ผลพวงจากการประชุมวิชาการ”สร้างสรรค์นวตกรรมสร้างเสริมสุขภาพชุมชนจังหวัดพัทลุง”
ระหว่างวันที่ 26-27 กันยายน 2548 ณ โรงแรม บีพีแกรนด์ทาวเวอร์
อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ทีมสุขภาพของโรงพยาบาลพัทลุง ได้รอพบและคุยกับผม 2
คน คือพี่สวย และแฟนของหมอสมพร (ผมยังไม่ทราบชื่อที่จะเรียกพี่เขา)
และก็ได้คุยกันถึงโครงการสร้างสุขภาพแบบบูรณาการในเขตเทศบาลเมืองพัทลุง
โดยพี่เขาจะขอทราบแนวทางของโครงการไตรภาคีร่วมพัฒนาสุขภาพชุมชน
ด้วยเพราะได้รับทราบข่าวมาว่าน่าจะไปด้วยกันได้ดี
ผมจึงเล่าให้ฟังอย่างย่อ ๆ และขอเอกสารสำเนาโครงการฯ
ซึ่งได้รับทราบว่านายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดได้อนุมัติ และคืนไปให้แล้ว
(ปกติจะผ่านผมก่อน
แต่สงสัยเดินทางบ่อยจนไม่ได้เห็นเรื่องนี้เข้ามาแต่ต้น)
นี่จึงเป็นผลพวงและการขยายเครือข่ายที่ควรจะเป็น
อย่างที่ผมเคยฟังหมอโกมาตรฯ
พูดไว้ว่าเวลามาประชุมวิชาการสิ่งที่ต้องทำด้วยคือการมาเพื่อแสวงหาเครือข่าย
สำหรับวันนี้ผมได้รับสำเนาโครงการฯ แล้ว
ลองอ่านและทบทวนดูก็จะเห็นว่ามีความเป็นไปในทิศทางเดียวกันจริง ๆ
โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อให้ชุมชน (19 ชุมชน)
เป็นศูนย์กลางของการดำเนินงานสาธารณสุข 2)
เพื่อบูรณาการกิจกรรมสาธารณสุขในชุมชนให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด
และ 3)
เพื่อสร้างและปลุกกระแสจิตสำนึกในการเสริมสร้างพฤติกรรมสุขภาพแก่ประชาชน
ในภาพรวมแล้วโครงการนี้มีโอกาสที่เป็นจริงได้มาก จะส่งผลดีในระยะยาว
มีความต่อเนื่อง และสุดท้ายจะทำให้ชุมชนพึ่งตนเองได้จริง
แม้จะเป็นชุมชนเมืองก็เถอะ ในใจผมต้องขอขอบคุณแทนผู้รับผิดชอบโครงการ
คือกลุ่มงานเวชกรรมสังคม รพ.พัทลุง ที่คิดค้นโครงการดี ๆ
อย่างนี้ขึ้นมา การจะทำให้ดีที่สุดสามารถทำได้
หากได้มานั่งคุยกันสักครึ่งวัน (ต้องรีบขอนัดแล้ว เพราะโครงการดี ๆ
อย่างนี้ ยิ่งนานไปจะยิ่งปรับยากในภายหลัง)
แต่ทว่าเมื่อดูจากกิจกรรมในโครงการฯ แล้ว
จะไม่ค่อยเห็นความเชื่อมโยงของกิจกรรม
ในลำดับขั้นตอนที่จะเกิดขึ้นไม่เป็นไปตามธรรมชาติของชุมชน
แต่เป็นไปในลักษณะที่ผู้เขียนโครงการวาดภาพไว้สำเร็จแล้ว
ซึ่งอาจจะเป็นเพราะการใช้รูปแบบของความเป็นราชการมากเกินไป
แต่ผมเข้าใจว่าการเขียนโครงการหลวม ๆ
เพื่อให้มีความเป็นไปตามธรรมชาติของพื้นที่นั้น
อาจจะไม่ได้รับความเห็นชอบจากผู้บริหารก็เป็นได้ อาทิ
กิจกรรมแรก
ที่จะเกิดขึ้นคือการแต้งตั้งคณะทำงาน 19 ชุด (ชุมชนละ 1 ชุด)
และเป็นไปตามองค์ประกอบที่ถูกกำหนดขึ้นไว้ล่วงหน้า
(องค์ประกอบแบบไตรภาคีฯ) แต่วิธีการเลือกไม่เป็นไปตามอิสระของชุมชน
คณะทำงานที่แต่งตั้งขึ้นจะมาคิดและทำแผนผังการดำเนินงานของชุมชนขึ้น
โดยการประชุมกัน 1-2 เดือนต่อครั้ง
จากนั้นก็จะนำแผนผังมาบูรณาการเข้าด้วยกัน (โดยใครไม่ได้ระบุไว้)
และต่อไปก็จะเป็นกิจกรรมการจัดบริการตามแผนผังฯ
ในกระบวนการนี้พบว่ามีขั้นตอนการจัดทำข้อมูล การค้นหาปัญหา
การวิเคราะห์ปัญหา ของคณะทำงานด้วย
แต่ยังขาดรายละเอียดว่าจะดำเนินการอย่างไรให้เป็นรูปธรรม
สิ่งนี้ที่ผมบอกว่าเป็นโครงการที่ดีมาก แต่คนอ่านจะกระตุก
(คนเขียนอาจจะไม่กระตุก เพราะรู้ว่าจะทำอย่างไร แต่เขียนไม่หมดก็ได้
แซว…ครับ)
กิจกรรมที่สอง ที่ดำเนินการคือการบูรณาการการดำเนินงานไป
แต่ดูแล้วจะเป็นส่วนที่เจ้าหน้าที่ทำเอง
เอาเป็นว่าอ่านแล้วเป็นการจัดบริการให้
ซึ่งส่วนนี้ไม่พบกิจกรรมที่เป็นการสร้างหรือเพิ่ม Empowerment
ให้แก่ชุมชน ในการดูแลสุขภาพตนเอง การพึ่งตนเอง ทั้ง ๆ
ที่จัดกิจกรรมเหล่านี้ขึ้นได้ ผมเสียดาย
จึงคิดว่าจะต้องรีบเสนอพี่เขาให้เร็วที่สุดว่าแม้เป็นกิจกรรมที่เราต้องจัดให้
แต่หากให้เขาร่วมรับผิดชอบด้วยจะทำให้เขาเกิด Empowerment ได้ดีมาก
เช่น การจัดให้มีทีมสุขภาพภาคประชาชน
มีการติดตามเยี่ยมและให้ความรู้แก่คนพิการจากอุบัติเหตุ
หรือคนป่วยโรคเรื้อรังในชุมชน ซึ่งจริง ๆ แล้วผลที่ได้คือเขาเองจะ
“เห็นกับตา แล้วนำมาปฏิบัติเอง ตลอดจนนำไปบอกต่อ”
กิจกรรมที่สาม ที่ดำเนินการคือ
การสร้างและปลุกกระแสจิตสำนึกในการสร้างสุขภาพที่พึงประสงค์
เพื่อบรรลุชุมชนเข้มแข็ง สู่เมืองไทยเข้มแข็ง
ซึ่งเห็นแล้วละว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งมุ่งจะสร้าง Empowerment ให้แก่ชุมชน
แต่ลองมาดูที่เป้าหมายผลผลิต กลับเป็น
ผลิตและกระจายสื่อสู่ทุกครัวเรือน ทำป้ายโฆษณา ทำสปอร์ตประชาสัมพันธ์
การประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่ และการประกวดสื่อฯ
ประเด็นไม่ได้ติดใจที่เป็นผลผลิตที่ว่า
แต่ติดใจที่เราคิดเองเสร็จแล้วเท่านั้น
แต่ถ้าหากส่วนนี้ได้ปล่อยให้ชุมชนเขาคิดเอง ทำเอง
เราจะเป็นเพียงผู้สนับสนุน งานนี้จะได้ผลเกินคาด
จุดเด่นของโครงการนี้อีกอย่างทีจะขอชื่นชมคือ
การวางแผนประเมินผลไว้เป็นอย่างดี ถึงดีมากที่สุด
ผมขอถือโอกาสนี้เชิญชวนเข้าเชื่อมต่อกับโครงการไตรภาคีร่วมพัฒนาสุขภาพชุมชนเลยนะครับ
ไม่มีความเห็น