ความยุติธรรมเป็นอุดมคติที่ไม่ควรมองในมุมตามที่กฎหมายบางตัวบัญญัติ เนื่องจากกฎหมายมีหลายตัว ผู้บังคับใช้กฎหมายเลือกที่จะไม่นำสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนุญ ซึ่งเป็นสิทธิตามธรรมชาติของชุมชนมาปรับใช้...นี่คือคำถามที่ถูกตั้งกลับไปว่าความยุติธรรมในสิทธิชุมชน...ผู้ทรงสิทธิชุมชนคือผู้กำหนดชะตากรรมในวิถีชุมชนของตนเอง (self-determination) ใช่หรือไม่
๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสมาร่วมไว้อาลัยกับญาติวีรชนผู้กล้าหาญ เราอาจไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่เสียงเล่าขานและเสียงร่ำไห้ต่อความสูญเสียของพลังบริสุทธิ์ที่เสียสละเพื่อประชาธิปไตยในวันนี้ ทำให้เราไม่ควรปล่อยให้เป็นแค่วันธรรมดาวันหนึ่งในปีปฏิทิน
พลังนิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ประชาชนที่บริสุทธิ์ โดยเรามองไม่
เห็นว่ามีผลประโยชน์ส่วนตัวทางการเมืองใด ๆ แอบแฝงเลย

พิธีสงฆ์

ตัวแทนนักศึกษาแสดงความคารวะดวงวิญญาณผู้เสียสละ
สาเหตุอีกประการหนึ่ง ข้าพเจ้าประสงค์ที่จะมาว่าฟังปาฐกถาเรื่องประชาธิปไตยกับการปกป้องทรัพยากรชุมชน ณ อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา ๑๖ (สี่แยกคอกวัว)

องค์ปาฐกคือคุณจินตนา แก้วขาว ประธานกลุ่มอนุรักษ์
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด จ. ประจวบคึรีขันธ์
ต่อไปนี้เป็นคำกล่าวของคุณสุนี ไชยรส ที่ให้ภาพเจตนารมณ์ ๑๔ ตุลา ประชาธิปไตยเต็มใบ
"เจตนารมณ์ ๑๔ ตุลา ๑๖ คืออะไร? แม้เหตุการณ์จะเริ่มต้นจากการต่อสู้ของนักเรียนนักศึกษาเพื่อคัดค้านอำนาจเผด็จการต่อ “๑๓ กบฏรัฐธรรมนูญ”แต่ขบวนต่อสู้สามารถพัฒนากว้างใหญ่ และมีประชาชนเข้าร่วมอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ แม้ถูกปราบปรามอย่างหนัก แต่การต่อสู้ก็มิได้จบสิ้นลง จึงเป็นชัยชนะที่เป็นจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ทางการเมืองครั้งสำคัญ
นั่นคือ นักศึกษาประชาชนได้สะสมความไม่พอใจต่อระบอบเผด็จการที่ยาวนาน ใช้อำนาจลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างรุนแรง กลุ่มทหาร ตำรวจ ข้าราชการที่ครองอำนาจ กอบโกยโกงกิน ร่วมกับกลุ่มทุน เจ้าที่ดิน และกดขี่เอาเปรียบต่อกรรมกร ชาวนา รวมทั้งผู้ยากไร้ อย่างแสนสาหัส ซึ่งขบวนนักเรียนนักศึกษาก่อน ๑๔ ตุลา ๑๖ก็ได้เริ่มตระหนักถึงอุดมการณ์ที่จะต้อง “รับใช้ประชาชน”
หลัง ๑๔ ตุลา ยิ่งสะท้อนภาพชัดเจนว่า การมีรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งยังไม่สามารถแก้ปัญหาโครงสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม และการกดขี่ ที่หนักหน่วง จึงเกิดการรวมตัวต่อสู้ของกรรมกร ชาวนา ผู้ยากไร้ ทั่วประเทศ ทั้งเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปที่ดิน ค่าแรง จนถึงการคัดค้านเขื่อน การทำเหมืองแร่ ฯลฯ ประสานกับนักเรียนนักศึกษาปัญญาชนเกิด“สามประสาน”อย่างกว้างขวาง และมีพลัง จนกลุ่มสูญเสียประโยชน์ร่วมกันปลุกกระแสขวาพิฆาตซ้าย และการปราบปรามที่โหดร้าย ในกรณี ๖ ตุลา ๑๙ …
เจตนารมณ์ ๑๔ ตุลา ๑๖ จึงเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่มิใช่เพียงเพื่อประชาธิปไตยทางการเมือง เพื่อรัฐธรรมนูญ และการเลือกตั้งเท่านั้น แต่เพื่อการแก้ไขปัญหาของประชาชนผู้ถูกกดขี่ ที่ต้องการประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และสังคม ต้องการความเป็นธรรม และประชาธิปไตยทางการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง นั่นคือ การมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ และเป็นเจตนารมณ์ที่มุ่งมั่นด้วยจิตใจกล้าต่อสู้ กล้าเสียสละ มิใช่การร้องขอ….
เจตนารมณ์ ๑๔ ตุลา ๑๖ คืออะไร? แม้เหตุการณ์จะเริ่มต้นจากการต่อสู้ของนักเรียนนักศึกษาเพื่อคัดค้านอำนาจเผด็จการต่อ “๑๓ กบฏรัฐธรรมนูญ”แต่ขบวนต่อสู้สามารถพัฒนากว้างใหญ่ และมีประชาชนเข้าร่วมอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ แม้ถูกปราบปรามอย่างหนัก แต่การต่อสู้ก็มิได้จบสิ้นลง จึงเป็นชัยชนะที่เป็นจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ทางการเมืองครั้งสำคัญ
นั่นคือ นักศึกษาประชาชนได้สะสมความไม่พอใจต่อระบอบเผด็จการที่ยาวนาน ใช้อำนาจลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างรุนแรง กลุ่มทหาร ตำรวจ ข้าราชการที่ครองอำนาจ กอบโกยโกงกิน ร่วมกับกลุ่มทุน เจ้าที่ดิน และกดขี่เอาเปรียบต่อกรรมกร ชาวนา รวมทั้งผู้ยากไร้ อย่างแสนสาหัส ซึ่งขบวนนักเรียนนักศึกษาก่อน ๑๔ ตุลา ๑๖ก็ได้เริ่มตระหนักถึงอุดมการณ์ที่จะต้อง “รับใช้ประชาชน”
หลัง ๑๔ ตุลา ยิ่งสะท้อนภาพชัดเจนว่า การมีรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งยังไม่สามารถแก้ปัญหาโครงสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม และการกดขี่ ที่หนักหน่วง จึงเกิดการรวมตัวต่อสู้ของกรรมกร ชาวนา ผู้ยากไร้ ทั่วประเทศ ทั้งเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปที่ดิน ค่าแรง จนถึงการคัดค้านเขื่อน การทำเหมืองแร่ ฯลฯ ประสานกับนักเรียนนักศึกษาปัญญาชนเกิด“สามประสาน”อย่างกว้างขวาง และมีพลัง จนกลุ่มสูญเสียประโยชน์ร่วมกันปลุกกระแสขวาพิฆาตซ้าย และการปราบปรามที่โหดร้าย ในกรณี ๖ ตุลา ๑๙ …
เจตนารมณ์ ๑๔ ตุลา ๑๖ จึงเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่มิใช่เพียงเพื่อประชาธิปไตยทางการเมือง เพื่อรัฐธรรมนูญ และการเลือกตั้งเท่านั้น แต่เพื่อการแก้ไขปัญหาของประชาชนผู้ถูกกดขี่ ที่ต้องการประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และสังคม ต้องการความเป็นธรรม และประชาธิปไตยทางการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง นั่นคือ การมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ และเป็นเจตนารมณ์ที่มุ่งมั่นด้วยจิตใจกล้าต่อสู้ กล้าเสียสละ มิใช่การร้องขอ…."
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชนยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่ความยุติธรรมในกฎหมายยังถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับความชอบธรรมและการบังคับใช้อย่างไม่เท่าเทียมกันระหว่างกลุ่มทุนและกลุ่มประชาชนชาวบ้านธรรมดาสามัญ คุณจินตนา แก้วขาว คือตัวแทนภาคประชาชนที่แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้เพื่อปกป้องทรัพยากรชุมชน แม้ว่าสิ่งที่ทำจะนำไปสู่คุกที่กักขังตัว แต่หาได้กักขังวิญญาณไม่
"หนูยอมรับโทษ แต่ไม่ยอมรับผิด"
ประโยคทองของคุณจินตนา แก้วขาว
ศาลฎีกาพิพากษาตัดสินลงโทษจำคุกเธอข้อหาบุกรุกในบริเวณที่ดินจัดงานเลี้ยงของบริษัทกลุ่มทุน เป็นเวลา ๔ เดือน ทั้งที่ พื้นที่บริเวณเดียวกันนี้ ในเวลาต่อมามีหมายศาลเรียกเจ้าหน้าที่ที่ดินในข้อหาออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินสาธารณะให้แก่บริษัทกลุ่มทุน ... หมายความว่าที่ดินที่พิพาทนี้ เธอได้บุกรุกจริงหรือไม่? ในเมื่อความเป็นเจ้าของที่ดินยังเป็นที่กังขา ในอีกแง่มุมหนึ่ง ไม่ว่าจะบุกรุกหรือไม่ สิ่งที่เธอทำไม่ใช่เพื่อส่วนตัว ไม่ได้มีเจตนาร้ายเข้าไปรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุข เธอทำเพื่อส่วนรวม...ปกป้องทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน
หากเข้าไปสัมผัสชีวิตการต่อสู้ของชาวบ้านอย่างแท้จริง จะเห็นว่าพวกเขาได้พยายามอย่างถึงที่สุดโดยปราศจากอำนาจใด ๆ ที่จะยื่นมือมาช่วยเหลือในการเข้าไปต่อรองกับอำนาจที่เหนือกว่า แม้ว่าจะผ่านสนามต่อสู้จนเข้าไปอยู่ในคุกและพ้นโทษออกมาแล้ว เธอก็บอกว่าไม่เข็ด ไม่ท้อ และเธอก็รู้สึกว่าเธอชนะ...เสียงปรบมือดังกึกก้อง...ความยุติธรรมเป็นอุดมคติที่ไม่ควรมองในมุมตามที่กฎหมายบางตัวบัญญัติ เนื่องจากกฎหมายมีหลายตัว ผู้บังคับใช้กฎหมายเลือกที่จะไม่นำสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนุญ ซึ่งเป็นสิทธิตามธรรมชาติของชุมชนมาปรับใช้...นี่คือคำถามที่ถูกตั้งกลับไปว่าความยุติธรรมในสิทธิชุมชน...ผู้ทรงสิทธิชุมชนคือผู้กำหนดชะตากรรมในวิถีชุมชนของตนเอง (self-determination) ใช่หรือไม่

คำกล่าวปาฐกถาของเธอในวันนี้มีพลังอย่างมาก
โดยจะได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศเพื่อเผยแพร่ไปทั่วโลก
ตัวอย่างของนักต่อสู้เพื่อพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

คุณจินตนา แก้วขาว รับรางวัลจากมูลนิธิ ๑๔ ตุลา





รางวัลแด่สตรีตัวอย่าง นักต่อสู้ประชาธิปไตยเพื่อสิทธิชุมชน
-------------------------------------