ผมเป็นคนโชคดีในชีวิต ที่ได้มีโอกาสสัมผัสความดี ความฉลาดหลักแหลมของคนอื่น แล้วหาทางซึมซับเข้ามาสอนตัวเอง ฝึกฝนตนเอง วันที่ ๒๕ สค. ๔๙ ผมไปฟังการอภิปรายเรื่องการพัฒนาเยาวชน ดังที่ได้เล่าความคิดคำนึงของตัวเองระหว่างฟังไว้แล้วที่ http://gotoknow.org/blog/thaikm/51238 เป็นการตามไปฟัง ศ. ดร. จรรจา สุวรรณทัต ที่ผมนับถือว่าเป็นปราชญ์คนหนึ่งของเมืองไทย และไปฟัง อ. กิติกร มีทรัพย์ นักสุขวิทยาจิต ที่ผมนับถือในความรู้
ศ. ดร. จรรจา เล่าว่าได้ไปฟังคุณบินหลา สันกาลาคีรี นักเขียนซีไร้ท์ อภิปรายเรื่องภาษาวิบัติ คุณบินหลาบอกว่าภาษาวิบัติเป็นผลของการการสร้างสรรค์ด้านภาษาของมนุษย์ ในการสร้างสรรค์ไม่ว่าเรื่องอะไร นอกจากได้ส่วนที่เป็นนวัตกรรมแล้ว ก็ต้องมีส่วนที่เป็นขยะด้วยเสมอ ภาษาวิบัติ จึงเป็นขยะของภาษาอุบัติ
อุบัติ กับ วิบัติ จึงเป็นของคู่กัน เกิดพร้อมกัน เกิดจากกระบวนการเดียวกัน
ผมกลับมาคิดว่าวิธีคิดแบบนี้เข้าท่ามาก มนุษย์เราวิวัฒนาการมาให้มีอารมณ์ ซึ่งมีทั้งส่วนดี (อุบัติ) คืออารมณ์ด้านบวก กับส่วนเสีย (วิบัติ) คืออารมณ์ด้านลบ ซึ่งเราอาจเรียกว่า "ขยะอารมณ์" ขยะเอาไปรีไซเคิลได้ ขยะอารมณ์ก็น่าจะรีไซเคิลได้เหมือนกัน ให้กลายเป็นพลังด้านบวก และนี่ก็คือเคล็ดลับในการดำเนินการพัฒนาเยาวชน ซึ่งเวลานี้ถูกกระตุ้นจากสังคมให้มีขยะอารมณ์มากเกินไป จะต้องมีอุบายเอาขยะมาทำปุ๋ยหรือทำประโยชน์อย่างอื่น
ที่จริงการรีไซเคิลขยะอารมณ์นั้นไม่จำกัดเฉพาะเยาวชนนะครับ แม้ผมซึ่งแก่ปานนี้แล้วการมีทักษะในการรีไซเคิลขยะอารมณ์ก็ทำให้ชีวิตมีความสงบสุขขึ้นมาก ซึ่งหมายความว่าทักษะนี้คือทักษะชีวิต สำหรับคนทุกคน
ผมสรุปกับตัวเองว่า การทำ KM คือการทำรีไซเคิลขยะอารมณ์รูปแบบหนึ่ง เราเห็นชัดเจนว่าคนที่ทำ KM อย่างถูกต้อง จะมีความสุขมากขึ้น มีความเคารพ มั่นใจตนเองมากขึ้น มีความเคารพผู้อื่นมากขึ้น และความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานดีขึ้น
วิจารณ์ พานิช
๒๖ สค. ๔๙
ไม่มีความเห็น