โรคนี้เป็นความผิดปกติในสมองซึ่งมีอาการแสดงและความผิดปกติได้หลายรูปแบบ เด็กจะไม่สามารถเข้าใจคำพูด ความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น การพัฒนาด้านภาษาและสติปัญญาก็ไม่สมบูรณ์ ทำให้เด็กไม่สามารถที่จะสื่อสารกับคนรอบข้างและสังคม ทำบางสิ่งซ้ำๆ
อาการของเด็กบางคนจะแสดงออกตั้งแต่เกิดแต่ส่วนใหญ่จะแสดงออกเมื่อเด็กอายุ 18-36 เดือนเด็กจะไม่สนใจคนอื่น มีพฤติกรรมแปลกๆ สูญเสียความสามารถทางภาษาและทักษะ ซึ่งเด็กแต่ละคนมีอาการไม่เหมือนกัน ความรุนแรงไม่เท่ากัน แต่จะมีปัญหาทางสังคม การสื่อสาร พฤติกรรม กล้ามเนื้อและความรู้สึก เราเรียกเด็กในกลุ่มอาการนี้ว่า “เด็กออทิสติก”
สมองของคนเราเริ่มสร้างและพัฒนาตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิจนกระทั่งเกิด โดยแต่ละส่วนโรคนี้เป็นความผิดปกติในสมองซึ่งมีอาการแสดงและความผิดปกติได้หลายรูปแบบ เด็กจะไม่สามารถเข้าใจคำพูด ความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น การพัฒนาด้านภาษาและสติปัญญาก็ไม่สมบูรณ์ ทำให้เด็กไม่สามารถที่จะสื่อสารกับคนรอบข้างและสังคม ทำบางสิ่งซ้ำๆ
อาการของเด็กบางคนจะแสดงออกตั้งแต่เกิดแต่ส่วนใหญ่จะแสดงออกเมื่อเด็กอายุ 18-36 เดือนเด็กจะไม่สนใจคนอื่น มีพฤติกรรมแปลกๆ สูญเสียความสามารถทางภาษาและทักษะ ซึ่งเด็กแต่ละคนมีอาการไม่เหมือนกัน ความรุนแรงไม่เท่ากัน แต่จะมีปัญหาทางสังคม การสื่อสาร พฤติกรรม กล้ามเนื้อและความรู้สึก เราเรียกเด็กในกลุ่มอาการนี้ว่า “เด็กออทิสติก”
ของสมองจะมีเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่พิเศษไปฝังตัว หลังจากนั้นเซลล์เหล่านี้จะแบ่งตัวมากขึ้น และมีใยประสาท fibers เป็นตัวเชื่อมเซลล์ประสาท สมองจะสั่งงานโดยการหลังสาร neurotransmitters ที่รอยต่อของเซลล์ประสาทหลังจากที่เด็กเกิดสมองยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องสาเหตุที่อาจจะเป็นไปได้คือ
· การที่เซลล์ประสาทไปอยู่ผิดที่ ทำให้การทำงานของสมองผิดปกติ
· การหลั่งneurotransmittersผิดปกติ
ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาของสมอง
· ขณะตั้งครรภ์ ขณะเป็นตัวอ่อนในครรภ์สมองเด็กจะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้นหากมีสิ่งมากระทบสมองเด็กโดยเฉพาะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ตัวอย่างภาวะดังกล่าวได้แก่ การติดเชื้อไวรัสหัดเยอรมัน การขาดoxygenขณะคลอด
-สติปัญญาต่ำ ปัญญาอ่อน
-ซึมเศร้า วิตกกังวล
-เด็กบางคนเป็นโรคลมชัก(seizure)
อาการทางสังคม
เด็กปกติจะจ้องมองหน้าและตา หันไปตามเสียงหรือแสง จับนิ้วมือ ยิ้ม เด็กที่เป็นautism จะไม่สบตาพ่อแม่ มักจะชอบอยู่คนเดียว เด็กไม่ชอบการกอดรัด เด็กจะเหมือนหุ่นไม่แสดงออกถึงความรัก ความโกรธ ไม่ร้องไห้เมื่อแม่ออกนอกห้อง ไม่ดีใจเมื่อแม่กลับเข้ามา
เด็กจะมีปัญหาการเรียนรู้ เด็กจะไม่รู้ความหมายของการยิ้ม ไม่เข้าใจภาษาทางร่างกาย เช่นการกอด การจูบ ไม่เข้าใจท่าทางแสดความโกรธ จากปัญหาต่างๆดังกล่าวเด็กจะไม่สามารถเรียนรู้ความคิด อารมณ์ พฤติกรรมการแสดงออกของผู้อื่น หรือความต้องการของคนอื่น
เด็กบางคนจะแสดงความก้าวร้าวออกมา เด็กจะไม่สามารถควบคุมตัวเองในในสิ่งแวดล้อมใหม่หรือที่แออัดหรือเวลาโกรธไม่พอใจ เด็กจะทำลายของเล่น หรือทำร้ายผู้อื่นหรือทำร้ายตัวเอง
ปัญหาด้านภาษา
เด็กที่เป็น autism ภายใน 6 เดือนแรกก็จะพูดอ้อแอ้ หลังจากนั้นจะหยุดพูด บางคนจะหยุดพูดตลอดไป การสื่อสารจะใช้สัญลักษณ์ เด็กบางคนเริ่มหัดพูดเมื่ออายุ 5-8 ปี เด็กบางคนจะพูดเป็นคำๆ ไม่สามารถผสมคำได้อย่างมีความหมาย เด็กบางคนเลียนแบบคำพูดของคนอื่นหรือจำจากทีวี อาจพูดโดยใช้ความหมายผิด เช่นอยากออกนอกบ้านแต่เด็กใช้คำว่า”ขึ้นรถ”แทนคำว่า”ออกไปข้างนอก” การแสดงความรู้สึกบนใบหน้าก็เป็นปัญหาสำหรับเด็ก autism จะไม่สามารถแสดงสีหน้าบ่งบอกความรู้สึกได้
พฤติกรมที่ทำซ้ำๆ
-เด็ก autism จะมีร่างกายปกติแต่มักจะมีพฤติกรรมที่ทำซ้ำๆทำให้ไม่สามารถเล่นกับเด็กคนอื่น
-เด็กอาจจะนั่งเคาะโต๊ะ หรือโบกมืออยู่เป็นชั่วโมง
-เด็กนั่งโยกหน้าโยกหลังเป็นเวลานาน
-เด็กอาจจะมีพฤติกรรมที่ซ้ำๆ เช่นวิ่งเข้าห้องนี้ไปห้องโนน
-เด็กอาจจะคว้ามือคนอื่นให้ดูนาฬิกาตัวเองอยู่ตลอดเวลา หรืออาจะเอาอุจาระออกจากห้องน้ำเข้าห้องเรียน
-เด็กจะไม่ยอมให้เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมเช่น นั่งโต๊ะตัวเดียง กินอาหารเวลาเดียวกัน เด็กจะโกรธมากหากสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป เช่นตำแหน่งของช้อน เก้าอี้ รูปภาพ
-เด็กเล็กจะมีจิตนาการ เช่นสมมุติตัวเองเป็นแม่ หรือแม่ค้า เอาชามใส่แทนหมวก แต่เด็กที่เป็น autism จะไม่มีจินตนาการเช่นนี้
ปัญหาเกี่ยวกับการรับรู้
เด็กปกติจะมีการรับรู้สิ่งแวดล้อมจากสัมผัสทั้ง 5 และสมองก็สามารถที่จะแปลผลนั้นได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม แต่เด็ก autism จะมีปัญหาเรื่องการรับรู้จากสัมผัสทั้ง 5 ทำให้เด็กสับสน เด็กอาจจะรู้สึกเจ็บปวดเมื่อต้องสัมผัสบางอย่าง เช่น เด็กบางคนจะรู้สึกอึกอัดเมื่อถูกกอด เด็กบางคนอาจจะกรีดร้องเมื่อได้ยินเสียงเครื่องบิน เสียงโทรศัพท์หรือเสียงอื่นๆ
การเพิ่มoccupational performance(ความสามารถในการประกอบกิจกรรม)ของเด็กออทิสติก
P(person) คือ เด็กออทิสติก ซึ่งก็คือตัวบุคคล(สิ่งแวดล้อมภายใน) ซึ่งเด็กออทิสติกนี้จะมีปัญหาทางด้านสังคม การสื่อสารกับคนรอบข้าง สิ่งแวดล้อม พฤติกรรม กล้ามเนื้อและความรู้สึก
E(environment) คือ สิ่งแวดล้อมรอบๆตัวของเด็ก ซึ่งสิ่งแวดล้อมทุกอย่างมีผลที่จะไปกระตุ้นหรือยับยั้งสิ่งแวดล้อมภายในของเด็กออทิสติกได้ เช่น สภาพแวดล้อมภายในบ้าน ภายในโรงเรียน เพื่อน ครอบครัว สัตว์ สิ่งของต่างๆ
O(occupation) คือ กิจกรรมสื่อการรักษา เช่น ฝึกทำกิจวัตรประจำวันให้ถูกต้อง กระตุ้นการตอบสนองต่อสื่งเร้าต่างๆ การเสริมสร้างปฎิสัมพันธ์ของเด็กกับคนรอบข้า
P(performance) คือ ความสามารถในการทำกิจกรรมของเด็กขณะนั้น เช่น ความสามารถที่จะพัฒนาได้ หรือความสามารถที่ควรยับยั้งให้ลดลง
หากเราพิจารณาจากPEOP Model และเลือกปรับองค์ประกอบให้สมดุลกัน โดยพิจารณาจากperformanceเป็นหลัก เด็กก็จะเกิดoccupational performane และยังมีโอกาสก่อให้เกิดwell-being และquality of lifeได้มากขึ้น
อ้างอิง Louise Chang.MD. Benefits of Occupational Therapy for Autism. The American Occupational Therapy Association: ''Supporting Parents of Children With Autism: The Role of Occupational Therapy;'' ''Using Videotapes To Help Children With Autism;'' ''OT for Children With Psychosocial Deficits;'' ''AOTA Evidence Briefs: Efficacy of Sensory and Motor Interventions for Children with Autism;'' and ''Creating Evidence: Sensory Integration and Children With Autism”.[internet].2012.[cited 2013 Jun19]. Available from:http://www.webmd.com/brain/autism/benefits-of-occupational-therapy-for-autism?page=2&rdspk=active
เด็กออทิสติก.[internet].2012.[cited 2013 FEB20]. Available from:http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/neuro/psy/austism/autism.htm
ไม่มีความเห็น