ย่างก้าวที่อาจเพลี่ยงพล้ำ
เพลงพิณ
เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่ปีก็จะก้าวเข้าสู่การเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)แล้ว หลายหน่วยงานกำลังรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับอาเซียนกันอย่างคึกคัก เมื่อหลายเดือนก่อนมีโอกาสได้รับเกียรติให้ไปร่วมงานสัมมนางานหนึ่งที่มีองค์กรเกี่ยวกับการศึกษาหลายหน่วยงานเข้าร่วม มีการนำเสนอเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมของแต่ละหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ด้วยเอกสาร การแสดงของเด็กถ่ายทอดวัฒนธรรมแต่ละชาติในอาเซียน มีเด็กๆ แต่งชุดประจำชาติต่างๆ มากล่าวทักทายเป็นภาษาของประเทศในภูมิภาคอาเซียน การจัดนิทรรศการข้อมูลอาเซียน ฯลฯ ซึ่งดูๆ แล้วเกิดคำถามและความวิตกขึ้นในใจ เราเตรียมความพร้อมองค์กรและเยาวชนของเราถูกทางแล้วหรือ?
การก้าวเข้าสู่การเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ประเด็นหลักที่น่าจับตาคือ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ซึ่งเชื่อมโยงไปสู่ปัจจัยอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางการศึกษา เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การบริการ ฯลฯ ฉะนั้นการเตรียมความพร้อมควรจะเป็นการเพิ่มศักยภาพทางสติปัญญาของเยาวชนเรา ที่จะกระโจนเข้าสู่ตลาดแรงงานและภาคธุรกิจเป็นหลัก นอกจากนี้ยังต้องมีการจัดระบบทางการผลิต การแปรรูป การส่งออกและการบริการให้สอดรับกับภาวะการแข่งขันที่จะเปลี่ยนไปจากเดิมอีกด้วย
ประเด็นที่ผู้เขียนรู้สึกเป็นห่วงมากที่สุด เห็นจะเป็นการเตรียมความพร้อมเยาวชนของไทย ที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในตลาดแรงงานอาเซียน เพราะดูจากภาพรวมการสอบ PISA แล้วไทยยังอยู่อันดับรั้งท้าย
การสอบ PISA หรือ โครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ Programme for International Student Assessment เป็นโครงการประเมินผลการศึกษาของประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาการทางเศรษฐกิจ หรือที่เรียกว่า OECD ซึ่งจะสอบวัดนักเรียนอายุ 15 ปีใน 63 ประเทศ ผลการสอบวัดความรู้นี้ใช้เป็นข้อมูลสำหรับการทำนายแนวโน้มของประเทศในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ว่าแต่ละประเทศจะพัฒนาไปนอย่างไรใน 10 หรือ 20 ปีข้างหน้า (ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://pisathailand.ipst.ac.th/และhttp://www.oecd.org ) จึงนับว่าเป็นการทดสอบที่ชี้วัดตัวตนของประชากรและระบบการจัดการศึกษาที่ดี ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่าข้อมูลจากผลสอบPISA ทั้งสองครั้งที่ผ่านมาสวนทางกับข้อมูลทางการศึกษาที่กระทรวงศึกษานำเสนอโดยเฉพาะข้อมูล GPA ซึ่งล่าสุดผลการทดสอบPISAพบว่าประเทศไทยอยู่ในระดับ 51 จาก 57 ประเทศ ตกต่ำจาก ปี 2550 ที่เคยอยู่ในอันดับ 46 (ซึ่งตอนนั้นก็ถือว่าน่าวิตกมากแล้ว)
แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่านั้นคือ ผลสอบของประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ต่างอยู่ในอันดับต้นๆ แม้ประเทศในภูมิภาคอาเซียนด้วยกันส่วนใหญ่ก็สูงกว่าไทยทั้งนั้น ถ้าจะกล่าวง่ายๆ คือ แนวโน้มที่เราจะพัฒนาทางเศรษฐกิจสู้ประเทศเหล่านั้นได้เป็นไปได้ยากเต็มที ถ้าคุณภาพของประชากรเราในอีก 10 ปีข้างหน้าด้อยกว่าประชากรใจภูมิภาคเดียวกัน การเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนก็น่ากลัวสำหรับประเทศไทย เพราะผู้ลงทุนต้องเลือกจ้างคนที่มีศักยภาพดีที่สุดเข้าทำงานจึงจะคุ้มค่าทุนในการว่าจ้าง
ท้ายสุดแรงงานจากเพื่อนบ้านเราจะทะลักเข้ามาในไทยอย่างมากมาย ในขณะที่แรงงานของเราส่วนใหญ่อาจเป็นได้แค่แรงงานไร้ฝีมือ ยิ่งทักษะทางภาษาอังกฤษที่จำเป็นในการสื่อสารของนักเรียนเราด้อยกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกันยิ่งเป็นข้อเสียเปรียบเพิ่มมากขึ้นจากเดิม จากการเตรียมการของรัฐเท่าที่เห็นในปัจจุบัน เชื่อว่ายากที่จะจัดระเบียบเกี่ยวกับแรงงานในประเทศและต่างประเทศที่จะเข้ามาในบ้านเราหลังเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้อย่างเป็นระบบ
องค์กรด้านการศึกษาของเราควรเดินหมากกันใหม่ ไม่ใช่พาลูกหลานเราร้องรำเพลงอาเซียน พูดทักทายภาษาอาเซียน งูๆ ปลาๆ กันอย่างที่ทำกันอยู่ เราต้องเพิ่มความเข้าแข็งทางทักษะทางการคิด ทักษะวิชาชีพ และความแหลมคมเชิงธุรกิจ เหนือสิ่งอื่นใดต้องมีความเข้มแข็งทางวัฒนธรรม การเปิดอาเซียนไม่ใช่การพยายามเป็นคนอื่น แต่ต้องรักษาตัวตนของตัวเองให้มั่นคง ยอมรับคนอื่นได้โดยไม่สั่นคลอนรากเหง้าตัวเอง
หากจะให้กล่าวด้วยความเห็นส่วนตัวของคนไทยตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ไม่มีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับการแปลผลทางสถิติและข้อมูล ข้าพเจ้ายังเห็นว่าไทยยังห่างเพื่อนบ้านหลายประเทศในอาเซียนหลายขุม และทายว่าอีกไม่นานเราจะเดินรั้งท้ายในภูมิภาคนี้ตราบเท่าที่สภาพทางการเมือง การศึกษาและบริบททางเศรษฐกิจ-สังคมของเรายังเป็นเช่นนี้
การจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งให้ดีได้ ควรเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงกระบวนการคิด เริ่มตั้งแต่ผู้ใหญ่ในสังคมก่อนขยายไปสู่ประชาชนและเยาวชน นั่นคือ เปลี่ยนทัศนะจาก ตนเองจะได้อะไรจากบ้านเมือง การกระทำใดจะเอื้อประโยชน์แก่ตนมากที่สุด มาเป็นคิดถึงผลกระทบต่อประเทศชาติที่จะตามมาให้หนักๆ แล้วทำเป็นแบบอย่างให้แก่ประชาชน
นโยบายประชานิยมก็เป็นส่วนสำคัญที่บ่อนลายจิตสำนึกเพื่อการพัฒนา เนื่องจากเป็นใช้นโยบายแจกโน่นให้นี่เข้าล่อคะแนนเสียง กระตุ้นให้ผู้คนเรียกร้องกระหายอยากผลประโยชน์ โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมาในระยะยาว จึงเหมือนการคอรัปชั่นด้วยระบบหรือด้วยนโยบาย นอกจากนี้นับตั้งแต่มีการนำนโยบายประชานิยมมาใช้จะเห็นได้ว่าประชาชนยอมรับการคอรัปชั่นมากขึ้นหากตนเองมีส่วนได้รับผลประโยชน์บ้าง ดังข้อมูลจากผลสำรวจทัศนคติของคนไทยเกี่ยวกับการทุจริต(http://news.voicetv.co.th/thailand/49699.html ) ดังนั้นหากเราพัฒนาความคิดคนไม่ได้ก็พัฒนาชาติไม่ได้เช่นกัน
ยิ่งนโยบายนั้นก้าวล่วงเข้ามาถึงหน่วยงานที่มีความรับผิดชอบต่อการจัดการศึกษาของชาติข้าพเจ้ามองจากมุมมองคนภายนอกยังหวาดกลัวว่ารากฐานการศึกษาของเรากำลังง่อนแง่น และอาจโค่นถอนรากถอนโคนลงมาในไม่ช้า เพราะเราพะวงแต่กับเปลือก ว่าภาพตัวเลขจะออกมาไม่สวย โดยลืมคำนึงถึงคุณภาพ และศักยภาพ หากระบบการศึกษาเราล่ม แทบจะกล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่า บ้านเมืองเราล่มจมแน่นอน เพราะการศึกษาสร้างทรัพยากรสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศชาติ คือ คนในสังคมนั่นเอง
ถึงกระนั้น ข้าพเจ้ายังเชื่อว่าเราจะเปลี่ยนแปลงได้ หากแกนนำในบ้านเมืองตั้งใจผลักดันการเปลี่ยนแปลงโดยไม่คิดเล็กคิดน้อย(หรืออาจจะเป็นการคิดการใหญ่ก็ตาม) ว่าจะได้รับอะไรตอบแทนหรือส่วนแบ่งอะไรจากนโยบายหรือการวางแนวทางการเปลี่ยนแปลงนี้ เราทุกคนต้องมองอะไรให้ไกลกว่าวันนี้-พรุ่งนี้ ปีนี้-ปีหน้า หรือสมัยนี้-สมัยหน้า เพราะถ้าหากเราเสียความมั่นคงสติปัญญา ทางเศรษฐกิจ และเสถียรภาพทางการเงินการคลังคงยากจะดำรงประเทศให้มั่นคงได้ เรากระตุ้นคนไทยให้ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงเท่านั้นยังไม่พอ เราต้องกระตุ้นให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองใช้อำนาจและความคิดเชิงผลประโยชน์ด้วยความพอเพียงด้วยจึงจะรอด
ความหวังของข้าพเจ้าจึงฝากไว้กับการจัดการศึกษาไทย หวังว่าหน่วยงานการศึกษาของเราจะเดินหมากใหม่ได้ทันท่วงที เพราะเหลือเวลาอีกไม่กี่ปี ยิ่งเราช้าเท่าไหร่ ความเสี่ยงของเรายิ่งมากขึ้นเท่านั้น ในอนาคตสงครามที่น่ากลัวคือสงครามเศรษฐกิจ การสิ้นรัฐชาติแทบจะไม่มี แต่เราอาจจะสิ้นสภาพทางการเงินการคลังและระบบเศรษฐกิจล่มสลาย จนพลอยทำให้วัฒนธรรมเสื่อมสูญด้วย
เขียนได้ดีมาก ขอบคุณครับ