จุลสารโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๑๗ กรกฎาคม - กันยายน ๒๕๕๕ ซึ่งอ่านได้ที่นี่ ลงเรื่องโรคจอตากับยาทางเลือกน่าอ่านมาก เพื่อเรียนรู้วิธีรักษาผลประโยชน์ของประเทศในเรื่องการใช้ยา โดยใช้ความรู้เป็นฐาน แต่เป็นเรื่องที่บริษัทยา (โนวาร์ติส) ไม่ชอบเลย เพราะขัดผลประโยชน์ของเขา
เป็นเรื่องของยารานิบิซูแม็บ ที่ขึ้นทะเบียนใช้รักษาโรคจอตาเสื่อม กับยาบีวาศิซูแม็บ ที่ขึ้นทะเบียนใช้รักษามะเร็ง แต่ต่อมามีการค้นพบว่ายาชนิดหลัง (ซึ่งเป็นยาเก่าใช้มานาน) ใช้รักษาโรคจอตาเสื่อมได้เพราะยา ๒ ชนิดนี้เป็นโมเลกุลเดียวกัน แตกต่างกันเพียงส่วนย่อยของโมเลกุลเท่านั้น ราคายาชนิดหลังที่ฉีดรักษาจอตาเสื่อมตกเข็มละ ๑,๐๐๐ บาท ในขณะที่ชนิดแรกราคาเข็มละ ๕๔,๐๐๐บาท แตกต่างกัน๕๔ เท่า ย้ำว่าราคาแตกต่างกัน ๕๔ เท่า นะครับ ไม่ใช่ ๕๔%
ข้อค้นพบว่ายาชนิดหลังใช้รักษาโรคจอตาเสื่อมได้รู้กันทั่วโลก และมีการนำมาใช้กันอยู่แล้วแต่ยังไม่แพร่หลาย และไม่มีระบบติดตามประสิทธิผลและความปลอดภัย แต่บริษัทผู้ผลิตจำหน่ายบอกว่าเขาผลิตยาชนิดแรกสำหรับใช้รักษาโรคจอตาเสื่อม (ฉีดเข้าวุ้นตา) และผลิตยาชนิดหลังสำหรับรักษาโรคมะเร็ง (ฉีดเข้าหลอดเลือด) ยารักษาโรคมะเร็งมีพิษมากกว่าหากเอามาใช้รักษาโรคจอตาเสื่อมอาจมีผลข้างเคียง
HITAP ได้ศึกษาทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ และร่วมกับชมรมจอตาราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย ให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายตามในจุลสาร คือให้ยาชนิดหลังอยู่ในบัญชียา จ (2) และให้พัฒนาระบบแบ่งยาเพื่อฉีดเข้าวุ้นตาให้ปลอดภัย และมีการขึ้นทะเบียนผู้ป่วยที่ใช้ยานี้ทุกรายเพื่อติดตามประสิทธิผลและความปลอดภัยทั้งระยะสั้น และระยะยาว
ที่จริงวารสารNew England Journal of Medicine ลงเรื่องนี่เมื่อกว่า ๖ ปีมาแล้วอ่านได้ที่ http://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMp068185 และBritish Medical Journal ก็ลงข่าวเมื่อปีที่แล้วที่ http://www.bmj.com/content/344/bmj.e3012
ที่น่าสนใจคือ บริษัทโนวาร์ติสได้ยื่นฟ้องNHS ของสหราชอาณาจักรต่อศาล ขอให้ระงับการนำยาตัวหลังไปใช้รักษาโรคจอประสาทตา อ้างว่าไม่ปลอดภัยดังบทความในวารสารNature Medicine http://www.nature.com/nm/journal/v18/n6/full/nm.2842.html
ผลงานวิจัยแบบcritical review ของ HITAP ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการที่http://www.dovepress.com/the-use-of-comparative-effectiveness-research-to-inform-policy-decisio-peer-reviewed-article-CEOR อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3520463/
หากผลการศึกษาของไทยออกมาในทางบวก คนไทยก็จะได้รับบริการที่ดีขึ้น และราคาไม่แพง ในการรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อม รวมทั้งคนทั่วโลกก็จะได้รับประโยชน์ด้วย แต่ก็เป็นการขัดลาภของบริษัทโนวาร์ติส
วิจารณ์ พานิช
๔ ก.พ. ๕๖
ไม่มีความเห็น