สองสามวันที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้ทบทวนต่อตนเองว่า
ในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ สิ่งที่ข้าพเจ้าใช้เป็นวิถีแห่งการเรียนรู้เพื่อนำมาสู่ความเข้าใจนั้น ข้าพเจ้าทำเช่นไร
หลายครั้งต่อหลายครั้งที่ตั้งใจว่าจะถอดบทเรียนออกมา
ตลอด...ชีวิตของการเรียน สิ่งที่ข้าพเจ้ามักดำเนินจนเป็นนิสัยคือ ทักษะของการฟัง เวลาที่ทำอะไร ข้าพเจ้ามักจะฟัง ฟังอย่างตั้งใจ ขณะฟังก็พิจารณาตามว่า ผู้พูดนั้นกำลังสื่อสารอะไรให้ข้าพเจ้าได้เข้าใจนะ และข้าพเจ้าเองได้เกิดความเข้าใจในเรื่องนั้นอย่างไรบ้าง
"การฟัง"....เป็นหัวใจสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากขาดการฟังแล้ว เราจะไม่สามารถสื่อสารกับสรรพสิ่งรอบด้านได้เลย ฟังทั้งเสียงด้านในของตนเองและฟังเสียงด้านนอก ...
"ฟัง" แบบไม่ต่อต้าน หากแต่ใช้ความนอบน้อม ซึ่งการฝึกเช่นนี้ทำให้เรามีความอ่อนโยน และเกิดเป็นปัญญา
นอกจากการฟังแล้ว...ที่ปฏิบัติเรื่อยมา คือ การฝึกใคร่ครวญ
โดยเฉพาะเวลาที่ครูบาอาจารย์ท่านชี้ท่านสอน... ซึ่งท่านมักจะไม่บอกสอนเราตรงๆ...
ข้าพเจ้ามักจะพิจารณาพร้อมตั้งคำถามกับตนว่า "ท่านต้องการให้เราทำอะไร"
จากนั้นก็ทำตามปฏิบัติตามไปก่อน ในขณะเดียวกันก็ลองตั้งสมมติฐานกับตนเองว่า เพราะอะไรท่านจึงให้เราทำเช่นนั้นทำเช่นนี้ ตั้งสมมติฐานหลายๆ ข้อให้รอบด้าน จากนั้นก็ปฏิบัติตามท่านแบบไม่ต้านไม่ดื้อ
พร้อมกันนั้น...การสังเกตที่ได้เห็นครูบาจารย์ท่านเป็นต้นแบบเป็นตัวอย่าง "ทำให้เห็น" ถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างมากต่อเส้นทางชีวิตแห่งการเรียนรู้ของเรา
ขณะที่เราปฏิบัติตามท่านไปเรื่อยๆ ... หากผิดทางท่านก็จะสะกิดเพื่อให้แก้ไข หากถูกต้องท่านก็จะให้กำลังใจ
แต่ครูบาอาจารย์ท่านจะให้เราได้เกิดการเรียนรู้ด้วยตัวของเราเอง
เดี๋ยวเราก็จะได้คำตอบแบบประจักษ์แจ้งกับตนเองว่า สิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านชี้ให้เราทำนั้น ไปสอดคล้องกับคำตอบตามที่เราตั้งสมมติฐานไว้ในข้อใดบ้าง
การฝึกฝนเช่นนี้ทำให้เราสนุก...
สนุกกับการได้เรียนรู้การแก้ไขปัญหา ... ด้วยการลงมือปฏิบัติ ที่สุดแล้วเกิดเป็นความเข้าใจ เป็นปัญญา
...
๒๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๖
ไม่มีความเห็น