วันนี้เป็นวันเสาร์ญาติโยมประชาชนทั้งหลายได้พากันมานอนวัดปฏิบัติธรรม มาทำบุญทำกุศลสร้างความดีสร้างบารมี มาอุทิศบุญกุศลให้ญาติ ๆ บรรพบุรุษ มาทำบุญวันเกิดเป็นต้น
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เราทุก ๆ คนเกิดมาเป็นมนุษย์ชื่อว่าเป็นผู้ที่ประเสริฐสุด ได้มีโอกาสได้มีเวลาพากันสร้างความดีเพื่อไปพระนิพพานกันทุก ๆ คน
ร่างกายของเรานี้นะมันเป็นของใช้ชั่วคราว มีอายุไขจำกัด ส่วนใหญ่ก็ไม่เกินร้อยปีทุกคนก็ต้องละทิ้งร่างกายไป บางทีก็ไม่ถึงร้อยปีหรอก
พระพุทธเจ้าท่านถึงไม่ให้เราตามกิเลส ตามอารมณ์ของตัวเองที่มันยังหลงอยู่ แล้วก็ไม่ให้ตามสิ่งแวดล้อมที่มันยังหลงอยู่ ให้กลับมาหาศีล เพราะว่าศีลนั่นน่ะคือตัวพระพุทธเจ้า ศีลนั่นน่ะคือตัวพระธรรม ศีลนั่นน่ะคือตัวพระอริยสงฆ์ ศีลนั่นน่ะคือความไม่โลภคือความไม่โกรธคือความไม่หลง ปราศจากตัวปราศจากตน
ศีลนี้ดีมากประเสริฐมาก ไม่ว่าศีล ๕ ไม่ว่าศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ น่ะเป็นสิ่งที่ดีมาก ถ้าเรารักษาศีลอย่างนี้ก็ชื่อว่าเราเป็นผู้เดินตามรอยของพระพุทธเจ้า เรารักพระพุทธเจ้า เรานับถือพระพุทธเจ้า ถ้าเราไม่รักษาศีลคือเราไม่ได้เคารพนับถือพระพุทธเจ้า เรานับถือกิเลส นับถือความโลภความโกรธความหลงเป็นหลัก เราไม่ได้เอาศีลเอาธรรมเป็นหลัก
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าถ้าเราไม่มีศีลธรรมะมันก็ไม่มี เพราะศีลและธรรมมันเป็นสิ่งที่ต่อเนื่องกัน เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนั้นก็จึงมี ธรรมทั้งหลายทั้งปวงมีเหตุมีปัจจัย สมบัติของเราที่เกิดมาเป็นมนุษย์น่ะพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าคือศีลนะ...
เราทุก ๆ คนนี้ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง ส่วนใหญ่น่ะถูกกิเลสคือความหลงในจิตในใจครอบงำกลายเป็นความอยากความต้องการ จิตใจมันเร่าร้อน ร่างกายยังไม่ตายแต่จิตใจของเรามันถูกเผาทั้งเป็น มันยังไม่ตายก็เผาแล้ว เผาทั้งกลางวันเผาทั้งกลางคืนน่ะ มันเปรียบเสมือนแมลงเม่าพากันบินเข้ากองไฟ
สติของทุก ๆ คนมันน้อย สมาธิมันก็น้อย ปัญญาก็ไม่ค่อยจะมี มีก็มีแต่สติทางโลก สมาธิทางโลก ปัญญาทางโลก
ปัญญาทางโลกก็หมายถึงปัญญาในการดำรงชีพดำรงชีวิตในการทำมาหากินหรือว่าธุรกิจหน้าที่การงาน แต่ปัญญาทางธรรมมันไม่ค่อยจะมีน่ะ เจอรูปสวย ๆ ก็หัวใจมันสั่นหมด เจอเสียงเพราะ ๆ ก็หัวใจมันสั่นหมด เจอเค้านินทาสรรเสริญก็หัวใจมันสั่น สติสัมปชัญญะมันไม่ค่อยจะมี ไม่ได้ตัวของตัวเองเลย เหมือนกับเราถูกผีมันมาสิงจิตสิงใจของเราตลอดเลยนะ
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราให้เราจิตใจแข็งแรง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นชั่วคราว มันเกิดขึ้นแล้วมันตั้งอยู่เดี๋ยวมันก็ดับไป อย่าได้หลงนิมิต อย่าได้หลงอารมณ์ อย่าได้หลงสิ่งแวดล้อม อย่าได้เชื่อใจตัวเอง อย่าได้เชื่ออารมณ์ตัวเอง เพราะใจของตัวเองน่ะมันไม่ใช่ใจของพระอรหันต์ มันไม่ใช่ใจของพระพุทธเจ้า ทุกสิ่งทุกกอย่างมันเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วมันก็ดับไป
พระพุทธเจ้าท่านให้เรามีสติให้เรามีสมาธิให้เรามีปัญญาว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา
ทุกคนมีร่างกาย... ร่างกายของเราน่ะมันถูกกิเลสครอบงำ มันไม่มีความสงบใจ มันเลยเกิดเป็นโรคเป็นภัยต่าง ๆ นานา จิตใจของเรามันก็หลงในเรื่องอยู่เรื่องกินเรื่องเที่ยว มันไม่สงบน่ะ
ทุกคนน่ะยังไม่ได้พากันเข้าถึงความสุขความสงบนะ ที่ว่าความสุขของเราเดี๋ยวนี้น่ะ มันไม่ใช่นะ มันเป็นความวุ่นวาย สร้างความวุ่นวายให้กับตัวเอง สร้างปัญหาให้กับตัวเอง นึกว่าได้ทานอาหารที่อร่อย ๆ มันสบาย ได้สิ่งที่ไม่ขัดอกขัดใจสบาย ร่างกายสบาย อะไรก็สบายอย่างนั้นน่ะเค้าเรียกว่ามันสบายแบบวัตถุ มันเป็นการหลงวัตถุ แต่ความเสียหายคือใจของเราน่ะมันไม่สงบเลยนะ เพราะว่าวัตถุข้าวของเงินทองสิ่งต่าง ๆ นั้นมันไม่ใช่จีรังยั่งยืน ร่างกายของเราก็ไม่จีรังยั่งยืน ทุกอย่างมันไม่จีรังยั่งยืน มันล้วนแต่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดามีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เราถึงมาพัฒนาสิ่งที่ประเสริฐที่เราเกิดเป็นมนุษย์คือมาทำจิตทำใจให้สงบ ไม่วิ่งตามอารมณ์ไม่หลงอารมณ์
ร่างกายของเราน่ะ มันก็เป็นส่วนของกาย ใจก็เป็นส่วนของใจ พระพุทธเจ้าท่านให้เรารู้จักอย่างนี้นะ อย่าให้มันเป็นอันเดียวกัน เราเป็นโรคภัยไข้เจ็บก็ให้ร่างกายมันเป็นโรคภัยไข้เจ็บอย่าให้ใจมันเจ็บไปด้วย ถ้าเราไม่ฝึกไม่ปฏิบัติน่ะเราก็จะทำไม่ได้ เพราะเรายังไม่รู้จักความสงบที่แท้จริง
ปัญหาต่าง ๆ น่ะให้ทุกท่านทุกคนรู้ไว้เลยนะว่ามันอยู่ที่ใจของเราไม่สงบ วิ่งตามความโลภความโกรธวิ่งตามความต้องการ คำว่า “วิ่ง วิ่ง” นี้ วิ่งเท่าไหร่มันก็ไม่สงบ พระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสว่า “นัตถิ สันติ ปรัง สุขัง สุขอันไหนก็สู้ความสงบไม่ได้...”
เราให้ทานมันก็ดีทำให้ใจของเราสบาย ทำให้เรามีบุญมีกุศลในอนาคต เรารักษาศีลมันก็สูงขึ้นมาอีก ทำให้เราไม่ไปตามกิเลสตามอารมณ์ ถ้าทำสมาธิเจริญปัญญาน่ะยิ่งทำให้ใจของเราสงบดับทุกข์ได้แท้จริง
ส่วนใหญ่เราทุกคนน่ะไม่ค่อยรู้จักไม่เห็นคุณประโยชน์ในการฝึกจิตใจ พากันไปสบายตั้งแต่โทรศัพท์ เล่นอินเตอร์เนท เฟซบุ๊ค ดูหนัง ดูละครในโทรทัศน์เค้า มีเพื่อนมีกัลยาณมิตรก็คือโทรทัศน์น่ะสำหรับคนแก่ สำหรับคนหนุ่มก็โทรศัพท์ อินเตอร์เนท เฟซบุ๊คอะไรอย่างนั้น ไม่ได้มีโอกาสได้ฝึกใจให้สงบ มันจำเป็นมากนะการฝึกทำให้ใจสงบ สิ่งต่าง ๆ ที่มันเป็นมือถือ เป็นคอมพิวเตอร์ เป็นโทรทัศน์นี้แหละมันช่วยเราไม่ได้นะเวลาเราแก่เราเจ็บเราตาย การบรรยายทุกด้วยสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้น่ะถือว่ามันยังไม่ค่อยปลอดภัย
คนฉลาดคนเก่งส่วนใหญ่มันรักษาศีลไม่ได้ มันทำสมาธิไม่ได้ เพราะมันไปเอาความสุขทางเนื้อหนัง เอาความสุขทางวัตถุ มันยังไม่เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร กว่าจะรู้ตัวเองมันสายไปแล้วนะพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าอย่างนั้น
การประพฤติการปฏิบัติธรรมนี้เราต้องควบคุมกับชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ก็เอาสิ่งนั้น ๆ มาเจริญให้มันเป็นธรรมะ เพราะว่า สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามีอยู่ในอริยมรรคมีองค์ ๘ ในชีวิตประจำวันของเรา นี้เราเอาสิ่งที่ดีที่ประเสริฐที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ไปทิ้งโดยที่ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติธรรม มียังความเข้าใจผิดว่าการปฏิบัติธรรมมันเป็นหน้าที่ของนักบวชเป็นหน้าที่ของคนแก่ หรือคนบางคนที่จิตใจไม่สงบ ที่จริงแล้วน่ะมันเป็นหน้าที่ของเรา เป็นความรับผิดชอบของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น
ถ้าเราปฏิบัติธรรมน่ะใจของเราก็จะสบาย ธุรกิจหน้าที่การงานของเรามันก็จะดี เพราะในโลกนี้น่ะทุกคนต้องการคนดี ต้องการแต่สิ่งที่ดี ๆ น่ะ
ที่เราคิดว่าถ้าทำความดีมันขัดกับการทำมาหากินขัดกับการดำรงชีพลิดรอนสิทธิของเรามันเป็นการเข้าใจผิด เป็นชีวิตที่เห็นแก่ตัว เป็นชีวิตที่เป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ มันทำลายตัวเอง ทำลายญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล
ร่างกายของเราน่ะมันจะป่วยเป็นโรคอะไรก็ช่างหัวมัน เราถือว่าเทวฑูตมาบอกสอนเราให้ฝึกทำใจสบาย ฝึกปล่อยฝึกวาง มันจะเจ็บออด ๆ แอด ๆ ก็ช่างหัวมัน ถ้าเราไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายเราก็ไม่มีโอกาสได้ฝึกจิตฝึกใจที่แยกออกจากร่างกายน่ะ เพราะเรามีความเห็นผิดมากยึดเอาร่างกายนี้เป็นของเรา ยึดเอาลูกเอาหลานเอาเหลนเอาทรัพย์สมบัติเป็นของเรา ทุกอย่างมันไม่ใช่ของเรา
พระพุทธเจ้าท่านให้ทำใจให้สบายขึ้น มีความสุขขึ้น อย่าไปหมกมุ่นอมทุกข์อยู่กับความยากความจน อย่าอมทุกข์อยู่กับความเจ็บความป่วย อย่าไปอมทุกข์กับคนนั้นมันไม่ดีคนนั้นไม่ได้ตามใจ
เราพยายามอย่าไปแก้ลูกแก้หลานเรา เราพยายามกลับมาแก้ที่ตัวเอง
ปัญหาต่าง ๆ ในตัวเราในครอบครัวเรามันเป็นเพราะเรานี้แหละ ถ้าใจของเราสงบ ปฏิปทาของเราดี ทุกอย่างมันก็ดีน่ะ เราอย่าไปถืออภิสิทธิมากว่าร่างกายเป็นของเรา ว่าลูก ว่าหลานมันเป็นของ ๆ เรา จะให้มันตามใจมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เค้าเรียกว่าหาเรื่องให้ตัวเองทุกข์เฉย ๆ เอานรกเอาอเวจีมาเผาตัวเอง มาทุกข์กับลูกกับหลาน มาทุกข์กับเค้ารวยเค้าจนอย่างนี้ไม่ได้ เรามาปรับจิตปรับใจของเรา มาแก้จิตแก้ใจของเราเดี๋ยวจะหมดลมหายใจแล้วแก้ไขไม่ได้
ฝึกปลง ฝึกปล่อย ฝึกวาง... ยิ่งเราเป็นคนเก่งคนฉลาดปากระเบิด ยิ่งเป็นนรกขุมใหญ่ที่เผาเราเล่นงานเราทั้งเป็น ต้องทำใจให้สงบให้ได้ ทำใจให้เย็นให้ได้ ฝึกปล่อยฝึกวาง ท่องพุทโธ ๆ ๆ พุทโธหนึ่งพุทโธสอง นับพุทโธไปหมื่น ๆ แสน ๆ เป็นล้าน ๆ น่ะ จะอึดอัดขัดเคืองแน่นหน้าอกก็ช่างหัวมัน เดี๋ยวใจของเรามันก็สงบ เดี๋ยวใจของเรามันก็เย็น
พยายามสร้างความสุขความดับทุกข์ขึ้นในใจของเราให้มันได้ในชีวิตประจำวันเค้าเรียกว่าเดินตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ชีวิตของเรามันจะได้มีคุณค่าสมกับเราเกิดมาเป็นมนุษย์
คนเรามันทุกข์มากเพราะว่ามันมีตัวมีตน เพราะว่ามันมีหน้ามีตา ถือว่าตัวเองดีกว่าเค้า ถือว่าตัวเองเก่งกว่าเค้า ถือว่าตัวเองนี้อะไรก็เป็นหนึ่ง นั่นแหละทิฏฐิมานะมันกำลังเผาตัวเอง พยายามถอดพยายามถอนนะ อย่าให้ความคิดอย่างนี้มันมาปรุงแต่งเรา ถ้าโลกธรรมมันมาครอบงำเราอย่างนี้มันจะเหมือนกับฝุ่นเข้าตาตัวเองนี้แหละ
ต้องฝึกสมาธิ ต้องทำสมาธิ ใครจะทำหรือไม่ทำ ใครจะฝึกหรือไม่ฝึกก็ช่างหัวเขา
คนเรามันเผาตัวเองนะ ทำงานอย่างนี้แหละมันก็เผาตัวเอง อยากให้มันเสร็จ อยากให้มันดี อย่างเรากวาดบ้านเรานี้นะเราก็อยากให้มันเสร็จ เรากวาดบ้านเราน่ะ เรามีหน้าที่กวาดให้มันสะอาดให้มันดีให้มันเรียบร้อย จะเสร็จช้าหรือเสร็จเร็วนั้นก็เรื่องของมัน ถ้าเราใจร้อนน่ะเราก็อยากให้เสร็จ ๆ อย่างนี้น่ะ รู้มั๊ยว่าตรงที่เราใจร้อนน่ะมันเผาเรา อย่างเรากวาดถนนหนทางถูห้องน้ำเก็บของเราก็อยากให้มันเสร็จ เค้าเรียกว่าไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา เป็นมนุษย์ที่เผาตัวเอง แทนที่จะเอางานนั้นมาทำให้ใจของเราสงบใจของเราเย็น ไม่ใช่...! เราไม่ได้ทำงานเพื่องาน เราไม่ได้ทำงานเพื่อเสียสละ เราทำเพื่อจะเอาจะมีจะเป็น เราเลยชอบพากันติดทองหน้าพระน่ะ เราไม่ชอบปิดทั้งหน้าทั้งหลัง
ปิดทองหน้าพระเป็นอย่างไร...? คือเรามีความอยาก
อย่างคนที่มาถือศีลนี้แหละ ถ้ารู้จักปฏิบัติธรรม เช่นเรากวาดวัดกวาดใบไม้ ถูห้องน้ำอย่างนี้ เราทำเพื่อสติสัมปชัญญะเราสมบูรณ์ ทำเพื่อใจสงบใจของเราเย็น ทำเพื่อเสียสละความขี้เกียจขี้คร้าน เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้แหละเราก็มีความสุขน่ะ เราเดินจงกรมก็เหมือน เราเดินเพื่อออกกำลังกาย เดินเพื่อสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เดินเพื่อปล่อยเพื่อวางเพื่อไม่เอาไม่มีไม่เป็น เราไม่ได้เอาสวรรค์มรรคผลนิพพานอะไร อันนั้นมันเกิดจากใจของเราไม่มีความโลภความโกรธความหลง ไม่ใช่เราไปอยากแล้วมันจะได้
ความอยากนี้แหละอันตราย... เราไม่ต้องอยาก ใจกับกายของเรานี้ต้องให้มันสงบ อย่างเราทำอาหารอะไรอย่างนี้เราก็ทำดี ๆ ทำให้ใจมันสงบ ให้ใจมันมีความสุข มันเป็นการปฏิบัติธรรมทั้งหมด ไม่ใช่ว่ามานั่งสมาธิสวดมนต์ถึงเป็นการปฏิบัติ อันนั้นมันส่วนหนึ่ง แต่ถ้าชีวิตของเรานี้มันต้องทำทั้ง ๘ อย่างในชีวิตประจำวัน ๘ อย่างมีอะไรบ้าง
จิตใจไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม ทำงานปราศจากโทษ มีสติมีสมาธิ มีความเพียร มันต้องเกี่ยวข้องอย่างนี้ เพราะเราจะมาหยุดตัวเอง ตัดกรรมตัดเวรตัวเอง จะไม่ได้ทำตามตัวเอง ถ้าเราไม่หยุดตัวเอง ไม่ยับยั้งชั่งจิตใจ เราจะเข้าถึงพระนิพพานได้อย่างไร? เมื่อเรานิ่งใจของเราถึงจะสงบ เมื่อเราสงบความปรุงแต่งมันถึงจะไม่เผาเรา
รู้จักปล่อยรู้จักวางรู้จักภาวนาว่าอะไรก็ช่างหัวมัน ฝนจะตกแดดจะออก เค้าจะทะเลาะวิวาทแย่งผลประโยชน์กันก็ช่างหัวมัน พระพุทธเจ้าท่านก็ให้เราพากันปฏิบัติอย่างนี้นะ
การที่ได้มาอยู่วัด การที่ได้มาทำบุญก็ให้เราทุกคนเข้าใจเรื่องพระศาสนา เข้าใจข้อวัตรปฏิบัติของตนเองนะจะได้ปฏิบัติถูกต้อง ถ้าเราเข้าใจแล้วก็ปฏิบัติถูกต้องมันก็ไม่ใช่ของยาก มันก็แก้ไขปัญหาเป็นเปราะ ๆ ไปนะ
อดีตทุกคนต้องทิ้งต้องปล่อยต้องวาง ไม่ว่าจะดีหรือจะชั่วต้องปล่อยวางให้ได้ ถ้าใครปล่อยวางอดีตไม่ได้เหมือนคนแก่ที่ไม่ได้ปฏิบัติ ห้าสิบหกสิบปี เจ็ดสิบแปดสิบปีก็คิดแต่เรื่องเก่านั่นแหละ เพราะว่าเราไม่ได้ปล่อยไม่ได้วาง เรื่องใหม่ ๆ ไม่ค่อยรู้กับเค้า กิเลสเกิดขึ้นกับเราก็ไม่รู้เรื่องใหม่ ๆ เพราะว่ามันไปจมอยู่กับอดีต คนไม่ทิ้งอดีตเค้าเรียกว่าคนบาป อดีตนั้นน่ะมันจะสนับสนุนให้เราไปเกิด คนแก่ถ้าลูกหลานถามเรื่องอดีตพูดมาเป็นชุด ๆ เหมือนปืนกลเลย เราเป็นคนใหญ่ผู้สูงอายุมันถึงไม่รู้เรื่องปัจจุบันเพราะว่ามันแบกอดีต
ต้องทิ้งไป... มันอยากจะคิดก็ต้องเบรกตัวเองหยุดตัวเอง มันจำเป็นที่จะต้องปล่อยต้องวาง มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องปล่อยต้องวาง เรามันแก่แล้วมันจำอะไรไม่ได้ก็ช่างหัวมัน มันไม่ใช่เรื่องดับทุกข์ คนจำได้น่ะถ้าไปหลงในอดีตก็แย่เหมือนกัน สิ่งดี ๆ น่ะมันไม่ค่อยอยากจำ แต่สิ่งที่ไม่ดีน่ะมันจำไว้
เมื่อพระพุทธเจ้าบอกให้เราทิ้งอดีตเราก็ต้องฟังพระพุทธเจ้านะ เราอย่าฟังแล้วก็เฉย ๆ อย่างนี้แหละ เพราะเรามันคิดได้ช้าน่ะ ถ้ามันคิดได้ช้ามันก็ไม่ต้องคิดน่ะเราก็ฟังพระพุทธเจ้าอย่างเดียว
หน้าที่ของเราในชีวิตประจำวันคือหน้าที่รักษาศีลแล้วก็ทำใจสบาย
ออกกำลังกายแล้วก็รับประทานอาหาร ทานสิ่งที่มันไม่เป็นพิษเป็นโทษต่อร่างกาย
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ของที่เข้าในเรื่องกายของเรานี้แหละเราต้องพินิจพิจารณาให้ดีเพราะอาหารมันเป็นยารักษาโรค
อันไหนมันเผ็ดเกินเค็มเกินหวานเกินอะไร สิ่งต่าง ๆ มันดีน่ะแต่ถ้ามันเกินมันก็มีโทษฝนตกมันดีน่ะแต่ถ้าตกมากมันทำให้น้ำท่วมบ้านท่วมเมือง
ภูเขาก็ยังพัง อย่าให้มันเกิน
อย่าให้มันน้อย เพราะทุกวันนี้เค้าพัฒนาเรื่องความเอร็ดอร่อยเพื่อจะได้ทานอาหารได้
จะได้มีความสุขน่ะ
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าทุกคนต้องเป็นผู้ที่
“โภชนีมัตตัญญุตา รู้จักประมาณในการบริโภคในการเอาอาหารเข้าไปในร่างกาย”
เราก็ให้อาหารกายดี ๆ อาหารที่ไม่มีพิษเข้าไปในร่างกาย อาหารใจคือการประพฤติปฏิบัติธรรมนี้แหละ
เกิดมาเพื่อทำความดีเกิดมาเพื่อปฏิบัติ
ไม่ใช่เกิดมาเพื่อสร้างภพสร้างปัญหาให้กับตัวเอง ถือว่าเป็นผู้ที่ “สุขโต”
เกิดมาดี อยู่ดี เวลาจากไปก็จากไปด้วยดี
ชื่อว่าเป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าหมายถึงอริยสงฆ์นะ
อริยสงฆ์นี้ไม่ได้หมายถึงบรรพชิตนักบวช หมายถึงญาติโยมบรรพชิตผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทุกคนก็เป็นอริยสงฆ์ได้ทั้งหมดถ้าเดินตามคำสั่งสอนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้
เราอย่าไปบล็อคตัวเองไว้เพราะชีวิตของเรานี้ถือว่าเป็นชีวิตที่ประเสริฐ
การบรรยายพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นที่สิ่งที่ประเสริฐในวันนี้ก็เห็นสมควรแก่เวลา
ด้วยอานุภาพแห่งคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ จงเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ทุกท่านทุกคนเข้าถึงสวรรค์ มรรคผล นิพพานด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ...
พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย
เช้าวันที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๖
สาธุ สาธุ สาธุ