หลังจากผมตอบคำถามนักศึกษาและให้ความเห็นของงานนักศึกษาที่เขียนมาใน blog ผมได้ความรู้สึกว่านักศึกษาหลายท่านหรือคนอื่น ๆก็ตาม ไม่ค่อยเข้าใจคำว่า “การจัดการความรู้” ว่ามันคืออะไรกันแน่ และทำไมต้องทำ บางคนมอง KM เป็นยาขมหม้อใหญ่ ไม่อยากกิน อึดอัด ไม่สบายใจ ทำไปไม่เห็นจะได้อะไร ผมก็เลยมานั่งคิดว่า เอ๊ะ แล้วผมจะพูดกับคนเหล่านี้ว่าอย่างไรดี ผมฝากถึงนักศึกษาของผมด้วยนะครับว่า
ตั้งแต่เกิดจนตาย ชาตินี้และชาติหน้าท่านขาด KM ไม่ได้ครับ ท่านทำอยู่แล้วโดยไม่รู้ตัว ทำไมจึงทำครับ ถ้าไม่ทำก็แก้ปัญหาไม่ได้สิครับ เรามีปัญหาทุกวันไม่ใช่หรือครับ เมื่อเรามีปัญหาเราก็ต้องแก้ปัญหา การแก้ปัญหาก็คือการจัดการความรู้ เราก็คงจะเริ่มจากการค้นหาแหล่งความรู้ต่างๆ มาใช้ในการแก้ปัญหา ยกตัวอย่างง่าย ๆ ตื่นเช้ามารถสตาร์ทไม่ติด เราต้องหาสาเหตุว่าเพราะอะไร ไม่รู้ก็ต้องถามคนอื่น โทรศัพท์กันพัลวัน ตามคนข้างบ้าน หรือตามช่างมาช่วยเข็นก็แล้วแต่ นี่คือการจัดการความรู้ครับ มีการค้นหา มีการรวบรวม มีการวิเคราะห์ มีการสังเคราะห์ และมีการทดลองใช้ จนกระทั่งมีการติดตามประเมินผลว่าได้หรือไม่ ดีหรือไม่ดี ชอบหรือไมชอบ มีความสุขหรือไม่มีความสุข เห็นไหมครับ การจัดการความรู้มันอยู่กับเราทุกวินาทีครับ แม้แต่การหายใจยังต้องใช้ความรู้เลยครับ เพราะถ้าไม่มีความรู้ในการหายใจคงตายไปนานแล้วครับ ดังนั้น การจัดการความรู้บางทีก็มีปัญหาในตัวเอง เช่น มีความรู้มากไม่รู้จะเอาอะไรมาใช้ตอนไหน เหมือนกับนักศึกษาของผมในปัจจุบัน ตอนนี้ทุกคนมีความรู้ท่วมหัว แต่ยังไม่มีใครเอาตัวรอดสักคน เขียนบล็อกกันวันละ 10 เรื่อง ผมอ่านแทบไม่ทัน ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะเข้ากรอบวิทยานิพนธ์ตอนไหน ตะล่อมแล้วตะล่อมอีก จนเมื่อยแล้วนะครับ พอตะล่อมขวาก็หลุดทางซ้าย พอตะล่อมซ้ายก็หลุดทางขวา ผมก็เลยอยากจะเห็น การเลิกใช้ความรู้ซะทีเหมือนกัน เพราะดูเหมือนจะเอาตัวไม่รอดครับ เราเปลี่ยนกันดีไหมครับ เปลี่ยนเป็นปัญญาซะ เพราะไม่เคยมีใครมีปัญญาท่วมหัวเอาตัวไม่รอด โดยอาศัยการพัฒนาปัญญาจากความผิดพลาดต่างๆ ให้มาเป็นบทเรียน จึงจะทำให้การจัดการความรู้เป็นการสร้างปัญญาที่แท้จริง ดังเช่น มีคำกล่าวว่า “ถ้าไม่ผิดพลาด ก็ไม่มีบทเรียน” ขอให้ทุกคนโชคดีครับ แล้วก็ใช้ KM ตลอดชีวิตนะครับ อย่าเว้นแม้แต่วินาทีเดียวนะครับ ไปไม่รอดแน่! ครับ
คุณ ปภังกร,
ขอบคุณครับ ผมก็พยายามแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพื่อการจัดการความรู้เพื่อชีวิตอย่างที่ผมตั้งชื่อไว้นั่นแหละ คุณก็เป็นหนังสือที่น่าสนใจอีกเล่มหนึ่งที่ผมกำลังอ่านเช่นกัน เพราะมีส่วนคล้ายผมในอดีตอย่างมาก อย่างที่เล่าให้ฟังนั่นแหละครับ
แสวง
๕ ตค ๔๙
ปภังกร วงศ์ชิดวรรณ
ดีใจที่ที่คุณยังเป็นคนมองโลกในแง่บวกในภาวะวิกฤติของตนเอง มันแสดงถึงความแกร่งในจิตใจครับ หายาก และทำได้ยากครับ
ด้วยความยินดีเสมอครับที่จะมีโอกาสได้ช่วยเหลือพึ่งพากันครับ