โรงเรียนขุนห้วยบ้านรุ่ง หรือชื่อเดิม คือ เดลอคี แปลว่าหมู่บ้านต้นน้ำ
พวกราออกเดินทาง จากโรงแรม เกศและ เกล้า วันที่ 7 มิถุนายน 2556 โดยรถ ผอ.วัลลภ โตวรานนท์ ซึ่งประจำอยู่โรงเรียนขุนห้วยบ้านรุ่ง ด้วยความสะดวกสบาย ระหว่างทางมีป้ายหมู่บ้าน เขียนว่า เดอลอคี ผอ.เล่าว่ากรมทางหลวงสะกดชื่อหมู่บ้านไม่ถูกชาวบ้านจึงลบอักษรออกตัวหนึ่ง เมื่อเสียงเพี้ยนไปความหมายก็คงเพี้ยนไปด้วย ชาวบ้านจึงจับผิดได้ง่าย
ภูมินาม เดลอคี
คนอุ้มผางบอกว่าหมู่บ้าน เดลอคี หมายความถึงหมู่บ้านเก่าแก่หรือหมู่บ้านต้นน้ำหมู่บ้านนี้มีดอยขุนน้ำชื่อ เดลอคี เพราะฉะนั้นทื่มีผู้แปลมูความว่า มี ๒ ความหมาย ความหมายหนึ่ง แปลว่าหมู่บ้านเก่าแก่ อีกความหมายหนึ่งว่าหมู่บ้านต้นน้ำ สะท้อนว่า การเรียกชื่อนั้นแต่เดิมมาเขาเเรียกอย่างมีที่ไปที่มา มิได้มีเจตจำนงเรียกขานให้ไพเราะ ทั้งสองความหมายจึงมีเค้าบอกประวัติศาสตร์ของชุมชนตามที่เขาเล่าว่าพวกเขาอยู่กันที่นี่มาตั้งแต่ ปู่ ย่า ตา ยาย พวกเขาและพ่อแม่เกิดที่นี่ และอีกความหมายหนึ่งก็บอกภูมินิเวศน์วัฒนธรรมก็คือหมู่บ้้านนี้มีดอยขุนน้ำชื่อ เดลอคี
ในขณะเดียวกันภาษาก็เป็นทั้งวัฒนธรรมและเป็นเครื่องมือสืบทอดวัฒนธรรม เมื่อโรงเรียนชื่อ ขุนห้วยบ้านรุ่ง ไถ่ถามชาวปาเกอะญอ เขาก็ไม่เข้าใจ พอ ๆ กับที่เราไม่เข้าใจ เดลอคี เพราะความต่างวัฒนธรรมก็ต่างภาษา หรือเสน่ภาษาจะอยู่ที่รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างกระมัง
งานติดตาม
setting classroom การสอนตามแผมนการป้องกันมาลาเรีย ครูผู้้สอนมีบ้านเดิมอยู่อุ้มผาง ครูชื่อ รัตนาพร กันชาติ จบวิทยาศาสตร์ม่ารับผิดชอบสอนวิทย์ เพิ่งสอนได้เดือนเดียว ปีที่แล้วที่โรงเรียนนี้ ได้คะแนนเสาระวิทย์สูงกว่าระดับมาตรฐาน จากฝีมือของครูเก่า
คุยเรื่องโรคมาลาเรียและการป้องกัน โดยสัมภาษณ์ผู้ปกครองจำนวน 6 คนคือ
· อนันต์ สุดโท อายุ-34 ปี สัญชาติไทย เรียนจบ ป. 6 มาจาก จันทบุรี อาชีพรับจ้างขับรถ
· กัลยา อุแท(เด เค-กบแห้ง) อายุ 21สัญชาติปาเกอะญอ เรียนจบชั้น ม.3 ย้ายมา 1 ปี อาชีพ เกษตรกรรม
· นอ เกลอะ อายุ 36 สัญชาติปาเกอะญอ จบป. 6 ไม่ได้เรียน อาชีพเกษตรกรรม
· เล โพ อายุ 43 ปี สัญชาติปาเกอะญอ ไม่ได้ เรียน อาชีพเกษตรกรรม
· ปาริชาติ อุดี (พอ ริ เ-กัดดาว) อายุ 33 ปี สัญชาติปาเกอะญอ เรียนจบชั้น ม.6 ศึกษาสงเคราะห์ อาชีพเกษตรกรรม เคยเป็นเจ้าหน้าที่วิทยุของโครงสิ่งแวดล้อม
· จริยา ทอแสนบรรพต(ตา เจ่-เงิน) อายุ 32 ปี สัญชาติปาเกอะญอ เรียนจบชั้น ป.4 เป็น อ.ส.ม. อาชีพเกษตรกรรม
เรื่องที่พูดคุยกันมี 5 ประเด็น คือ
1.นักเรียนเคยมาพูดคุยเมาลาเรียและการป้องกันหรือไม่
ผู้ปกครองต่างตอบตรงกันว่า เด็กมาเล่ามาพูดคุยเสมอ เพราะครูสั่งมา ว่าไข้เลือดออกระบาด ต้องทำลายแหล่งเพาะพันธ์ยุง คือคว่ำน้ำที่เป็นแหล่งเพาะพันธ์ยุง คว่ำกะโหลกกะลา และใส่ทรายอะเบท ลงในอ่างน้ำ
2.โรคมาลาเรียที่นักเรียนมาพูดคุยคุยด้วยมีความแตกต่างจากที่เคยรู้มาก่อน ไหม
คำตอบด้วยความมั่นใจว่า เหมือนกัน ความเห็นเสริมคือ เพราะช่วงนี้ไข้เลือดออกระบาด
3.รู้วิธีการป้องกันไม่ให้เป็นโรคมาลาเรียก่อนหน้าที่นักเรียนจะมาคุยแล้ว
ไม่รู้ เด็กก็ไม่พูด รู้แต่การป้องกันโรคไข้เลือดออก เพราะเจ้าหน้าที่มาบ่อย ผู้สัมภาษณ์จึงเสริมความเข้าใจให้ถึงความแตกต่างระหว่างไข้เลือดออกและมาลาเรีย ยุงลายและยุงก้นปล่องในประเด็น แหล่งที่เกิด ว่าเกิดในน้ำใสไหลเอื่อย ...น้ำขังใสในหนองน้ำตามป่า
แล้วตั้งคำถามซ้ำว่า ที่ผ่านมาเรา กำจัดยุงก้นปล่องหรือยง ชาวบ้านจึงตระหนักว่า ตนเสี่ยงในสถานการณ์ใด ยุงก้นปล่องจะกัดเวลาไหน ไปทำนาที่ชายป่า ก็เสี่ยงที่จะถูกยุงกัดถ้าเป็นเวลามืดค่ำ อยู่ในบ้านก็เสี่ยง ถ้าไม่ป้องกัน
ซึ่งชาวบ้านจะตอบอย่างรวดเร็วว่่าต้องนอนในมุ้ง แต่เมื่อถามว่ามีวงช่วงที่เราไม่อยู่ใ่นมุ้งหรือไม่และป้องกันอย่างไ ร
ผู้ชาบตอบว่า ทำไงได้บ้านอยู่ป่า ยุงจะกัดก็กัดไป อยู่กันไปอย่างนี้ ต้องกระตุุ้นให้คิดเอาความรู้เรื่องเก่ามาใช้คือ ทายา จุดยากันยุง ใส่เสื้อผ้ามิดชิด
4.โรงเรียนควรจะสอนวิธีป้ไดองกันตัวเองจากโรคมาลาเรียกับนักเรียน
สมควรย่างยิ่งเด็กจะได้ป้องกันตัวและปฎิบัติได้จริง จะได้เล่าให้พ่อแม่ฟัง เมื่ออยู่นอกมุ้งจะได้รู้จักป้องกันตัว
5.เรื่องการป้องกันโรคมาลาเรียที่ควรสอนในในโรงเรียน ควรตนำมาใช้ในชีวิตจริงได้ เรื่องอะไรบ้าง
ผุ้สัมภาษณ์ได้เพิ่มเติมความเข้าใจเรื่องทักษะชีวิตซึ่งบรรจุไว้เป็นกระบวนการเรียนการสอนว่าเป็นการฝึกให้เด็กคิดเก่ง รู้จักดัดแปลงสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันไม่ให้เกิดปัญหากับตนเอง
จากนั้นถามก็ตั้งคาถามว่าเด็กจะนำมาใช้ในชีวิตจริงได้ เรื่องอะไรบ้าง
คำตอบ สมควรสอนอย่างยิ่งเพราะเหตุผลดังนี้คือ
1.เด็กจะได้หลีกเลี่ยงจากโรคอันตรายได้
2.ได้แนวคิดหาวิธีป้องกันอันตรายต่าง ๆ ได้ (วางแผนได้-ผู้เขียน)
3.ประกอบอาชีพได้โดยไม่เสี่ยงต่อโรคอันตราย
4.รู้จักปรับตัว เตรียมตัวก่อนทีจะเกิดปัญหาได้
ข้อเสนอแนะ จากผู้บันทึก
1. เนื่องจากหมู่บ้านนี้ไม่พูด มีปาริชาดพูดได้ทุกข้อ พยายามหาคำตอบ และมีอนันต์อีกคนพยายามจะตอบ แต่ก็สารภาพาว่าคิดไม่ออกเกือบทุกข้อ การรับรู้ข่าวสารก็ไม่ดี เช่น ทุกคนตอบว่าที่นี่ไม่มีใครเป็นไข้เลือดออกและมาลาเรียเลย เมื่อไปถามครู ปรากฏว่ามีคนเป็นทั้งสองโรค
2.คนที่ผ่านการฝึกการสื่อสารมาจะพูดคล่อง จึงเสมือนคิดเก่งไปด้วย ปัญหาของปาเกอะญอ
กลุ่มนี้คืออยู่ติดที่มานาน จึงขาดการมีปฏิสัมพันธ์กับคนนอก จึงขาดข้อมูลข่าวสารไปด้วย
เป็นกำลังใจให้จ้ะ