ผมสังเกตว่าในขณะที่ผมพิมพ์บันทึกอยู่นี้ เวลาพิมพ์ภาษาไทยผมก็จะเห็นเฉพาะตัวอักษรภาษาไทยบนแป้นพิมพ์ เมื่อเปลี่ยนไปพิมพ์ภาษาอังกฤษ ตาของผมก็เห็นเฉพาะภาษาอังกฤษบนแป้นพิมพ์เดียวกัน
แสดงว่าสมองของเราฉลาด สามารถสั่งให้ตาเอาใจใส่เฉพาะส่วนที่เราต้องการได้
ที่จริงสมองฉลาดกว่านั้น ยกตัวอย่างเรื่องตาอีกก็ได้ เรามี ๒ตา เพราะเราต้องการกะระยะห่างได้ เพราะตา ๒ ข้างอยู่ห่างกันเห็นภาพคนละภาพ เมื่อส่งสัญญาณรายงานไปยังสมอง สมองประมวลออกมาเป็นภาพ ๓ มิติ คือมีความลึกด้วย นี่คือประโยชน์ของการมี ๒ ตา
แต่บางครั้ง ตา ๒ ข้างเขามองภาพเห็นต่างกัน เช่นความชัดต่างกัน กรณีเช่นนี้สมองต้องเลือกเชื่อข้างเดียว มิฉนั้นสมองจะมึนงงเหนื่อยล้า สมองจะปิดสวิตช์สัญญาณจากตาข้างหนึ่งไปเลย คนๆนั้นจึงเท่ากับตาบอดไปข้างหนึ่ง ทั้งๆที่ตาข้างนั้นยังดี ถ้าเอามือปิดตาข้างดีตาข้างที่สมองปิดสวิตช์ (ชั่วคราว) ก็ยังใช้ได้ แต่ถ้าปล่อยไว้นานมากตาข้างนั้นจะบอดไปจริงๆ
การฝึกสมองในทำนองนี้ยิ่งมีความจำเป็นในโลกยุคปัจจุบัน ที่ข้อมูลข่าวสารถูกปล่อยออกมาเพ่นพ่านเต็มไปหมด สมองของเราต้องเลือกเป็นว่าจะเสพข่าวแบบไหนจากแหล่งใด จะป้องกันไม่ให้ข่าวสารขยะหรือการสื่อสารที่ไม่สำคัญวิ่งมาชนเราได้อย่างไร
คนที่เป็นผู้ใหญ่มีตำแหน่ง มักใช้วิธีให้เลขาเป็นผู้รับสารหรือการติดต่อทั้งหลาย ผมก็เคยใช้ โดยเราต้องฝึกเลขาให้รู้จักติดต่ออย่างมีไมตรี และรู้จักทางหนีทีไล่
แต่ตอนนี้ผมไม่ได้ใช้เลขา ทดลองใช้อี-เมล์ และตารางนัดในไอแพ็ดรวมทั้งฝึกฝนตนเองให้ทำหน้าที่รับนัดเองผ่านอีเมล์ โดยต้องใจแข็งไม่รับโทรศัพท์ ตอนนี้เข้าที่แล้ว
ที่น่ารำคาญคือ บริษัทให้บริการโทรศัพท์มือถือ เขาถือโอกาสส่งข้อความสั้นเพื่อโฆษณาบริการของเขาวันละหลายครั้ง เสียเวลาเปิดและเสียเวลาอ่านแล้วลบทิ้ง ผมยังหาวิธีลดภาระไม่จำเป็นนี้ไม่ได้ใครรู้วิธีช่วยแนะนำด้วย
วิจารณ์ พานิช
๙ ก.พ. ๕๖
ต้องแจ้งที่ศูนย์ตามเคาท์เตอร์ถึงจะได้ค่ะว่าเราขอไม่รับข้อมูลใดๆ เขาทำให้เรายุ่งยากจะได้ต้องรับข่าวสาร ความจริงแบบนี้น่าจะเป็นสิทธิผู้บริโภคให้สามารถปฏิเสธได้ง่ายๆบ้างนะคะ
อาจารย์โทร.แจ้งที่ศูนย์ของเครือข่ายที่ใช้บริการอยู่ ว่าให้ยกเลิกการส่งข้อความโฆษณา รู้สึกว่าจะระงับได้ระยะหนึ่งค่ะ แต่ถ้าตลอดไปสงสัยต้องรอพรบ.คุ้มครองผู้บริโภคก่อนมั้งคะ