ไทดำ...ไม่รำพัน
เกศินี จุฑาวิจิตร
“สิบห้าปีที่ไตเฮาห่างแดนดิน (เดินกันไป)
จงเอ็นดูหมู่ข้าน้อยที่พลอยพลัดบ้าน
เฮาคนไต ย้ายกันไปทุกถิ่นทุกฐาน
จงฮักกันเด้อ ไตดำเฮานา...”
เพลง ไทดำรำพัน เป็นเพลงเก่าที่โด่งดังไปทั่วทั้งฝั่งลาวและฝั่งไทยในช่วงประมาณปี 2513 ขับร้องโดย ก.วิเสส เนื้อหาของบทเพลงเป็นเรื่องของการเพรียกหาถิ่นฐานบ้านเกิดและรากเหง้า อันเนื่องมาจากการที่ต้องอพยพลี้ภัยสงครามในสมรภูมิเดียนเบียนฟู ประวัติศาสตร์ไทดำจึงระบุพิธีกรรมก่อนตาย[1] แจ้งชัดถึงวิธีให้ดวงวิญญาณกลับสู่บ้านเก่าถิ่นเกิด ไทดำในประเทศไทย ในลาวหรือในที่ไหนๆ ในโลกจะถูกสั่งสอนให้รู้จักพิธีนี้ เพื่อจะได้กลับไปรวมกันอยู่อีกครั้ง ณ แผ่นดินแม่ “เมืองลอ”
เพลงนี้กลับคืนสู่ความทรงจำ เมื่อครั้งได้สัมผัสกับ “ความรักฝังลึก” ของชาวไทยทรงดำ หรือลาวโซ่งหรือไทยโซ่ง ที่มีต่อชาติพันธุ์และวัฒนธรรมของตน
คนกลุ่มนี้อาจจะไม่ใช่กลุ่มไทดำ (ที่กล่าวถึงข้างต้น) ในเชิงชาติพันธุ์วรรณา หากก็คลับคล้ายกันในแง่ของการพลัดพรากบ้านเมืองมาอยู่ในประเทศไทย ชาวไทยทรงดำอาศัยอยู่กันเป็นกลุ่มๆ ในหลายจังหวัด เฉพาะตำบลไผ่หูช้าง จังหวัดนครปฐม ประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นไทยทรงดำ พวกเขามีภาษา ประเพณีและวัฒนธรรมเป็นของตนเอง หากต่อมาก็กลมกลืนประสมประสานและกลายพันธุ์ เด็กรุ่นใหม่แม้เป็นไทยทรงดำแท้ๆ ก็เริ่มพูดภาษาพ่อแม่ของตนเองไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเด็กลูกผสมที่ฟังภาษาดั้งเดิมของตนยังแทบไม่ออก
ถึงกระนั้นประเพณีและวัฒนธรรมไทยทรงดำ ก็ยังเป็นเสน่ห์และจุดขายของตำบลไผ่หูช้าง
องค์การบริหารส่วนตำบลไผ่หูช้างทุ่มงบประมาณกับการจัดงานประจำปีของไทยทรงดำ เป็นงานใหญ่ปีละครั้ง เชิญชวนคนมาเที่ยวงาน ชิม ชม ช็อป ครบสูตรการท่องเที่ยวแบบเบ็ดเสร็จ แต่ฉันนิ่งคิด ... วัฒนธรรมมีไว้เพื่อขายเท่านั้นหรือ... วัฒนธรรม ไม่ควรเป็นแค่การบริการคนภายนอกชุมชนให้มาเสพสุขแบบฉาบฉวย ...วัฒนธรรมจะเป็นเครื่องมือของการสืบสาน ต่อยอด และนำสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิตที่ดีกว่าของคนภายในชุมชนได้หรือไม่ อย่างไร นี่คือคำถาม
ตัวแทนกลุ่มสตรีทอผ้า บ่นเหนื่อยล้ากับการผลิตที่ไม่มีการตลาดรองรับ
คำพูดของดร.พิทักษ์พงศ์ยังติดอยู่ในใจ เอ้อ! แล้วทำไมนายก (อบต.ไผ่หูช้าง) ไม่เชิญชวนให้พนักงานทุกคนใช้ผ้าทอของกลุ่มสตรี ตัดเป็นชุดทำงานเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ประธานสมาคมไทยทรงดำในวัยชรา ตัดพ้อไม่มีงบประมาณให้กับครูอาสาสมัครที่ตะลอนๆ ไปยังโรงเรียนต่างๆ เพื่อสอนภาษาและประเพณีไทดำให้กับเด็กรุ่นใหม่
เอ้อ! แล้วทำไม อบต.ไม่จัดสรรงบประมาณเพื่อการสืบสานอย่างยั่งยืนเล่า แทนที่จะจัดแค่ Event ใหญ่ๆ
ครูปิยวรรณ สุขเกษม ผู้ริเริ่มก่อตั้งหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ เคยทดท้อแต่ไม่ถอยในอันที่จะสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้ไทยทรงดำ เธอทุ่มทั้งใจ เททั้งแรงกาย ไม่เว้นแม้แต่งบประมาณส่วนตัว เงินเดือนจากอาชีพข้าราชการครูไม่อนุญาตให้ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยเกินตัวอยู่แล้ว แต่ครูกลับเจียดมันมาใช้กับความคิดความใฝ่ฝันที่เกินตัว และเมื่อความฝันใหญ่ขึ้น ก็หมายถึงการถมเงินที่มากขึ้นด้วย แม่ของครูเอ่ยถามด้วยความห่วงใยเมื่อเห็นก้อนหนี้ที่เธอแอบมัน..มิดเม้น
เมื่อปิดเป็นความลับต่อไปไม่ได้ เธอบอก “การเสียสละแค่นี้ ยังน้อยไป เมื่อเทียบกับการเสียสละชีวิตของบรรพบุรุษของพวกเรา” ไม่ใช่แค่แม่ของครูเท่านั้นที่ต้องยอมจำนน ฉันว่าหากใครได้ยินก็คง “อึ้งกิมกี่” ไม่แพ้กัน
ทุกวันนี้ครูยังคงเดินหน้าสานฝัน อาศัยลานหน้าบ้านของตนเองปรับแต่งให้เป็นตลาดอาหารการกินและตลาดวัฒนธรรมของไทยทรงดำ หวังจะให้ธรรมชาติใต้ร่มไม้และสายน้ำที่ไหลผ่าน เป็นมุมของการผ่อนพักที่แท้จริงสำหรับนักท่องเที่ยว ตลาดของครูแม้ว่าจะเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวแบบซึมซับวีถีชีวิตพื้นถิ่นไทยทรงดำ หากก็ยังดำเนินไปอย่างลุ่มๆ ดอนๆ สถานที่ท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์แห่งนี้ไม่มีทางที่จะ “ติดตลาด” ถ้าท้องถิ่นและชุมชนไม่เข้าไปดูแล หรือจะปล่อยให้การต่อสู้ของคนคนหนึ่งต้องตายไปด้วยตนเอง
ความชื่นชมของฉัน... ผู้หญิงไทยทรงดำคนนี้ ไม่เคยจะรำพันพิรี้พิไรกับความฝัน ...เป้าหมายของเธอมีไว้พุ่งชนจริงๆ
ไทดำ กับไทยทรงดำ ผมว่าก็น่าจะเป็นคนไท เชื้อสายเดียวกันนะครับ เพราะเคยอ่านหนังสือหลายเล่มน่าจะเกี่ยวข้องกันครับ ผมอ่านอักษรไทดำ หรืออักษรลาวโซ่ง ได้นะครับ
เคยฟังตอนเด็กๆ ค่ะ เพลงนี้ cheers!!!
เชิญผู้สนใจศึกษาการเขียนพยัญชนะและสระไทดำได้ที่
http://www.snc.lib.su.ac.th/west/
หรือ
http://www.snc.lib.su.ac.th/libmedia/taidam/TaiDum.swf
ขอบคุณค่ะ
งานศูนย์ข้อมูลภาคตะวนตก
หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร นครปฐม