวลาอยู่ด้วยกัน  ทั้งทั้งที่เธอรอคอยเวลานี้อยู่ทุกลมหายใจ  เธอจิบยินโทนิคช้าช้า  ความขื่นของผิวมะนาวยังติดอยู่ปลายลิ้นและรู้สึกว่า มันขมยิ่งกว่าทุกทุกครั้ง  ความแปร่งปร่าของความรู้สึกแปรเปลี่ยนไปเป็นความเจ็บปวดที่เขาไม่เคยเข้าใจเธอเลย.....           

   ท้องฟ้ายามดึกดูน่ากลัวเพราะกลุ่มเมฆสีส้มปกคลุม  เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพรุ่งนี้ฝนก็ยังคงตกอยู่  แสงไฟตามถนนยังสว่างเป็นแนวยาว  ผิวถนนชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำ ถนนเงียบเหงาเพราะนานๆจะมีรถผ่านมาสักคัน   เธอนั่งชันเข่าอยู่บนเก้าอี้หวายตัวยาว  เอียงศรีษะกับกรอบหน้าต่าง  ลมยามดึกพัดเอาความเย็นชื่นที่เหมือนจะได้กลิ่นใบไม้บางอย่างเข้ามาด้วย  กระดิ่นลมดินเผารูปพระจันทร์เสี้ยวกระทบกันเสียงดังกรุ๋งกริ๋ง  แข่งกับเสียงฝักแห้งของกระถินณรงค์ที่ดังกราวกราว   สวนรกร้างที่อยู่ตรงข้ามมืดและดูน่ากลัว  ยามบรรดาต้นไม้ไหวกิ่งก้านก่อให้เกิดรูปเงาตามจินตนาการของผู้พบเห็น            เขากลับเข้ามาแล้ว  หากแต่ความรู้สึกของเธอมันยังไม่ดีขึ้นมันเลยเปลี่ยนเป็นทิฐิเข้ามา   ในเมื่อเขาไม่สนใจทำไมเธอจะต้องไปสนใจเขาด้วย  เธอจะทำเหมือนไม่มีเขาอยู่ตรงนี้  หนังสือที่อยู่ในมือมันจะเป็นเรื่องอะไรก็ช่างเถอะ...เธอจะอ่านมันจนดูเหมือนลืมอะไรต่างๆบนโลกนี้  พอกันทีจะไม่ยอมเป็นฝ่ายที่ต้องเจ็บอยู่คนเดียวแล้ว  เขาจะต้องรู้สึกบ้าง            เสียงกีตาร์แผ่วดังมาจากอีกมุมหนึ่งของห้อง  คอร์ดเสียง C Aminor  E  G-7  ดังไล่เรื่อยเป็นเพลงที่มีท่วงทำนองอ้อยอิ่งระคนเศร้าสร้อย  ราวกับตอกย้ำถึงความปวดปร่าของบรรยากาศที่คนเล่นจงใจถ่ายทอดออกมา   เสียงดนตรีเงียบไปเขาเงยหน้าขึ้นมองเธอเนิ่นนานจนเธอรู้สึกถึงกระแสสายตาที่เก็บอะไรบางอย่างไว้ ผมมีอะไรจะบอกคุณ  เขาพูดขึ้นอย่างตัดสินใจได้มีอะไรเหรอ  เธอยังคงจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างผมจะไปอเมริกา  เราคงไม่ได้เจอกันอีกนาน    เสียงของเขามีแววกังวลผมต้องไปอาทิตย์หน้าแล้ว  แต่......  เขาเว้นจังหวะพูดนิ่ง  นาน  พรุ่งนี้ผมคงต้องกลับแล้ว

 ฝนลงเม็ด  เสียงฝนกระทบต้นไม้ดังเปาะแปะ  เธอยื่นมือออกไปนอกหน้าต่าง  สัมผัสเม็ดฝนที่ไหลรวมที่ข้อศอกเป็นทาง  กระถามดินเผาที่แขวนอยู่นอกระเบียงโดนฝนสาดกระเซ็น  กลีบบางเบาราวปีกผีเสื้อของพิทูเนียสีม่วงมีหยดน้ำเกาะพร่างพราว   เธอแค่อยากฟังแค่คำขอโทษ  อยากได้ยินแค่คำพูดที่บอกว่าห่วงใย  สิ่งที่ทำให้มั่นใจว่าเรายังเหมือนเดิม  เธอไม่ได้เตรียมใจฟังว่าเขาจะจากไปไหน  หัวใจรับไม่ทันกับความเจ็บปวดที่มีมากกว่านี้  ร่างกายและสมองจึงมึนงงไม่รู้จะทำอย่างไรในตอนนี้ผมไม่รู้จะพูดยังไง  จะบอกตอนไหน  ผมทำตัวไม่ถูกที่ต้องมาหาคุณเพื่อที่จะมาบอกเรื่องนี้  ผมเป็นห่วงคุณมากนะ  คุณเข้าใจผมหรือเปล่าฉันเข้าใจเพียงแต่ฉันไม่ได้เตรียมใจเท่านั้น  เธอมองเขาด้วยสายตาพร่าพราย   พยายามกลั้นสะอื้นและน้ำตา  จะทำอย่างไรได้  จะห้ามหรือจะบอกว่าไม่ให้ไปก็ทำไม่ได้   อยากจะคร่ำครวญแต่จะมีอะไรดีขึ้นมา  ร่างกายอ่อนแรงเหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น  นอกจากได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นอย่างเจ็บปวด....ถ้าตอนนี้ไม่มีหัวใจก็คงจะดี   ไม่มีหนังสือเล่มใด  บทกวีบทไหนเคยบอกไว้ว่าควรทำอย่างไร   พูดอย่างไรกับการจากลาที่ไม่ทันตั้งตัว  เพิ่งรู้ว่าการตัดใจจากคุณเหมือนที่เคยคิดนั้นมันทำไม่ได้  เพิ่งรู้ว่าคุณคือส่วนหนึ่งของชีวิต  คือลมหายใจ  คือความรู้สึก  คำว่ารักมันคงน้อยไปแต่นั่นสินะจะให้บอกไปได้อย่างไรว่าไปเถอะไม่ต้องห่วงฉัน...ทั้งทั้งที่เราจะต้องจากกันนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้  และฉันก็ไม่สามารถห้ามคุณได้เพราะมันคือความก้าวหน้าของคุณ เขาเดินเข้ามาและวงแขนที่อบอุ่นนั้นโอบกอดเธออย่างปลอบโยน  แค่นั้นเองที่ทำให้เธออดทนทำเป็นคนเข้มแข็งต่อไปไม่ไหว   ไม่ต้องการความห่างเหินในเวลาที่ผ่านมา  ไม่ต้องการทิฐิ  การแก้แค้น  หรือคำขอโทษอะไรทั้งนั้น  เพิ่งได้รู้ว่าความอึดอัด  ว่างเปล่า และความเจ็บปวดที่รู้สึกนั้นทำให้เราห่างเหินกันมากเหลือเกินผมรักคุณนะ  เสียงกระซิบแผ่วเบานั้น  ทำให้รู้ว่าห้วงเวลาแห่งความคุ้นเคยนั้น....เป็นสุขเพียงใด  ถึงแม้ว่าตอนนี้เราจะเหลือเวลาอยู่ด้วยกันน้อยเต็มที  ....................................................................................................................             

คำสำคัญ (Tags): #เรื่องสั้น
หมายเลขบันทึก: 54670เขียนเมื่อ 15 ตุลาคม 2006 12:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 16:07 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (19)
แอนเป็นไงบ้างเดิ้นๆเอง ไม่ได้ยินข่าวตั้งนาน วันก่อนเพิ่งจะเช็คเมลล์ได้ข่าวว่าไปออสเตรเลีย

แกกับไอ้ ความเหงา นั่นน่ะ เมื่อไหร่ถึงจะสลัดมันออกไปได้สักทีนะ

ชั้นจะเข้ามาดูทุกวันนับจากนี้ จนกว่าจะได้เจอแกนะ

ห้าปีผ่านไปแล้ว งานของแกยังวน ๆ อยู่กับเรื่องความเหงาเหมือนเดิม

วันเวลาผ่านแล้ว ก็ผ่านอีก อย่างน้อย แกก็ยังทำให้ "ที่นี่" กลายเป็น "ที่อื่น" ได้แล้วนะ

ดีใจกับแกจริง ๆ

ชั้นสมัคสมาชิกแล้วนะ

 

ชั้นได้ ."ที่เห็นและเป็นอยู่" ภาคภาษารัสเซียมาแล้ว

อยากให้แกได้เห็นน่ะ

ob

การคิดที่แย่ทีสุด คือการคิดเข้าข้างตัวเอง

อากาศมัวๆ ยังไงไม่รู้ แต่ชั้นกำลังจะไปลาวแล้ว

ชั้นจะถ่ายภาพมาเยอะ ๆ เรียนรู้ก้าวที่แกผ่าน

เพราะชั้นเอง ยังคงรู้สึกเสมอ

ว่าบางทีรอยเท้่าของเราจะนำเรามาพบกันอีกครั้ง

 

พรุ่งนี้จะกลับแล้ว การเที่ยวตามรอยใครสักคนนี่ยากจริง ๆ คิดถึงแกเสมอล่ะ

เพื่อนแกเอง 

ความฝันไม่ต่างจากความจริงนัก  ชีวิตที่ลาวเคลื่อนที่ไปช้า ๆ เหมือนเรือใบน้อย ๆ ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อสูดลมหายใจเข้าจนสุด จะได้กลิ่นดินหอมที่เคยลืมเลือนไปนานแล้ว

คิดถึงแกนะ จากโลกที่นาฬิกา หรือแม้แต่โลกทั้งโลกหยุดหมุน 

ชั้นอ่่านเรื่องของแกซ้ำ ๆ มาเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้

 คำถามเดิม ๆ ที่หมุนวนซ้ำ ๆ ซาก ๆ ก็คือ

 โลกนี้เหงาแค่ไหนกัน?

มีความสุขมาก ๆ นะ

          และมีความทุกข์สักเล็กน้อยก็พอ

 

เมื่อคืนฝันร้าย

แย่จัง... 

 

คิดถึงแกนะ 

ใครจะเชื่อว่า หนังสือ เล่มหนึ่งจะมีอิทธิพลต่อใครสักคนได้ขนาดนี้

และก็เหมือนเดิมที่ชั้นจะคิดถึงแก 

ความฝันโง่ ๆ

ใครสักคนเคยบอกไว้นะ

 

ตอนนี้แกน่าจะอยู่ออสเตรเลีย

 

และอีกไ่ม่กี่เดือน ชั้นจะปีนเอเวอร์เรส

 ใครจะกล้าพูดอีกนะ

ว่านี่เป็นเพีียง ความฝันโง่ ๆ  

อากาศแย่มาก แม้แต่ที่ base camp

หนทางมืดมน จนเหลือแค่สองทางเลือก

กลับ และมีชีวิตต่อ

ไป เพื่อที่จะมีชีวิตนิรันดร์

ตอนนี้ชั้นอยู่บ้านแล้ว...และเฝ้าฝันถึงโอกาสที่จะไปพูดคุยกับ แม่ของแผ่นดิน อีกครั้งหนึ่ง

รักแกเสมอ

คงจะนับได้เป็น ร้อย  ๆ ครั้่งแล้วล่ะ ที่เข้ามา แต่ไม่ได้เขียนอะไร มันเหมือนกับอยากจะล้มเลิกนะ อยากจะเลิกคาดหวัง ที่จะเจอตัวแก

แต่สุดท้ายก็แบบนี้ ... ชั้นคิดถึงแก ... และ หวังว่าแกคงมีความสุขนะ

 

ได้ข่าวมาไกล ๆ ว่า มี "คนไทย" จะปีนเอเวอร์เรส เป็นข่าวใหญ่โตที่บ้านของเรา  อวยพรให้เขาเศร้า ๆ ก็คงได้แค่นั้น....

 ฉันพยายามจะไปสัมผัสดวงดาวที่นั่น มาห้าครั้งแล้ว อย่างเงียบ ๆ และไม่มีใครเห็น

 

ดาหลาสีชมพูบ้านเราออกดอกสวยแล้วนะจ้ะ

อ่านแล้ว รู้สึกถึงอารมณ์และช่วงเวลานั้น

ทุกๆอย่างมันก็แค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

เหลือไว้เพียงความทรงจำของกันและกัน

ตลอดไป จนกว่าจะหยุดหายใจ

วันไกลก็ไกลไปเรื่อยๆ เหมือนจะไม่มีจุดที่จะตัดกันหวังว่าคงจะ มีสักวันโชคดีครับ

วันไกลก็ไกลไปเรื่อยๆ เหมือนจะไม่มีจุดที่จะตัดกันหวังว่าคงจะ มีสักวันโชคดีครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท