Part I ใน Chapter 1-2 (วิทยากร รศ ดร ดุษฎี โยเหลา, ดร นำชัย ศุภฤกษ์ชัยสกุล)
ส่วนที่ 1 (อ ดุษฎี)
ของหนังสือของ Leedy ในส่วนแรกจะเป็นการอธิบายให้เข้าใจว่า “วิจัย(Research)” คืออะไร ซึ่งจะหมายถึงสิ่งที่เรียกว่าเป็น Academic Research เนื่องจากเดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะรวบรวมข้อมูลอะไรก้จะเรียกว่าเป็นวิจัยกันหมด เช่น
ก.เด็กทำการบ้างส่งครูก็เรียกว่าทำวิจัย ข.นายหน้าขายบ้านจะตั้งราคาขายก็ไปทำวิจัย
: ซึ่งทั้ง ก และ ข อาจจะไม่ใช่การวิจัย (ในความหมายของ Leedy)
ก.เด็กทำการบ้างส่งครูก็เรียกว่าทำวิจัย ข.นายหน้าขายบ้านจะตั้งราคาขายก็ไปทำวิจัย
: ซึ่งทั้ง ก และ ข อาจจะไม่ใช่การวิจัย (ในความหมายของ Leedy)
- ในคำถามที่ถามว่าการทำโพลเป็นการทำวิจัยหรือไม่นั้น?
การทำโพลไม่น่าจะใช่การวิจัยตามความหมายของLeedy
ซึ่งในสมาชิก Book Club ได้ให้เหตุผลใน 2
แบบ คือ 1)ไม่ครบขั้นตอนการวิจัยของ Leedy(หน้า 3) และ 2)ตรงกับสิ่งที่ไม่ใช่การวิจัย(หน้า 1-2)
ทั้งนี้ อ ดุษฎี ได้เน้นย้ำถึงความหมายResearchว่าจุดสำคัญคือ
1. หา Un-answered
Questions --- คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ หรือ
2. หา Un-resolved
Problems --- ปัญหาที่ยังไม่ได้แก้
- สำหรับบางคนที่สับสนระหว่างคำถามงานวิจัยกับปัญหางานวิจัย --- อ ดุษฎี ให้ความกระจ่ายว่า คำถามงานวิจัยนั้นต้องเขียนในลักษณะประโยคคำถาม
ส่วนปัญหางานวิจัยจะเป็นลักษณะข้อความ ที่เรียกว่า Statement of Problems
ส่วนปัญหางานวิจัยจะเป็นลักษณะข้อความ ที่เรียกว่า Statement of Problems
-Research is not mere information gathering การวิจัยไม่ใช่แค่กิจกรรมของการรวบรวมข้อมูล
แต่การรวบรวมข้อมูลเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการวิจัย
- การตั้ง Main problems และ Sub Problems ถ้ามีคำถามงานวิจัยหลัก และมีคำถามการวิจัยรอง à คำถามงานวิจัยรองควรเป็นส่วนประกอบ เหมือน Jigsaw ของคำถามงานวิจัยหลัก
และควรเป็น Researchable Unit ที่สมบูรณ์ในตัวมันเอง
- อ ดุษฎีเชื่อมโยงให้เห็นความสัมพันธ์ของ Primise--> Assumption (สิ่งที่ยอมรับว่าเป็นจริง)--> Conclusion (บทสรุป หรือ สมมติฐาน)
ส่วนที่ 2 (อ นำชัย)
อ นำชัย เปิดประเด็นเรื่องข้อความตอนหนึ่งในหนังสือ Leedy ที่เขียนว่า To merely observe the behavior of individuals in a particular situation is not to measure it หรือแปลว่า “เพียงแค่สังเกตพฤติกรรม ยังไม่ใช่การวัด ซึ่ง อ นำชัยอธิบายเพิ่มเติมว่า การวัด เป็นการจำกัดขอบเขตของข้อมูล ซึ่งเป็นทั้งสิ่งที่เห็นได้ และมองไม่เห็น --- Substantial or insubstantial---ซึ่งจะเป็นการวัดได้มันต้องมีความชัดเจนในตัว ตัวอย่างทางพฤติกรรมศาสตร์ เช่น
จะวัดพฤติกรรมการตั้งใจเรียน จากอะไร? สมาชิกใน book club บอกว่าจะวัดโดยการพยักหน้า (จะเห็นว่าการพยักหน้าอาจจะไม่ใช่ตัวแทนความตั้งใจเรียนก็ได้ เพราะอาจจะกำลังง่วงอยู่ ก็เลยสัปหงกหัวอยู่ก็ได้) ทั้งนี้ การจะวัดอะไรก็ตามต้องมีการวางแผน มีการทำความเข้าใจของสิ่งที่ต้องการจะวัด เพราะการวัด เป็นการจำกัดขอบเขตของสิ่งที่เราจะวัด ผู้วิจัยต้องเข้าใจในสิ่งที่ตนเองจะวัดให้ดี (ต้องมี “สมอง”)
ทั้งนี้ จากตัวอย่างข้างต้นถ้าจะวัดพฤติกรรมการตั้งใจเรียน โดยดูจากการแค่พยักหน้าคงไม่พอ อาจจะต้องพิจารณาจากสิ่งอื่นๆประกอบด้วย
- ตรรกะที่ใช้ในการวิจัย จะใช้ทั้ง Deductive และ Inductive โดยในขั้นการทบทวนวรรณกรรม เราจะใช้หลัก Deductive ในการลดทอนเนื้อหาทฤษฎี หยิบเอาบางส่วนมาใช้ แต่เมื่อทำการวิจัยเสร็จสิ้น เราจะใช้หลัก Inductive ในการอธิบายผลเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่
- ประเด็นเรื่องสถิติชั้นสูง ไม่สามารถมาชดเชยงานวิจัยที่อ่อนด้อยได้นั้น อ นำชัยอธิบายโดยยกตัวอย่างงานวิจัยที่วัดจำนวนเสาไฟฟ้ากับการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งใช้สถิติทดสอบแล้วปรากฏว่ามีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างจำนวนเสาไฟกับอุบัติเหตุ ซึ่งการศึกษาในเรื่องดังกล่าวไม่มีตรรกะทางเหตุผลรองรับ ผลการวิจัยจึงดูด้อยค่าลงไป
- ซึ่ง อ นำชัย สรุปให้นิสิตเข้าใจว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการวิจัยที่ Leedy พยายามเน้นย้ำคือ ตัวนักวิจัยเอง (Human Mind) ไม่ว่าจะมีสถิติที่ล้ำลึกแค่ไหน สุดท้ายการจะสรุปตีความ ให้ความหมายต่อผลการวิจัยนั่นก็คือ มนุษย์เอง สถิติเป็นเพียงเครื่องมือช่วย และถ้าป้อนขยะเข้าไปก็ต้องได้ขยะออกมา (หลัก G-I-G-O)
- จะเห็นว่าความหมายของการวิจัยของ Leedy จะให้ความสำคัญของการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอนเป็นอย่างมาก โดยมีความคาดหวังให้ผู้ทำวิจัยต้องมีการคิดอย่างเป็นระบบตั้งแต่การระบุปัญหา การตั้งสมมุติฐาน การดำเนินการวิจัย และสรุปผลวิจัย
ไม่มีความเห็น