คอลัมน์ ภูมิสังคมวัฒนธรรม
โดย รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม มูลนิธิเล็ก-ประไพ
วิริยะพันธุ์
รากเหง้าของความแตกแยก
และบ่อเกิดความไม่เข้าใจกันเองของคนในชาติทุกวันนี้
คือการพัฒนาเศรษฐกิจการเมืองของรัฐบาลตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
เพราะเป็นการพัฒนาที่ขาดมิติของเวลาในอดีต
อดีตคือที่มาของประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นของคู่กันกับความเป็นมนุษย์
เพราะมนุษย์เป็นสัตว์โลกที่เป็นสัตว์สังคมต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเพื่อความอยู่รอด
แต่การพัฒนาประเทศที่เน้นแต่เศรษฐกิจทุนนิยมเสรีแบบตะวันตกอย่างกลวงๆ
ได้ทำให้มนุษย์ในดินแดนประเทศไทยมีสำนึกเป็นปัจเจก
ซึ่งเทียบได้กับการเป็นสัตว์เดรัจฉานประเภทหนึ่ง
มนุษย์โดยธรรมชาติต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม (Social group)
กลุ่มเล็กที่สุด คือครอบครัวและเครือญาติ (ครัวเรือน)
ถัดมาเป็นชุมชนที่แลเห็นความสัมพันธ์ทางสังคมที่เป็นรูปธรรม (Social
reality) ได้แก่ชุมชนบ้าน เหนือชุมชนบ้านขึ้นไปเป็นชุมชนทางจินตนาการ
(imagined community)
ใช้พื้นที่หรือแผ่นดินอันมีคนอยู่ร่วมกันบูรณาการให้เกิดสำนึกร่วม
ชุมชนทางจิตนาการ หรือชุมชนสมมุติที่เกิดขึ้นในพื้นที่สองระดับ
คือพื้นที่อันเป็นแผ่นดินเกิด หรือมาตุภูมิ
กับพื้นที่อันเป็นประเทศชาติ หรือชาติภูมิ
การเกิดชุมชนสมมุติทั้ง 2 ระดับนี้ใช้มิติของเวลาหรือประวัติศาสตร์
เป็นสิ่งเชื่อมโยงให้เกิดสำนึกของการเป็นพวกพ้องเดียวกัน
เพราะฉะนั้นประวัติศาสตร์จึงมี 2 ระดับ คือ
ระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น คือประวัติศาสตร์สังคม
ที่แสดงให้เห็นความเป็นมาของผู้คนในท้องถิ่นเดียวกันที่อาจมีความแตกต่างทางชาติพันธุ์ก็ได้
แต่เมื่อเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่เดียวกันตั้งแต่ 2-3
ชั่วคนสืบลงไป ก็จะเกิดสำนึกร่วมขึ้นเป็นคนในท้องถิ่นเดียวกัน มีจารีต
ขนบ ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อและกติกาในทางเศรษฐกิจและสังคมร่วมกัน
โดยมีพื้นฐานทางความเชื่อและศีลธรรมเดียวกัน เช่น
ท้องถิ่นดงศรีมหาโพธิ์ ในอำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี
มีความเป็นมาทางชาติพันธุ์ต่างกัน คือมีทั้งมอญ เขมร ลาว เจ๊ก ฯลฯ
แต่มีสำนึกความเป็นคนศรีมหาโพธิ์หรือศรีมโหสถร่วมกัน
ประวัติศาสตร์แห่งชาติ
คือประวัติศาสตร์สังคมที่แสดงให้เห็นความเป็นมาของผู้คนในประเทศเดียวกัน
เหนือระดับท้องถิ่นอันหลากหลายก็เป็นพื้นที่หรือแผ่นดินที่เป็นประเทศชาติ
เช่น ดินแดนประเทศไทยเรียกว่าสยามประเทศ
มีประวัติศาสตร์การเมืองและเศรษฐกิจที่ยึดโยงผู้คนในระดับท้องถิ่นที่หลากหลายให้รวมเป็นพวกเดียวกัน
เช่น มีภาษากลางร่วมกัน มีระบบความเชื่อและประเพณีพิธีกรรมเดียวกัน
มีสถาบันพระมหากษัตริย์และการปกครองร่วมกัน เป็นต้น
ทั้งหมดนี้หล่อหลอมและผลักดันให้คนในดินแดนสยามสมมุติชื่อเรียกตนเองอย่างหลวมๆ
ว่า คนไทย เริ่มมีหลักฐานตั้งแต่สมัยอยุธยา
ฉะนั้นคนไทยเป็นชื่อรวมของคนในระดับชาติภูมิ
ประวัติศาสตร์ชาติภูมิ กลายเป็นประวัติศาสตร์รัฐชาติ
หรือประวัติศาสตร์แห่งชาติ ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ลงมา
ต่อมาได้เจือปนกับประวัติศาสตร์อาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตก
จนทำให้เกิดประวัติศาสตร์เชื้อชาตินิยม (race) ตั้งแต่สมัยจอมพล ป.
พิบูลสงคราม เป็นต้นมา
การมองคนไทยในลักษณะของความเป็นเลิศทางกรรมพันธุ์
ได้ทำลายความเป็นคนไทยที่เป็นชื่อสมมุติท่ามกลางความหลากหลายของชาติพันธุ์ต่างๆ
ในประเทศไทยให้หมดไป
จึงเป็นช่องทางให้เกิดกลุ่มผลประโยชน์ใช้อ้างอิงเพื่อความชอบธรรมในการปกครอง
แล้วใช้ทำลายความสัมพันธ์ของคน
ทั้งคนภายในประเทศไทยและคนภายนอกคือประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เขมร
เวียดนาม และมลายู สืบมาจนทุกวันนี้
เพราะถ้ามองจากประวัติศาสตร์ท้องถิ่นแล้ว
คนที่อยู่ในประเทศปัจจุบันแยกไม่ออกจากบรรดาชาติพันธุ์ของผู้คนต่างๆ
ในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เขมร เวียดนาม และมาเลเซีย ฯลฯ
#อ่านเรื่องเกี่ยวข้องเป็นรายละเอียดใน www.svbhumi.com e-mail :
[email protected]#