อาจารย์จิรพร สุเมธีประสิทธิ์
แนวคิดเชิงบูรณาการเป็นส่วนที่มีความสำคัญในการทำให้เกิดการใช้ประโยชน์จากผลของการทดสอบ Stress Testing การบูรณาการจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ
(1) ระดับบนสุด
เป็นการมองความเสี่ยงทั้งหมดในภาพรวมและกำหนดกลยุทธ์ระดับองค์กรในด้านความเพียงพอของเงินกองทุนและความเพียงพอของสภาพ
(2) ระดับที่ 2
เป็นการบูรณาการด้านเงินกองทุนและสภาพคล่องจากระดับนโยบายลงสู่กระบวนการบริหารผลประกอบการของกิจการ
(3) ระดับที่ 3
เป็นการดึงเอากระบวนการดำเนินงานลงสู่ระดับฝ่ายงานในการบริหารเงินกองทุนประกอบด้วย
(3.1) วางระบบบริหารและการประมาณการความต้องการใช้เงินกองทุนรองรับล่วงหน้า
(3.2) การจัดระบบในการบริหารระดับเงินกองทุนที่มีอยู่เพียงให้เพียงพอ
(3.3) การจัดระดับประสิทธิภาพของการใช้เงินทุนและการกำหนดระดับเงินกองทุนให้เหมาะสม
(3.4) การจัดสรรเงินกองทุนให้แก่ หน่วยงานต่างๆตามความจำเป็น
ขณะเดียวกันก็กำหนดหน้าที่ของฝ่ายงานบริหารสภาพคล่อง
(4) ระดับที่ 4 เป็นการบูรณาการเชิงแนวคิดในด้านการตรวจสอบความไว(Sensitivity)และการทดสอบ Stress Testing ได้แก่
(4.1) การกำหนดอัตราส่วนของเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตาม Pillar 1 ทั้งที่เป็นไปเพื่อรองรับความเสี่ยงด้านเครดิต ความเสี่ยงด้านตลาด ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยในสินทรัพย์และพอร์ตส่วนที่เป็น Banking Book และความเสี่ยงอื่นในด้านกลยุทธ์ เช่น ชื่อเสียง
(4.2) การกำหนดอัตราส่วนเงินกองทุนตาม Pillar 2
(5) ระดับที่ 5 การกันสำรองเผื่อความจำเป้นของสินทรัพย์สภาพคล่อง
(6) ระดับที่ 6 การส่งเสริมกระบวนการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง
จะเห็นว่า ธนาคารจะต้องสร้างความชัดเจนในด้านของการกำกับความเสี่ยงไม่แต่เพียงระดับของคณะกรรมการธนาคารเท่านั้น หากแต่จะต้องรวมไปถึงการกำกับความเสี่ยงในระดับของฝ่ายงานที่เกี่ยวข้องหน่วยธุรกิจและสำนักงานสาขาต่างๆในทุกภูมิภาคด้วย
ดังนั้น ธนาคารจึงต้องหมั่นทบทวนแบบจำลองที่ใช้อยู่ ณ ขณะนั้นเพื่อให้มั่นใจก่อนการทดสอบ Stress Testing แต่ละครั้งและทำให้มั่นใจฝ่ายงานที่เกี่ยวข้องจะเข้าใจบทบาทและความรับผิดชอบของตนในส่วนที่จะต้องดำเนินการและยังคงอยู่ภายในกรอบแนวคิดของการบูรณาการกัน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจเชิงนโยบาย
เมื่อกำหนดขอบเขตหน้าที่ของการเกี่ยวข้องในระดับฝ่ายงานได้อย่างชัดเจนแล้ว ธนาคารก็สามารถออกแบบและวางกระบวนการเชิงองค์กรของกิจกรรมการทดสอบด้วย Stress Testing ได้แล้ว
องค์ประกอบหลักในการออกแบบและวางกระบวนการทดสอบ Stress Testing ในขั้นตอนที่ 3 ประกอบด้วย
องค์ประกอบที่ 1 |
ปัจจัยความเสี่ยง (Risk Factors) เป็นการระบุปัจจัยความเสี่ยงและลักษณะความสัมพันธ์กันของปัจจัยความเสี่ยงที่ควรจะนำมาพิจารณาหาสถานะวิกฤติในพอร์ตของธนาคาร |
องค์ประกอบที่ 2 |
การกำหนด Scenario เป็นการกำหนดรายละเอียดของScenario ว่าจะใช้สถานการณอย่างไรและขนาดของอุบัติการณ์เป็นระดับเบาบาง ปานกลางหรือรุนแรง และหาข้อสรุปว่าลักษณะว่าลักษณะเฉพาะของScenario เป็นอย่างไร |
องค์ประกอบที่ 3 |
การกำหนดกรอบการบริหาร Scenario เป็นการวางแนวในการพิจารณา Scenario ว่าสถานการณ์ลักษณะใดที่ยอมรับได้และยอมรับไม่ได้ และจะสอดแทรก Scenario ในลูกค้าแต่ละราย หรือสินทรัพย์ที่ลงทุนแต่ละรายอย่างไร |
องค์ประกอบที่ 4 |
เกณฑ์หรือเทคนิคการวัดผลกระทบ เป็นการระบุภาวะวิกฤติว่ากระทบต่อเงินกองทุนตามTier 1และ Tier 2 และผลกระทบต่อสภาพคล่องของสินทรัพย์ |
องค์ประกอบที่ 5 |
การกำหนดดัชนีชี้วัด ระดับของเงินกองทุนและสภาพคล่องทางการเงินในรูปของอัตราส่วนทางการเงินที่จะต้องใส่ใจและให้ความสำคัญหากเกิดขึ้น เพราะเป็นส่วนที่มีผลกระทบต่อสถานะของธนาคารสูงมาก |
องค์ประกอบที่ 6 |
การวางแผนสำรองเผื่อฉุกเฉิน เป็นการจัดทำแผนสำรองเผื่อฉุกเฉินเพื่อเตรียมรับมือกับสภาวะวิกฤติล่วงหน้าหลังจากได้ค่าประมาณการจากการทดสอบด้วย Stress Testing โดยการจัดทำแผนสำรองฉุกเฉินนี้อาจจะต้องพิจารณา (1) วิธีการที่จะใช้ในการทำ Stressing (2) ศักยภาพและความพร้อมในการรองรับความเสี่ยงและจัดการกับความเสี่ยง (3) งบประมาณในการลงทุนของธนาคาร |
ปัจจัยความเสี่ยง |
การบริหารScenario |
กรอบการกำหนดScenario |
รูปแบบของรายงานความเสี่ยง |
การรวบรวมข้อมูล |
ความไวของวิกฤติต่อตัวปัจจัยเสี่ยงแต่ละตัว |
ด้านเครดิต ด้านตลาด ด้านอัตราดอกเบี้ย |
การจัดทำรายงานเป็นรายปัจจัยเสี่ยง |
การกำหนดScenario |
ด้านปฏิบัติการ |
การใช้ดัชนีชี้นำและสัญญาณเตือนล่วงหน้าและKRIsที่เกี่ยวข้อง |
|
การทดสอบความเกี่ยวข้องScenario |
ด้านชื่อเสียง ด้านกลยุทธ์และธุรกิจ |
รายงานเสนอผู้บริหารระดับสูง |
|
การกำหนดแผนที่และสถานการณ์ที่จะทดสอบ |
ด้านการกระจุกตัวของสินทรัพย์ |
มาตรการบริหารจัดการเพิ่มเติม |
ไม่มีความเห็น