แกกับไอ้ ความเหงา นั่นน่ะ เมื่อไหร่ถึงจะสลัดมันออกไปได้สักทีนะ
ชั้นจะเข้ามาดูทุกวันนับจากนี้ จนกว่าจะได้เจอแกนะ
ความคุ้นเคยที่มีมากเกินไปมันอาจมีความรู้สึกบางอย่างแทรกเข้ามาความเป็นเจ้าของ....ความเห็นแก่ตัวไม่มีใครอยากทำลายความคุ้นเคยเพราะกว่าจะสร้างขึ้นมาได้ก็ต้องรวบรวมทุกอณูกาลเวลา...ยาวนานแต่เมื่อผ่านอณูของเวลาไปอีกจากความคุ้นเคยก็แปรเปลี่ยนเป็นความห่างเหินไป
ฝนตกติดต่อมากันมา ๑ อาทิตย์แล้ว มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นก้อนเมฆสีเทาก้อนใหญ่ลอยตัวอ้อยอิ่งปกคลุมทั่วฟ้า วันนี้ก็ยังครึ้มฝนเหมือนวันที่ผ่านมา ยังเช้าอยู่มาก อากาศเย็นและชื้น ผืนฟ้าและแผ่นดินชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำ ต้นกระถินณรงค์ที่มีฝักแห้งสีน้ำตาลทว่าใบของมันเขียวสดราวกับได้น้ำเต็มอิ่ม กิ่งก้านของมันไหวตัวเบาๆด้วยแรงลม ในวันมัวซัวและอึมครึมดูไม่ผิดกับรูปภาพที่ใช้สีเทาแต่งแต้มจากปลายพู่กันของจิตรกร
เธอถือแก้วกาแฟควันกรุ่นมานั่งที่เก้าอี้หวายริมหน้าต่าง เลื่อนกระจกบานใสเพื่อให้อากาศเย็นชื่นเข้ามาในห้อง ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบช้าๆพลางมองตามควันที่ลอยม้วนตัวออกจากแก้วอย่างเหม่อลอย....วันนี้เธอดูไม่เป็นตัวของตัวเองเลย นาฬิกาบอกเวลาหกโมงเช้าแล้วแต่สิ่งต่างๆภายนอกก็ยังดูสงบนิ่ง ที่จริงวันนี้ไม่น่าออกไปไหนเอาเสียเลย เอาเถอะ...ยังไงวันนี้ก็เป็นวันสำคัญของเธออยู่ดี หันไปมองรอบห้องยังมีอะไรขาดไปหรือเปล่านะ พื้นห้อง เพดาน ล้วนแล้วแต่ผ่านการทำความสะอาด ข้างของในห้องก็จัดเป็นระเบียบรวมทั้งตกแต่งสิ่งละอันพันละน้อยให้ดูน่าอยู่มากกว่าห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆบนตึกสูง เธอกวาดสายตามองและลำดับความคิด
เข็มยาวของเข็มนาฬิกาบนผนังชี้ทำมุมตั้งฉาก ทำไมเวลาช่างเดินช้าเหลือเกิน เธอเดินไปสำรวจตัวเองที่น่ากระจก น่าขันที่เห็นว่าแววตามีความตื่นเต้นดีใจจนเก็บไว้ไม่ได้เอาเสียเลย เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังแหวกผ่านบรรยากาศที่เงียบสงบ เธอลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็วและกระโจนรับโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น....และแล้วก็พลุนพลันหยิบเสื้อคลุมและร่มเดินออกประตูไป ผู้หญิงผมยาวสวมเสื้อคลุมสีดำท่ามกลางอากาศที่ดุเหมือนมีหมอกควัน ท้องฟ้าที่มีเมฆสีเทาลอยต่ำตอนนี้มีละอองฝนโปรยปรายลงมากับร่มสีแดงสด คงดูพิลึกชอบกล เธอก็คิดว่ามันไม่เข้าท่าเอาเสียเลยในตอนนี้ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามทั้งอากาศ ผู้คนหรือหัวใจของตัวเอง มันดูไม่ปกติเลยสักอย่างเดียว ท่ามกลางสายฝนเธอเดินสวนผู้คนที่เดินออกมาจากสถานีรถไฟ หัวใจเดินตามจังหวะการก้าวเดิน ที่จริงแล้วเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้เป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเธอ มันเป็นสิ่งที่ควรคุ้นเคยแต่ทำไมต้องรู้สึกเหมือนเป็นครั้งแรกที่เขามา เธอหุบร่มสีแดงชุ่มโชกและเดินเข้าไปในอาคาร คนพลุกพล่านราวกับฝูงมดงานกำลังทยอยกันออกมาจากขบวนรถไฟ บรรยากาศของสถานีที่ไหนๆก็คงคล้ายกัน ผู้คน เวลาและเสียงเตือนของหวูดรถไฟมาและจากไปด้วยเสียงล้อกระทบราง เธอหยุดยืนด้านหลังของม้านั่งตัวหนึ่งน่าแปลกที่ต้องนึกคำทักทายกับคนคุ้นเคย “ รอนานหรือเปล่า” เธอได้ยินเสียงตัวเองถามไปอย่างนั้น เสี้ยวหน้าที่หันมานั้นดูเปลี่ยนไปเล็กน้อยคงเพราะผมที่ตัดสั้นกว่าที่เคยเห็น“ ไม่หรอก ไปกันเถอะ” เขาเก็บหนังสือในมือและลุกขึ้น เธอและเขาเดินออกมาจากชานชลา และเดินตรงไปยังรถสองแถวคันแรกที่เห็น เธอถามราคาและต่อรองเสร็จก็ขึ้นไปนั่งตรงข้ามกับเขา เธอชอบที่จะนั่งตรงข้ามกับเขา เพราะมันทำให้มองเขาได้เต็มตา“ วันนี้ท่าทางฝนคงไม่หยุดตกง่ายๆ อยากไปไหนหรือเปล่า” เธอถามเขาอย่างเป็นกังวลเขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ ควันสีเทาลอยม้วนตัวขึ้นไปอย่างช้าช้า กลิ่นใบยาสูบกระทบจมูกให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด“ ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้ง่วงนอน” เขาชะโงกหน้าออกไปมองข้างนอกพลางตอบสายมากแล้วรถกำลังเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าช้าหลังจากจอดรอผู้โดยสารคนอื่น ฝนยังโปรยปรายเหมือนเดิมไม่มีทีท่าจะหยุด อากาศไม่ดีขึ้นสักนิด เขาก็ยังสูบบุหรี่เงียบๆสีหน้าไม่ปรากฏความรู้สึกใด เธอมองเขาอย่างค้นหานึกเสียใจที่เขาดูเฉยชาเหลือเกินกับการได้เจอกันในรอบหลายเดือน หน้าเกลี้ยงเกลาที่ตอนนี้มีไรเคราสีเขียวขึ้นจางๆยิ่งเพิ่มความขรึมในหน้ามากขึ้น ผมที่เคยยาวสลวยตอนนี้ตัดสั้นจนเกือบกลายเป็นรองทรง ไม่มีอะไรที่คุ้นเคยเลย ความเปลี่ยนแปลงในช่วงระยะเวลาที่ห่างกัน ความเปลี่ยนแปลงที่เธอเพิ่งได้เห็น และเขาเองก็ยังนิ่งเงียบเสียจนเดาอะไรไม่ได้...ยกเว้นแววตาที่ดูกังวลกับอะไรบางอย่าง“ หิวหรือเปล่า แวะทานอะไรหน่อยไหม” เธอเอ่ยถามทำลายความเงียบ“ไม่หิวหรอก” เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอเต็มตา“ผมยาวขึ้นนะ” เขาพูดขึ้นพลางจับผมของเธอเบาๆ “ไม่เจอตั้งนาน คิดถึงจัง” เสียงอ่อนโยนของเขากลืนหายไปกับเสียงฝนปลายเดือนพฤษภาความคุ้นเคยที่เจือด้วยความแปลกหน้า อึดอัด ขัดเขินและปวดปร่า ยังหาคำตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไร มันเกิดขึ้นจากอะไร คำตอบที่มีมันอาจจะพัดมาตามสายลมวันใดวันหนึ่ง เธอกลืนก้อนสะอื้นลงไปอย่างเจ็บปวด มองเม็ดฝนตอนนี้มันช่างหนาวเย็นเหลือเกิน
.. ................................................................................................................ ฟ้าเริ่มมืดลงเร็วกว่าปกติ อากาศเย็นแต่ในห้องอุ่นสบาย แสงไฟในท้องถนนรวมทั้งรถราข้างนอกที่ยังพลุกพล่าน เป็นการเคลื่อนไหวที่ทำให้รู้สึกคึกคักขึ้นมาบ้าง เมื่อมองจากมุมสูงก็ดูสวยงามด้วยประกายสะท้อนแห่งแสงไฟแทนที่กลุ่มดาวที่วันนี้หลบหายไปใต้ผืนฟ้าสีดำ.... เธอนึกครื้มเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำแข็งและโทนิคออกมา ใส่น้ำแข็งลงในแก้วพร้อมผสมด้วยเกลือและมะนาวพลางคนแก้วช้าๆ “ยังชอบดื่มยินโทนิคเหมือนเดิมนะ” เขาพูดขึ้นหลังจากมองเธอผสมเครื่องดื่ม “อ้าว...ตื่นแล้วเหรอ” เธอหันไปเห็นเขาพลิกตัวกอดหมอนข้างอย่างไม่ยอมตื่น ความรู้สึกอ่อนหวานก่อตัวขึ้นในวินาทีนั้น เธอเดินไปนั่งข้างเตียงและลูบผมของเขาเบาๆอย่างอ่อนโยน เขาขยับตัวมานอนหนุนตักเธอด้วยอาการอ้อนนิดๆ เธอไม่เคยเข้าใจเลยว่าอะไรที่ประกอบเป็นตัวเขานั้นมีกี่อารมณ์กันแน่ บางครั้งก็ดูไม่เคยสนใจอะไรเลย บางครั้งก็เฉยชาอย่างไม่น่าเชื่อ และในบางครั้งก็เหมือนเด็กซนๆคนหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามทุกอารมณ์ของเขามันก็มีอิทธิพลต่อเธอเหลือเกินแล้ว เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศนุ่มนวลนั้นเหมือนสัญญาณบอกหมดเวลา“ออกไปข้างนอกนะ” เขาหันมาบอกพลางลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างเร่งรีบและเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว“เพื่อนชวนเหรอ” เธอถามเพื่อความแน่ใจมากกว่าอย่างอื่น“ฮื่อ...เดี๋ยวผมมา คุณไม่ต้องรอนะ ถ้าหิวก็หาอะไรทานก่อนแล้วกัน” เขาหยิบกุญแจและเปิดประตู“เอาร่มไปด้วยสิ เผื่อฝนตก” เธอหยิบร่มมาส่งให้ เขาหันมายิ้มแล้วโน้มตัวมาหอมแก้มแทนคำขอบคุณ แก้วไฮบอลมีไอและฝ้าความเย็นเกาะตัวอยู่เริ่มจับตัวกันไหลเป็นหยดน้ำช้าๆ เธอคนแก้วเบาๆหลังจากผสมเครื่องดื่มแก้วใหม่ น้ำแข็งกระทบกันดังกรุกกริก ทำไมเธอไม่ห้ามเขาไม่ให้ออกไป ทำไมเธอไม่ตามไปด้วย ความรู้สึกที่เอ่อท้นจนปิดกั้นคำพูดทั้งหลายเหล่านั้นคือ ความน้อยใจที่มันประเดประดังกันเข้ามา...เขาไม่เคยนึกถึงจิตใจของเธอมาตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว อยากไปไหนก็ไปอยากจะหายไปก็ไม่เคยคิดจะติดต่อกลับมา แต่นั่นมันเป็นชีวิตของเขาที่ไม่มีเธอ อยู่ไกลกันอย่างนี้เธอจะมีสิทธิอะไรที่จะห้ามเขาได้ เขาจึงมีอิสระอย่างเต็มที่จนลืมว่า มีคนที่เขาต้องใส่ใจ.....และคงจะลืมไปด้วยว่าเรามีเวลาเจอกันน้อยแค่ไหน เขาถึงไม่ไยดีกับการใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ทั้งทั้งที่เธอรอคอยเวลานี้อยู่ทุกลมหายใจ เธอจิบยินโทนิคช้าช้า ความขื่นของผิวมะนาวยังติดอยู่ปลายลิ้นและรู้สึกว่า มันขมยิ่งกว่าทุกทุกครั้ง ความแปร่งปร่าของความรู้สึกแปรเปลี่ยนไปเป็นความเจ็บปวดที่เขาไม่เคยเข้าใจเธอเลย.....
ท้องฟ้ายามดึกดูน่ากลัวเพราะกลุ่มเมฆสีส้มปกคลุม เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพรุ่งนี้ฝนก็ยังคงตกอยู่ แสงไฟตามถนนยังสว่างเป็นแนวยาว ผิวถนนชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำ ถนนเงียบเหงาเพราะนานๆจะมีรถผ่านมาสักคัน เธอนั่งชันเข่าอยู่บนเก้าอี้หวายตัวยาว เอียงศรีษะกับกรอบหน้าต่าง ลมยามดึกพัดเอาความเย็นชื่นที่เหมือนจะได้กลิ่นใบไม้บางอย่างเข้ามาด้วย กระดิ่นลมดินเผารูปพระจันทร์เสี้ยวกระทบกันเสียงดังกรุ๋งกริ๋ง แข่งกับเสียงฝักแห้งของกระถินณรงค์ที่ดังกราวกราว สวนรกร้างที่อยู่ตรงข้ามมืดและดูน่ากลัว ยามบรรดาต้นไม้ไหวกิ่งก้านก่อให้เกิดรูปเงาตามจินตนาการของผู้พบเห็น เขากลับเข้ามาแล้ว หากแต่ความรู้สึกของเธอมันยังไม่ดีขึ้นมันเลยเปลี่ยนเป็นทิฐิเข้ามา ในเมื่อเขาไม่สนใจทำไมเธอจะต้องไปสนใจเขาด้วย เธอจะทำเหมือนไม่มีเขาอยู่ตรงนี้ หนังสือที่อยู่ในมือมันจะเป็นเรื่องอะไรก็ช่างเถอะ...เธอจะอ่านมันจนดูเหมือนลืมอะไรต่างๆบนโลกนี้ พอกันทีจะไม่ยอมเป็นฝ่ายที่ต้องเจ็บอยู่คนเดียวแล้ว เขาจะต้องรู้สึกบ้าง เสียงกีตาร์แผ่วดังมาจากอีกมุมหนึ่งของห้อง คอร์ดเสียง C Aminor E G-7 ดังไล่เรื่อยเป็นเพลงที่มีท่วงทำนองอ้อยอิ่งระคนเศร้าสร้อย ราวกับตอกย้ำถึงความปวดปร่าของบรรยากาศที่คนเล่นจงใจถ่ายทอดออกมา เสียงดนตรีเงียบไปเขาเงยหน้าขึ้นมองเธอเนิ่นนานจนเธอรู้สึกถึงกระแสสายตาที่เก็บอะไรบางอย่างไว้ “ผมมีอะไรจะบอกคุณ” เขาพูดขึ้นอย่างตัดสินใจได้“มีอะไรเหรอ” เธอยังคงจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง“ผมจะไปอเมริกา เราคงไม่ได้เจอกันอีกนาน” เสียงของเขามีแววกังวล“ผมต้องไปอาทิตย์หน้าแล้ว แต่......” เขาเว้นจังหวะพูดนิ่ง นาน “พรุ่งนี้ผมคงต้องกลับแล้ว”
ฝนลงเม็ด เสียงฝนกระทบต้นไม้ดังเปาะแปะ เธอยื่นมือออกไปนอกหน้าต่าง สัมผัสเม็ดฝนที่ไหลรวมที่ข้อศอกเป็นทาง กระถามดินเผาที่แขวนอยู่นอกระเบียงโดนฝนสาดกระเซ็น กลีบบางเบาราวปีกผีเสื้อของพิทูเนียสีม่วงมีหยดน้ำเกาะพร่างพราว เธอแค่อยากฟังแค่คำขอโทษ อยากได้ยินแค่คำพูดที่บอกว่าห่วงใย สิ่งที่ทำให้มั่นใจว่าเรายังเหมือนเดิม เธอไม่ได้เตรียมใจฟังว่าเขาจะจากไปไหน หัวใจรับไม่ทันกับความเจ็บปวดที่มีมากกว่านี้ ร่างกายและสมองจึงมึนงงไม่รู้จะทำอย่างไรในตอนนี้“ผมไม่รู้จะพูดยังไง จะบอกตอนไหน ผมทำตัวไม่ถูกที่ต้องมาหาคุณเพื่อที่จะมาบอกเรื่องนี้ ผมเป็นห่วงคุณมากนะ คุณเข้าใจผมหรือเปล่า”“ฉันเข้าใจเพียงแต่ฉันไม่ได้เตรียมใจเท่านั้น” เธอมองเขาด้วยสายตาพร่าพราย พยายามกลั้นสะอื้นและน้ำตา จะทำอย่างไรได้ จะห้ามหรือจะบอกว่าไม่ให้ไปก็ทำไม่ได้ อยากจะคร่ำครวญแต่จะมีอะไรดีขึ้นมา ร่างกายอ่อนแรงเหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น นอกจากได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นอย่างเจ็บปวด....ถ้าตอนนี้ไม่มีหัวใจก็คงจะดี ไม่มีหนังสือเล่มใด บทกวีบทไหนเคยบอกไว้ว่าควรทำอย่างไร พูดอย่างไรกับการจากลาที่ไม่ทันตั้งตัว เพิ่งรู้ว่าการตัดใจจากคุณเหมือนที่เคยคิดนั้นมันทำไม่ได้ เพิ่งรู้ว่าคุณคือส่วนหนึ่งของชีวิต คือลมหายใจ คือความรู้สึก คำว่ารักมันคงน้อยไปแต่นั่นสินะจะให้บอกไปได้อย่างไรว่าไปเถอะไม่ต้องห่วงฉัน...ทั้งทั้งที่เราจะต้องจากกันนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ และฉันก็ไม่สามารถห้ามคุณได้เพราะมันคือความก้าวหน้าของคุณ เขาเดินเข้ามาและวงแขนที่อบอุ่นนั้นโอบกอดเธออย่างปลอบโยน แค่นั้นเองที่ทำให้เธออดทนทำเป็นคนเข้มแข็งต่อไปไม่ไหว ไม่ต้องการความห่างเหินในเวลาที่ผ่านมา ไม่ต้องการทิฐิ การแก้แค้น หรือคำขอโทษอะไรทั้งนั้น เพิ่งได้รู้ว่าความอึดอัด ว่างเปล่า และความเจ็บปวดที่รู้สึกนั้นทำให้เราห่างเหินกันมากเหลือเกิน“ผมรักคุณนะ” เสียงกระซิบแผ่วเบานั้น ทำให้รู้ว่าห้วงเวลาแห่งความคุ้นเคยนั้น....เป็นสุขเพียงใด ถึงแม้ว่าตอนนี้เราจะเหลือเวลาอยู่ด้วยกันน้อยเต็มที ....................................................................................................................
แกกับไอ้ ความเหงา นั่นน่ะ เมื่อไหร่ถึงจะสลัดมันออกไปได้สักทีนะ
ชั้นจะเข้ามาดูทุกวันนับจากนี้ จนกว่าจะได้เจอแกนะ
ห้าปีผ่านไปแล้ว งานของแกยังวน ๆ อยู่กับเรื่องความเหงาเหมือนเดิม
วันเวลาผ่านแล้ว ก็ผ่านอีก อย่างน้อย แกก็ยังทำให้ "ที่นี่" กลายเป็น "ที่อื่น" ได้แล้วนะ
ดีใจกับแกจริง ๆ
ชั้นสมัคสมาชิกแล้วนะ
ชั้นได้ ."ที่เห็นและเป็นอยู่" ภาคภาษารัสเซียมาแล้ว
อยากให้แกได้เห็นน่ะ
ob
การคิดที่แย่ทีสุด คือการคิดเข้าข้างตัวเอง
อากาศมัวๆ ยังไงไม่รู้ แต่ชั้นกำลังจะไปลาวแล้ว
ชั้นจะถ่ายภาพมาเยอะ ๆ เรียนรู้ก้าวที่แกผ่าน
เพราะชั้นเอง ยังคงรู้สึกเสมอ
ว่าบางทีรอยเท้่าของเราจะนำเรามาพบกันอีกครั้ง
พรุ่งนี้จะกลับแล้ว การเที่ยวตามรอยใครสักคนนี่ยากจริง ๆ คิดถึงแกเสมอล่ะ
เพื่อนแกเอง
ความฝันไม่ต่างจากความจริงนัก ชีวิตที่ลาวเคลื่อนที่ไปช้า ๆ เหมือนเรือใบน้อย ๆ ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อสูดลมหายใจเข้าจนสุด จะได้กลิ่นดินหอมที่เคยลืมเลือนไปนานแล้ว
คิดถึงแกนะ จากโลกที่นาฬิกา หรือแม้แต่โลกทั้งโลกหยุดหมุน
ชั้นอ่่านเรื่องของแกซ้ำ ๆ มาเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้
คำถามเดิม ๆ ที่หมุนวนซ้ำ ๆ ซาก ๆ ก็คือ
โลกนี้เหงาแค่ไหนกัน?
มีความสุขมาก ๆ นะ
และมีความทุกข์สักเล็กน้อยก็พอ
เมื่อคืนฝันร้าย
แย่จัง...
คิดถึงแกนะ
ใครจะเชื่อว่า หนังสือ เล่มหนึ่งจะมีอิทธิพลต่อใครสักคนได้ขนาดนี้
และก็เหมือนเดิมที่ชั้นจะคิดถึงแก
ความฝันโง่ ๆ
ใครสักคนเคยบอกไว้นะ
ตอนนี้แกน่าจะอยู่ออสเตรเลีย
และอีกไ่ม่กี่เดือน ชั้นจะปีนเอเวอร์เรส
ใครจะกล้าพูดอีกนะ
ว่านี่เป็นเพีียง ความฝันโง่ ๆ
อากาศแย่มาก แม้แต่ที่ base camp
หนทางมืดมน จนเหลือแค่สองทางเลือก
กลับ และมีชีวิตต่อ
ไป เพื่อที่จะมีชีวิตนิรันดร์
ตอนนี้ชั้นอยู่บ้านแล้ว...และเฝ้าฝันถึงโอกาสที่จะไปพูดคุยกับ แม่ของแผ่นดิน อีกครั้งหนึ่ง
รักแกเสมอ
คงจะนับได้เป็น ร้อย ๆ ครั้่งแล้วล่ะ ที่เข้ามา แต่ไม่ได้เขียนอะไร มันเหมือนกับอยากจะล้มเลิกนะ อยากจะเลิกคาดหวัง ที่จะเจอตัวแก
แต่สุดท้ายก็แบบนี้ ... ชั้นคิดถึงแก ... และ หวังว่าแกคงมีความสุขนะ
ได้ข่าวมาไกล ๆ ว่า มี "คนไทย" จะปีนเอเวอร์เรส เป็นข่าวใหญ่โตที่บ้านของเรา อวยพรให้เขาเศร้า ๆ ก็คงได้แค่นั้น....
ฉันพยายามจะไปสัมผัสดวงดาวที่นั่น มาห้าครั้งแล้ว อย่างเงียบ ๆ และไม่มีใครเห็น
annie . . . hope u fine
ดาหลาสีชมพูบ้านเราออกดอกสวยแล้วนะจ้ะ
อ่านแล้ว รู้สึกถึงอารมณ์และช่วงเวลานั้น
ทุกๆอย่างมันก็แค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
เหลือไว้เพียงความทรงจำของกันและกัน
ตลอดไป จนกว่าจะหยุดหายใจ
วันไกลก็ไกลไปเรื่อยๆ เหมือนจะไม่มีจุดที่จะตัดกันหวังว่าคงจะ มีสักวันโชคดีครับ
วันไกลก็ไกลไปเรื่อยๆ เหมือนจะไม่มีจุดที่จะตัดกันหวังว่าคงจะ มีสักวันโชคดีครับ