มีเรื่องเล่าที่แฝงแง่คิดอยู่ว่า....
ณ หมู่บ้านหนึ่งมีคนตาบอดอาศัยอยู่ที่ด้านหน้าของหมู่บ้าน...และมีเพื่อนสนิทอยู่ท้ายหมู่บ้าน...วันหนึ่งคนตาบอดก็ไปเที่ยวหาเพื่อนที่ท้ายหมู่บ้านตามประสาคนคุ้นเคย...คุยกันจนดึกคนตาบอดก็ขอตัวกลับบ้าน...เพื่อนของคนตาบอดก็ให้ตะเกียง... คนตาบอดก็พูดด้วยความตลกขบขันว่า
“นี่...นายลืมไปหรือเปล่า...เราตาบอด...ไม่ต้องใช้หลอกตะเกียงหรอก”
เพื่อนของคนตาบอดก็บอกว่า
“ที่ให้ตะเกียงน่ะไม่ได้ให้นายไว้ใช้ส่องดูทาง...แต่ให้ไว้เพื่อที่จะให้คนอื่น ๆ ที่เดินตามทางนั้นได้เห็นนาย”
จากนั้น...คนตาบอดก็ถือตะเกียงเดินทางกลับบ้านของตน... แต่ก่อนที่จะถึงบ้านก็มีคนเดินมาชนเข้าอย่างจัง...
คนตาบอดถึงกับหัวเสียเลยพลั้งด่าไปว่า
“ตาบอดรึไงถึงได้มองไม่เห็น...เราถือตะเกียงอยู่นี่ไง”
ฝ่ายคนที่เดินมาชนก็เลยตอบกลับไปว่า “ตะเกียงที่นายถือไว้ ไฟมันดับไปแล้ว...”
เป็นเรื่องเล่าที่ผู้เขียนได้ฟังหรืออ่านมานานพอสมควรแล้ว...ส่วนนัยก็มีผู้ตีความไปได้หลายแง่แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน...ในครั้งนั้น ผู้เขียนก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก...
หากแต่พอนำกลับมาคิดอีกครั้งในมุมมองของธรรมะ...ก็สามารถให้แง่คิดที่เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์บ้าง ซึ่งในมุมมองของผู้เขียน...
คนตาบอด : ก็เปรียบเสมือน ‘มนุษย์ ปถุชน’ ทั่วไปที่เกิดมาพร้อมกับความไม่รู้...แต่สามารถที่จะเป็นผู้รู้ได้จากการเรียนรู้ทั้งจากในตำรา ประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม มนุษย์แตกต่างจากสัตว์อื่นก็คือความสามารถในการฝึก.... .พระพุทธศาสนามีลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งคือ ยืนยันในศักยภาพสูงสุดของมนุษย์ คำศัพท์ที่แท้ท่านว่า “ทมะ” แปลว่า ผู้ที่จะพึงฝึก คือ ฝึกได้หรือต้องฝึก และฝึกได้จนถึงขั้นเป็นสัตว์ประเสริฐ มองอีกแง่หนึ่งก็ว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่ต้องฝึก และจะประเสริฐสุดได้ด้วยการฝึก...มนุษย์จึงมีศักยภาพสูงสุดในการฝึก ซึ่งหมายถึง การพัฒนาตน
เพื่อนที่ให้ตะเกียง : ก็เปรียบเสมือนการที่เราคบกับ ‘บัณฑิต’ คอยชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องให้แสงสว่าง (ตะเกียง) ทางปัญญา
คนที่เดินมาชน : เปรียบเสมือน ‘ปัญหา’ ที่ผ่านเข้ามาในระหว่างทางของการดำเนินชีวิต
คนตาบอดที่หัวเสียโวยวาย : เปรียบเสมือนตัวเราที่บางครั้งพบเจอปัญหาที่เข้ามาจู่โจม แทนที่จะมี ‘สติ’ กำกับ กลับยึดติดถือมั่นในสิ่งที่มองไม่เห็น (ตะเกียงที่ถือ) คิดว่า เมื่อมีความรู้แล้วจะสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้...แต่แก่นแท้แล้วหาใช่ไม่...ความรู้ที่ได้ศึกษามาหลายอย่างแม้กระทั่งจากบัณฑิตหากเรายังคงยึดติดถือมั่นอย่างไม่ได้ตรวจสอบใคร่ครวญด้วย ‘ปัญญาที่ถูกกำกับด้วยสติ’ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็อาจทำให้สำคัญผิดคิดว่าปัญญาที่ได้รับรู้จากการสดับฟัง (ตะเกียง) นั้นสามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกอย่าง...แต่ในทางที่แท้จริงแล้วต้องหมั่นฝึกฝนอยู่เรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง...“บัณฑิตย่อมฝึกตน”
ในปัจจุบันนี้...เราตาดีหรือตาบอด...?
เครดิตภาพ : http://poem-benuser.blogspot.com/2010/10/benuser_20.html
เคยอ่านมาว่าเป็นนิทานเซนเรื่องหนึ่งค่ะ , อ่านอีกกี่รอบก็ได้ข้อคิดอยู่เสมอ
น่าติดตามค่ะ
ขอบคุณ คุณaoiwhywanna มากครับที่แวะมาเยี่ยมเยือน
ขอบคุณ ทุกกำลังใจที่มอบผ่านดอกไม้มากครับ...:)