วันนี้ผมตั้งใจจะออกไปทำงานให้เร็วกว่าปกติ โดยออกจากบ้านเวลา ๖ โมงเช้ากว่าๆ เพื่อหวังว่า จะได้ไม่ต้องเจอกับรถติดสำหรับถนนเลียบคลองระพีพัฒน์ แต่แล้วก็ไม่วายที่ต้องเคลื่อนแล้วหยุด หยุดแล้วเคลื่อน เป็นช่วงเวลาของรถรับส่งพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมพอดี ขาเข้านั้นเคลื่อนได้สบายไม่ลำบากมาก แต่ขาออกจะลำบากพอสมควร นอกจากรถรับส่งพนักงานโรงงานแล้ว ปากทางเข้านั้นมีโรงเรียนด้วย ซึ่งติดกับถนนพหลโยธิน แต่ที่ดีหน่อยคือ มีเจ้าหน้าที่มาคอยให้บริการหน้าโรงเรียน และมีการเอาเครื่องกั้นมากั้นถนนพหลโยธินเส้นนอกสุดติดกับทางเท้า เพื่อระบายรถและความสะดวกของรถที่จะออกจากถนนเส้นนี้ ถนนเลียบคลองนี้ ขาเข้าจะเลยไปออกอำเภอวังน้อยได้ ยาวไปสระบุรีได้
ผมตั้งข้อสังเกตว่า คนบ้านนอกกับคนในเมืองและเลียบเมืองนั้น มีชีวิตที่แตกต่างกัน คนในเมืองต้องออกจากบ้านไปเรียน/ทำงานก่อนคนบ้านนอก คนบ้านนอกจะมีการแย่งชิง/เร่งรีบน้อยกว่าคนในเมือง คนในเมืองในการขับรถจึงมักเห็นการเอาตัวรอดเพื่อตัวเอง หากแซงได้ก็จะแซงโดยไม่ขอต่อแถว เพราะพื้นที่มีน้อย คนบ้านนอกเมื่อมาอยู่ในเมืองจึงต้องปรับตัวเรื่องนี้ หากรอให้เขาให้ช่อง จะได้ก็ต่อเมื่อเจอคนใจดี ถนนเส้นนี้นั้น รถจักรยานยนต์เยอะมาก ซึ่งสะดวกกว่ารถยนต์ คนที่ขับรถยนต์จะต้องระมัดระวังรถจักรยานยนต์ให้ดี เขาจะปาดหน้า หลัง ข้าง ทางโค้งซ้ายก็แซงซ้าย ขณะที่คนขับรถยนต์มักไม่ระวังเรื่องนี้ การข้ามถนนนั้นยากพอควรกับเวลาเร่งด่วนอย่างนี้ ต้องตัดสินใจว่าชนเป็นชน ขณะที่คนขับรถจักรยานยนต์และรถยนต์ต้องมีสติตลอดเวลา เผลอไม่ได้
ภาพที่ผมเก็บมาเช้าวันนี้เป็นภาพของนักเรียนที่อยู่ในรถสองแถว รถสองแถวถือว่าเป็นรถเจ้าถิ่น เขาไม่ค่อยให้เส้นทางแก่คนนอกถิ่น นอกจากจะเจอคนใจดี แต่สิ่งที่ผมคิดเกี่ยวกับภาพนั้นไม่ได้เกี่ยวกับสถานะของรถสองแถว หากแต่คิดถึงนักเรียนที่อยู่ในรถสองแถว ผมเห็นใบหน้าของนักเรียนในรถแล้วให้รู้สึกสะท้อนใจ ทำไมเขาไม่สนุกกับชีวิตเอาเสียเลย หรือว่ารอไปสนุกกันที่โรงเรียน เฮฮาประสาวัยรุ่นกันที่โรงเรียน หน้าตาของนักเรียนเหล่านี้ที่อยู่ท้ายรถและในรถสองแถว เศร้าๆ หมองๆ เลื่อนลอย อย่างไรชอบกล บางคนดวงตาเหม่อไปข้างนอก ซึ่งผมสังเกตได้จากนักเรียนหญิงท้ายรถ ผมอาจคิดไปเอง เพราะแท้จริงเด็กเหล่านี้ไม่ได้รู้จักกันจึงไม่ทักทายเฮฮากัน หน้าตาจึงเป็นอย่างนั้น ส่วนนักเรียนชายที่นั่งกลางนั้น หน้าตายังบวมอยู่ ก็แสดงว่าเพิ่งตื่นมาเมื่อไม่นานมานี้ นี่คือชีวิตกับการศึกษา ผมเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่า
๑) ฉันรักที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่ฉันอยากรู้และฉันรักที่จะรู้ให้ได้ในสิ่งที่คนในอดีตรู้แล้วตลอดถึงสิ่งที่คนในอดีตไม่รู้
..................................หรือว่า ......................................
๒) ฉันจำเป็นต้องเรียน เพราะเกณฑ์ทางสังคมบังคับให้ฉันต้องเรียน
ผมเคยถามเพื่อนบางคนในสถาบันการศึกษาว่า ชอบสอนหนังสือไหม เพื่อนตอบทำนองเดียวกันว่า ไม่ได้ชอบ แต่จำเป็นต้องสอน นั่นหมายความว่า ความจำเป็นด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เราต้องทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยที่เราอาจไม่ชอบก็ได้ จึงตามมาด้วยคำถามนี้คือ ทุกวันนี้เป็นสุขอย่างเพลิดเพลินกับการทำงานหรือกับการมีชีวิตแบบนั้นหรือไม่
เช้านี้จึงขอไว้อาลัยแด่สุสานแห่งความทุกข์ยากทั้งหลาย
ไขว่คว้าค้นหาอิสระของชีวิต...ได้เพียงคิดฝันใฝ่ในสิ่งหวัง
อยู่ใกล้มือติดกับมือประหนึ่งดัง...ถุงมือฝังเพชรงามอร่ามวาว
แต่ก็ได้เพียงเงาของความหวัง....ซึ่งหาความจีรังและยืดยาว
ไม่ได้เลยอกเอ๋ยช่างน่าเศร้า....คว้าน้ำเปล่าเหนื่อยยากลำบากดายฯ
มาให้กำลังใจค่ะ
รู้สึกสงสารเด็กไทยนะคะ เคยอยู่ที่ออสเตรเลีย เห็นความแตกต่างของการไปโรงเรียนจริงๆว่า บ้านเขาเด็กๆมีชีวิตที่อิสระ น่าสนุกกว่าเด็กๆบ้านเรา อยากเรียนอยากรู้อะไรมากกว่า เพราะกรอบเขามีแบบกว้างๆและสังคมไม่กดดันเรื่องแปลกๆแบบบ้านเรา อย่างการทำการบ้าน การสอบ เขาดูเข้าใจธรรมชาติของวัยของเด็กมากกว่าบ้านเรา
พ่อแม่เราก็เลยน่าจะต้องเป็นผู้ช่วยลูก ให้มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ อย่าเอาลูกไปเปรียบเทียบกับใคร ต้องสอนให้เขาภูมิใจในตัวเอง ทำอะไรแข่งกับตัวเอง รู้จักช่วยคนอื่นและรู้จักรับความช่วยเหลือที่เหมาะสม ไม่ง่ายแต่ทำได้จริงค่ะ
สวัสดีครับ tuknarak