.
.
ภาษาอังกฤษใช้ 'gender' แทนคำว่า "เพศ" ในความหมายทั่วๆไป สุภาพกว่าคำ 'sex' ซึ่งใช้แทนเรื่องเซ็กส์ ความใคร่ การร่วมเพศมากกว่า
ข่าวข่มขืน-ฆ่าบนรถในกรุงเดลี (นิวเดลี) ทำให้เกิดคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงที่จะ "ลด-ละ-เลิก" อคติ ซึ่ง อ.ดร.ฟรีดแมน แห่งสำนักวิจัยสแตรทฟอร์ (Stratfor) พยากรณ์ว่า
.
อินเดียมีแนวโน้มจะแตกออกเป็นประเทศเล็กๆ อย่างน้อย 2 ประเทศในหลายสิบปีข้างหน้า การแก้ปัญหาเรื่องนี้จึงเป็นประเด็นสำคัญที่จะทำให้อินเดียรวมชาติ และก้าวไปได้ไกล
ต้นทุนทางสังคมที่อินเดียติดลบอยู่มีหลายอย่าง ที่สำคัญได้แก่
.
(1). การกีดกันทางด้านชนชั้น-วรรณะ (caste)
.
วรรณะทำให้เกิดชนชั้น "จนนาน (ศูทร)" และ "จนปางตาย" (จัณฑาล) ในอินเดีย ดังที่สารคดีเจอร์นีแมน (JourneymanPicture) นำเสนอว่า ยุคนี้อินเดียก็ยังกดขี่จัณฑาล
.
เช่น บางวรรณะห้ามทำอย่างอื่น ซักผ้าได้อย่างเดียว แถมซักแล้วไม่ได้เงิน ได้แต่อาหารเหลือกินจากวรรณะที่สูงกว่า
.
บางวรรณะยังทำงานได้อย่างเดียว คือ วางถาดเทอดไว้เหนือหัว วางกระโถนไว้บนนั้น เดินไปในหมู่บ้านวรรณะที่สูงกว่า เก็บอุจจาระจากกระโถน เพื่อขอเศษอาหารเหลือจากวรรณะที่สูงกว่า
.
ส่วนใหญ่วรรณะศูทรจะเป็นกลจักรหลักในการกดขี่วรรณะจัณฑาล คล้ายกับคำกล่าวที่ว่า กองทัพมีวรรณะที่ยิ่งใหญ่ 2 ชั้น คือ นายพลกับนายสิบ
.
นายพลยิ่งใหญ่ในหมู่กองทัพฉันใด นายสิบก็ยิ่งใหญ่ในหมู่พลทหารฉันนั้น
.
การกดขี่ในกองทัพนั้น... เบามาก ถ้าเทียบกับวรรณะในอินเดีย ดังนิตยสารแนชนัล จีโอกราฟิค นำเสนอว่า การเทน้ำร้อนลวก หรือยิงคนวรรณะต่ำที่หิวน้ำจนทนไม่ไหว แอบไปใช้บ่อน้ำของวรรณะที่สูงกว่าพบบ่อยที่นั่น!
.
กล่าวกันว่า ถ้าคนวรรณะจัณฑาลจะถอนตัว (uninstall แบบโปรแกรมในคอมพิวเตอร์) จริงๆ แล้ว... มีทางเลือก 2 ทาง
.
ทางหนึ่งถอนแล้วรวย คือ เปลี่ยนเป็นมุสลิม ซึ่งมีการช่วยเหลือกันภายในศาสนาสูง, อีกทางหนึ่ง คือ เปลี่ยนเป็นชาวพุทธแบบดอกเตอร์เอมเบคกา
.
คนที่เคยไปอินเดียคงจะสังเกตได้ว่า ชาวอินเดียที่เป็นมุสลิมส่วนใหญ่จะมีฐานะดีกว่า แต่งกายสะอาดกว่าชาวอินเดียที่เป็นฮินดู
.
.
(2). การกีดกันทางเพศ (gender)
.
ผู้หญิงอินเดียมีโอกาสทางการศึกษาต่ำ ทำให้ไม่มีอำนาจต่อรอง ต่างจากประเทศที่ผู้หญิงมีโอกาสทางการศึกษาสูง เช่น อิหร่าน ฯลฯ
.
อิหร่านมีนักศึกษามหาวิทยาลัยผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แถมนักศึกษาที่นั่นยังเก่งภาษาอังกฤษมากด้วย (ดูจากบทสัมภาษณ์ของสำนักข่าว และผู้สื่อข่าวหลายสำนัก)
.
.
(3). ความเป็นชาติ (nationality) ยังไม่ลงตัว
.
อินเดียพัฒนาจากความเป็นรัฐ-ราชา ไม่มีรัฐบาลกลางเกือบตลอดประวัติศาสตร์ ยกเว้นช่วงที่มีมหาราช เช่น ท่านพระเจ้าอโศกมหาราช ฯลฯ
.
อังกฤษเพิ่งทำให้อินเดียเป็นรัฐชาติใหม่ ทว่า... คนอินเดียยังมีความเป็น "คนหมู่บ้าน-ตำบล-อำเภอ-จังหวัด" สูงกว่าความเป็นชาติ (ท้องถิ่นนิยม)
.
ปรากฏการณ์นี้คล้ายกับประเทศจำนวนมากในเอเชีย-แอฟริกาที่เพิ่งรวมชาติได้ไม่นาน ยังเสี่ยงทะเลาะเบาะแว้งกันภายในต่อไปอีกหลายสิบ หรือหลายร้อยปี
.
.
(4). ความแตกแยกทางศาสนา
.
อินเดียมีประชากรส่วนใหญ่เป็นฮินดู ส่วนน้อยเป็นมุสลิม โดยพบสัดส่วนมุสลิมเพิ่มขึ้นทางตะวันออกเฉียงเหนือ ใกล้ๆ กับเมืองหลวง
.
อินเดียมีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นรูป 4 เหลี่ยมตะแคง หันมุมลงล่างไปทางศรีลังกา ด้านล่างมีมหาสมุทรเป็นพรมแดนธรรมชาติ ด้านเหนือ-ตะวันออกมีภูเขาเป็นพรมแน
.
สมัยก่อนราชวงศ์โมกุลบุกยึดอินเดียทางช่องเขา เข้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ... ทำให้คนแถบนั้นนับถือมุสลิมมากกว่าแถบอื่นๆ
.
คนมุสลิมส่วนหนึ่งแยกประเทศเป็นปากีสถาน-บังคลาเทศ อีกส่วนหนึ่งยังคงปะทะกันเป็นพักๆ ซึ่งท่านที่เคยไปอินเดียคงจะรู้ดีว่า รถไฟที่นั่นต้องหยุดเดินจากการประท้วงบ้าง ปะทะกันบ้างเป็นเฮือกๆ
.
.
วิกฤติ-โอกาส...
.
สำนักสแตรทฟอร์พยากรณ์ว่า ถ้าอินเดียแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ จะแตกเป็นประเทศเล็กลง อย่างน้อย 2 ประเทศในอนาคต
.
กระแสความไม่พอใจหลังคดีข่มขืน-ฆ่าในอินเดียเป็นโอกาสแห่งการพัฒนา ซึ่งถ้าอินเดียรีบปรับเปลี่ยน แก้ไข ทำให้เกิดความเสมอภาคในสังคมมากขึ้น จะทำให้อินเดียที่มีคนเก่งมาก ทั้งวิศวกร นักคอมพิวเตอร์ หมอ ครูบาอาจารย์ พยาบาลมากก้าวไปได้ไกล
.
คนอินเดียจนๆ ก็คล้ายกับคนไทย คือ อยากเรียนสาขาที่จบมาแล้วมีงานทำ เช่น หมอฟัน นักบิน นักบัญชี พยาบาล เภสัชกร วิศวกร-สถาปนิกสาขาขาดแคลน
.
.
ถ้าเด็กอินเดีย-ไทยมีโอกาสทางการศึกษา "สาขาที่จบมาแล้วมีงานทำ"... คนรุ่นใหม่จะเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวไปไกลได้มาก และนานทีเดียว
.
ถึงตรงนี้... ขอให้ท่านผู้อ่านมีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ
.